วันเวลาปัจจุบัน 12 ก.ย. 2025, 14:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b6: มีเรื่องปรึกษาท่านผู้รู้ค่ะ
:b48: คือตอนนี้เรามีหลานสาวอายุ 23 ปีอยู่คนหนึ่งเป็นเด็กดี น่ารัก เรียบร้อย
ใช้ชีวิตไม่ค่อยเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้เท่าไหร่ เปลี่ยนไปสัก 2 ปีหลังนี้ค่ะ คือ
คือตอนนี้แกเรียนจบปริญญาโทภาคภาษาอังกฤษจากจุฬาฯ
และอยากให้ไปเรียนปรัญญาเอก ที่อเมริกาต่อค่ะ เพราะน้องชายเรียนอยู่ที่นั่น
:b48: ประมาณ 2 ปีที่แกเปลี่ยน เพราะมีปัญหากับคุณพ่อ คือไม่พูดกันเพราะพ่อชอบด่า
แบบไม่มีเหตุผล (อาจเป็นวัยทอง) :b6: อยู่บ้านเดียวกันแต่คนละมุม :b10:
แกก็เงียบลงเวลาอยู่บ้าน กับแม่ก็ปกติ พอดีแกจะมีอาสาวอยู่บ้านติดกัน
เป็นคนที่มีธรรมะมากๆ เพราะแกอยู่บ้านคนเดียว ทุกวันหยุดก็จะไปวัด ถือศีลตลอด
ปฏิบัติธรรม เราก็ดูแกเป็นตัวอย่างอยู่ห่างๆน่ะค่ะ อาก็เลยชักชวนหลานไปด้วยกัน
จะได้ไม่เหงา :b5: เราก็ว่าดีเพราะหลานก็จะชอบไหว้พระ ทำบุญ และทำทานมาก
:b23: แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า (ช่วงนี้เค้ารอจบ เราเลยชวนเค้ามาอยู่กับเราที่บ้านน่ะค่ะ)
เค้าเปลี่ยนไปมาก ไม่อยากไปเรียนต่อแล้วตอนนี้
เพราะไปอเมริกากลัวหาที่วัดที่จะทำบุญไม่ได้เหมือนเมืองไทย
ถ้าอยากปล่อยปลา ทำทานบริจาค ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน
กลัวว่าถ้าไม่รีบสั่งสมบุญ ทานแต่ตอนนี้ เกิดบังเอิญตายไป
ถ้าต้องเกิดใหม่กลัวเกิดมาแล้วลำบาก ไม่สบายเหมือนตอนนี้
:b53: เราก็สอนเค้านะว่า อายุเค้ายังน้องไปเรียนสัก 5 ปี
แล้วกลับมาก็ยังมีเวลาปฏิบัติอีกนาน ช่วงเรียนก็สวดมนต์ ปฏิบัติศีล 5 ให้ตลอดก็ได้บุญ
:b48: เรื่องนี้หลานยังไม่ได้บอกแม่ เพราะแม่ต้องไม่ยอมที่จะไม่ไปเรียน
เราเลยแอบเล่าให้พี่สาวฟัง เค้าก็กลุ้มใจมาก
เพราะช่วงหลังหลานสาวจะไปกับอา และอาก็จะเล่าเรื่องบาปบุญต่าง
การปฏิบัติต่างๆ ซึ่งหลานจะเชื่อมาๆเลยค่ะตอนนี้
แกจะนับถือพระอาจารย์ตั๋นมากๆ เดี๋ยวเสาร์หน้าแกก็จะไปกราบพระอาจารย์อีก
:b48: ส่วนพี่สาวเราก็จะเหมือนเราน่ะค่ะ สวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติศีล5
ยอมรับในสามีที่เปลี่ยนไป ใจเย็น ไม่มีปากเสียงกับใคร
:b48: เราชอบนะที่หลานเราเป็นเด็กดี รู้จักเข้าวัด ใจบุญมากๆ พูดเพราะ
แต่เราว่าเค้ายังไม่ถึงวัยขนาดที่ จะปฏิบัติธรรมมากขนาดอาเค้า
เราว่าถ้าตอนนี้เค้าน่าที่จะเรียนต่อตามความคิดเดิม
เค้าเป็นเด็กที่เกิดมามีบุญเก่าอยู่แล้ว ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ สติปัญญา
แต่ตอนนี้เค้าเริ่มปิดตัวเอง ไม่สนใจที่จะมีแฟน
:b48: ตอนนี้เค้าก็มาติดกับเรามากๆ เลย เพราะตอนี้เราก็ว่างๆ
ก็ชวนกันไปไหว้พระ ทำบุญ ทำทาน เกือบทุกวัน
เมื่อวานเราไปรับลูกคนเล็กที่นครปฐม ก็พาเค้าไปไหว้พระที่วัดไร่ขิง
เค้าชอบมากๆเลยศุกร์หน้าก็ให้เราพาไปอีก
:b6: :b6: เราเล่ามาให้ละเอียด เพราะอยากขอคำแนะนำมากๆ เลยค่ะ
ว่าเราควรจะพูดกับเค้าอย่างไรดี ที่จะให้เค้ากลับไปเรียนตามเดิม
หรือควรจะปล่อยเค้าไปแบบนี้ หางานทำเพราะเค้าก็อ้างว่าอยากลองทำงาน 2-3 ปี
แต่เรารู้ว่าถ้าทำงานแล้วก็คงจะเหมือนอาเค้า ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ แต่ยังไม่ใช่เวลานี้
รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ เพราะเค้าต้องเริ่มหามหาลัยตอนนี้
สมัครปลายปีนี้ และ กลางปีหน้าก็ไปเรียน
เค้าจะเชื่อเรานะ เพราะเราเลี้ยงเค้ามาตั้งแต่เล็กเหมือนลูกเราคนหนึ่งเลยค่ะ
เราไม่อยากแนะนำเค้าผิดทาง เพราะมันเป็นอนาคตของเด็กใสๆ คนหนึ่งน่ะค่ะ :b8: :b8:
เดิมเค้าตั้งใจไป เพราะน้องชายได้ทุนเรียนคอยอยู่ที่โน่นแล้ว เป็นเด็กที่เรียนเก่งด้วยค่ะ :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 10:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แหม ผมมันก็น้ำท่วมปาก :b21:
จะไปแนะนำเขากลัวของจะเข้าตัว
เพราะตัวเองทำไม่ได้ เที่ยวไปแนะเขา :b32:

:b22: (ไม่ใช่ท่วมปากแบบไอคอนนี้นะ อันนี้มันน้ำลายหก)


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 11:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่อยากบอกว่า เรียนต่อดี หรือไม่เรียนต่อดี

แต่อยากให้พิจารณาด้วยใจเป็นกลาง จาก..อยากให้เป็น..กับ..ไม่อยากให้เป็น

ถามว่า..
ทำไม่จึงอยากให้เขาเรียนต่อ....ใช่เพราะว่า...(เราคิดว่า)..จบแล้วจะมีอาชีพดี..จะสุขสบาย..ใช่มัย?

ตรงนี้แหละครับที่เป็นปัญหา...เพราะเชื่อว่า...จบสูง..จะสุขสบายกว่า..จบไม่สูง..ใช่มัย? แล้วมันจริงมัย? ลองพิจารณาดู..

เราต้องรู้จักกับความสุขก่อน..หากไม่รู้จักความสุขว่าเป็นอย่างไร..มีลักษณะอย่างไร..แล้วเราจะพบความสุขได้หรือ..เหมือนจะหาเพชร..ก็ต้องรู้ว่าเพชร มีสีสรรวรรณะอย่างไร..เมื่อเจอแล้วจะได้รู้ว่าใช่เพชรไหม? ความสุขก็เหมือนกัน

ดูง่าย ๆ คนจบ ดร. ได้รับความสุข หรือมีความสุข..เท่ากันไหม? ไม่เท่ากัน
ทำไมจบเท่ากันจึงมีความสุขไม่เท่ากัน...อะไรทำให้ไม่เท่ากัน..แล้วแน่ใจแล้วหรือว่าเราจะดีกว่าคนอื่นนะ..จะเห็นว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับ.. วุฒิ..ฐานะ..หน้าที่..เลย

ความสุขที่ได้จาก..มีข้าวของ..มีเงินทองเยอะ (ลาภ)..ความสุขที่ได้จาก..ตำแหน่งหน้าที่การงาน (ยศ) ความสุขที่ได้จาก..เป็นผู้ที่ได้รับการนับหน้าถือตา..(สรรเสริฐ)..วันดีคืนดี เงินหาย ถูกไล่ออก..คนรอบข้างตำนิ..จากสุขอยู่ก็แปรเป็นทุกข์ทันที...ที่อุตส่าลำบากลำบนเคร่งเครียดมาตั้ง 20 ปี..เป็นอันสูญสลาย...แล้วนี้จะเป็นวิธีหาความสุขที่ถูกต้องหรือ?

ความสุขที่ไม่แปรเปลี่ยนเกิดจากใจที่สงบ นะครับ..จึงเป็นสุขแท้..หากใจสงบแล้ว จะอยู่บ้านอยู่วัด..ก็สุข จะเอกจะโท..ก็สุข

ดังนั้นเราควรหาวิธีทำให้ใจสงบ..(วิธีมีอยู่แล้ว..ศึกษา ปฏิบัติเอา) ..ได้มากเท่าไรก็สุขมากเท่านั้น..ได้เร็วเท่าไรก็สุขเร็วเท่านั้น..

ที่กล่าวมานี้ไม่ได้มีเจตนาอยากให้ไม่เรียนต่อนะครับ...แต่เจตนาให้ผู้เป็นน้า..เป็นอา..พิจารณา..เผื่อจะปรับจิตปรับใจ..ให้ตัวเองไม่ทุกข์..จากการที่หลานเลือกไม่เรียนหรือเลือกเรียน

เขาเลือกเรียนต่อ..ก็ดี..สำหรับเขา
เขาไม่เลือกเรียนต่อ..ก็ให้ถือว่า..ดีสำหรับเขา

ขอให้เจริญในธรรมครับ


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สวสดีค่ะคุณ 0.wan ตามอ่าน กท.และ คห. อยู่เสมอค่ะ อนุโมทนาด้วย

อนุโมทนากับคุณ กบนอกกะลา ค่ะ

แมวขาวฯ ก็จบ ป.โท สาขาวิทยาศาสตร์ (วท.ม.) มาหลายปีแล้ว ว่าจะเรียนต่อ เอก แต่ ท่าน ดร.ส่วนใหญ่ก็มาทางธรรมกัน มาจบลงที่พระพุทธศาสนา ที่การเรียนรู้ตัวเอง ศึกษาค้นคว้าที่ภายในตัวเอง ท่านว่าหลงเรียนเสียมากมาย ลืมเรียนรู้ตัวเอง จิตตัวเอง มีพระพุทธองค์เป็นบรมครู

และความสนใจทาง ปรัชญา มีมาแต่เด็กๆ พยายามศึกษา หาสิ่งที่ ใช่ มานาน พอมาจับพระอภิธรรม แล้ว มันใช่เลย (ก่อนหน้านี้ อ่านพระไตรปิฎก แค่ วินัย และสุตตันต)

ชีวิตเป็นของเขาค่ะ สิ่งที่เขาคิด แมวฯ เห็นด้วย นะ อย่าประมาทว่าอายุยังน้อย วัยใสๆ อะไรก็ไม่แน่นอน เพราะถ้าวันนึงหมดโอกาส คุณจะเสียใจ

คนที่มีความพร้อมแล้ว ควรเร่งเดินทาง นิพพานต้องชาตินี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ อายุมากแล้วมาปฏิบัติ ไม่ทันกาล

สามเณร อรหันต์ มีมาในพระพุทธศาสนา มากมายแล้วค่ะ

จะเรียนจบ ดร. เป็นจนถึง ศาสตราจารย์ อะไรๆ ก็แค่วิชา หากินเลี้ยงชีพ ทางโลกๆ
(แล้วก็ทำให้เราต้องมาดิ้นรนขวนขวายสู้กับตัวตน ไปไม่รู้จักจบ กี่ชาติต่อกี่ชาติ พอเผลอก็สร้างบาปกรรม เพิ่มโทษทุกข์ให้แก่ตัวเข้าอีก...)
เป็นแค่หน้าตา ได้รับเกียรติยศ ชื่อเสียง สรรเสริญ สุข ทางโลกีย์ ซึ่งเป็นบ่อล่อหลอกของกิเลสทั้งหลาย ให้เราๆ ท่านๆ ต้องมาติดจมอยู่ ผู้มีปัญญาเห็นโทษในโลกธรรมทั้ง ๘ เห็นทุกข์ในวัฏฏสงสาร
จึงแสวงหาทางหลุดพ้น

ก็เมื่อหลานที่เรารัก มีความพร้อมยิ่ง และมีกำลังสติปัญญา เห็นทางนั้นแล้ว ปรารถนาจะเดินไป

ไม่แน่นะคะคุณ 0.wan อาจได้พบ โสดาบัน....หรือ... อยู่ใกล้ๆ ในไม่ช้า

อนุโมทนากับคุณหลานด้วยค่ะ
:b43: :b43: :b43:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
แหม ผมมันก็น้ำท่วมปาก :b21:
จะไปแนะนำเขากลัวของจะเข้าตัว
เพราะตัวเองทำไม่ได้ เที่ยวไปแนะเขา :b32:

:b22: (ไม่ใช่ท่วมปากแบบไอคอนนี้นะ อันนี้มันน้ำลายหก)

:b12: คุณชาติสยาม ปรกติคุณก็แนะนำเราอยู่ ครั้งนี้อยากให้แนะนำหน่อยน่ะค่ะ :b13:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณกบนอกกะลา และคุณน้องแมว :b32: ที่เราลังเล เพราะ ไม่รู้ว่าหลานชอบจริงๆ
หรือเพราะเค้าทำตามคุณอาน่ะค่ะ เค้าจะทำบุญมากๆเลยค่ะ มีเงินเท่าไหร่ขอทำบุญ ทำทานหมด
เราก็จะอธิบายว่า ทำพอประมาณอย่าถึงขนาดให้ตัวเองต้องเดือดร้อน
:b53: เค้าก็ฟังเรานะคะ แต่พอไปด้วยกันเราต้องคอยสะกิดว่าพอแล้ว :b32:
:b48: อย่างที่คุณบอกก็เป็นเหตุผลหนึ่งของเราน่ะค่ะ คือยังตัดกิเลสไม่ได้ ก็มีความรู้สึกว่า
อยากให้เค้าเรียนสูงๆ เพื่ออนาคตที่ดีในภายหน้า ห่วงกลัวเค้าจะลำบาก
ยิ่งนับวันสังคมเปลี่ยนไป มีแต่การแข่งขัน ใครเก่งกว่ามีโอกาสกว่า

:b48: แต่สำหรับเราตอนนี้หยุดแข่งขัน หันมาทางนี้มากขึ้นก็มีความรู้สึกว่าดีมากๆ
และเหมาะกับวัยเรา เลยอาจลืมนึกไปแบบที่คุณแมวว่าน่ะค่ะ เค้าอาจจะมีความสุขตรงนี้จริง
เพราะเรายังไม่เจอเด็กวัยนี้ เป็นแบบเค้าเลยน่ะค่ะ
:b48: ตอนนี้เค้าอยู่กับเราก็จะลองสังเกตุดูอีกครั้งแล้วจะมาเล่าต่อนะคะ
ขอบคุณนะคะ นี่แค่หลานนะคะ ถ้าลูกเราจะเป็นยังไงเนี่ย :b10: :b10: :b10: :b10:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
สาธุทั้งเจ้าของ, หลาน และคนตอบกระทู้ทุกๆท่านครับ

เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกยุค แม้ครั้งพุทธกาล ที่เกิดความขัดแย้งในแนวคิดเพื่อการดำเนินชีวิตระหว่างลูกกับพ่อแม่...โดยเฉพาะลูกที่สั่งสมบุญมาดี มีปัจจัยที่จะส่งเขาให้เข้าหาวิถีชีวิตทางธรรม

เมื่อพ่อแม่แลญาติมิตรยังไม่เห็นความสำคัญของธรรมถึงระดับหนึ่ง ย่อมเพ่งเล็งที่จะให้ลูกหลานมุ่งหน้าหาความเจริญทางโลกเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อน ส่วนทางธรรมเป็นเรื่องที่"พึงรอไว้ก่อน"ที่จริงก็เป็นเรื่องปกติ เพราะใครๆย่อมไม่อาจทราบชัดว่าภายหน้าจะเป็นอย่างไร จึงมีความวิตกห่วงใยอันมีรากฐานมาจากความรัก ความเมตตากรุณานั่นเอง ..แต่นอกเหนือจากความรักเมตตาลูกหลานแล้ว ย่อมหลีกไม่พ้นกิเลสตัณหาอันมีประจำในใจของปุถุชนเพราะคิดเห็นว่าสิ่งที่โลกยกย่องนับถือว่าเป็นสิ่งอันเลิศ มีลาภ ยศสรรเสริญ สักการะเป็นอาทิจึงมุ่งหน้าไปเพื่อการนี้ด้วยคิดว่าเป็นสาระของชีวิต..

ทีนี้มาดูหลานบ้างนะครับ...

ผมเห็นด้วยจากเรื่องราวที่คุณ O.wanเล่ามา..และเห็นด้วยจาก
ที่คุณ O.wanสรุปไว้ว่า..
อ้างคำพูด:
เค้าเป็นเด็กที่เกิดมามีบุญเก่าอยู่แล้ว ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ สติปัญญา


1. คนอายุ๒๓ปีนี้ ในประเทศหนึ่งในยุโรปที่ผมอยู่นี้ิถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วมีวุฒิภาวะมากพอที่จะตัดสินใจทำอะไรๆได้ด้วยตนเองด้วยความรับผิดชอบเต็มที่ครับ ไม่ใช่เด็กๆที่พ่อแม่ต้องตัดสินใจให้หรือสั่งให้ทำอะไรๆได้ตามอำนาจพอใจของตน ถึงกับมีกฏหมายลูกสามารถฟ้องร้องพ่อแม่ได้หากถูกก้าวก่ายเกินรับ...นี่เป็นข้อที่ยกมาเพื่อเตือนสติพ่อแม่ในประเทศเราที่เลี้ยงลูกไม่โตสักที แต่มิใช่ข้อห้ามปรามว่ามิให้แนะนำประโยชน์แก่ลูกๆนะครับ หากล่วงเกินก่อความไม่สบายใจขัดเคือง ผมกราบขออภัยด้วยครับ :b8:

2.
อ้างคำพูด:
แกก็เงียบลงเวลาอยู่บ้าน กับแม่ก็ปกติ พอดีแกจะมีอาสาวอยู่บ้านติดกัน
เป็นคนที่มีธรรมะมากๆ เพราะแกอยู่บ้านคนเดียว ทุกวันหยุดก็จะไปวัด ถือศีลตลอด
ปฏิบัติธรรม เราก็ดูแกเป็นตัวอย่างอยู่ห่างๆน่ะค่ะ อาก็เลยชักชวนหลานไปด้วยกัน
จะได้ไม่เหงา :b5: เราก็ว่าดีเพราะหลานก็จะชอบไหว้พระ ทำบุญ และทำทานมาก


นี่ไม่ใช่วิสัยของคนที่ไม่มีบุญบารมีมาก่อนแน่ๆ เพราะคนมีธาตุเช่นไร ย่อมดึงดูดหรือโน้มเีอียงที่จะไปหาธาตุหรือสิ่งนั้น เพราะทำเหตุมาดี ปัจจัยส่งผลมาให้มีญาติที่มีธรรมะจึงมีโอกาสเจริญบุญบารมีเพิ่ม..

3.
อ้างคำพูด:
เค้าเปลี่ยนไปมาก ไม่อยากไปเรียนต่อแล้วตอนนี้
เพราะไปอเมริกากลัวหาที่วัดที่จะทำบุญไม่ได้เหมือนเมืองไทย
ถ้าอยากปล่อยปลา ทำทานบริจาค ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน
กลัวว่าถ้าไม่รีบสั่งสมบุญ ทานแต่ตอนนี้ เกิดบังเอิญตายไป
ถ้าต้องเกิดใหม่กลัวเกิดมาแล้วลำบาก ไม่สบายเหมือนตอนนี้


เมื่อได้กำลังปัญญาทางธรรมเพิ่มขึ้น ความคิดอ่านเช่นนี้ย่อมตามมา เขาจะคิดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาดหากยังเห็นโลกเป็นสิ่งน่าบันเทิงทุกที่ อุปนิสสัยแห่งการที่เคยเจริญอนิจจสัญญา/มรณานุสติ ปรากฏเช่นนี้ เขาย่อมไม่ประมาทว่าความตายยังไม่มา ..จึงคิดแต่จะทำประโยชน์ตนให้มากในชาตินี้ น่าอนุโมทนาครับและน่าถือเป็นตัวอย่างครับ..

4.
อ้างคำพูด:
แต่ตอนนี้เค้าเริ่มปิดตัวเอง ไม่สนใจที่จะมีแฟน

นี่เป็นข้อชัดเจนที่แสดงอาการทวนกระแสโลกได้แม้ในวัยที่สามารถสนุกสุดเหวี่ยงด้วยตัณหาราคะ มีจำนวนน้อยมากที่สามารถอยู่เหนืออิทธิพลทางกามราคะที่ซัดสาดมาโดยรอบตัวทั้งทางสื่อและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน..

5.
อ้างคำพูด:
เพราะช่วงหลังหลานสาวจะไปกับอา และอาก็จะเล่าเรื่องบาปบุญต่าง
การปฏิบัติต่างๆ ซึ่งหลานจะเชื่อมาๆเลยค่ะตอนนี้
แกจะนับถือพระอาจารย์ตั๋นมากๆ เดี๋ยวเสาร์หน้าแกก็จะไปกราบพระอาจารย์อีก


ผู้ที่มีบุญขนาดได้ไปกราบพระอาจารย์ตั๋นนั้น นับว่าไม่ธรรมดามากครับ ขอแนะนำคุณ O.wanให้หาโอกาสไปบ้าง บางทีจะได้อนิจจสัญญาอย่างหลานสาวบ้างครับ..(แล้วแผ่กุศลให้ผมด้วยนะครับ :b8: :b12: )

6.
อ้างคำพูด:
แต่เรารู้ว่าถ้าทำงานแล้วก็คงจะเหมือนอาเค้า ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ แต่ยังไม่ใช่เวลานี้


อะไรทำให้คุณO.wanคิดว่า แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ครับ? ตัวหลานเองยังทราบเลยว่าคนเราอาจตายได้ตลอดเวลานะครับ สัตว์ทั้งหลายมีความตายตามมาทันทีที่ปฏิสนธินั่นเทียวครับ อย่าประมาท..

7.
อ้างคำพูด:
อย่างที่คุณบอกก็เป็นเหตุผลหนึ่งของเราน่ะค่ะ คือยังตัดกิเลสไม่ได้ ก็มีความรู้สึกว่า
อยากให้เค้าเรียนสูงๆ เพื่ออนาคตที่ดีในภายหน้า ห่วงกลัวเค้าจะลำบาก
ยิ่งนับวันสังคมเปลี่ยนไป มีแต่การแข่งขัน ใครเก่งกว่ามีโอกาสกว่า


ดูสิครับ คุณ O.wanทราบดีว่า"โลก"เลวร้ายลงจึงกล่าวเช่นนี้ คนที่จะอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุขนั้น คือคนที่มีธรรมะคุ้มครองเท่านั้นครับ คนที่ยิ่งแข่งกันมากยิ่งเก่งกว่าแต่ขาดเกราะคือธรรมะ ที่สุดคือความกดดันหาทางไม่เจอครับ ..

ที่ยกมาทั้งหมดเพียงเพื่อเป็นแนวคิดแก่คุณO.wanเพื่อสอบทวนว่าจุดใดใครอยู่ที่ใหน ผมคงไม่มีญาณหรือสิทธิอันใดที่จะเข้าไปชี้แนะแนวทางเพื่อตัดสินอะไรๆให้ใครดำเนินชีวิต เพราะย่อมเป็นกรรมอันมีผลแก่ตนเองในที่สุด แต่จะสรุปให้ว่า เราทุกคนไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงชีวิตคนอื่นด้วยตัณหามานะทิฏฐิอันเป็นบาป แต่พึงให้เจ้าของชีวิตนั้น ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเขาเอง เพราะเขาเท่านั้นมีกรรมเป็นของตน เมื่อเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เราย่อมไม่อาจเลี่ยงบุญบาปได้ เราคิดว่านี่เป็นบุญแต่ความจริงสิ่งนั้นอาจเป็นบาปได้ ข้อนี้พึงสังวรณ์ด้วย แม้ทำไปเพราะคิดว่าหวังดีก็ตาม แต่นั่นอาจเป็นสิ่งเสียหายร้ายแรงในอีกมากชาติ จะคุ้มค่าใหม?? อีกอย่างหนึ่งที่คุณO.Wanจะแนะนำหลานได้คือให้เขาน้อมเอาบุญมาเป็นฐาน แล้วตั้งอธิษฐานว่าหากมีเหตุ ขอให้บุญนั้นจัดสรรนำพาตนไปสู่วิถีชีวิตที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์เกื้อกูลตนและบริวารให้เป็นสุขโดยทั่วกันแม้ต้องดำเนินชีวิตแบบโลกก็พึงเอื้อให้สามารถเจริญบุญกุศลดังใจปรารถนาทุกประการ..นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ครับ และคนเราเมื่อมีบุญเเล้วก็เหมือนมีเงิน ปรารภจะทำอะไร ย่อมสามารถทำได้ตามใจปรารถนา

ขออนุโมทนาในเมตตาจิตของคุณ O.wanครับ

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นท่าน -dd- มาตอบกระทู้ทีไร :b1:
รู้สึกอุ่นใจ อย่างบอกไม่ถูกครับ สาธุ :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณคุณ dd มากๆนะคะ ตอบได้เนี๊ยบมากๆค่ะ :b16:
เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกยุค แม้ครั้งพุทธกาล ที่เกิดความขัดแย้งในแนวคิดเพื่อการดำเนินชีวิตระหว่างลูกกับพ่อแม่...โดยเฉพาะลูกที่สั่งสมบุญมาดี มีปัจจัยที่จะส่งเขาให้เข้าหาวิถีชีวิตทางธรรม

:b48: เมื่อพ่อแม่แลญาติมิตรยังไม่เห็นความสำคัญของธรรมถึงระดับหนึ่ง ย่อมเพ่งเล็งที่จะให้ลูกหลานมุ่งหน้าหาความเจริญทางโลกเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อน ส่วนทางธรรมเป็นเรื่องที่"พึงรอไว้ก่อน"ที่จริงก็เป็นเรื่องปกติ เพราะใครๆย่อมไม่อาจทราบชัดว่าภายหน้าจะเป็นอย่างไร จึงมีความวิตกห่วงใยอันมีรากฐานมาจากความรัก ความเมตตากรุณานั่นเอง ..แต่นอกเหนือจากความรักเมตตาลูกหลานแล้ว ย่อมหลีกไม่พ้นกิเลสตัณหาอันมีประจำในใจของปุถุชนเพราะคิดเห็นว่าสิ่งที่โลกยกย่องนับถือว่าเป็นสิ่งอันเลิศ มีลาภ ยศสรรเสริญ สักการะเป็นอาทิจึงมุ่งหน้าไปเพื่อการนี้ด้วยคิดว่าเป็นสาระของชีวิต..
ข้อความนี้คงจะเป็นตัวเราแน่ๆค่ะ
:b48: อะไรทำให้คุณO.wanคิดว่า แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ครับ? ตัวหลานเองยังทราบเลยว่าคนเราอาจตายได้ตลอดเวลานะครับ สัตว์ทั้งหลายมีความตายตามมาทันทีที่ปฏิสนธินั่นเทียวครับ อย่าประมาท..
ก็เป็นเพราะข้อความข้างบนน่ะค่ะ
:b48: ดูสิครับ คุณ O.wanทราบดีว่า"โลก"เลวร้ายลงจึงกล่าวเช่นนี้ คนที่จะอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุขนั้น คือคนที่มีธรรมะคุ้มครองเท่านั้นครับ คนที่ยิ่งแข่งกันมากยิ่งเก่งกว่าแต่ขาดเกราะคือธรรมะ ที่สุดคือความกดดันหาทางไม่เจอครับ ..

ที่ยกมาทั้งหมดเพียงเพื่อเป็นแนวคิดแก่คุณO.wanเพื่อสอบทวนว่าจุดใดใครอยู่ที่ใหน ผมคงไม่มีญาณหรือสิทธิอันใดที่จะเข้าไปชี้แนะแนวทางเพื่อตัดสินอะไรๆให้ใครดำเนินชีวิต เพราะย่อมเป็นกรรมอันมีผลแก่ตนเองในที่สุด แต่จะสรุปให้ว่า เราทุกคนไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงชีวิตคนอื่นด้วยตัณหามานะทิฏฐิอันเป็นบาป แต่พึงให้เจ้าของชีวิตนั้น ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเขาเอง เพราะเขาเท่านั้นมีกรรมเป็นของตน เมื่อเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เราย่อมไม่อาจเลี่ยงบุญบาปได้ เราคิดว่านี่เป็นบุญแต่ความจริงสิ่งนั้นอาจเป็นบาปได้ ข้อนี้พึงสังวรณ์ด้วย แม้ทำไปเพราะคิดว่าหวังดีก็ตาม แต่นั่นอาจเป็นสิ่งเสียหายร้ายแรงในอีกมากชาติ จะคุ้มค่าใหม?? อีกอย่างหนึ่งที่คุณO.Wanจะแนะนำหลานได้คือให้เขาน้อมเอาบุญมาเป็นฐาน แล้วตั้งอธิษฐานว่าหากมีเหตุ ขอให้บุญนั้นจัดสรรนำพาตนไปสู่วิถีชีวิตที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์เกื้อกูลตนและบริวารให้เป็นสุขโดยทั่วกันแม้ต้องดำเนินชีวิตแบบโลกก็พึงเอื้อให้สามารถเจริญบุญกุศลดังใจปรารถนาทุกประการ..นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ครับ และคนเราเมื่อมีบุญเเล้วก็เหมือนมีเงิน ปรารภจะทำอะไร ย่อมสามารถทำได้ตามใจปรารถนา

ขออนุโมทนาในเมตตาจิตของคุณ O.wanครับ

:b48: ได้ข้อคิดมากเลยค่ะคุณdd เราเข้ามาศึกษาตรงนี้ ก็เข้าใจมากขึ้นค่ะในคำแนะนำ
เราก็คิดนะคะว่าเค้ามีบุญเก่าสั่งสมมา ถึงได้มาถึงจุดนี้ได้

:b48: แต่นึกไปก็ยังคงต้องเจออีกหลายด่านน่ะค่ะ ไหนจะพ่อ แม่เค้า เพราะเค้าก็เป็นปุถุชนธรรมดา
ที่อยากเห็นลูกมีอนาคตที่ดีนี่แค่รู้จากเรา ลูกยังไม่ได้บอกแม่เลย
:b6:ก็ดูจะยากแล้วค่ะ
แต่เราก็รู้สึกสบายใจขึ้นน่ะค่ะ อย่างน้อยก็มีเราที่เค้าไว้ใจให้เป็นที่ปรึกษา
:b48: คุณdd อยู่ที่ยุโรปหรือคะ เพิ่งรู้นะคะเนี่ย คุยกันเหมือนคุณอยู่แถวๆนี้เลยค่ะ :b32:
:b48: จะหาเวลาไปกราบพระอาจารย์ตั๋นกับหลาน แล้วจะกราบท่านเผื่อคุณdd นะคะ :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ธรรมะสวัสดียามค่ำค่ะ คุณ O. wan และทุกท่าน :b8:

เข้ามาติดตามอ่านอยู่
และขออนุโมทนาสาธุการ
กับความเห็นที่เป็นประโยชน์ของทุกท่านมาด้วยนะคะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งของ คุณ dd ค่ะ

และขออนุญาตแสดงความเห็นเพิ่มเติมไว้
ในฐานะผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์การตัดสินใจเช่นนี้มาแล้วเช่นกัน
(ใกล้เคียงกับคุณแมวขาวมณีเลยค่ะ) :b12:
ซึ่งหวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับ คุณ O.wan บ้างตามสมควรนะคะ

• การเรียนในระดับปริญญาเอกนั้น
โดยแท้จริงนั้น มีจุดประสงค์ในการศึกษา
เพื่อ ให้มีความรู้ ความสามารถ
ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เฉพาะสาขา
เข้าทำนองว่าเป็น specialist นั่นเองค่ะ

ที่สำคัญเมื่อเรียนจบแล้ว
มักต้องใช้วิชาความรู้ ความสามารถที่ตนศึกษามา
ทำงานวิจัยเพื่อค้นคว้าหาองค์ความรู้ใหม่
และหรือ ถ่ายทอดวิชาความถนัดของตนให้กับนิสิตนักศึกษา


ดังนั้น จึงค่อนข้างเป็นความคาดหวัง และความจำเป็น
สำหรับผู้ที่คิดจะประกอบอาชีพเป็นครูบาอาจารย์ในวงการศึกษา
มากกว่าในแวดวงอาชีพอื่น

แต่หากมิได้อยู่ในวงการศึกษาแล้ว
ความคาดหวังและความจำเป็นในการศึกษาต่อจนถึงระดับนี้
ก็จะลดความสำคัญลงไป
:b6:

อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทยก็ดูเหมือนจะให้คุณค่า
และตั้งความหวังคลาดเคลื่อนไปจากความจริงกับคุณวุฒินี้กันมากว่า...


ผู้ที่จบปริญญาเอกนั้น
คือผู้ที่เจนจบทุกเรื่องทางโลก เก่งกาจเหนือมนุษย์สามัญ
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว “ดร.” คือผู้เชี่ยวชาญในเชิงลึกเฉพาะทางเท่านั้น

แต่เนื่องจากต้องใช้สติปัญญา ความสามารถ ความวิริยะอุตสาหะมากกว่าระดับอื่น
ดังนั้นจึงได้รับ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง อันเป็นโลกธรรมที่ไม่เที่ยง
เป็นรางวัลแห่งความเพียรสูงกว่าผู้ที่มีคุณวุฒิต่ำกว่า เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ในขณะเดียวกันเมื่อสังคมคาดหวังกับศักยภาพ และความสามารถที่เรามีอยู่
การใช้ชีวิต ความรู้ ความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์กับสังคม
จึงย่อมมีแรงกดดันมากกว่าบุคคลธรรมดาเป็นเงาตามตัวเช่นกัน

ดังนั้น ต้องถามตนเองที่เป็นผู้เรียนว่า มีความปรารถนา
และความตั้งใจที่จะศึกษาไปเพื่อสิ่งใด
เพื่อนำความรู้ความสามารถของตน
มาใช้เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองหรือไม่

หรือเป็นไปเพื่อสนองตอบต่อความต้องการด้านอื่นๆ ของตน คนใกล้ตัว
หรือเพราะค่านิยมทางสังคมมากกว่า


• มีผู้รู้ท่านนึง มีอาชีพอันเป็นนักบุญ
ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา
ท่านทำงานประจำอยู่โรงพยาบาล
ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศ

แต่ปัจจุบันท่านกลับมาให้ความสนใจกับพระพุทธศาสนา
ศึกษาพระอภิธรรม และปฏิบัติธรรม
ท่านเคยให้ข้อคิดกับกุหลาบสีชาว่า

ความรู้ทางโลก
แม้เรียนไปอีกหลายภพชาติก็ไม่สามารถเรียนได้จบ
แต่ความรู้ทางธรรม
และการฝึกฝนประพฤติปฏิบัติตนทางธรรม นั้น
หากเรียนและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังจนสุดสายปลายทางนั้น
จะ “รู้หมด... จบเลย”
(หากวาสนาบารมีถึงในชาติภพนี้)
:b13:

แต่หากยังไม่ถึงในชาติภพนี้
ก็จะสั่งสมเป็นพลวปัจจัยให้สืบสานต่อยอดไปได้ในชาติภพต่อไป
แตกต่างจากความรู้ด้านอื่นๆ ที่เป็น "สัญญา"
ซึ่ง “ตายไป...เกิดใหม่...... ลืมหมด”
ต้องเริ่มสะสมกันใหม่อีกครั้ง

:b43: :b43: :b43:

ข้อความที่กล่าวข้างต้นนี้
เป็นเพียง ข้อเท็จจริง และมุมมองส่วนตัวบางประการ
ที่กุหลาบสีชาขอเสนอไว้ให้
เพื่อเป็นแนวทางที่อาจจะเป็นประโยชน์
ต่อการไตร่ตรองของ คุณ O. wan เท่านั้นนะคะ

อย่างไรก็ตาม ก็ควรพิจารณาร่วมไปด้วยว่า
มนุษย์เรานั้น มี "ความปรารถนา เงื่อนไข และเหตุปัจจัย"
เป็นพื้นฐานในชีวิตไม่เหมือนกันทุกคนค่ะ
:b8: :b4:

:b43: :b43: :b43:

ชีวิตที่ประสบความสำเร็จนั้น
คือชีวิตที่มีความสุข มีความภาคภูมิใจ
ในสิ่งที่ตนเองมี ในสิ่งที่ตนเองเป็น...
ที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และแผ่นดินเกิด


มิใช่หรือคะ...?!? :b8: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 03:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4: :b4: :b4: ...แวะมาดูแลลานครับ :b32: :b32:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสต์ เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 04:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กุหลาบสีชา เขียน:
ความรู้ทางโลก
แม้เรียนไปอีกหลายภพชาติก็ไม่สามารถเรียนได้จบ
แต่ความรู้ทางธรรม
และการฝึกฝนประพฤติปฏิบัติตนทางธรรม นั้น
หากเรียนและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังจนสุดสายปลายทางนั้น
จะ “รู้หมด... จบเลย”
(หากวาสนาบารมีถึงในชาติภพนี้)

แต่หากยังไม่ถึงในชาติภพนี้
ก็จะสั่งสมเป็นพลวปัจจัยให้สืบสานต่อยอดไปได้ในชาติภพต่อไป
แตกต่างจากความรู้ด้านอื่นๆ ที่เป็น "สัญญา"
ซึ่ง “ตายไป...เกิดใหม่...... ลืมหมด”
ต้องเริ่มสะสมกันใหม่อีกครั้ง


จะว่าลืมมันก็ใช่อยู่หรอกครับ แต่มันไม่ได้หมดไปจากสัญญา เพราะว่ามันมีการระลึกได้ และที่ว่าต้องเริ่มสะสมกันใหม่นั้นแท้จริงแล้วเป็นการสะสมต่อ....เพราะบุญบารมีที่ทำสำเร็จไว้แล้วนั้นจะไม่มีการสูญหายไปไหนมีแต่จะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆจนเต็มเปี่ยม :b13: :b13: (มิได้คัดค้านนะครับ...แต่มันสะดุดนิดนึงที่ตรงนี้ครับ)

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสต์ เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนมีชีวิตอยู่อย่างมั่นใจ
ชีวิตที่เลิศลำสมบูรณ์
ด้วยการปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า อธิษฐาน 4 ประการ
1.ปัญญา ใช้ปัญญา คือดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ทำกิจกรรมต่างๆด้วยความคิด เมื่อประสบปัญหาใดๆ ก็ไม่วู่วามตามอารมณ์หรือหลงใหลไปตามสิ่งที่ยั่วยวน หยั่งเห็นเหตุผล เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง

2.สัจจะ รักษาสัจจะ คือสงวนรัษาดำรงตนมั่นในความจริงที่รู้ชัดเห็นชัดด้วยปัญญา เริ่มแต่จริงวาจา จริงในหลักการ จริงในการปฏิบัติ จนถึงจริงปรมัตถ์

3.จาคะ เพิ่พูนจาคะ คือคอยเสริมหรือทวีความเสียสละ ให้เข้มแข็งมีกำลังแรงยิ่งขึ้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันหรือทัดทานตนไว้มิให้ตกไปเป็นทาสของลาภสักการะอันคอยล่อเร้าเย้ายวนให้เกิดความยึดติด ลำพอง และหลุ่มหลงมัวเมา สิ่งใดไม่ถูกต้อง ไม่จริงก็สามารถละได้ทั้งหมด

4. อุปสมะ รู้จักสงบใจ คือรู้จักหาความสุขสงบทางจิตใจ ฝึกตนให้สามารถระงับความมัวหมอง ดับความขัดข้องวุ่นวายอันเกิดจากกิเลสได้ คนที่รู้จักรสแห่งความสุขอันเกิดจากความสงบใจแล้ว ย่อมจะไม่หลงใหลมัวเมาในวัตถุ และ ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นต้นโดยง่าย

ส่วนเรื่องตัดสินใจจะไปเรียนหรือทำอะไรก็แล้วแต่ หนทางไปสู่ความสำเร็จเรียกว่า อิทธิบาท

1.ฉันทะ มีใจรัก คือ พอใจทำสิ่งนั้น
2. วิริยะ พากเพียรทำ คือ ขยันหมั่นประกอบ หมั่นกระทำสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระ ไม่ทอดทิ้ง ไม่ท้อถอย
3.จิตตะ เอาจิตฝักใฝ่ คือ เอาจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย
4.วิมังสา ใช้ปัญญาสอบสวน คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนเกินเลย บกพร่องขัดข้อง โดยรู้จักทดลอง วางแผน :b8:


โพสต์ เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
:b4: :b4: :b4: ...แวะมาดูแลลานครับ :b32: :b32:

:b29: แวะมาดูแลลานอย่างเดียวหรือคะ :b10:
ปรกติคุณnatdanai ก็จะเป็นผู้รู้คนหนึ่ง อยากขอความคิดเห็นด้วยน่ะค่ะ :b10:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสต์ เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณกุหลาบสีชา ค่ะ
:b48: ขอบคุณสำหรับข้อคิดที่แนะนำค่ะ
คำตอบที่อ่านมาทำให้ตัวเองได้คิดค่ะ
บางทีความคิดของเราคนเดียว ก็เหมือนอยู่ในโลกแคบๆ
ที่ยังติดอยู่ในกิเลส ตัณหาน่ะค่ะ
:b48: ลืมคิดไปว่าความจริงเป็นตัวเค้า ของเค้า
เคยเปิดรูปที่คุณโพสต์มาในงาน วันวิสาขบูชาให้เค้าดูนะคะ
เค้าตื่นเต้นมาก ไม่เคยเห็น ถามจนไม่รู้จะตอบอะไร(เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ :b27:)
สรุปว่า น้าพาหนูไปได้ไม๊ หนูอยากไป :b5: :b5:
:b48: ตอนนี้เลยคิดว่า ผู้ใหญ่อย่างพวกเรา คงต้องมานั่งทบทวนกันถึงเหตุและผลอีกครั้งค่ะ :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร