วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 06:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2009, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 พ.ค. 2009, 13:02
โพสต์: 32

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นโรค ๆ หนึ่ง ที่รักษาไม่หาย รักษาได้เพียงแค่ให้มีอาการของโรคน้อยที่สุด เป็นมาตั้งแต่เกิดค่ะ และช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้การเรียนมีอุปสรรค ติดขัดตลอดมา เลยมีคนนั่งสมาธิดู (ถ้าใช้คำผิดกราบขออภัยด้วยค่ะ) ว่าเป็นเพราะอะไร โดยที่ไม่บอกให้ทราบก่อนว่าจะดู แล้วมาบอกว่าดิฉันมีกรรมหนักเกี่ยวกับทั้งสุขภาพและการเรียน และให้ลดกรรม (เขาบอกว่า "แก้กรรม" แต่ดิฉันขอใช้คำว่าลดกรรมนะคะ) ด้วยวิธีเหล่านี้ค่ะ แต่ไม่บอกว่าเหตุใดจึงต้องทำ ดิฉันก็ถามว่าดิฉันทำกรรมอะไรเอาไว้ เขาก็ไม่ยอมบอก ปกติใคร ๆ เขาก็บอกกันไม่ใช่หรือคะ พอไม่บอกเลยทำให้ดิฉันไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ยังทำตามค่ะ เพราะถือว่าเป็นการทำบุญ

เขาดู 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกที่เขาดู เขาบอกให้ไปขอพรกับพระพิฆเนศเฉย ๆ ค่ะ แต่ครั้งที่ 2 เขาขอวันดือนปีเกิดและเวลาเกิดของดิฉันจากคุณแม่ไปด้วยค่ะ เขาบอกว่าดูด้วยญาณและความรู้ทางโหราศาสตร์

1. ก่อพระเจดีย์ทรายถวายพระสงฆ์ 12 กอง พร้อมกับปักตุง (ธง) ที่มีรูป 12 นักษัตร ให้พระสงฆ์ส่งบุญกุศลครั้งนี้ไปให้พ่อเกิดแม่เกิด (คือผู้ที่ส่งเรามาเกิด ความเชื่อเรื่องพ่อเกิดแม่เกิดเป็นความเชื่อของชาวล้านนาค่ะ ไม่ทราบว่าภาคอื่นมีความเชื่อแบบนี้หรือเปล่า) > พ่อเกิดแม่เกิดจะทำอะไรกับกุศลที่ส่งไปคะ
2. ไปนมัสการพระธาตุประจำปีเกิด คือพระธาตดอยตุง เพราะมีพระรากขวัญเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ โดยเดินเวียนซ้ายรอบองค์พระธาตุ 3 รอบ เวียนขวาอีก 3 รอบ พร้อมกับกล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัยไปด้วย (ต้องไปทุกปี) > พระรากขวัญเบื้องซ้ายสัมพันธ์กับปีเกิดหรือโรคภัยอย่างไรคะ
3. ขอขมาพระรัตนตรัยและทุกคืน ในส่วนที่กล่าวถึงผู้มีพระคุณให้ระลึกถึงเจ้ากรรมนายเวรด้วย > ที่เคยอ่านบทความ การอโหสิกรรมทำได้เฉพาะชาติปัจจุบัน และไม่มีเจ้ากรรมนายเวร มีแต่ผลของกรรมที่เราเคยทำ
4. สวดมนต์บทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เพราะเป็นบทสวดที่เหมาะสมกับดวงชะตา > ปกติก็สวดมนต์อยู่แล้วค่ะ แต่พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เชื่อเรื่องโชคชะตาราศีไม่ใช่หรือคะ
5. ถวายดอกดาวเรือง 1 พวง และขอพรกับพระพิฆเนศ (โดยจำกัดว่าต้องไปที่วัดนี้เท่านั้น) เพราะท่านจัดอยู่ในกลุ่มเทวดา ผู้ช่วยเหลือมนุษย์ และเวลาจะสอบหรือเสนองานให้ไปขอพรท่านทุกครั้ง > ในทางพระพุทธศาสนามีความเชื่อแบบนี้ด้วยหรือคะ

วิธีลดกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากรรมที่ดิฉันเคยทำในอดีตชาติเป็นกรรมหนักมากใช่ไหมคะ

ที่สงสัยนี้ไม่ใช่เพราะลบหลู่นะคะ แต่เป็นเพราะดิฉันไม่ใช่คนเชื่อคนง่าย และอาจเป็นเพราะยังมีความรู้น้อยด้วย ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยอธิบายให้ความกระจ่างหน่อยนะคะ


แก้ไขล่าสุดโดย ปทุมา เมื่อ 16 พ.ค. 2009, 21:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2009, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


คิดว่า พิธีเหล่านี้เป็นการเสริมสร้างความศรัทธา สร้างความมั่นใจให้กับตนเอง อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อ ความสงบของใจ ต้องยอมรับนะว่า ถ้าจิตสงบมากๆ โรคร้ายก็บรรเทาลงได้มากเหมือนกัน

ปล. เรื่องกรรม ก็ฟังหูไว้หูนะ อย่าเชื่อมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2009, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า กรรมอันทำไปแล้ว ผลเขาเกิดเเล้วรอเหตุปัจจัยพร้อมเพื่อส่งผลให้เกิดเท่านั้น การที่จะกระทำการใดๆเพื่อลดบาปกรรมเก่านั้นไม่ใช่วิสัยที่พึงกระทำได้ ... และเป็นเรื่องของความเข้าใจผิดของคนส่วนมาก จึงเกิดพิธีเบิกบุญแก้กรรมสารพัดรูปแบบเพื่อลดหรือตัดกรรมอันเป็นไปเพื่อความลุ่มหลง และเป็นการสั่งสมอุปนิสสัยให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อในสิ่งเหลวไหลไม่ก่อปัญญาที่ถูกตรง การที่เจ็บป่วยมากด้วยโรคาพาธนั้นมีสาเหตุมาจากการล่วงศีลข้อ ๑มาก่อน... สิ่งที่เราจะทำได้ในปัจจุบันคือทำ"เหตุใหม่ที่ดี" เพื่อผลที่ดีอันเป็นที่หวังได้ในอนาคต....เมื่อเราสามารถเจริญกุศลให้ถึงพร้อม ผลแห่งกุศลย่อมมีโอกาส"เบียดแทรก"แทนอกุศลวิบากได้ หากเขามีอานุภาพมากพอ ...

ทีนี้ การไปกระทำพิธีกรรมใดๆ โดยมีจิตคิดว่า เป็นทางเพื่อลดกรรม พิธีกรรมนั้นๆ ไม่ชื่อว่าเป็นไปด้วยกุศลเจตนา เป็นเพียงสิ่งที่ทางธรรมะเรียกว่า"สีลัพพตปรามาส"คือ สักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าใจความหมายแท้จริง การกระทำเช่นนั้นหาได้เป็นบุญกุศลแท้จริงไม่

หากแม้นท่านผู้ถาม มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระคุณของพระพุทธเจ้า ตั้งมนัสสิการส่งใจไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ.ที่ใดๆที่เคยทราบว่ามีประดิษฐานอยู่ โดยมิต้องเดินทางไปกราบถึงที่ ท่านย่อมได้อานิสงค์หาประมาณมิได้ เพราะเรื่องของบุญบาปเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจตนาในใจโดยตรง..จึงขอเสนอแนะว่า ให้ทำความเห็นให้ถูกตรงเสียก่อนดังนี้ ย่อมเป็นมงคลแก่ตนประการ๑..นี่เป็นกุศลขั้นปัญญาทีเดียว ต่อไป พึงตั้งใจประพฤติศีล๕โดยเคร่งครัด อานิสงค์ของศีลย่อม คุ้มครองรักษาเราให้มีแต่ความสุข ปลอดภัย ปราศจากโรคาพาธ หากมีโอกาสพึงศึกษาพระธรรมให้เป็นปัจจัยแก่ปัญญารักษาตน ไม่ถูกชักจูงให้เชื่อเรื่องเหลวไหลขาดเหตุผลที่ถูกต้อง เรียกว่าไม่เขลาไปกับใครๆง่ายๆ..

เหตุต้องตรงกับผลเสมอ หากการเจ็บป่วยจะหายได้จากพิธีกรรมใดๆได้จริง บัดนี้เราทุกคนคงมีสุขภาพยอดเยี่ยมกันถ้วนทั่วแล้ว ไม่ต้องมานั่งขอบริจาคเลือดกันให้จ้าละหวั่น หรือไม่ต้องกังวลว่ากินเนื้อแล้วเป็นมะเร็งให้กินผักแทน เป็นต้น

ให้มั่นคงในตถาโพธิสัทธา คือเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไว้ดีกว่าว่าพระองค์เป็นผู้รู้ เราเป็นคนโง่ ท่านทรงชี้แนะให้เราทราบว่า เราทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน เราพึงทำกุศลให้ถึงพร้อม เพราะกุศลย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในวัฏฏะนี้..

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องพูดตรงๆว่า ไม่มีวิธีใดลดกรรมได้เลย แม้จะทราบว่าคุณกังวลผลกรรมของคุณอยู่
ก็ต้องพูดกันแบบนี้ ให้เห็นในทางที่ถูกดีกว่า มีหลายสำนักหลายที่ทั้งพระสายปฏิบัติเอง
ก็ยังบอกว่ากรรมลดได้ หลวงพ่อจรัญเองก็เคยมีสอนไว้เรื่องกรรมฐานแก้กรรม ด้วยความ
นอบน้อมในหลวงพ่อจรัญ ท่านใช้คำพูดเพื่อจุดประสงค์ให้คนที่พอจะแนะนำได้สนใจ
ในการปฏิบัติกรรมฐานมากกว่า โดยส่วนตัวผมแล้ว การปฏิบัติกรรมฐานนั้น ไม่ได้ทำให้กรรม
เก่าลดลง แต่เป็นการเพิ่มพูลกรรมใหม่ที่ดี เป็นการสะสมความดีที่ละเอียดมาก มีผลมาก
ทั้งทางวัตถุและปัญญา ก็เลยทำให้กรรมเก่าน้อยลงทุกทีๆ ทั้งที่มีอยู่ ก็จะเหมือนไม่มี
ยิ่งทำความดีจนเป็นอาจิณแล้ว เหมือนมีกุศลเป็นอารมณ์เลย กรรมเก่าเหมือนหายไป
ความจริงก็ยังมี เพียงแต่เหมือนไม่มี เรียกกันว่าอัพโภหาริก มีก็เหมือนไม่มี เมื่อส่งผล
ก็มีวิบากเท่าเดิม แต่อำนาจความดีของกุศลที่ทำมากๆก็ออกผลด้วย กลายเป็นเหมือนว่า
รับผลกรรมเก่าไม่หนัก หรือกรรมเบาบางลง ฉนั้น วิธีที่ดีที่สุด สร้างกุศลที่เรียกกันว่าบุญ
ให้มาก และประกอบปัญญาหรือหาเวลาปฏิบัติให้มาก กรรมที่มีอยู่ก็จะเหมือนลดน้อยลง
ลองคิดง่ายๆครับ สมมติว่าเม็ดมะขาม 10 เม็ด ทาสีขาว ใส่ในกระบุงไว้ แทนความไม่ดี
แทนกรรมชั่ว แล้วคุณทำกรรมดีเมื่อใด ก็เอาเม็ดมะขามปกติใส่ลงไป เช่นวันนี้ใส่บาตร
อุทิศกุศลแล้ว ก็ใส่ 1 เม็ด ตอนเย็นฟังธรรมทางโทรทัศน์ เอาใส่อีก 1 เม็ด จะรู้เลยว่า
กรรมดีมากขึ้นแล้วกลบเม็ดมะขามสีขาวที่เป็นตัวแทนกรรมเก่าที่ไม่ดีเลย แต่เม็ดสีขาวก็อยู่
ในกระบุงนั่นหละครับไม่หายไป กรรมก็เช่นเดียวกัน ไม่หายไปแต่ออกผลให้เรารู้สึกเหมือนว่า
กรรมที่เราทำไม่ดีไว้ไม่หนักมาก อุปมาเหมือนมองหาเม็ดมะขามสีขาวฉนั้น
ทำความดีครับ ดีทั้งเรา ทั้งคนรอบข้าง กรรมไม่ดีส่งผล อย่างน้อยกรรมดีก็คอยรับอุดหนุนอยู่

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 พ.ค. 2009, 13:02
โพสต์: 32

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณในคำตอบของทั้งสามท่านมากค่ะ

ที่ตั้งกระทู้นี้เพราะสงสัยของผลการทำแต่ละวิธีเท่านั้นค่ะ เพราะเห็นว่าบางอย่างก็ขัดกับหลักของพระพุทธศานา ไม่ได้กังวลผลกรรมที่เคยทำในอดีตชาติค่ะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมแล้วค่ะ เขาบอกว่าให้ทำก่อนสงกรานต์ เพราะดวงจะเปลี่ยน สุขภาพจะแย่กว่าเดิม ดิฉันก็ทำทุกข้อยกเว้นข้อ 1 เพราะต้องไปทำที่วัดในอำเภอรอบนอก เพราะจะมีความรู้เรื่องนี้ดีกว่าพระในเมือง และข้อ 2 เพราะดิฉันมาเรียนที่ตัวจังหวัด ซึ่งอยู่ไกลจากวัดพระธาตุมาก แต่ถ้าอยู่ที่บ้านจะสะดวกกับการทำทั้งสองข้อ เพราะบ้านของดิฉันอยู่ใกล้เชียงรายมากกว่า อีกอย่างหนึ่งก็คือต้องมีคนไปส่ง ถ้าคนที่จะไปส่งไม่ว่างก็ไปไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจว่ากลับบ้านก่อนสงกรานต์หลาย ๆ วัน เพื่อไปทำดีกว่า

หลังจากที่เขาบอกวิธีเหล่านี้แล้ว เขาจะคอยถามอยู่ตลอดว่าไปทำมาหรือยัง ดิฉันก็ตอบว่ายัง เพราะไม่สะดวก เขาก็คิดว่าเราไม่เชื่อเขา หรืออาจจะคิดว่าอหังการ์ด้วยซ้ำ และเขาจะพูดถึงเรื่องนี้ตลอด โน้มน้าวใจเราตลอด ก็เข้าใจนะคะว่าเขาหวังดี แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะทำตามหรือไม่ทำตาม เขาไม่มีสิทธิ์บังคับ

ความจริงแล้วดิฉันคิดเหมือนคุณ -dd- ที่บอกว่าระลึกถึง ส่งใจไปนมัสการเอา แต่เขายืนยันว่าต้องไปถึงสถานที่จริง ถ้ายังไปไม่ได้ก็ไปวัดพระธาตุที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวจังหวัดที่แทนกันได้ก่อน ถ้ามีเวลาค่อยไปดอยตุง และการขอพรพระพิฆเนศก็ต้องไปขอจากองค์จริงเหมือนกัน ตอนที่เขาแนะนำครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ดิฉันก็ไปขอพรจากองค์จริง 2 ครั้ง แต่หลังจากนั้นถ่าจะสอบหรือเสนองาน เขาจะคอยถาม ดิฉันก็ระลึกถึงท่านเอา เพราะเดินทางไม่สะดวกค่ะ แต่ยังไงเขาก็ยังคิดว่าเราไม่เชื่อเขา

ดิฉันควรจะบอกเขาอย่างไรดีคะว่าไม่อยากทำ โดยเฉพาะข้อที่ 5 เพราะปกติจะไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยไม่ขอพรหรือบนบานสานกล่าว :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมแล้วค่ะ เขาบอกว่าให้ทำก่อนสงกรานต์ เพราะดวงจะเปลี่ยน สุขภาพจะแย่กว่าเดิม

แล้วแย่จริงใหมครับ? ...

สมุฏฐานที่ทำให้เกิดโรค มี๔เหตุคือ กรรม จิต อุตุ และอาหาร

1. หากเป็นกรณีที่เกิดจากกรรมแล้ว ระดับพระพุทธเจ้ายังทรงเลี่ยงไม่ได้นับประสาอะไรกับชาวเราทั้งหลาย

2 จิตเป็นเหตุ ได้แก่ความวิตกกังวล กลัวกับคำทำนายของใครๆ นี่ย่อมทำให้"รูป"เสียหายอาพาธได้เช่นกัน ในสมัยนี้เป็นกันมากเช่นโรคเครียด ซึมเศร้า etc.

3. อุตุ ได้แก่อุณหภูมิ ฤดูกาล ความชื้นหรือสภาพแวดล้อมเสียหายล้วนมีส่วนแก่การอาพาธทางกายและใจได้ทั้งหมด

4. อาหารที่มีพิษ ไม่สัปปายะแก่กาย กินมากไป ไม่ครบหมู่หรือขาดสารอาหารบางตัว นี่ก็เป็นที่มาแห่งโรคสารพัด..ดังนั้นการแก้ไขโรคหากแก้ถูกสมุฏฐานก็อาจบรรเทาหรือหาย ไม่ทราบว่าไปหาหมอตรวจบ้างหรือเปล่า

อ้างคำพูด:
ดิฉันควรจะบอกเขาอย่างไรดีคะว่าไม่อยากทำ โดยเฉพาะข้อที่ 5 เพราะปกติจะไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยไม่ขอพรหรือบนบานสานกล่าว


หากไม่กล้าตอบความจริงก็พึงนิ่งเสีย อย่าให้ตนเองโกหกเป็นบาปกรรมต่ออีก ความจริงคุณก็ทราบว่า
"จะทำตามหรือไม่ทำตาม เขาไม่มีสิทธิ์บังคับ" แต่หากคุณ ยังต้องการพึ่งพาขอคำแนะนำเขาอีก คุณก็จะไม่กล้าบอกความจริงแก่เขา นี่เป็นเรื่องที่คุณต้องตอบตนเองว่าจะทำให้ถูกใจเขา หรือจะทำถูกตามมติในใจเรานะครับ

อนึ่ง ความเข้าใจว่ามีเทพใดๆมาคอยช่วยมนุษย์อยู่นั้น ดูแล้วคงไม่สมเหตุผลเท่าไร เพราะเทพนั้นท่านมีบุญให้ได้เสวยวิบากที่ดีๆ ไม่ใช่ต้องมานั่งรับคำร้องทุกข์ของใครๆดอกครับ อุตส่าห์มีบุญขนาดนั้นยังต้องมาทำงานหนักคอยปัดเป่าทุกข์ให้คนอยู่ ท่าทางไม่น่าสบายเลย อีกอย่างหนึ่ง ขนาดพระพุทธเจ้า ทรงมีคุณยิ่งใหญ่กว่าเทวดามารพรหมทั้งหลายยังไม่สามารถ"ดลบันดาล"ให้ใครๆหมดทุกข์ได้เลยหากเขาไม่เคยทำบุญไว้แล้ว..เทพอะไรๆจะช่วยใครๆก็พึงพิจารณาด้วยความระมัดระวังครับ... :b5:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 พ.ค. 2009, 13:02
โพสต์: 32

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


-dd- เขียน:
อ้างคำพูด:
เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมแล้วค่ะ เขาบอกว่าให้ทำก่อนสงกรานต์ เพราะดวงจะเปลี่ยน สุขภาพจะแย่กว่าเดิม

แล้วแย่จริงใหมครับ? ...

สมุฏฐานที่ทำให้เกิดโรค มี๔เหตุคือ กรรม จิต อุตุ และอาหาร

1. หากเป็นกรณีที่เกิดจากกรรมแล้ว ระดับพระพุทธเจ้ายังทรงเลี่ยงไม่ได้นับประสาอะไรกับชาวเราทั้งหลาย

2 จิตเป็นเหตุ ได้แก่ความวิตกกังวล กลัวกับคำทำนายของใครๆ นี่ย่อมทำให้"รูป"เสียหายอาพาธได้เช่นกัน ในสมัยนี้เป็นกันมากเช่นโรคเครียด ซึมเศร้า etc.

3. อุตุ ได้แก่อุณหภูมิ ฤดูกาล ความชื้นหรือสภาพแวดล้อมเสียหายล้วนมีส่วนแก่การอาพาธทางกายและใจได้ทั้งหมด

4. อาหารที่มีพิษ ไม่สัปปายะแก่กาย กินมากไป ไม่ครบหมู่หรือขาดสารอาหารบางตัว นี่ก็เป็นที่มาแห่งโรคสารพัด..ดังนั้นการแก้ไขโรคหากแก้ถูกสมุฏฐานก็อาจบรรเทาหรือหาย ไม่ทราบว่าไปหาหมอตรวจบ้างหรือเปล่า



[color=#FF00BF]ความจริงก็ไม่มีอะไรแย่กว่าเดิมค่ะ ไปหาหมออยู่ตลอดค่ะ ทานยาตลอด แต่หากจะให้อาการดีขึ้นกว่านี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง เพราะเป็นโรคทางระบบประสาท (Nervous System) ถ้ายังเป็นอยางนี้อยู่ จะดัดฟันไม่ได้ค่ะ เพราะอาจกระทบกับเส้นประสาททำให้อาการมากกว่าเดิม แต่อาการก็น้อยกว่าหลาย ๆ คนที่ไปตรวจค่ะ



-dd- เขียน:

อ้างคำพูด:
ดิฉันควรจะบอกเขาอย่างไรดีคะว่าไม่อยากทำ โดยเฉพาะข้อที่ 5 เพราะปกติจะไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยไม่ขอพรหรือบนบานสานกล่าว


หากไม่กล้าตอบความจริงก็พึงนิ่งเสีย อย่าให้ตนเองโกหกเป็นบาปกรรมต่ออีก ความจริงคุณก็ทราบว่า
"จะทำตามหรือไม่ทำตาม เขาไม่มีสิทธิ์บังคับ" แต่หากคุณ ยังต้องการพึ่งพาขอคำแนะนำเขาอีก คุณก็จะไม่กล้าบอกความจริงแก่เขา นี่เป็นเรื่องที่คุณต้องตอบตนเองว่าจะทำให้ถูกใจเขา หรือจะทำถูกตามมติในใจเรานะครับ

เคยบอกตามความจริงค่ะ เพราะไม่อยากโกหก แต่เพราะบอกความจริงนี่แหละค่ะ ทำให้เขาเซ้าซี้ เพราะคิดว่าเราอหังการ์ กำลังคิดว่าถ้าต้องเจอเขาอีกจะไม่พูดถึงถึงเรื่องนี้ ถ้าเขาพูดขึ้นก่อน ก็จะพยายามเลี่ยงค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร