เพื่อ คนเค้ามีวิจารณญาณหรอกน่า

ก็เคยอ่านนะ แต่อ่านแบบผ่าน ๆ
ก็จริงที่ผู้เขียน...เขายังมีช่องโหว๋หลาย ๆ ส่วน

ก็เลยเกิดคำถาม อาจจะเป็นคำถามที่แปลกนิด ๆ
คือถ้าหากว่าสักวันหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์เขาหันมาปฏิบัติธรรมอย่างขมักเขม้น
และศึกษาศาสนาอย่างเอาจริงเอาจังควบคู่กัน
คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น....

ก็คงทำให้พวกที่ติดอยู่กับหลักการทางวิทยาศาสตร์ สนใจ/เข้าใจธรรมมากขึ้นมั๊งครับ
ซึ่งพวกนักวิทฯเขาก็เริ่มมาสักพักใหญ่แล้วทีเดียวเช่น จ้างคนนั่งสมาธิ แล้วติดอุปกรณ์ทางวิทฯ เพื่อเก็บข้อมูล หรือวิจัยพวกพระทิเบตที่นั่งสมาธิเก่ง มีเรื่องEQ(อัจฉริยะทางด้านอารมณ์)เกิดขึ้น ไม่ใข่วัดแต่IQ เหมือนที่ผ่านๆมา รวมทั้งเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้ามากขึ้นทำให้ศึกษา/ตรวจจับอะไรต่างๆได้มากขึ้น ฯลฯ เขาทำอย่างระบบ อย่างมีหลักการ ไม่ใช่คิดไปเอง หรือว่าไม่รู้จริง แล้วเอามาพูด
ไอน์สไตน์ก็พูดถึงศาสนาพุธไว้ด้วยต้องนานแล้วว่า
"The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. ... If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism."

ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นผลจากองค์ดาไลลามะ ที่ต้องหนีออกประเทศตนแล้วได้มาอยู่อเมริกา เลยกลายเป็นช่วยเผยแพร่ศาสนาพุทธในอเมริกาอีกทางหนึ่ง
ทางอเมริกาเลยจะไปทางมหายานมากกว่า แต่ทางเถรวาทเราก็เพิ่มมากขึ้น
เท่าๆที่ผมเข้าใจนะ

ก็ดีนะสิครับ

ไอน์สไตน์ก็พูดถึงศาสนาพุธไว้ด้วยต้องนานแล้วว่า
"The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. ... If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism."

"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน
และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบกึ่งสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว)
และแบบเทววิทยา (คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติ
และจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง
คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้
....ถ้าหากจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน
ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ (Albert Einstein)
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฎีสัมพันธภาพ

ขออนุญาตเอาคำแปลลงนะครับ เผื่อคนที่ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรงเช่นข้าพเจ้า
อยากจะรู้ว่าเขาพูดถึงพุทธศาสนาว่ายังไง

อนุโมทนาครับ

ดูถูกวิทยาศาสตร์กันหลายคน ทำไมเหรอ ยึดติดกับหลักวิทยาศาสตร์ก็ใช่ว่าจะปิดกั้นตัวเองกันทุกคนนะ เรานี่แหละคนหนึ่ง ที่ยึดติดกับหลักวิทยาศาสตร์ แต่ก็ เชื่อเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจไม่ได้พวกคุณอย่าอคติกับพวกที่ยึดติดกับหลักวิทยาศาสตร์นักสิ

ผมอ่านๆแล้วก็ไม่เห็นมีใครดูถูกนะ คิดไปเองมั๊ง

Have a peaceful day

อยากอ่าน

ถ้าคิดว่าตำหนิ ก็ให้เคิดว่าเป็นการตำหนิเพื่อก่อ(ให้เกิดประโยชน์ เพื่อให้เขาเอาไปปรับปรุงนะ)
เจตนาที่สำคัญอันหนึ่งคือให้คนไม่เข้าใจผิด เกิดเป็นมิจฉาทิฐิ อะไรประมาณนั้น ให้รู้ความจริงอีกมุมหนึ่งที่ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ได้เปิดเผยทวนกระแสหนังสือที่โด่งดัง นำพาผู้คนเข้าใจผิดในบางส่วน
ก็คงให้กำลังใจดร.บัญชา ด้วยครับ คนตัวเล็กคนนึงไปสู้กับองค์กรนายทุนอันใหญ่โต
แต่ก็คงสู้กำลังเงินของฝ่ายเขาได้ยากหน่อย เพราะเข้าใจว่ามีหลายคนที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เลย



ของ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ เป็นหนังสือชื่อว่าอะไรครับ หาซื้อได้ที่ไหน
ช่วยแจ้งด้วยนะครับ ขอบคุณใว้ล่วงหน้าครับ

อ๋อ! เป็นแค่Link ที่ผมได้ให้ใว้แล้วบนสุดโน่นน่ะครับ
ซ้ำอีกทีก็ได้ครับ

http://gotoknow.org/blog/science/195758
และ
http://gotoknow.org/blog/science/192799