วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 05:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 10:01
โพสต์: 5

งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ดังตฤน
ชื่อเล่น: Oat
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมจิตใจถึงไม่สามารถสัมผัสถึงบุญกุศลที่เคยสร้างได้ ทั้งที่พยายามระลึกแล้ว

เราทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ ภาวนาเกือบทุกวัน
ทุกวันพระ งดเว้นเนื้อสัตว์ ตักบาตร กรวดน้ำ
และทำสังฆทาน ปล่อยสัตว์ ไหว้พระทุกเดือน ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ให้สัจจะเลิกทานเนื้อวัวด้วย

ชีวิตและนิสัยปกติ ไม่เบียดเบียนใคร ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อมีน้ำใจกับผู้อื่น เป็นที่รักของทุกคน

ตอนทำบุญก็รู้สึกอิ่บเอิบทุกครั้ง ได้ฟังธรรมก็เบิกบานจิต

ชีวิตก็ดี ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเพียงแต่สงสัยว่า

หลังจากทำบุญกุศลแล้ว มานึกถึงถึงบุญที่เราทำไว้ ไม่เห็นรู้สึกอิ่มเอิบใจอะไรเท่าไหร่เลย อย่างนี้เพราะอะไร ผิดกับแฟน ที่ไปทำบุญด้วยกันตลอด เขาจะนึกถึงบุญกุศลที่เขาทำอยู่เสมอๆ แล้วเขาก็อิ่บเอิบใจทุกครั้ง แต่เราพยายามเหมือนกัน แต่ทำไมไม่รู้สึกเหมือนกับเขา :b26:

.....................................................
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 20 ก.ย. 2009, 06:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nuda3 เขียน:
ทำไมจิตใจถึงไม่สามารถสัมผัสถึงบุญกุศลที่เคยสร้างได้ ทั้งที่พยายามระลึกแล้ว

เราทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ ภาวนาเกือบทุกวัน
ทุกวันพระ งดเว้นเนื้อสัตว์ ตักบาตร กรวดน้ำ
และทำสังฆทาน ปล่อยสัตว์ ไหว้พระทุกเดือน ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ให้สัจจะเลิกทานเนื้อวัวด้วย

ชีวิตและนิสัยปกติ ไม่เบียดเบียนใคร ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อมีน้ำใจกับผู้อื่น เป็นที่รักของทุกคน

ตอนทำบุญก็รู้สึกอิ่บเอิบทุกครั้ง ได้ฟังธรรมก็เบิกบานจิต

ชีวิตก็ดี ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเพียงแต่สงสัยว่า

หลังจากทำบุญกุศลแล้ว มานึกถึงถึงบุญที่เราทำไว้ ไม่เห็นรู้สึกอิ่มเอิบใจอะไรเท่าไหร่เลย อย่างนี้เพราะอะไร ผิดกับแฟน ที่ไปทำบุญด้วยกันตลอด เขาจะนึกถึงบุญกุศลที่เขาทำอยู่เสมอๆ แล้วเขาก็อิ่บเอิบใจทุกครั้ง แต่เราพยายามเหมือนกัน แต่ทำไมไม่รู้สึกเหมือนกับเขา :b26:



ก็เป็นปกตินี่ครับ เพราะสิ่ง ที่ปรากฎนั้น เราได้รับรู้ถึงอารมณ์ตรงนั้นแล้ว แต่มีอารมณ์อื่น ขึ้นมาแทรกแซงอารมณ์ดังกล่าว เร็วกว่า คุณผู้หญิง เท่านั้นเอง

การเข้าใจในธรรม ความอ่อนโยนของจิตใจ ความเมตตาที่เกิดขึ้นในจิตใจ ก็เป็นตัวบ่งบอกถึง ศรัทธาได้ ผู้ที่มีศรัทธามากเมื่อนึกถึงบุญที่เขาสร้างไว้แล้ว ก็จะเกิดความอิ่มเอิมใจได้ง่าย กว่า ผู้ที่ยังมีศรัทธา อ่อนอยู่

เพราะฉะนั้นถ้าต้องการมีความรู้สึกอิ่มเอิบใจเวลาเรานึกถึงบุญที่เราทำนั้น ก็ต้อง สร้างศรัทธา ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มากขึ้นกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการ อ่านหนังสือ ประวัติเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไม พระองค์ จึงเสียสละ เวลา ตั้ง 20 อสงไขย เพื่อให้พวกเราได้รับธรรมะ ได้รู้ธรรมะ ตามที่พระองค์ได้สะสมอบรมบารมีมาเป็นตั้งนานชาติ จนนับชาติแทบไม่ได้

อันนี้แหละครับที่จะช่วยให้เรามีศรัทธาในพระพุทธศานามากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนได้ และเราก็กลับมาลองเปรียบเทียบดูว่า ที่เราไปศึกษาเพิ่มเติมมานั้น ทำให้เวลาเรานึกถึงบุญกุศลแล้ว ในจิตใจเราเกิดมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางใด ขึ้นหรือลง หรือ ไม่ขึ้นไม่ลง เราก็จะบอกกับตัวเราเองได้ ไม่ต้องให้ใครบอกว่า เรามีศรัทธา มากหรือน้อย

:b55: :b55: :b55:

ขออนุโมทนากับท่านด้วยนะครับ ที่ทำบุญสร้างกุศล
สวัสดีครับ

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 20 ก.ย. 2009, 06:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บุญ อาจจะไม่ได้มีหน้าตาท่าทางแบบที่เราๆคิดกันอยู่ก็ได้น่ะ
ถ้าจะพูดถึงคำว่าบุญ หรือที่จริงใช้คำว่า กุศลจิต

กุศลจิต มีตั้งหลายชนิดน่ะ ไม่ใช่แค่ปิติ

ต้องศึกษาหาความรู้ด้วยการเจริญสติ เจริญสมาธิ ไปเรื่อยๆ
จะเข้าใจเองว่าจิตเรานี่มันมีสิ่งที่เรียกว่า"กุศลจิต" หรือ"บุญ" ตั้งหลายชนิดนะ

อยากได้บุญก็ทุกข์ เห็นไม๊
บุญมันไม่มีรสชาดอย่างที่เราต้องการ เราก็เป็นทุกข์ เห็นมั๊ย
เพราะอะไร

เพราะเราคาดหวังผล ผลลัพธ์ ว่าทำแล้วต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้
ต้องรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้
แล้วเราไม่มีสติมาคั่นขาดความอยากอันนี้ เราก็หลงไปกับความอยากเลย หลงไปกับความคิดปรุงแต่งว่าบุญต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น

พระท่านถึงสอนให้เรา "รู้อยู่เฉยๆ"
บุญจะมาหรือไม่มา ก็ไม่ต้องไปคาดหวังวัน
บาปจะมา ก็อย่าไปกลียดมัน ดูมันไปเฉยๆ
แล้วปัญญาของเราที่เรียกว่าภาวนามัยปัญญา มันจะเรียนรู้และเจริญขึ้นเอง

บุญบาปทั้งปวงนี่นะ ตอนนี้นึกไม่ออก
แต่อยู่มาวันดีคืนดี เรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะนึกออก ก็นึกขึ้นมาซะอย่างนั้น
อย่าไปอาอะไรกับความทรงจำเลย ความทรงจำก็เป็นสัญญาขันธ์
สัญญาเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์
ขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์ ไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้
ไม่มีตัวมีตนจริงๆจังๆอะไรพอที่จะน่ายึดเลย


ปล. แอบบอกความลับให้นะ

บุญแล้วยังไง มีบุญมากๆ ตายไปก็ไปเป็นเทวดา
เทวดาแล้วยังไง อยู่กับทิพยสุข นานเข้าๆก็ติดใจ หลง ตัดใจไม่ได้
คิดว่าความสุขเที่ยง เลยไม่ยอมภาวนา

แต่สุดท้ายเทวดาก็ตายนะ บุญหมดก็ดับเหมือนกัน
ลงไปเกิดลดระดับลงไปตามยถากรรม
เหมือนเริ่มต้นใหม่หมด เริ่มต้นสะสมบุญใหม่
ถามว่าต้องทำไปถึงเมื่อไหร่ จุดหมายปลายทางอยู่ไหน

เพราะฉะนั้น ทำบุญอย่าอยากบุญนะครับ
ทำบุญให้มันมันเป็นปกติธรรมดาในชีวิต เอาแค่พอดีๆ
ถ้าทำแล้วยังไม่อิ่ม ไม่พอ ยิ่งทำยิ่งหิว
อันนี้ต้องถามตัวเองว่าเรามีความผิดพลาดตรงไหน
ก็ค่อยปรับหาความพอดีให้เจอ

:b8:


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 20 ก.ย. 2009, 06:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


nuda3 เขียน:
ทำไมจิตใจถึงไม่สามารถสัมผัสถึงบุญกุศลที่เคยสร้างได้ ทั้งที่พยายามระลึกแล้ว

เราทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ ภาวนาเกือบทุกวัน
ทุกวันพระ งดเว้นเนื้อสัตว์ ตักบาตร กรวดน้ำ
และทำสังฆทาน ปล่อยสัตว์ ไหว้พระทุกเดือน ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ให้สัจจะเลิกทานเนื้อวัวด้วย

ชีวิตและนิสัยปกติ ไม่เบียดเบียนใคร ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อมีน้ำใจกับผู้อื่น เป็นที่รักของทุกคน

ตอนทำบุญก็รู้สึกอิ่บเอิบทุกครั้ง ได้ฟังธรรมก็เบิกบานจิต

ชีวิตก็ดี ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเพียงแต่สงสัยว่า

หลังจากทำบุญกุศลแล้ว มานึกถึงถึงบุญที่เราทำไว้ ไม่เห็นรู้สึกอิ่มเอิบใจอะไรเท่าไหร่เลย อย่างนี้เพราะอะไร ผิดกับแฟน ที่ไปทำบุญด้วยกันตลอด เขาจะนึกถึงบุญกุศลที่เขาทำอยู่เสมอๆ แล้วเขาก็อิ่บเอิบใจทุกครั้ง แต่เราพยามเหมือนกัน แต่ทำไมไม่รู้สึกเหมือนกับเขา :b26:


ข้าพเจ้าจะตอบตามรูปกาลที่คุณเขียนมา ว่า
สภาพจิตใจ ความคิดของคุณ มีความต้องการมากเกินไป จึงทำให้คลื่น ความต้องการของคุณ บดบัง หรือลบล้าง ความรู้สึกอิ่มเอิบใจ
เหตุเพราะ คุณทำบุญเพื่อหวังสิ่งตอบแทน นั่นก็หมายความว่า คุณมีคลื่นความคิด ความจำ ในอันที่ต้องการสิ่งตอบแทนจากการทำบุญ อยู่ในสมองและหัวใจของคุณ มาก จนทำให้คลื่นดังกล่าว ลบล้าง หรือบดบัง เพราะเป้นคลื่นที่แรงกว่า คุณจึงไม่เกิดความรู้สึกว่าได้สัมผัสกับบุญกุศลที่คุณได้กระทำไป
วิธีแก้ ให้คุณฝึกสมาธิมากๆ จนกระทั้ง สามารถหรือรู้จัก ควบคุมความคิด คือถ้าคิดอยากได้ผลตอนแทนในการทำบุญ สติ สัมปชัญญะของคุณ ก็จะกระตุ้นเตือนให้คุณไม่คิด หวังผลตอบแทนจากการทำบุญ
แต่ให้คุณตั้งใจที่จะทำบุญกุศลด้วยเห็นว่าเป็นความดีที่ควรกระทำ ไม่หวังสิ่งตอบแทน คือไม่คิดหวังใดใดทั้งสิ้น และกระทำอยู่บ่อย แล้วคุณจะรู้สึกสบายอกสบายใจ ไม่คิดฟุ้งเฟ้อ เพ้อเจ้อ นั่นหมายความว่า จิตใจของคุณได้สัมผัสกับบุญ
เมื่อคุณอ่านแล้ว ก็ขอให้คิดพิจารณาให้ดี เพราะคำตอบของข้าพเจ้า เป็นเพียงข้อแนะนำ จะทำได้หรือไม้่ได้ อยู่ที่ตัวคุณ ถ้าคุณเข้าใจ ประพฤติปฏิบัติไปเรื่อยๆ ผลบุญก็จะเกิดกับจิตใจของคุณ
ขอย้ำว่า ถ้าคุณสบายใจ ไม่คิดฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ นั้นแหละบุญได้เกิดขึ้นภายในจิตใจของคุณแล้ว


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโต



ผู้มีปีติในธรรมมีใจผ่องใสแล้วย่อมอยู่เป็นสุข
บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยะเจ้าประกาศแล้วในกาลทุกเมื่อ




ลองหายใจลึก ๆ เต็มปอดบ่อย ๆ แล้วท่องคาถานี้ดูสิครับ อาจจะชอบใจก็ได้ครับ



เจริญในธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 20 ก.ย. 2009, 06:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2009, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าอยากได้บุญ

จะได้บุญ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2009, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
อย่าอยากได้บุญ

จะได้บุญ


:b12:

แหน่ะ...

:b13:


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2009, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
อย่าอยากได้บุญ

- อย่าอยาก คือไม่มีอยาก
ไม่มีอยากคือสติ

mes เขียน:
จะได้บุญ


สติคือกุศลธรรมประเภทหนึ่ง
กุศลธรรมแปลว่าบุญ


เดี่ยวนี้คุณพี่ mes พูดน้อยต่อยหนักนะเนียะ :b32: :b28:


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:12
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยกับ คุณพุทธะ เลยล่ะ... :b35: :b35:


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2009, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนทำบุญก็รู้สึกอิ่บเอิบทุกครั้ง ได้ฟังธรรมก็เบิกบานจิต
ชีวิตก็ดี ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเพียงแต่สงสัยว่า

หลังจากทำบุญกุศลแล้ว มานึกถึงถึงบุญที่เราทำไว้ ไม่เห็นรู้สึกอิ่มเอิบใจอะไรเท่าไหร่เลย อย่างนี้เพราะอะไร ผิดกับแฟน ที่ไปทำบุญด้วยกันตลอด เขาจะนึกถึงบุญกุศลที่เขาทำอยู่เสมอๆ แล้วเขาก็อิ่บเอิบใจทุกครั้ง แต่เราพยายามเหมือนกัน แต่ทำไมไม่รู้สึกเหมือนกับเขา

:b4: :b4: :b4: จริง จริงแล้วสิ่งที่คุณเป็นอยู่ในปัจจุบันดีมาก มากเลยนะคะ เป็นสิ่งที่หลายคนแสวงหา ชีวิตที่ไม่มีอะไรต้องกังวล... จาบอกคุณว่าความรู้สึกที่อิ่มเอิบ และเบิกบานใจทุกครั้งที่ได้ฟังธรรม นั่นคือความสุข...การมีชีวิตที่ดีไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจ นั่นก็คือความสุขอีกเหมือนกัน...และความสุขทั้งหลายที่คุณได้รับนั่นก็เพราะบุญกุศลที่คุณได้ทำมา...ความอิ่มเอิบใจจะมากหรือน้อยอยู่ที่ใจคุณคิดเอง...อย่างน้อยก็ดีกว่าความรู้สึกที่เป็นทุกข์ไม่ใช่หรอคะ...(อันนี้ตอบตามความรู้สึกส่วนตัวอ่ะค่ะ ไม่ได้ตอบตามหลักพุทธศาสนาอะไรเลยค่ะ อิอิอิ)

ปล.(มั่ง :b12: ) จาบอกว่าเห็นด้วยกะทุกท่านเลยอ่ะคะ :b4: :b4: :b4:

:b55: :b55: :b55: นู๋เอค่ะ

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


แก้ไขล่าสุดโดย sasikarn เมื่อ 02 ต.ค. 2009, 00:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 01:32
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันคิดว่าไม่จำเป็นต้องระลึกเลยค่ะ ทำความดีอยู่แล้วก็ทำต่อไป อย่าให้ไฟเผาไหม้จิตใจด้วยการร้องขอ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น สิ่งที่ผ่านมาที่คุณได้ทำนั้นดีแล้ว เพียงแต่ตัดความอยากออกเท่านั้น ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะค่ะ ไม่ว่าจะได้สัมผัสผลจากบุญนั้นหรือไม่ การที่เราคิดว่าเราทำในสิ่งที่ดีที่สุด พอใจกับสิ่งที่ดีที่สุดนั้น ก็มีความสุขแล้ว เอาใจช่วยนะค่ะ ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข


โพสต์ เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยุ่ที่ในขณะที่ทำ เราบริสุทธิ์ใจไหม

อิ่มเอิบใจในขณะนั้นก็เพียงพอแล้ว

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร