วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 23:11
โพสต์: 1044

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




space_shuttle_13.jpg
space_shuttle_13.jpg [ 137.28 KiB | เปิดดู 3533 ครั้ง ]
ไอน์สไตน์ พบ... พระพุทธเจ้า เห็น


ทพ.สม สุจีรา


แบบย่อ และอ่านแบบทบทวน เพลินๆ ครับ
หวังว่าถูกใจกัน ครับ


" คุณโชคดีกว่าไอน์สไตน์จริง ๆ นะ "

ทพ.สม สุจีรา จบการศึกษาจากคณะทันตแพทย์ศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากจะมีอาชีพเป็นทันตแพทย์แล้ว ท่านยังมีความสนใจ
ในศาสตร์อื่น ๆ รวมทั้งพุทธศาสตร์ และที่สำคัญท่านยังเป็นผู้หนึ่งที่ฝึกสมาธิ
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อินเทรนด์มาก ๆ ในขณะนี้อีกด้วย

ท่านมีงานเขียนออกมาหลายเล่ม เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ได้แก่ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น, ตอบปัญหาวิชาโลก, ตอบปัญหาวิชาชีพ, ฟิสิกส์นิวตัน, เดอะท็อปซีเคร็ท และอีกหลายต่อหลายเล่ม


ในจำนวนนี้ หนังสือ “ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น “ สร้างความฮือฮาในวงการวิทยาศาสตร์ และวงการธรรมะไปพร้อม ๆ กัน เรียกได้ว่าเป็นหนังสือคุณภาพเล่มหนี่ง ที่ผู้อ่านชื่นชอบเป็นอย่างยิ่งเพราะสามารถนำเสนอการเชื่อมโยงการค้นพบระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ชวนให้ติดตามจนวางไม่ลง ทำให้ชื่อของ ทพ.สม สุจีรา เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว

นี่คือ บางส่วนของรสชาติที่น่าดื่มกินของหนังสือเล่มนี้

เรื่องพระพุทธศาสนา

“.... สิ่งที่สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับชาวตะวันตกมากที่สุด คือ เรื่องกาลามสูตร ที่เน้นว่าอย่าเชื่อเพราะได้ฟังตามกันมา อย่าเชื่อเพราะได้เรียนตามกันมา อย่าเชื่อเพราะเพียงเข้าได้กับทฤษฎีของตน... ฯลฯ การที่พระพุทธเจ้าตรัสแบบนี้ทำให้ฝรั่งทึ่งมาก เป็นศาสนาที่แปลก ไม่เน้นศรัทธา ไม่เน้นให้เชื่อ แต่ข้ามไปขั้นใช้ปัญญาเลย “ไอน์สไตน์ ได้มาศึกษาพุทธศาสนา ได้อ่านกาลามสูตร แล้วแปลกใจว่า มีศาสนาแบบสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ อยู่ด้วย ไอน์สไตน์ประทับใจมาก เขียนเป็นบทความเพื่อให้ชาวโลกรับรู้ว่า ศาสนาแห่งอนาคตจะเป็นศาสนาแห่งจักรวาล ศาสนาซึ่งตั้งอยู่บนประสบการณ์ ซึ่งปฏิเสธความเชื่อที่ไร้ข้อพิสูจน์ หากมีศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่พอจะรับมือกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์ได้ละก็ ศาสนานั้น คือ ศาสนาพุทธ ....”

“....สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสในการสนทนาธรรม ครอบคลุมทุกเรื่องของวิทยาศาสตร์กายภาพ ทั้งระดับใหญ่ที่สุดอย่างจักรวาล ระดับเซลล์ จนถึงระดับเล็กสุดขั้นปรมาณู การค้นพบทางฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็นการค้นพบในภายหลังในการตรัสรู้นับพันปี ....” (หน้า 45)

“ เหตุที่พระพุทธองค์ทรงเก็บการค้นพบของโลก และจักรวาลไว้ ไม่แสดงออกมา ก็เพราะการค้นพบเหล่านั้นไม่ใช่หนทางของการหลุดพ้น ....” (หน้า 45)

“ แม้ว่าพระพุทธองค์จะไม่เน้นถึงการค้นพบทางกายภาพ เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ เพราะการค้นพบนั้นไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น แต่อย่างไรก็ตาม การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสสาร พลังงาน จักรวาล ปรมาณู การยืดหดของเวลา ฯลฯ ทั้งหลายเหล่านี้
พระพุทธองค์ทรงเคยตรัสมาแล้วทั้งนั้น ” (คำนำ)

“...นักวิทยาศาสตร์คลานต้วมเตี้ยม ค่อย ๆ ศึกษาปริศนาของจักรวาล เหมือนคนตาบอดคลำช้าง ใช้เวลาไปสองพันห้าร้อยปี ยังค้นพบได้ไม่ถึงครึ่งของที่พระพุทธองค์ตรัสไว้...” (หน้า 37)

“...ปัจจุบันก็มีนักคิด นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งแสดงความเห็นออกมาอย่างชัดเจนว่า พุทธปรัชญาแท้จริงแล้วกลับเป็นวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าวิทยาศาสตร์กายภาพ ของตะวันตกเสียอีก เพราะการค้นพบใหม่ ๆ ทางฟิสิกส์ที่เป็นความจริงแท้ของจักรวาล ซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า หรือ กล้องกำลังขยายสูงกลับเคยได้รับการพิสูจน์มาก่อนแล้ว จากปรัชญาตะวันออก...”
(หน้า103)

เรื่องสมาธิ

“พระพุทธองค์ทรงแบ่งปัญญาออกเป็น 3 ระดับ คือ

1. สุตมยปัญญา เป็นปัญญาที่ได้จากการเรียน

2. จินตมยปัญญา เป็นปัญญาที่ได้จากการคิด

3. ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาของการหยั่งรู้ จะได้มาจากการกำหนดสติและสมาธิเท่านั้น เป็นปัญญาขั้นสูงสุด

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ไอน์สไตน์เหนือกว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วไป ก็คือ ปัญญาที่ได้จากสมาธิ.... (หน้า 117)

“...นักวิทยาศาสตร์ระดับสุดยอดของโลกมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ มีสมาธิสูงมาก มี
เรื่องเล่าว่า วันหนึ่งขณะที่ไอน์สไตน์กำลังง่วนอยู่กับการคิดสูตรทางฟิสิกส์ เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอย่าง
รุนแรงด้านนอก เพื่อนักวิทยาศาสตร์พากันขวัญเสีย ในขณะที่ไอน์สไตน์ บอกว่าไม่ได้ยินเสียบระเบิด
นั้นเลย...” (หน้า 117)

“...เราสามารถฝึกปัญญาญาณได้ด้วยการเจริญสติกรรมฐาน ทำให้เกิดภาวนา
ปัญญาญาณ ทราบสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง แม้ว่าพลังแห่งสมาธิจิตจะไม่สูงพอที่จะบรรลุถึงขั้น
ทศพลญาณ แบบพระพุทธองค์ แต่การค้นพบความจริงแท้เพียงบางส่วนก็เป็นความมหัศจรรย์เหลือ
คณาแล้ว...” (หน้า 129)

“...ไม่ใช่แต่ไอน์สไตน์เท่านั้น ไบรอัน โจเซฟสัน นักฟิสิกส์ รางวัลโนเบล ปี พ.ศ. 2516 ก็เคยกล่าวยอมรับว่า “ผมได้ค้นพบความลับบางอย่าง ซึ่งฟิสิกส์ไม่สามารถให้คำตอบได้ ผ่านการนั่งสมาธิ” (หน้า 120)

“...นั่นคือ คำตอบว่า ทำไมทฤษฎีสะเทือนโลกทุกทฤษฎีที่ ไอน์สไตน์คิดขึ้นมา จึงได้เกิดขึ้นเมื่อตอนเขาอายุเพียง 26 และหลังจากนั้น เขาก็คิดอะไรไม่ค่อยออกอีกเลย เพราะว่าหลังจากอายุ 26 ปี เขาต้องสูญเสียพลังงานไปกับตำแหน่งศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยซูริก ต้องประสบกับปัญหาหย่าร้างกับภรรยา บุตรชายคนเล็กมีอาการทางจิต บุตรสาวคนโตหายสาบสูญ ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ จนต้องหนีการตามล่าของทั้งฮิตเลอร์ และเอฟบีไอ ภรรยาคนที่สองเสียชีวิต ตามมาด้วยการเสียชีวิตของภรรยาคนแรก และความสับสนทางจิตใจกับปัญหาสงครามโลก รวมไปถึงน้องสาวที่รักของเขาเสียชีวิต หลังจากอายุ 26 ปี ไอน์สไตน์เจอปัญหาชีวิตมากเหลือเกิน มากถึงขนาดทำให้พลังสมาธิที่ว่ากันว่า ไอน์สไตน์มีมากที่สุดในโลกคนหนึ่งยังสู้ไม่ไหว...” (หน้า 120)

ในช่วงวิกฤตของชีวิต ถ้าไอน์สไตน์มีโอกาสฝึกสมาธิ เขาก็จะไม่สับสนกับปัญหาที่เกิดขึ้นถึงขนาดนี้ และผลงานที่สะท้านโลกจะบังเกิดขึ้นอีกมากมาย

คุณ.... โชคดีกว่าไอน์สไตน์อีกนะ

เพราะเขาไม่มีโอกาส อย่างคุณ

ที่มา... หนังสือ "จุดเปลี่ยน"

.....................................................
ตักบาตรทุกวัน....ได้บุญทุกวัน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตักบาตรถามพระ เขียน:
3. ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาของการหยั่งรู้ จะได้มาจากการกำหนดสติและสมาธิเท่านั้น เป็นปัญญาขั้นสูงสุด

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ไอน์สไตน์เหนือกว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วไป ก็คือ ปัญญาที่ได้จากสมาธิ.... (หน้า 117)

“...นักวิทยาศาสตร์ระดับสุดยอดของโลกมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ มีสมาธิสูงมาก มี
เรื่องเล่าว่า วันหนึ่งขณะที่ไอน์สไตน์กำลังง่วนอยู่กับการคิดสูตรทางฟิสิกส์ เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอย่าง
รุนแรงด้านนอก เพื่อนักวิทยาศาสตร์พากันขวัญเสีย ในขณะที่ไอน์สไตน์ บอกว่าไม่ได้ยินเสียบระเบิด
นั้นเลย...” (หน้า 117)



ตายแล้ว นี่นะสมาธิสุดยอด นี่นะปัญญาระดับสูงสุด
กรุ้มแทนคนอ่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 03:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไอน์สไตน์ ก็ไม่ได้มีสมาธิมากจนถึงระดับที่ว่าสูงสุด
แต่เขาก็มีสมาธิมาก ในระดับที่ช่วยส่งเสริมให้ปัญญาของเขา
ก้าวเข้าไปในขอบเขตแห่งการคิดที่เหนืออล้ำกว่าคนทั่วไปจำนวนมาก

สิ่งที่เขามีมากกว่าคนทั่วไปอย่างชัดเจนคือ ปัญญา
อุปนิสัยทางปัญญา ได้ฉุดกระแสสมาธิให้ก่อตัวเพิ่มปริมาณสูงขึ้น
และเต็มสมบูรณ์ขึ้นตามสภาพความลุ่มลึกความละเอียดของตัวความรู้
ตามขอบเขตพลังปัญญาที่เขามี

และสมาธิของเขาก็เป็นสมาธิที่แฝง ที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่เจตนา
ทุกครั้งเมื่อสร้างความรู้ขึ้นมา สมาธิแฝงก็จะถูกสร้างขึ้นให้มีพร้อมด้วย

ขณะที่เขาพัฒนาความรู้ ขณะเดียวกันนั้นเขาก็พัฒนาสมาธิแฝงให้มากขึ้นตามกันมาด้วย

สมาธิของไอน์สไตน์ เมื่อกำลังเพ่งคิดวินิจฉัยในส่วนที่ลึกละเอียด
กำลังสมาธิแฝงที่มี ไม่น่าต่ำกว่าอุปจารสมาธิ และไม่น่าเกินไปจากปฐมฌาณ

ในยามปกติที่เขาไม่คิดอะไร เขาก็น่าจะมีสมาธิแฝง ที่ยังคงค้างอยู่อย่างเคยชิน
มากสุดก็น่าจะปฐมฌาณ แต่ถ้าเขามีการฝึกจิตเพื่อหน่วงเข้าไปในอารมณ์ฌาณ
ตามเทคนิควิธีที่ถูกต้อง เขาก็น่าจะนำจิตเข้าไปสู่ฌาณที่4ได้โดยไม่ยาก


หากจะบอกว่าไอน์สไตน์ มีพลังปัญญามาก และสูงมากกว่าคนทั่วไป
อันนี้คงยากจะโต้แย้ง

แต่ถ้าหากบอกว่าไอน์สไตน์ มีสมาธิสูงมาก อันนี้ต้องตีความกันอีก

เพราะคำว่าสูงมาก มีสองความหมาย คือ มีสมาธิที่เข้าถึงความเป็นฌาณในระดับสูง
นี้อย่างหนึ่ง จึงเรียกว่าเป็นผู้มีสมาธิสูง

อีกอย่างหนึ่งก็คือ เขามีสมาธิตามธรรมชาติ ซึ่งมีระดับความแนบนิ่ง
อย่างสูงก็เพียง อุปจารสมาธิ และปฐมฌาณ แต่เขามีสมาธิเหล่านี้เต็มเปี่ยม
อยู่จนเป็นปกตินิสัย มีอยู่ได้ในแทบทุกเวลาของชีวิต สมาธิของเขาจึงจัดว่ามีอยู่
อย่างเต็มที่ เป็นสมาธิที่มีสูงมากมีเยอะมาก มากในขอบเขตที่กว้างแต่ไม่ลึก

สมาธิเขากว้างคือมีอยู่ได้ในทุกระยะ แต่ไม่ลึก คือไม่มีอารมณ์ที่ดิ่งลึกถึงฌาณชั้นสูง

ความคิดส่วนตัวผม ผมคิดว่าไอน์สไตน์น่าจะประมาณนี้
ซึ่งเขาอาจจะไม่ใช่อย่างนี้ก็ได้ เพราะผมไม่ใช่ตัวเขา
แค่อยากร่วมแสดงความเห็น ในแง่ที่ต่างไปบ้างเท่านั้นครับ


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:50
โพสต์: 147

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่า คำว่าสมาธิที่ใช้กันเราต้องแยกนะว่า เป็นแบบไหน ทางโลกหรือธรรม
สมาธิทางธรรม ผู้ใดจะมีได้ก็ด้วยการฝึกและปฏิบัติ
ส่วนสมาธิทางโลก ซึ่งไอน์สไตย์ก็เป็นสมาธิแบบนี้ มันมีลักษณะเฉพราะตัว
เป็นเรื่องๆไป ตัวอย่างเช่น จิตรกร นักกีฬา ศัลยแพทย์ ฯลฯ ที่กล่าวมานี้
ล้วนแต่มีสมาธิสูงทั้งนั้น แต่ท่าเราลองเอาท่านเหล่านี้มาใช้สมาธิที่ผิดจาก
สิ่งที่เขาเป็นท่านว่า เขายังจะทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จได้โดยง่ายจากสมาธิที่
แตกต่างมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


TAKSA เขียน:
ผมว่า คำว่าสมาธิที่ใช้กันเราต้องแยกนะว่า เป็นแบบไหน ทางโลกหรือธรรม
สมาธิทางธรรม ผู้ใดจะมีได้ก็ด้วยการฝึกและปฏิบัติ
ส่วนสมาธิทางโลก


ถูกแล้วครับ
สมาธิมีหลายระดับ หลายแบบ พระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ละเอียดยิบ

คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าคนเขียนเขาพูดว่าไอนสไตน์มีสมาธิสูงและปัญญามาก
แล้วก็ไม่ต้องมาโยงกับศัพท์ทางพุทธธรรม
ต่อให้พูดว่ามากที่สุดในโลกคงไม่มีใครเถียงอะไรกับเขา


แต่มันมาพลาดตรงที่ไปเหมาเอาว่าสิ่งเหล่านั้นเป้น "ภาวนามัยปัญญา"
ซึ่งผิดอย่างสิ้นเชิง



ปัญญาไอน์สไตน์ หรือต่อให้มีใครฉลาดกว่านี้ คิดค้นอะไรได้มากกว่านี้
ก้ยังคงจัดอยู่ในหมวด "จินตมัยปัญญา"
จบอยู่แค่นั้น

เพราะผลผลิตของ "ภาวนามัยปัญญา" มีเรื่องเดียวคือจัดการกับกิเลส
ไม่ใช่นิวเคลีร์ยทฤษฏี ไม่ใช่การค้นคิดอะไร ไม่ใช่การ"คิด"อะไรทั้งนั้น

คนเขียนไม่รู้เรื่องอะไรแล้วก็ไปเผยแพร่อะไรผิดๆ



TAKSA เขียน:
ตัวอย่างเช่น จิตรกร นักกีฬา ศัลยแพทย์ ฯลฯ ที่กล่าวมานี้
ล้วนแต่มีสมาธิสูงทั้งนั้น แต่ท่าเราลองเอาท่านเหล่านี้มาใช้สมาธิที่ผิดจาก
สิ่งที่เขาเป็นท่านว่า เขายังจะทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จได้โดยง่ายจากสมาธิที่
แตกต่างมั้ย


อันนี้มันแต่ ขนิกสมาธิครับ
สมาธิระยะสั้น จดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ระยะเวลาหนึ่ง
แล้วก็ไม่ใช่สมาธิที่ว่าจะเกิดปัญญา เพราะมันไม่มี"สติ"
สมาธิที่ขาดสติจะไม่ให้ผลผลิตเป้นภาวนามัยปัญญา


ปัญญาที่ไอน์สไตน์ใช้ คือระดับ จินตมัยปัญญา (จินต- คือใช้ความคิด)
คือปัญญาทางโลกทั้งปวง สูงที่สุด อยู่แค่นี้
ต่อให้คิดค้นเครื่องย้อนเวลาได้ เครื่องเปลี่ยนหินให้เป้นทองได้ ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้แค่นั้น เพราะยังมีสิ่งที่เรียกว่า "คิด"


เรื่องปัญญา 3 ระดับนี้
คนปฏิบัติธรรมจริงๆเขาจะเข้าใจดี มันเป็นเรื่องพื้นฐาน ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย

รู้จักโจรที่มันเก่งๆไหม รู้รักคนที่โกงเก่งๆไหม นี่แหละสมาธิ
เวลามันปล้น เวลามันโกง ก้ใช้สมาธิเหมือกนัน ใช้ปัญญาเหมือนกัน
ยิ่งเรื่องยากๆอย่างเรื่องระบบทางการเงิน หรือพวกหมอหั่นศพอะไรพวกนี้ ยิ่งต้องใช้ปัญญา ใช้สมาธิ
ใครบอกว่ามันไม่มีปัญญาไม่ได้นะ ปัญญามันมาก มันถึงโกงเอาจนได้ แล้วก็กลบเกลื่อนได้
ใครบอกว่ามันไม่มีสมาธิก็ไม่ได้นะ เวลามันปล้น เวลามันคิดวางแผน เวลามันโกง เวลามันโกหก มันก็มีสมาธิสูงทั้งนั้น


แสดงว่า มีความแตกต่างในคำว่าสมาธิ สมาธิโจรก็เป็นสมาธิ สมาธิไอนสไตน์ก็เป้นสมาธิ
แสดงว่ามีความแตกต่างในคำว่าปัญญา ปัญญาโจรก็เป็นปัญญา ปัญญาไอนสไตน์ก็เป้นปัญญา

นั่นคือเหตุผลว่าทำไม "ภาวนามัยปัญญา" ถึงแตกต่างไป
"ภาวนามัยปัญญา" มีหน้าที่เดียว ผลผลิตเดียว คือจัดการกับกิเลส
ไม่ใช่มาบอกว่าผลงานทางวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์เป็นผลผลิตของภาวนามัยปัญญา




คนที่มีภาวนามัยปัญญาจริง เขาไม่ผลิตอาวุธมาฆ่าคนหรอก

ถ้าถามว่า ก็เพราะระเบิดนิวเคลียร์นั่นแหละ - สงครามถึงยุติ ?
ก้ต้องยอมฆ่าคนบางส่วน เพื่อความสงบของชาวโลก ?

อันนี้ก็แสดงว่า จุดยืนคนละขั้วกับพระพุทธเจ้า
เพราะศีลข้อแรกในชีวิตชาวพุทธคือ "ห้ามฆ่าสัตว์"
ดังนั้นพูดอะไรไปไม่มีใครว่า แต่อย่าเอาพระพุทธเจ้าไปโยง
ท่านไม่เคยให้ฆ่าอะไรนอกจากฆ่ากิเลส





และสิง่ที่ผิดพลาดที่สุดคือตรงนี้ครับ
ตักบาตรถามพระ เขียน:
“...นักวิทยาศาสตร์ระดับสุดยอดของโลกมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ มีสมาธิสูงมาก มี
เรื่องเล่าว่า วันหนึ่งขณะที่ไอน์สไตน์กำลังง่วนอยู่กับการคิดสูตรทางฟิสิกส์ เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอย่าง
รุนแรงด้านนอก เพื่อนักวิทยาศาสตร์พากันขวัญเสีย ในขณะที่ไอน์สไตน์ บอกว่าไม่ได้ยินเสียบระเบิด
นั้นเลย...
” (หน้า 117)


ผู้เขียนเข้าใจว่าการมีสมาธิสูง ต้องไม่ได้ยินเสียงระเบิด
(ซึ่งโปรยมาแต่ต้นว่าปัญญาระดับไอนสไตน์เป็นเป้นภาวนามัยปัญญา)
ก็เลยหมดคำบรรยาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 20:12
โพสต์: 791

แนวปฏิบัติ: พุทโธและสัมมาอรหัง
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ใต้ร่มโพธิญาณ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




_10_654.jpg
_10_654.jpg [ 217.97 KiB | เปิดดู 3431 ครั้ง ]
เป็นหนังสือที่ดีมากและรู้สึกโชคดีจังที่เกิดมาพบศาสนาพุทธ

.....................................................
ข้าพเจ้าขออาราธนาพระบารมี 30 ทัศ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จนิพพานไปแล้ว มากยิ่งกว่าเม็ดกรวดเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4 ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ พระธรรมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ พระบารมีพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายและพระบารมีขององค์พระสมณะโคดมบรมครู ขอได้ส่งพลังมายังตัวข้าพเจ้า จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บและสรรพเคราะห์ทั้งหลายในกายของข้าพเจ้า จงหายไปสิ้นทั้งหมดขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะต่ออุปสรรคและมารทั้งหลาย
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 23:11
โพสต์: 1044

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b8:

เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ ในมุมมองต่างๆ

ต่อหนังสือเล่มนี้ ครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตักบาตรทุกวัน....ได้บุญทุกวัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร