วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 03:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 187 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




picpost_77c6b.jpg
picpost_77c6b.jpg [ 24.48 KiB | เปิดดู 4300 ครั้ง ]
บัวศกล เขียน:
คิดเองเออเองเก่งจังแฮะ

ยกแรก หาว่าชาวบ้านคิดลบ
ยกสองหาว่า มันไปกระทบใจชาวบ้าน

มันแค่มากระทบตา ไม่เห็นจำเป็นว่าต้องถูกถ้อยคำหน่อมแน้มมากระทบใจเลยนี่จ๊ะ

โอ้หนอ........มองโลกและคนทั่วไปดีได้หมด
แต่พอเป็นบัวศกล ก็มองซะหมดดี

สาธุ สาธุ

:b6: :b6: :b6:





โอ๊ะโอ่ว .... มังกือคนดี :b32:

อ่ะ .. รูปนี้ยกให้ค่ะ :b28:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 12 ก.ค. 2009, 14:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว ไปยังไง มายังไง
ไหงพากันกลายมาเป็นอย่างงี้กันไปแล้วล่ะคับนี่

:b5: :b5: :b5:

ฝุ่นตลบ มึนตรึ๊บ :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย่ว่าคนขวางโลกรู้อะไรลึกซึ้ง เช่นรู้ว่าผู้นั้นผู้นี้หลุดพ้นแล้ว นั่นแสดงว่า จิตใจของผู้เห็นเช่นนั้น จะต้องอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่า ถูกไหมครับ

ส่วนผู้ที่มีจิตใจต่ำกว่าจะไม่รู้ได้ กรัชกายกระมั่งที่เป็นไส้เดือนกิ้งกือ :b1:



คุณกรัชกายงับ บางส่วนของคุณก็ตรงนะงับ

แต่บางส่วนก็ไล่คุณขวางโลกมากไปนิด

ที่คุณขวางโลกพูดก็มีส่วนถูกนะงับ

แต่ก็มีผิด

เอาเวลาไปตามรู้กายใจดีกว่างับ






ที่เรากล่าวกันว่าถูกหรือผิดนั้น มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดของเรา หาใช่ถูกผิดตามความเป็นจริงไม่

คุณขงเบ้งพูดถูกนะ ( อันนี้ในความคิดของเรา ) ที่คุณพูดว่า เอาเวลาไปตามรู้กายใจดีกว่างับ

เอ่อ ... ถามนิดนึง ...แล้วนี่ทำไมคุณขงเบ้งเข้ามาที่นี่ทำไมล่ะคะ ...

ทำไมคุณไม่ไปตามรู้กายใจของตัวเอง ... เสียเวลาแย่เลย ...

พูดจริงๆนะคะเนี่ย ไม่ได้พูดเล่น :b16:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อ้าว ไปยังไง มายังไง
ไหงพากันกลายมาเป็นอย่างงี้กันไปแล้วล่ะคับนี่

:b5: :b5: :b5:

ฝุ่นตลบ มึนตรึ๊บ :b34:





ไล่อ่านตั้งแต่ต้นสิคะ จะได้หายสงสัย ไม่ต้องไปถามใครๆ :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สงสารผู้ตั้งกระทู้จังค่ะ เพราะมาตั้งกระทู้ในเวปนี้..........เวปที่ไม่ค่อยได้ประโยชน์ในการศึกษา คือจะบอกว่าเท่าที่เข้ามาอ่านไม่ค่อยได้ประโยชน์และได้รับความรู้ในการเรียนรู้พระศาสนามากนัก มีแต่ตอบกันด้วย เปลือก กิ่งใบ กระพี้ ตอบกระทู้กันเลอะเทอะมั่วไปหมด ไม่ค่อยได้หลักความจริงอะไร ตอบกันไปมาด้วยอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ความรู้ของตัวเองที่ได้มา เจ้าบทเจ้ากลอน วาทะแต่งเติม พูดภาษาไทยไม่ชัดเจน เช่นคำว่าครับ ก็เป็น งับ เอารูปภาพที่ล้อเล่นบ้าง สวยงามบ้าง ปรุงแต่งไปทั่วมั่วไปหมด ผู้ที่จะเรียกว่าตัวเองเข้าถึงกระแสนิพพานแล้วคงไม่ทำตัวแบบนี้กันหรอกนะคะ และกระทู้นี้ท่านคนขวางโลกเลิกล้มความตั้งใจที่จะได้คำแนะนำดี ๆ เถอะค่ะ เสียสัญญานเปล่า ๆ ผู้ใดเข้ามาอ่านก็ไม่อยากอ่านแล้วหละ จริงอยู่ธรรมะต้องมีการถกเถียงกัน แต่ต้องเอาความจริงมาพูด ให้ได้ความจริง ๆและถูกต้อง แต่ ....อ่านแล้วไม่เกิดประโยชน์ อะไร ทะเลาะ และเอาชนะกันด้วยความรู้ของตัวเอง ทั้งสิ้น ไม่ยกพุทธพจน์มาเปรียบเทียบกันได้ เสียดายที่เป็นเวปที่ใหญ่ แต่ไม่ได้ประโยชน์สูงสุด.... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่สายเกินไป เขียน:
:b8: สงสารผู้ตั้งกระทู้จังค่ะ เพราะมาตั้งกระทู้ในเวปนี้..........เวปที่ไม่ค่อยได้ประโยชน์ในการศึกษา คือจะบอกว่าเท่าที่เข้ามาอ่านไม่ค่อยได้ประโยชน์และได้รับความรู้ในการเรียนรู้พระศาสนามากนัก มีแต่ตอบกันด้วย เปลือก กิ่งใบ กระพี้ ตอบกระทู้กันเลอะเทอะมั่วไปหมด ไม่ค่อยได้หลักความจริงอะไร ตอบกันไปมาด้วยอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ความรู้ของตัวเองที่ได้มา เจ้าบทเจ้ากลอน วาทะแต่งเติม พูดภาษาไทยไม่ชัดเจน เช่นคำว่าครับ ก็เป็น งับ เอารูปภาพที่ล้อเล่นบ้าง สวยงามบ้าง ปรุงแต่งไปทั่วมั่วไปหมด ผู้ที่จะเรียกว่าตัวเองเข้าถึงกระแสนิพพานแล้วคงไม่ทำตัวแบบนี้กันหรอกนะคะ และกระทู้นี้ท่านคนขวางโลกเลิกล้มความตั้งใจที่จะได้คำแนะนำดี ๆ เถอะค่ะ เสียสัญญานเปล่า ๆ ผู้ใดเข้ามาอ่านก็ไม่อยากอ่านแล้วหละ จริงอยู่ธรรมะต้องมีการถกเถียงกัน แต่ต้องเอาความจริงมาพูด ให้ได้ความจริง ๆและถูกต้อง แต่ ....อ่านแล้วไม่เกิดประโยชน์ อะไร ทะเลาะ และเอาชนะกันด้วยความรู้ของตัวเอง ทั้งสิ้น ไม่ยกพุทธพจน์มาเปรียบเทียบกันได้ เสียดายที่เป็นเวปที่ใหญ่ แต่ไม่ได้ประโยชน์สูงสุด.... :b8:




สวัสดีค่ะคุณคนไม่สายเกินไป :b8:

เท่าๆที่อ่านสิ่งที่คุณแสดงมุมมองมา ขออนุญาติเอ่ยมุมมองของตัวเองหน่อยนะคะ

หวังว่าคงจะไม่มาว่ากล่าวกัน เพราะตัวเรานั้นก็ยังเป็นปถุชนคนธรรมดาๆ

แล้วก็ไม่ใช่บุคคลที่คุณเอ่ยอ้างถึงผู้ที่จะเรียกว่าตัวเองเข้าถึงกระแสนิพพาน

เว็บบอร์ดนี้ เป็นเว็บบอร์ดที่ใจกว้างในเรื่องมุมมองของแต่ละคนค่ะ ไม่มาบังคับกันว่า

จงเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดหรือเธอพูดหรือเขาพูด ...



มีแต่ตอบกันด้วย เปลือก กิ่งใบ กระพี้


แล้วทุกวันนี้เราทุกคนไม่มีเปลือกห่อหุ้มอยู่หรือคะ เราทุกคนต่างก็มีเปลือกทั้งนั้นแหละค่ะ

เพียงแต่เราจะให้ค่าให้ความหมายกับเปลือกที่มองเห็นนั้นว่าอย่างไร ..

คุณคนไม่สายเกินไป เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้ มีความรู้ถึงแก่น ก็น่าจะมาแบ่งปันรู้นั้นๆกับคนอื่นๆบ้าง

ดีกว่ามาแล้วเสียเวลามาแบบที่คุณกำลังพูดๆนะคะ .. :b1:

ตัวเราเองก็จะได้อานิสงส์ไปด้วยที่ว่ารู้ถึงแก่นนั้นรู้ยังไง เพราะไม่ใช่ผู้รู้ค่ะ

ก็มาหาความรู้ในเว็บบอร์ดนี้เหมือนๆกับหลายๆคนที่เข้ามา ...

แล้วก็ได้สิ่งดีๆ ได้พบกัลยาณมิตรดีๆ ส่วนข้อเสียในเว็บบอร์ดนี้บอกตามตรงค่ะ

ยังมองไม่เห็นเลย มองไปมองมาก็เห็นแต่ข้อเสียของตัวเอง

ว่าตัวเองนี้ช่างไม่เอาไหนเสียเลย ความรู้ที่เก็บเกี่ยวไปจากที่นี่ ก็เก็บไปได้น้อยนิดเสียเหลือเกิน

เพราะเป็นคนที่มีความจำไม่ค่อยดี เพราะเหตุนี้ด้วยกระมังคะ เลยไม่รู้จักกับคำว่า " แก่น " :b9:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อันนี้สังเหตุมาพอสมควรแล้วนะคับ
คือว่า ผมว่าคุณ walaiporn ออกจะ sensitive กับ word มากไปนิดนึง

ซึ้งก็ซึ้งง่าย โกรธก็โกรธง่าย

เลยหลายๆครั้งคนพูดเขาพูดแบบ ไม่ค่อยคิด อารามจะหยอกด้วย คุยด้วย
แต่คุณ walaiporn sense ไปหน่อย ..คือคิดมากกว่าคนที่ผลิตคำพูด
แล้วค่อนข้างจะโมโหง่าย

อันนี้มุมมองจากที่ผมมองนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง="คนขวางโลก"
ถ้าบวชแล้วตั้งใจจริง อุทิศชีวิตเพื่อศาสนาจริงๆ อย่างที่กล่าวไว้ตอนจะบวชหนะ ชาวบ้านพร้อมจะอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่แล้ว แต่นี่กลับไม่ทำ ชาวบ้านก็เบื่อหน่าย ไม่สนใจ ไม่นับถือ ไม่ใส่บาตรให้กิน ในที่สุดก็ไม่มีใครอยากบวช เพราะการบวชตามพระพุทธเจ้านั้นมันเป็นของยาก ทำได้ยาก ถ้าพลาดทำไม่ดีมันก็บาปมากกว่าผู้ไม่บวชแน่นอนแล้วใครหละจะเสี่ยง วัดมันก็ร้างแน่นอน(นั่นแสดงว่าคนแถวนั้นเขาพอมีปัญญาอยู่บ้างถึงไม่บวชแบบผิดๆ
พระอรหันต์ก็อยู่ที่บ้านอยู่แล้วจะไปวิ่งหาที่ไหนอีก อย่างดีก็แค่สมมติสงฆ์ ได้แค่สมมติไม่ใช่ของจริง ของจริงหนะอยู่ที่บ้าน


------------------------------------------------------------------------------------------
ผมได้ยินคำว่า ."สมมติสงฆ์" บ่อยมากๆ จากเว็ปนี้ คำว่าสมมติสงฆ์ มีน้ำหนักและความหมายแค่ไหน
ที่ชาวพุทธเราควรจะให้ความสำคัญคงจะตอบยากนะครับ เพราะถ้าจะค้นหา พระสุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ... คนไทยคงจะไม่มีโอกาสได้ทำบุญกว่าค่อนประเทศ ดังนั้นผมตัวอย่างเรื่องยาวมาให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อเป็นอุทธาหรณ์สำหรับกรณี สมมติสงฆ์ นี้
นอกเหนือจากเรื่อง พระจุลปัณถกะ(ท่านผู้เคยปัญญาทึบมาก่อนท่องมนต์แค่สามสี่ประโยคเท่าไรๆก็ท่องไม่ได้สักที แต่เมื่อได้ฟังธรรมะวิเศษจากตถาคตก็บรรลุธรรม) และอีกเรื่องก็คือ
ท่านทิลบาล(ชายยากจนเข็ญใจเป็นแค่คนสวนของเศรษฐี เพียงตั้งใจทำบุญกฐิน
ด้วยการเปลื้องผ้าตนเองแล้วเอาผ้านี้มาทำความสะอาดอย่างดีแล้วนำมารวมกับกองฐินใหญ่ของเศรษฐี แล้วเอาใบไม้มานุ่งห่มร่างกายแทน กลายเป็นสุดยอดมหาทาน เทวดากว่าหมื่นจักรวาลร่วมกันอนุโมทนาสาธุจนพระราชาได้ยิน จึงถวายทรัพย์จำนวนมากพร้อมข้าทาสบริวารจนท่านทิลบาลกลายเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง)

พระราชาทำบุญกับคนทุศีล :b39: :b39:
โค้ด:
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนยากจนมาก หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทานเดินทางมาอาศัยอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองในขณะที่พักอยู่นั้น ภรรยาซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้องอยากจะบริโภคอาหารที่พระราชาเสวย จึงอ้อนวอนสามีให้ไปหามาให้บอกว่าหากมิได้บริโภคอาหารที่ต้องการนี้จะต้องตายเป็นแน่แท้ฝ่ายสามีผู้มีกรรมทนคำอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว และเกรงว่านางจักตายจึงคิดอุบายปลอมตัวเป็นพระภิกษุ และด้วยความที่ปลอมตัวมาใหม่ๆจึงระมัดระวังตัวมาก ดูเหมือนเป็นผู้สำรวม เดินอุ้มบาตรไปในพระราชวังเพื่อรับบิณฑบาต
     ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระราชาจักเสวยพระกระยาหารพอดีเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุเดินด้วยกิริยา
อาการสำรวมมากเช่นนั้นทรงจินตนาการว่า " ภิกษุนี้มีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นหนักหนาคงเป็น
พระที่ทรงคุณวิเศษสักอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแม่นมั่น "จึงเกิดพระราชศรัทธา ทรงนำพระกระยาหารอันเลิศรสที่จะเสวยใส่ลงในบาตรจนหมดด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่ง

   เมื่อพระภิกษุปลอมรับอาหารแล้วเดินจากไปด้วยความเลื่อมใสอันมีอยู่มากมายในพระทัยของพระราชา
จึงรับสั่งอำมาตย์คนสนิทให้รีบสะกิดรอยตามไปเพื่อให้รู้ว่าพระท่านมาจากไหน จะไปพักที่ไหนเพื่อว่า
วันต่อไปจะนิมนต์มารับบาตรในพระราชวังอีก


.......ฝ่ายพระภิกษุปลอมนั้นเมื่อได้อาหารเต็มบาตรสมความปรารถนาแล้วก็ดีใจรีบเดินไปจนสุดกำแพงพระราชวังเมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนแล้วจึงเปลื้องจีวรและสบงออกเป็นเพศคฤหัสถ์ตามเดิมแล้วนำเอาพระกระยาหารนั้นไปให้ภรรยาแพ้ท้องบริโภคตามความประสงค์
อำมาตย์ซึ่งสะกดรอยติดตามมาได้เห็นพฤติการณ์นั้นโดยตลอดก็บังเกิดความตกใจและสังเวชใจคิดว่า
มาเจอคนที่ปลอมตัวเป็นพระเสียแล้วนี่ถ้าหากพระราชาทรงทราบเรื่องนี้เข้าจะต้องเสียพระทัยเป็นอย่างมากและผลบุญที่ได้ก็จะตกหล่นไปเพราะอปราปรเจตนา คือ เจตนาหลังจากที่ให้แล้วไม่สมบูรณ์เมื่อคิดดังนี้แล้วก็เดินทางกลับไปเฝ้าพระราชา

พระราชาจึงตรัสถามว่า "ได้ความว่าอย่างไร บอกมาเร็วๆ พระนั้นอยู่วัดไหน ? " อำมาตย์จึงใช้กุศโลบาย
เพื่อรักษาศรัทธาของพระราชาไว้ กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าได้สะกดรอยตามพระรูปนั้นไปจนออกนอกกำแพงพระราชวัง พอตามไปสุดพระราชวังโน้น ท่านก็หายวับไปทันที "( ในที่นี้หมายถึงหายจากความเป็นพระกลายเป็นคฤหัสถ์ไป )

พระราชาได้ฟังดังนั้นทรงโสมนัสมาก มิได้ซักความเพิ่มเติมอีกทรงคิดเอาเองว่า " บุญของเราแท้ๆ ที่ได้
ถวายทานแด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆปาฎิหาริย์หายตัวได้
ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มากเป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆ "พระราชาทรงบังเกิดความปีติเบิกบานใจในบุญที่ได้ทำเป็นยิ่งนัก

  พระราชาพระองค์นี้มีเจตนาทั้ง๓ ระยะครบบริบูรณ์ และมีความเข้าใจว่าปฎิคาหกสมบูรณ์ด้วยองค์๓
ผลบุญที่ได้จึงมากมาย ส่งผลให้พระราชาเมื่อถึงคราวสวรรคตแล้วได้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ยิ่งถ้าหากพระรูปนั้นเป็นพระจริงและปฎิบัติตามองค์ของผู้รับ ๓ ได้อย่างสมบูรณ์ผลบุญที่พระราชาได้จะมากมายมหาศาลยิ่งขึ้น เพราะทำทานครบองค์ ๖ซึ่งจะให้ผลมากนับประมาณมิได้   

****ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าองค์3 หากไม่ครบบริบูรณ์จริง(หมายถึงผู้รับอาจเป็นสมมติสงฆ์ไม่ใช่อริยสงฆ์)ก็ยังผลให้ผู้ให้ทานไปเกิดในสวรรค์ได้อย่างเช่นพระราชาผู้นี้
ปล... ต้องขอบคุณยอดทหารของพระราชา ผู้มีปัญญา พูดให้เกิดประโยชน์ทำให้ทานนี้เป็นทานที่สมบูรณ์แทน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เดี่ยวนานจะไปเยี่ยมนะงับ

เพราะตอนนี้กำลังสอนการปฎิบัติ

ให้ญาติๆอยู่งับ เหนื่อย


กำลังสอนการปฎิบัติ ให้ญาติๆอยู่งับ เหนื่อย

สาธุครับ :b8:

เหนื่ยยแต่ได้บุญไม่ใช่หรือครับ :b1:

ไปสอนกรัชกายอีกสักคนเถอะครับ ตั้งกระทู้รอไว้แล้ว
กรัชกายยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวิปัสสนา หรือ การปฏิบัติเท่าไหร่ ที่ผ่านๆมาก็ว่าๆไปงั้นเพื่อถูก :b16:
ผู้อ่านโปรดอ่านด้วยความระมัดระวัง :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 ก.ค. 2009, 17:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อันนี้สังเหตุมาพอสมควรแล้วนะคับ
คือว่า ผมว่าคุณ walaiporn ออกจะ sensitive กับ word มากไปนิดนึง

ซึ้งก็ซึ้งง่าย โกรธก็โกรธง่าย

เลยหลายๆครั้งคนพูดเขาพูดแบบ ไม่ค่อยคิด อารามจะหยอกด้วย คุยด้วย
แต่คุณ walaiporn sense ไปหน่อย ..คือคิดมากกว่าคนที่ผลิตคำพูด
แล้วค่อนข้างจะโมโหง่าย

อันนี้มุมมองจากที่ผมมองนะ




เรื่องธรรมดาๆค่ะคุณชาติสยาม :b12:

แล้วแต่จะมอง แล้วแต่จะคิด เราเองก็พูดในมุมมองของเรา

ส่วนใครจะหยอก ใครจะเย้าใครอะไรประมาณนี้

บอกตามตรงค่ะ ดูไม่เป็นจริงๆค่ะ

งั้นคราวหน้าถ้าจะหยอกกันล่นก็จะเมตตามากๆก็คือช่วยวงเล็บหน่อยได้ไหมคะว่า

:b48: .... นี่คำพูดนี้ หยอกเล่นนะ ... :b48:

แล้วเรื่องซึ้งง่าย โกรธง่าย ก็แล้วแต่เรื่องที่เขานำมาโพสกันด้วยค่ะ

ถ้าถูกใจก็ซึ้ง นี่ก็เรื่องธรรมดาๆค่ะ พอไม่ถูกใจก็โกรธหรือไม่โกรธ นี่ก็เรื่องธรรมดาๆค่ะ

:b43: ..แต่ไม่เคยผูกใจเจ็บใคร ไม่เคยอาฆาตหรือพยาบาทใคร อันนี้กล้ารับรองตัวเองได้ .. :b43:

ถ้าคำพูดใดๆที่พูดไปหรือแสดงมุมมองออกไปทำให้ไม่ถูกใจคุณชาติสยามล่ะก็ ขออภัยด้วยค่ะ :b8:

เราจะให้ใครมาถูกใจเราทุกคนนั้นไม่ได้หรอกค่ะ :b41:

คุณเองก็อยู่บอร์ดนี้มานาน ยังไม่ชินกับนิสัยของผู้หญิงอีกหรือคะ :b1:


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนตั้งกระทู้ผมก็คิดแล้วครับว่า มันจะต้องเป็นอย่างนี้แหละครับคุณ ไม่สายเกินไป

เถียงกันให้มากๆๆๆๆๆๆๆ จะได้รู้ว่า พื้นฐานใครเป็นไงบ้างและความรู้ของผมเป็นไงบ้าง

ผมหวังแค่ให้ผู้ที่มาอ่านได้เห็นสิ่งที่มันมีมุมมองที่แตกต่างกันอยู่ในเรื่องนั้นๆ

แต่เท่าที่ดูๆ อ่านๆ ก็มีส่วนน้อยนะครับที่อ้างอิงพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน

ส่วนใหญ่ก็เอาความรู้ ความเข้าใจ หรือความพอใจของตนมาอ้างอิงอย่างนั้นแหละครับ

จะยุติได้ ก็ต้องมีบรรทัดฐานเดียวกันคือ ยุติด้วยธรรม ของพระพุทธองค์เท่านั้น

ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีการเรียนรู้ธรรมอีกแบบหนึ่งนะครับ อย่างน้อยก็จะได้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่นั้นมันเ็ป็นไง

ถูกต้องหรือผิดจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์ หรือไม่อย่างไร......

อ้างคำพูด:
หลวงตาที่ไม่เคยเอ่ยอ้างเรื่องพระไตรปิฏกให้ฟัง มีแต่บอกว่า
พระพุทธเจ้าท่านเป็นตัวอย่างที่ดีนะลูกนะ อยากเป็นคนดีต้องทำดีแบบที่พระพุทธเจ้า
ท่านทำให้ไว้ให้เห็นเป็นตัวอย่างนะลูกนะ


ที่หลวงตาไม่อ้างเรื่องพระไตรปิฎกก็คงเพราะมันเกินวิสัยของคุณวิลัยพรในตอนนั้นมั้งครับ

และบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างที่ดี อยากดีก็ต้องทำตามพระพุทธเจ้า แล้วรู้ไหมหละว่าท่านทำอะไรไว้ ก็ไม่รู้เพราะไม่ได้ศึกษา แล้วก็พากันด้นเดาไปทั่วว่า แบบนี้มันต้องใช่ ก็พากันทำตามๆ กันมา
เมื่อคุณวิลัยพรโตพอแล้วก็ไม่คิดจะศึกษาพระไตรปิฎกบ้างเหรอ ว่าสิ่งไหนที่หลวงตาท่านสอนว่า อยากเป็นคนดีต้องทำดีแบบที่พระพุทธเจ้าท่านทำให้ไว้ให้เห็นเป็นตัวอย่างนะลูกนะ ว่ามันคืออะไร อยู่ตรงไหนและกล่าวไว้ว่าอย่างไร

คุณวิลัยพรครับ ถ้าสิ่งที่คุณเอามากล่าวนั้นมันมีแต่ด้านดีอย่างที่คุณว่ามาจริงๆ ก็เอาข้อมูลมานำเสนอครับ เห็นส่วนมากคุณก็พูดซะสวยหรูเลยเพราะคุณก็ว่าสิ่งที่คุณรู้ คุณคิดมันถูกต้องสวยหรูแน่แท้และแน่นอน(ล้อเล่นนะ) ส่วนความคิดของผมมันระเกะระกะ(นี่จริงครับ) คุณก็ลองสละเวลาสักนิดไปศึกษาค้นคว้าในพระไตรปิฎกบ้างสิว่า สิ่งที่ผมทำมันระเกะระกะหรือระรานอยู่นี่ มันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่ มันเป็นสาระ(เลว)อย่างแท้จริง

เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันถึงจะยุติด้วยธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการเอาชนะคะคานเพื่อความสนุกอะไรหรือถ้าจะชนะก็จะชนะตรงที่ทำให้คนที่หลงผิดได้กลับตัวกลับใจหันมาทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่านะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 23:11
โพสต์: 1044

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผม ก็ยัง งง อยู่ครับ

แต่คิดว่า ท่าน จขกท หวังดี

ไม่อยากตีความตามตัวอักษร ครับ

ดูที่เจตนาของท่าน ท่านคงหวังดี

โมทนาบุญด้วยครับ

.....................................................
ตักบาตรทุกวัน....ได้บุญทุกวัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ท่านบอกว่าต้องพระเจ้าอยู่หัวโน่น ท่านเป็น "ธรรมราชา" "จริงๆ" "ไม่ใช่สมมุติ"
(ผมถอดรหัสคำเทศน์ว่า พระเจ้าอยู่หัวของเราไม่ใช่ "ปุถุชน" ธรรมดาๆ
ไม่ใช่เรพาะท่านเป้นพระราชา เลยไม่ธรรมดานะ ผมแปลว่าท่านไม่น้อยกว่าพระโสดาบันแล้ว)



ที่ผมยกอ้างอิงมา ไม่ธรรมดาครับ

อยากทราบว่าท่านอาจารย์ของท่านชาติสยามคือใครครับ

อย่างนี้เป็นของแท้ครับ

คำกล่าวนี้มิใช่แค่คำแสดงความจงรักภัคดีครับ

มิใช่เป็นแค่การถวายความเทิดทูน แต่เป็นความจริงทุกประการครับ


ท่านชาติสยามครับ

อาจารย์ของท่านชาติสยามท่านนี้

ท่านก็เป็นอริยะบุคคลครับ(ไม่ต้องออกนามท่านน่ะครับ เดี๋ยวท่านจะเดือดร้อนครับ)

สาธุ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์

พระอรหันต์ที่บ้าน หมายถึงพ่อ-แม่ถูกมั้ยงับท่านกรัชกาย
ขอขอความสนับสนุนจากพระไตรปิฎกด้วยนะงับ
รับเป็นทั้งสูตรนะงับ ไม่เอาข้อความตัดต่อนะงับ
และก็ไม่รับหนังสือพุทธธรรมนะงับ



ท่านขงเบ้ง กล่าวถึงหนังสือพุทธธรรม
ทำให้ฉุกคิดว่า เออ ท่านคงคิดว่า หนังสือพุทธธรรม เป็นหนังสือนวนิยายอิงธรรมะที่วางขายตามท้องตลาดไร้หลักฐานที่มากระมัง

แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หนังสือพุทธธรรมมีหลักฐานอ้างอิงทุกแห่ง ได้แก่พระบาลีคือไตรปิฎกแทบทั้งสิ้น
มีอรรถกถาแทรกอยู่บ้าง แต่ท่านก็เลือกเอาที่สอดคล้องกับพระไตรปิฎก


ดังที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ปรารภไว้หน้า 928...ตัดมาบางส่วนพอให้เห็นเค้า=>


พุทธธรรมฉบับเดิม หลักฐานที่มาหรือคัมภีร์ที่อ้างอิง ได้จำกัดเลือกเอาเฉพาะในพระบาลี
คือ พระไตรปิฎกแทบทั้งสิ้น มีหลักฐานจากคัมภีร์รุ่นหลัง เช่น อรรถกถาเข้าไปปนน้อยอย่างยิ่ง
ส่วนในพุทธธรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมและขยายความนี้ (ฉบันที่มีในมือกรัชกาย) แม้จะยังไม่ทิ้งหลักการ
เดิมคือถือพระไตรปิฎกเป็นหลัก แต่ได้เปิดรับหลักฐานจากคัมภีร์รุ่นหลังเข้ามาด้วย เพื่อให้ผู้ศึกษารับรู้
รับฟัง มีเครื่องประกอบพิจารณามากยิ่งขึ้น


การนำเอามติของคัมภีร์รุ่นหลัง เช่น อรรถกถา เป็นต้น เข้ามาปะปนด้วยนั้น ถ้าไม่ระมัดระวัง อาจทำให้
เกิดผลเสียได้ เพราะคำสอนที่แท้ของพระพุทธเจ้า เราย่อมถือเอาตามพุทธพจน์ในพระบาลี คือ
พระไตรปิฎก
มติของคัมภีร์รุ่นหลัง เราถือเป็นเพียงส่วนเสริมช่วยให้กระจ่าง และยอมรับเฉพาะส่วนที่สอดคล้องกับ
พระบาลี

(ท่านให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับหนังสือธรรมะที่เขียนๆกันส่วนมากในปัจจุบัน)
=>

หนังสือทางพุทธศาสนาที่แต่งกันทั่วไปจำนวนมากที่ไม่ได้แสดงหลักฐานที่มา
บางครั้งก็ทำให้ผู้อ่านสับสน หรือ ถึงกับเข้าใจผิดจับเอาเรื่องในคัมภีร์รุ่นหลัง หรือ มติของ
พระอรรถกถาจารย์เป็นต้น ว่าเป็นคำสอนเดิมแท้ของพระพุทธเจ้า
บางที แม้แต่ผู้แต่งหนังสือเหล่านั้นเองก็สับสน หรือ เข้าใจผิดอยู่ก่อนแล้ว จึงเป็นข้อที่พึงระมัดระวัง



เมื่อเน้นในด้านหลักฐาน ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่หนังสือ (พุทธธรรม) นี้ จะหนักไปทางวิชาการ หรือ
อาจพูดได้ว่า มุ่งแสดงหลักวิชาทางพระพุทธศาสนาโดยตรง คำนึงถึงการอธิบายหลักธรรมมากกว่าจะคำนึง
ถึงพื้นฐานของผู้อ่าน

ดังนั้น หนังสือพุทธธรรม จึงเป็นหนังสือสำหรับผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว หรือ สำหรับผู้ต้องการศึกษาอย่างจริงจัง มุ่งหาความรู้อย่างไม่กลัวความยาก ใจสู้ จะเอาชนะทำความเข้าใจให้จงได้

ไม่ใช่หนังสือสำหรับชวนให้ศึกษา หรือ เข้าไปหาผู้อ่านเพื่อชักจูงให้มาสนใจ คือ ถือเอาหลักวิชา
เป็นที่ตั้ง มิใช่ถือเอาผู้อ่านเป็นที่ตั้ง
แต่กระนั้นก็มิใช่จะยากเกินกำลังของผู้อ่านทั้วไปที่มีความใฝ่รู้และตั้งใจจริงจะเข้าใจได้


ในเมื่อเป็นหนังสือแสดงหลักวิชา ก็ย่อมมีคำศัพท์วิชาการทางพระพุทธศาสนา คือ ถ้อยคำทางธรรมที่มาจาก
ภาษาบาลีเป็นจำนวนมาก

ข้อนี้ ก็เป็นเหตุอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หนังสือนี้ยากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ไม่คุ้นกับศัพท์ธรรม หรือคำที่มาจากบาลี
แต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรหลีกเลี่ยง ในเมื่อต้องการจะรู้หลักกันจริงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



แม้หนังสือพุทธธรรมจะมีศัพท์บาลีศัพท์ธรรมมากมาย ท่านยังให้ข้อสังเกตไว้อีกว่า =>




พุทธธรรม ถ้ารู้แจ้งเข้าใจจริงแล้ว เมื่อพูดชี้แจงอธิบาย แม้จะไม่ใช้คำศัพท์ธรรมคำบาลีสักคำเดียวก็
เป็นพุทธธรรม
แต่ตรงข้าม ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือรู้ผิดเข้าใจผิด แม้จะพูดออกมาทุกคำล้วนศัพท์บาลี ก็หาใช่
พุทธธรรมไม่ กลายเป็นแสดงลัทธิอื่นที่ตนสับสนหลงผิดไปเลีย



อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่รู้เข้าใจด้วยกันแล้ว คำศัพท์กลับเป็นเครื่องหมายรู้ที่ช่วยสื่อถึงสิ่งที่เข้าใจได้
โดยสะดวก พูดกันง่าย เข้าใจทันที หรือ
แม้สำหรับผู้ศึกษาประสงค์จะเข้าใจ หากอดทนเรียนรู้ คำศัพท์สักหน่อย คำศัพท์เหล่านั้นแหละจะเป็นสื่อ
แห่งการสอนที่ช่วยให้เข้าใจพุทธธรรมได้รวดเร็ว


หากจะชี้แจงสั่งสอนกันโดยไม่ใช้คำศัพท์เลย ในที่สุดก็จะต้องมีศัพท์ธรรมภาษาอื่น รูปอื่น ชุดอื่น
เกิดขึ้นใหม่อยู่ดี แล้วข้อนั้นอาจจะไปสู่ความสับสนยิ่งขึ้น


โดยนัยนี้ คำศัพท์ อาจเป็นเครื่องสื่อนำไปสู่ความเข้าใจพุทธธรรมก็ได้ เป็นกำแพงกั้นไม่ให้เข้าถึง
พุทธธรรมก็ได้
เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว พึงนำศัพท์ธรรมมาใช้ประโยชน์อย่างรู้เท่าทัน คือ รู้เข้าใจ ใช้ถูกต้อง รู้กาลควรใช้
ไม่ควรใช้ ให้สำเร็จประโยชน์ แต่ไม่ยึดติดถือคลั่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 187 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร