วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 14:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 21:08
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีคำถามนึงอยากถามมานานแล้ว

ทำไมพระเวสสันดรถึงยกลูกให้คนอื่นได้คะ

พระเวสสันดรมีสิทธิ์อะไร

แล้วทำอย่างนี้มันไม่เป็นการทอดทิ้งลูกหรอคะ

มันไม่เป็นบาปหรอคะ

ทำไมถึงกลายเป็นมหาบุญไปได้

อันนี้งงจริงๆนะคะ ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่อะไร
เพราะเชื่อว่าคนระดับพระพุทธเจ้าก็คงจะทำสิ่งที่ถูกต้องและคิดมาดีอยู่แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะเจตนา กุศลจิตที่เกิดขึ้นตอนให้ เพียงต้องการ สัพพัญญุตญาณ

จึงไม่บาปครับ แต่เรียกว่า บารมี จะทำได้ก็เฉพาะผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้่าเท่านั้นครับ

คนธรรมดา ใจไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีความเห็นในประเด็นนี้ ดังนี้ครับ

เรื่อง ที่พระเวสสันดร ให้กัณหา-ชาลี เป็นทานแก่ชูชกนั้น


เคยมีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านให้สังเกตุ การที่พระเวสสันดรท่านให้ลูกแก่ชูชก
คือ ตอนแรกพระเวสสันดรท่านแนะนำให้ชูชกนำลูกทั้งสองไปไถ่ตัวกับพระเจ้ากรุงสญชัยก่อน
และท่านได้กำหนดค่าตัว ของลูกทั้งสองไว้ ชนิดคนธรรมดาสามัญไม่มีทางซื้อสองกุมารไปได้แน่ๆ

ประกอบกับชูชกเป็นคนโลภ ไม่มีทางจะเพียงแค่เอาเด็กค่าตัวมหาศาลขนาดนั้นไปใช้แรงงานอย่างเดียวแน่ๆ
คือ อย่างไรเสีย ชูชกก็ต้องเอาทางที่ได้มากไว้แน่ๆ

และให้สังเกตุว่า พระเวสสันดรท่านอธิบายให้ลูกทั้งสองเข้าใจในเจตน์จำนงในพระโพธิญาณของท่านก่อนที่ท่านจะทำมหาทาน
โดยเปรียบมหาทานที่เกิดจากการให้ลูกทั้งสองเป็นสำเภาทองที่จะพาท่านสู่พระโพธิญาณ

ลูกทั้งสองเข้าใจและเห็นด้วยกับท่านแล้ว ท่านจึงทำมหาทาน

ตรงนี้สำคัญมาก



ส่วนประเด็นที่ว่า พระโพธิสัตว์ และผู้ติดตามสร้างบารมี ทำไมถึงคิดเช่นนั้น ทำไมถึงทำเช่นนี้...
อย่าไปเอาความคิดเราท่านตัดสินเลยครับ เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่เข้าใจทั้งหมดหรอก



สู้ดี เอาเวลา มาหาทางพ้นทุกข์กันในปัจจุบันดีกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พระเวสสันดรนี้ ผมขอแนะนำให้อ่านโดยตรงจากพระสูตร ที่เป็นคัมภีร์ที่มีความน่าเชื่อถืดสูงสุดโดยตรง เลยน่ะครับ....
แต่ก็ไม่ได้บังคับให้เชื่อตามพระสูตรน่ะครับ.... เพราะการบังคับให้เชื่อตาม ก็ไม่ใช่ลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นกันครับ



ส่วน เรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ระดับหลังที่มีความน่าเชื่อถือต่ำกว่าพระสูตรลดหลั่นกันลงมา.... ก็แล้วแต่ล่ะคนน่ะครับ ใครจะพิจารณาอย่างไร...




อนึ่ง ถ้า ท่านผู้ใดสงสัยเรื่อง การสละพระโอรส-พระธิดา-พระชายา ให้เป็นทานเพื่อมุ่งโพธิญาณ ของพระเวสสันดร....

ก็ขอให้ดูโดยตรง ในพระชาติสุดท้าย..... ที่เจ้าชายสิตทัตถะตัดใจจากพระโอรส-พระชายา ออกครองเพศบรรพชิต เพื่อมุ่งแสวงหาวิมุติธรรมมาสอน เรา-ท่าน ทั้งหลาย
ดูดีๆ นี่ก็เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ เช่นกันน่ะครับ.
ก็ในพระชาติสุดท้าย ก็ทรงกระทำบำเพ็ญเช่นนี้.... แล้ว ทำไมชาติก่อนๆ จะทรงกระทำบำเพ็ญไม่ได้ล่ะครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ พระเวสสันดร กำหนดค่าไถ่ตัว พระโอรสธิดา

มีอยู่ ในพระสูตรเช่นกัน

พระไตรปิฎก เล่มที่ 28



[๑๒๒๙] ข้าแต่สมเด็จพระอัยกา พระบิดาทรงตีราคาเกล้ากระหม่อมฉันมีค่าทองคำ
พันแท่ง ทรงตีราคาพระน้องกัณหาชินาผู้มีพระพักตร์อันผ่องใส ด้วย
สัตว์พาหนะมีช้างเป็นต้นอย่างละร้อยๆ แล้วได้พระราชทานแก่พราหมณ์.
[๑๒๓๐] เหวยพนักงาน เองจงลุกขึ้นรีบไปนำทาส ทาสี ช้าง โค และโค
อุสภราช อย่างละร้อยๆ กับทองคำพันแท่ง เอามาให้แก่พราหมณ์เป็น
ค่าถ่ายพระหลานรักทั้งสอง.
[๑๒๓๑] ลำดับนั้น พนักงานรีบไปนำทาส ทาสี ช้าง โค และโคอุสภราช
อย่างละร้อยๆ กับทองคำพันแท่งเอามาให้แก่พราหมณ์ เป็นค่าถ่าย
สองพระกุมาร.
[๑๒๓๒] พนักงานได้ให้ทาส ทาสี ช้าง โค และโคอุสภราช แม้ม้าอัศดร รถ
และเครื่องใช้สอยทุกอย่างๆ ละร้อยๆ กับทองคำพันแท่ง แก่พราหมณ์
ผู้แสวงหาทรัพย์ ผู้ขอเกินประมาณ หยาบช้า เป็นค่าถ่ายพระกุมาร
ทั้งสอง.





และ ตรงจุดนี้ บรรยาย ตอนที่พระเวสสันดร ให้มหาทาน
ลองอ่านดูดีๆน่ะครับ บางท่านอาจจะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น


[๑๒๒๓] ข้าแต่พระอัยกามหาราช

พระบิดาของเกล้ากระหม่อม พระราชทานเกล้ากระหม่อมทั้งสองแก่พราหมณ์แล้ว ได้ทรงสดับถ้อยคำร่ำพิลาป ที่พระน้องกัณหาได้กล่าวแล้ว.

[๑๒๒๔] ทรงมีพระหฤทัยเป็นทุกข์และเร่าร้อน มีดวงพระเนตรแดงดังหนึ่งดาว
โรหิณี และมีพระอัสสุชลหลั่งไหล
.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เกี่ยวกับเรื่อง ผู้ที่ติดตามสร้างบารมีกับพระพุทธเจ้า ที่สำคัญ คือ พระชายา และ พระโอรส-ธิดา

มีข้อมูลจากพระไตรปิฎก ที่แสดงให้เห็นว่า
ผู้ที่มุ่งติดตามสร้างบารมีกับพระพุทธเจ้านั้น ต้องเคยตั้งจิตอธิษฐานเช่นนั้นมาก่อนแล้ว หลายต่อหลายภพชาติ ว่า..... จะยินดี พร้อมใจ ร่วมบำเพ็ญบารมีกับพระโพธิสัตว์ และ ยินดีที่จะสละทุกอย่าง ตามพระโพธิสัตว์

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

ยโสธราเถริยาปทานที่ ๘
ว่าด้วยบุพจริยาของพระยโสธราเถรี



"....ขอพระองค์พึงทรงระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของ
หม่อมฉันเถิดข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันสั่งสมบุญไว้เพื่อ
ประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันงดเว้น
อนาจารในสถานที่ไม่ควร แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์แก่
พระองค์ได้ ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อให้
เป็นภรรยาผู้อื่นหลายพันโกฏิกัป ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อม
ฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทาน
หม่อมฉันเพื่ออุปการะหลายพันโกฏิกัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์
หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์
ประทานหม่อมฉันเพื่อประโยชน์เป็นอาหารหลายพันโกฏิกัป หม่อม-
ฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย หม่อมฉันบริจาคชีวิตหลายพันโกฏิกัป
ประชุมชนจักทำการพ้นจากภัย ก็ยอมสละชีวิตของหม่อมฉันให้....."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่ผู้ใดจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ศาสดาเอกของโลกได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ต้องสั่งสมบุญญาบารมีให้ครบถ้วน
ซึ่งต้องใช้เวลาหลายกัปหลายกัลป์
การยกลูกหรือภรรยาของตนให้กับคนอื่นได้นั้น
ปุถุชนอย่างเรา มิใช่ทำกันได้ง่ายๆ
เป็นการบำเพ็ญทานบารมีที่สูงส่ง
ที่เรียกกันว่าเป็นมหาทานบารมี
เพราะเป็นการให้ทานด้วยของรักของหวงแหน
ยากที่ปุถุชนอย่างเราจะเข้าใจและกระทำได้

ตราบใดชีวิตยังขอตั้งจิตอธิษฐาน
จงมีของให้ทานตลอดกาลจวบชีพวาย
ดวงจิตจงผ่องแผ้วให้ทานแล้วอย่าเสียดาย
ขอสัตว์โลกทั้งหลายจงสมหมายตามต้องการ


ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม


ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธู...... :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย damjao เมื่อ 01 ก.ย. 2009, 10:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 21:08
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือจริงๆแล้ว เราเป็นแค่เด็กม.6 ที่เรียนวิชาพระพุทธแล้วสงสัยเฉยๆอะค่ะ

ไม่ได้ฝักใฝ่ธรรมอะไรขนาดนั้น พออ่านแล้วเลยงงนิดๆ

สรุปว่ายังไงคะ

พระเวสสันดรเสียสละ และทำให้คนรอบข้างต้องเสียสละไปด้วย?

หรือในสมัยโบราณ พ่อมีสิทธิ์ในตัวลูก การยกลูกให้ใครต่อใครจึงเป็นการตัดสินใจของพ่อ
และในเมื่อมันเป็นแบบนั้น พอชูชกมาขอ ก็เลยต้องให้ แม้ว่าจะเสียใจที่ทำให้ลูกต้องลำบาก?

แล้วความที่ยอมทนเสียใจเจ็บปวด ในการให้ลูกกับคนอื่น อันนี้คือที่มาของบุญที่ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าหรอคะ?




ปล. ขอคำอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆด้วยค่ะ ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกอะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สรุปว่ายังไงคะ


ขออภัยจ๊ะ

ไม่ทราบว่า หนูเรียน ม.6 (เท่าลูกสาวคนโตของอาเลย)

อา มาแสดงข้อมูลให้
ชอบให้คนอ่านสรุปประมวลเอาเอง




อ้างคำพูด:
พระเวสสันดรเสียสละ และ ทำให้คนรอบข้างต้องเสียสละไปด้วย?


แสดงว่า หนูอ่านผ่านจุดสำคัญไป

คนรอบข้างพระเวสสันดรนั้น ท่านสมัครใจ ตั้งจิตอธิษฐานมาเช่นนั้นๆ ว่า "จะพร้อมสละทุกอย่าง ดำเนินตามพระเวสสันดรทุกอย่าง เพื่อร่วมสร้างบารมีกับพระเวสสันดร" มาไม่รู้จะกี่ภพต่อกี่ชาติ

หาใช่ว่า เป็นเพราะเวสสันดรเสียสละ เลยต้องให้คนรอบข้างเสียสละไปด้วย


หนูได้อ่าน ที่พระนางยโสธรา กล่าวไว้ไหม

"....ขอพระองค์พึงทรงระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของหม่อมฉันเถิด

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันสั่งสมบุญไว้เพื่อประโยชน์แก่พระองค์

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันงดเว้นอนาจารในสถานที่ไม่ควร แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์แก่
พระองค์ได้


ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อให้เป็นภรรยาผู้อื่นหลายพันโกฏิกัป ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย

ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่ออุปการะหลายพันโกฏิกัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์
หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย

ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อประโยชน์เป็นอาหารหลายพันโกฏิกัป หม่อม-
ฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย


หม่อมฉันบริจาคชีวิตหลายพันโกฏิกัปประชุมชนจักทำการพ้นจากภัย ก็ยอมสละชีวิตของหม่อมฉันให้....."


แม้น แต่ กัณหา-ชาลี ก็เช่นกัน...ท่านทั้งสอง ก็ตั้งสัจจะอธิษฐานมาเช่นนี้ นานๆๆๆๆแล้ว .


ในอดีต มีหลายชาติ ที่พระพุทธองค์ทรงสละชีวิตพระองค์เองเป็นทาน... ซึ่งยังถือว่า สละได้ง่ายกว่า และ เป็นทานที่ต่ำกว่าการสละสิ่งที่รักสุด คือ ลูกทั้งสองในชาติแห่งพระเวสสันดร




อ้างคำพูด:
แล้วความที่ยอมทนเสียใจเจ็บปวด ในการให้ลูกกับคนอื่น อันนี้คือที่มาของบุญที่ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าหรอคะ?


คำคอบคือ ใช่

ผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องสละได้ทุกอย่าง .... กำลังใจนั้น ไม่มีใครจะเทียบได้เลย

ถึงมีคำกล่าวว่า "น้ำพระทัย ใจพระพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดจะเปรียบได้"



ถ้าจะถามต่อว่า ถ้าไม่สละถึงขนาดนี้ จะบรรลุพระโพธิญาณได้ไหม???

คำตอบคือ ไม่

ผู้ที่จะบรรลุพระโพธิญาณ สามารถขนหมู่เวไนยสัตว์ข้ามโอฆสงสารได้ ต้อง มีพระหทัยที่ไม่มีประมาณเช่นนี้...

ถ้าปราศจากพระหทัยที่ไม่มีประมาณเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ากระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้





มีอะไร สงสัย ก็พูดคุยซักถามได้

แต่ อาอาจจะตอบช้าหน่อยน่ะ... งานภาระมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ ในกรณีย์การให้ทานของพระเวสสันดร ผมก็เคยคิด
คิดจนขี้เกียจคิด แต่มันก็ได้คำตอบมากมาย ที่เป็นคำตอบจากการคิด
ความรู้จากการคิดมันเป็นกระบวนการหาความรู้ที่ยังไม่อาจสรุปได้ว่า จริงแท้รึเปล่า
แต่ก็ไม่น่าเสียหาย ถ้าหากเราจะให้อิสรภาพแก่ตัวเองในการคิด แม้ในสิ่งที่เหนือการคิด

สิ่งสำคัญที่สุดหากว่าเราจะมาหาคำตอบด้วยการขบคิด ในสิ่งที่เป็นอจินไตย ซึ่งเหนือวิสัยคิด
เราควรที่จะต้องวางจิตไม่ให้มั่นหมาย มั่นใจในคำตอบอย่างสุดตัว ต่อให้เหตุผลในคำตอบ
นั้นจะดูสอดคล้องรองรับกันดี เราก็ยังต้องแค่สักว่ารู้ ในสิ่งที่รู้ และไม่ปิดโอกาส
การมองหาคำตอบใหม่ๆอยู่เสมอ

การมาคิดพิจารณาในขอบเขตของวิสัยของมหาโพธิสัตย์ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าต่อการ
จะมาตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า อาจต้องเสี่ยงต่อการถูกมองว่าลบหลู่จากผู้ที่ศรัทธา
ถ้าหากความคิดที่ออกมานั้น มีทิศทางทำให้ความบริสุทธิ์ของพระองค์ต้องด่างพร้อย
ผู้ที่มีใจศรัทธาในพุทธโดยมากจึงพยามคิด เพื่อช่วยให้พระองค์พ้นไปจากการถูกมองในแง่ลบ
เพราะผู้คิดดี ก็จะเป็นผู้ปลอดโปร่งเจริญเอง และไม่เสี่ยงต่อบาปธรรม

ผมก็เคยมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แค่เป็นความคิดเล่นๆของคนที่ยังไม่รู้ความ
ในตอนนั้นผมก็คิดอย่างเดียวกับเจ้าของกระทู้ และมองเลยไปอีกว่า
เรื่องพระเวสสันดรเป็นแค่นิทานที่ถูกแต่งขึ้นโดยไม่ใช่คำบอกเล่าจากพระพุทธองค์

และเป็นการแต่งขึ้นอย่างมีแง่มุมชวนแปลกใจมากมาย เช่นการให้ทานทั้งหมด
ของพระเวสสันดร ถึงที่สุดในตอนจบ อะไรที่ให้เขาไปก็ได้คืนมาหมด
แม้แต่การออกบวช ก็ยังลาเพศนักบวชคืนมาสู่ฆราวาส ตรงจุดของการ
ทิ้งทุกสิ่งไปบวชแล้ว สละทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังกลับมามีทุกอย่างเหมือนเช่นเคย
หากมองดูเผินๆก็เหมือนไม่ได้สละอะไรออกไปเลย แถมการออกบวชก็ล้มเหลวด้วย
เพราะถ้าหากจิตของโพธิสัตย์เจริญแล้วในธรรม และตัดทางโลกได้เหมือนเมื่อเริ่มแรก
ที่ตนออกบวช โพธิสัตย์ต้องมีตอนจบที่ไม่ทิ้งเพศพรหมจรรย์มาเป็นคฤหัสอีก

โดยส่วนตัวผมคิดว่า เรื่องพระเวสสันดร เป็นสิ่งที่มีนัยแฝงอยู่มากมาย
ที่ต้องการสอนและชี้ให้เป็นมุมมองเฉพาะแง่ของการให้ทาน อย่างที่มนุษย์สามัญจะทำไม่ได้
และไม่ได้ทำ หากประวัติแท้จริงของพระพุทธองค์เมื่อพระชาติสุดท้ายก่อนตรัสรู้
คือพระเวสสันดรแท้จริง และได้สละแล้วซึ่งบ้านเมือง บุตร ภรรยา ตลอดทั้ง
เรื่องราวทางโลกทั้งหลาย ผมคิดว่าการสละตนออกบวชอาจเป็นเรื่องจริง
และแค่การออกบวชก็แสดงให้เห็นถึงจิตที่ยอมตัด อาลัยในอำนาจสมบัติ ในบุตรในภรรยา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากต่อการกระทำแล้ว ส่วนเรื่องราวของชูชก ของเทวดา น่าจะเป็น
ส่วนเสริมที่ถูกแต่งเป็นนิทานขึ้นมาขยายความ การสละโลกของพระเวสสันดร เพื่อตอกย้ำ
เรื่องราวให้ดูมีสีสันและยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น

เทวดาอาจเปรียบเหมือนเรื่องดีๆ ชูชกอาจเปรียบเหมือนเรื่องร้ายๆ
การตัดใจเพื่อบวชก็คือการปล่อยวาง ปล่อยให้บุตรภรรยาต้องเจอต้องผจญกับเรื่องดีหรือร้าย
กันเองโดยลำพังของพวกเขา โดยที่โพธิสัตย์ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการ
จะทิ้งลูกทิ้งภรรยาไปบวช

คำว่ายกให้ น่าจะหมายถึงการปล่อยพวกเขาให้ อยู่ต่อสู้กับเรื่องดีและร้ายกันเอง
ด้วยการออกบวช โดยที่โพธิสัตว์ต้องตัดใจไม่ไปเกี่ยวข้องช่วยเหลือและผูกพันธ์อีก


ที่ผมแสดงความเข้าใจส่วนตัวมายืดยาว มันก็แค่การคิด ด้วยวิสัยคิด
มันไม่ใช่คำตอบที่ใช่สำหรับคุณเจ้าของกระทู้จะถือเอาเป็นคำตอบ
แต่มันเป็นแค่แง่มุมการคิด อีกแง่มุมหนึ่งเมื่อหากคุณอยากจะเพิ่มรายละเอียด
ของเรื่องราวความรกในสมองให้มากขึ้น

ผมร่วมบันเทิงธรรมด้วยเท่านี้ครับ เชิญเปิดใจรับข้อมูลกว้างๆจากหลายๆท่านครับ


:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เข้ามานี้..ไม่ได้คิดจะตอบ จขกท.

เพราะครั้งหนึ่ง..เคยใช้ความรู้สึก..นึก..ไปถึง..การให้..มหาทาน..(นึกไปแบบไหนก็บอกไม่ถูก..รู้แต่ขณะนั้น..ใจมีแต่น้อบน้อม) แล้ว..ก็ได้คำตอบแบบ..รู้สึก ๆ..ว่า..ใช่เลย..เป็นมหาทาน..จริง ๆ..และเป็นได้อย่างไร..

แต่ความรู้สึกแบบนั้น..จำไม่ได้แล้ว..จะทำให้รู้สึกอย่างนั้น..ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว..และไม่อาจจะเขียนเป็นตัวหนังสือ..ให้อ่านแล้ว..รู้สึกแบบนั้นได้อีก..ได้แต่รู้..

และจะให้บอกวิธี..ทำความรู้สึก..แบบนั้น..ก็บอกไม่ได้อีก..

สรุปว่า..ที่รู้มา..กลับไม่มีประโยชน์ กับ จขกท..เลย

นี้แหละที่ว่า..ทำไม..ไม่คิดตอบ จขกท...

ตรงประเด็น เขียน:

ในอดีต มีหลายชาติ ที่พระพุทธองค์ทรงสละชีวิตพระองค์เองเป็นทาน... ซึ่งยังถือว่า สละได้ง่ายกว่า และ เป็นทานที่ต่ำกว่าการสละสิ่งที่รักสุด คือ ลูกทั้งสองในชาติแห่งพระเวสสันดร

ถ้าปราศจากพระหทัยที่ไม่มีประมาณเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ากระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้

มีอะไร สงสัย ก็พูดคุยซักถามได้

แต่ อาอาจจะตอบช้าหน่อยน่ะ... งานภาระมาก


ทำให้นึกถึง..พระเยซู...ยังงัยก็ไม่รู้ (นี้แหละจุดประสงค์ที่เข้ามาละ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


coldplay เขียน:
หรือในสมัยโบราณ พ่อมีสิทธิ์ในตัวลูก

น่าจะอย่างนั้นนะ
สมัยนี้ค่านิยมที่พ่อมีสิทธิ์ในตัวลูกยังเห็นอยู่นะ ผมว่า
ประเภทขายลูกกินน่ะ

อ้างคำพูด:
การยกลูกให้ใครต่อใครจึงเป็นการตัดสินใจของพ่อ

ประมาณประเพณีคลุมถุงชนก็ยังมีให้เห็น

อ้างคำพูด:
พอชูชกมาขอ ก็เลยต้องให้ แม้ว่าจะเสียใจที่ทำให้ลูกต้องลำบาก?

อันนี้ เป็นเรื่องราวของการบำเพ็ญทานบารมี

อ้างคำพูด:
แล้วความที่ยอมทนเสียใจเจ็บปวด ในการให้ลูกกับคนอื่น อันนี้คือที่มาของบุญที่ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าหรอคะ?

ผมว่า ไม่ใช่ ความที่ยอมทนเสียใจเจ็บปวดหรอกครับ ที่เป็นบุญที่ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า
สิ่งที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า

คือ การไม่เห็นแก่ตัวอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าผู้ที่ร้องขอจะเป็นใคร ชนชั้นใด วรรณใด
แม้ว่าสิ่งที่ให้จะมีค่าแค่ไหน...
คือ การเป็นผู้ให้(สละ)อย่างถึงที่สุด อย่างเท่าเทียมเสมอภาค
ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้ อัตตาต้องสิ้น และพลังเมตตาต้องกว้างใหญ่ดั่งผืนแผ่นดิน
ที่โอบอุ้มคนทุกคนโดยไม่แบ่งแยกชั่ว-ดี สูง-ต่ำ วรรณะใด ๆ
ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ อาจจะไม่ต้องสละลูกให้ใครก็ได้
แต่ต้องผ่านการทดสอบนี้...แค่นั้นเอง
จำเป็นมั๊ย...ที่ต้องผ่าน
ผมว่าจำเป็นนะ...และจำเป็นมาก ๆ ด้วย...
ใครจะนับถือพระพุทธเจ้าที่ละอัตตาได้ไม่สิ้น และยังมีเมตตาแบบลำเอียง มีข้อแม้ได้ล่ะ...

ความคิดส่วนตัว ร่วมสนุกเฉย ๆ

:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม... สิ่งที่มหาบุรุษของโลก รัก..เทิดทูลยิ่งกว่าชีวิตตนเอง..คืออะไร

ตอบ... ลูก และภริยา

ก่อนหน้านั้น พระองค์พุทธเจ้า เคยบริจาคชีวิตตนเองให้เป็นอาหารของสัตว์อื่นแล้วหลายคชาติ......ในเมื่อพระองค์สละ บุตรและภริยาที่รักได้..ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดในจักรวาล..ที่พระองค์สละเพื่อผู้อื่นไม่ได้ อีกต่อไป



ถาม... ทหารที่ทิ้งลูกเมียไปรบ...เป็นคนเห็นแก่ตัวหรือไม่???

ถาม......ถ้าพระเวสสันดรไม่มีจิตเด็ดเดี่ยวพอ..ที่จะบริจาค บุตรและภริยา พระองค์จะมีพลานุภาพแห่งจิต..พอที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้หรือไม่
และถ้าพระองค์ไม่ได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า...แล้วลูกเมีย คือ พระนางพิมพา พระราหุล และพระกุมารกัสสปะ จะมีโอกาสบรรลุอรหันต์ตามพระองค์..เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้หรือไม่


ตอบ.........????

การให้โอรสธิดาเป็นทานของพระเวสสันดรอาจสรุปได้เป็นประเด็นๆดังนี้

๑)เป็นเรื่องของปุตตทารบริจาค ..อันเป็นทานบารมีระดับหนึ่งที่มีเงื่อนไขผูกพันอยู่กับการจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าคือ พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อการตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้านั้นจะต้องมีพื้นฐานทางการเสียสละสูงมาก แม้ชีวิตก็อาจสละได้ การให้บุตรธิดาเป็นทาน จึงเป็นเรื่องที่พระองค์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่งคือ

ถ้าต้องการเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยสัตว์โลกให้ได้ก็ต้องสละบุตรธิดาเป็นทานได้ หากสละบุตรธิดาเป็นทานไม่ได้ ก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ซึ่งเงื่อนไขที่คนต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับคนที่มีอุดมการณ์เพื่อทำงานอันเป็นประโยชน์ต่อคนมาก เช่น ทหารผู้ต้องไปราชการสงคราม ถ้าต้องการทำหน้าที่ของทหารก็ต้องทอดทิ้งลูกเมียไว้ที่บ้านบ้าง เพราะหากผู้เป็นทหารอยู่แต่ภายในบ้านจะปฏิบัติราชการสงครามได้อย่างไร แม้คนทำงานเพื่ออุดมคติอย่างอื่นเช่น ตำรวจ แพทย์ พยาบาล ครู เป็นต้น ก็ต้องพบกับการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ

๒)เป็นเหตุผลที่บิดาผู้รักและหวังดีต่อบุตรธิดาจะต้องกระทำ เพราะพระเวสสันดรเองไม่ทราบว่าการผนวชเป็นดาบสของพระองค์จะยุติลงเมื่อไร พระโอรสธิดานั้นยังเยาว์วัยยังมีอนาคตจำเป็นจะต้องได้รับการศึกษาในบ้านเมือง เมื่อชูชกมาขอจึงให้ไป ซึ่งสามารถตีค่าไถ่กลายเป็นเศรษฐีได้ทันที ชูชกแกไม่โง่จนถึงกับนำพระราชกุมาร ราชกุมารีทั้งสองไปเป็นคนใช้ เพราะชูชกทราบดีว่าค่าไถ่ขนาดนี้ คนอื่นไม่มีใครเขาไถ่หรอกนอกจากพระเจ้าสัญชัยแห่งเชตุดรผู้เป็นพระอัยกา ซึ่งตามเรื่องก็เป็นเช่นนั้นถ้ามองในจุดนี้การให้ทานของพระเวสสันดรแทนที่จะเป็นผลดีแก่ชูชกฝ่ายเดียวกลับได้ประโยชน์มหาศาลทั้งแก่พระองค์ พระญาติวงศ์ทั้งมวล ตามเนื้อเรื่องในนครกัณฑ์

๓)เพื่อป้องกันอันตรายแก่พระโอรสธิดา เพราะการอยู่ในป่าอาจเกิดอันตรายได้ ทั้งเป็นการสร้างความกังวลในการบำเพ็ญเพียรของพระองค์ และเป็นการขัดขวางโอกาสแห่งการศึกษาของพระโอรส พระธิดา การส่งกลับเมืองด้วยวิธีให้แก่ชูชก จึงเกิดผลอย่างสมบูรณ์แก่คนทุกฝ่าย อาจจะมีข้อโต้แย้งว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงนำพระโอรส พระธิดาเข้าป่ามาด้วย ไม่เอาไว้ในเมืองกับพระอัยกาเสียเลยเล่า? ข้อนี้เราพบว่าเหตุการณ์ตอนนั้นมีกระแสการต่อต้านสูงมาก โดยเหตุผลจำเป็นต้องผ่อนคลายสถานการณ์ให้อ่อนความรุนแรงลงทั้งการพรากจากในลักษณะนั้นรุนแรงเกินกว่าที่จะเพิ่มการพลัดพรากจากลูกเข้าไปอีก แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านมานานพอสมควรแล้ว ทุกคนกลับได้ความคิดที่สมเหตุสมผลขึ้น ทุกอย่างจึงดำเนินไปในแนวทางที่ถูกที่ควรเสียทีและผลก็ออกมาเช่นนั้นจริงๆ



จากเวป http://www.engr.tu.ac.th/forums/index.p ... topic=8983


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คือเป็นแบบทดสอบมหาพระโพธิสตว์ ข้างบนจะจัดสรร บททดสอบ ที่กระทำได้ยากยิ่ง ในชาตินั้นพระเวสสันดร ยังต้องถูกเนรเทศ ออกจากเมือง เพราะถวาย ช้างคู่บ้านคู่เมือง

คนตัวเล็กๆ จะไปเข้าใจความคิดของผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรกัน

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 22:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
คนตัวเล็กๆ จะไปเข้าใจความคิดของผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรกัน


ว๊าววววววว

ขอก๊อปไว้ใช้เลยนะครับ ชอบมาก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร