วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 02:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากที่ พท.สอน ผมเข้าใจว่า เมื่อเราละเว้นความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม

แล้วจิตใจก็ผ่องใสเอง คือจิตที่ผ่องใสเป็นผลจากเหตุที่ได้ ละชั่ว ทำดี

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




019.jpg
019.jpg [ 23.83 KiB | เปิดดู 5386 ครั้ง ]
จิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวดั่งภูเขาศิลา
ไม่กำหนัดในอารมณ์
อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ไม่โกรธในอารมณ์
อันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ
จิตของบุคคลใด อบรมได้ดั่งนี้
ความทุกข์จะมีมาแต่ที่ใดเล่า ?




เจริญอริยะมัคคจิต 4 เป็นปัจจุบันขณะชื่อว่า ละบาปอกุศลทั้งหลายและยังกุศลให้ถึงพร้อม

บรรลุอริยะผลจิต 4 ชื่อว่าทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว



สาธุครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำดี ก็ตรงตัวค่ะว่าทำความดี ความดีที่เป็นสิ่งที่ทุกๆคนว่านั่นเป็นสิ่งดี ที่สำคัญต้องด้วยเจตนาที่ดี
ละชั่ว ก็ตรงตัวค่ะว่าละความชั่ว ชั่วที่เป็นสิ่งไม่ดีที่ก่อให้เกิดทุกข์ต่อทั้งตัวเองและผู้อื่น สำคัญที่ต้องละชั่วด้วยเจตนาที่ดี

ทำได้สองอย่างนั้น จิตใจก็เบิกบานแล้วค่ะ แล้วก็มาถึง ศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
kokorado : เขียน
ในโอวาทปาฏิโมกข์ กล่าว ว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส
สงสัยว่า ทำจิตใจให้ผ่องใส นี่ทำยังไง คือการนั่งสมาธิใช่หรือไม่

:b1:
...ตอบตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ...และการปฏิบัติจากประสบการณ์...จิตมันผ่องใสนึกเมื่อไหร่ก็ยินดี...
...การทำบุญ...ให้ทาน...รักษาศีล...ทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ด้วยกายวาจาใจ ทั้งก่อน-ขณะ-หลังทำ...
...การทำจิตใจให้ผ่องใสคือการซักฟอกจิตใจที่มืดมิดปิดตาด้วยอวิชชาที่กิเลสห่อหุ้มจิตเอาไว้...
...ทำได้หลายวิธี เช่น การทำสมาธิภาวนา การเดินจงกรม การฟังธรรม เป็นต้น...การนั่งสมาธิ...
...ที่เรียกว่าสมถกรรมฐาน...ฐานที่ตั้งแห่งงานทางธรรมก็คือกายและจิตเรา...ทำให้สงบระงับ...

:b8:
...เพื่อให้จิตมั่นคง...มีกำลังเพื่อต่อสู้กับกิเลส...จิตที่ฟุ้งซ่านไม่สงบระงับจะทำให้ไม่เห็นตามจริง...
...เมื่อจิตสงบตั้งมั่น...ไม่ให้ลดละทำความเพียรฆ่ากิเลสด้วยการวิปัสสนากรรมฐาน...พอสติรู้ตัว...
...สัมปชัญญะระลึกรู้จิตที่ปกปิดด้วยอวิชชา...(ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อันไหนสะอาด สวยงาม)...
...สัมปชัญญะจะทำให้เกิดปัญญา...อันนี้ต้องหมั่นพิจารณาบ่อยๆให้จิตยินดีในร่างกายตนเอง...
...จิตต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของ...จิตรู้เนื้อรู้ตัวเกิดศรัทธามั่นคงเมื่อไหร่...จิตย่อมผ่องใส...


เทศน์ขององค์หลวงตามหาบัว...ท่านเอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอน
อานิสงส์ของการฟังพระธรรมเทศนา มี 5 อย่าง
1. ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยิน
2. สิ่งที่ได้ยินมาแล้วเข้าใจชัดเจนขึ้น
3. ทำให้หายสงสัย
4. ย่อมทำความเห็นให้ตรง
5. จิตผู้ฟังย่อมผ่องใส
ท่านให้ข้อคิดว่าธรรมเป็นน้ำสะอาดชะล้างจิต...ธรรมของพระพุทธเจ้ามีไว้ฆ่ากิเลส

:b20:
...เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ได้สุตมยปัญญามาจากการฟังเทศนาธรรมของหลวงตามหาบัว...
...จากนั้นนำมาคิดพิจารณาไตร่ตรองเหตุผล...ว่าสิ่งใดไม่จริงที่ว่ากายไม่สะอาด...เกิดจินตามยปัญญา
...จิตรู้คิดไตร่ตรองให้เห็นตามธรรมที่ท่านสอนไม่ส่งจิตไปที่ผู้เทศน์หรืออื่น...ให้ลงใจว่าท่านสอนเรา...
...เทศนาธรรมส่วนใหญ่เน้าพิจารณผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของไม่สะอาด...พิจารณาจนจิตยอมรับ...
...ทบทวนแล้วทบทวนอีก...จนเห็นชอบตามนั้นเกิดปัญญา(กิเลสมันสะเทือน)...ท่านยังสอนอีกว่า...
...ร่างกายสกปรกเอาสบู่มาฟอกล้างด้วยน้ำมันจึงสะอาด...จิตก็เหมือนกัน...ต้องการการซักฟอก...

:b4:
...ให้ใช้จิตภาวนา...ของท่านสอนบริกรรมพุทโธ...ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัตินั่งสมาธิเพราะต้องการซักฟอกจิต
...ทำมาเรื่อยๆตั้งแต่เริ่มมีสถานีวิทยุวัดป่าบ้านตาดผ่านมา...กว่า5ปี...ได้เห็นผลงานของการนั่งสมาธิ
...จนจิตรวมสงบลงเป็นหนึ่งเลยเข้าไปถึงฌาน1/2/3จนจิตแยกส่วนกับกายเข้าสู่ฌาน4ขั้นหยาบ...
...นับแต่ได้ผลงานไม่เคยสงสัยเรื่องตายแล้วเกิด...ตายแล้วไม่สูญ...เชื่อในธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
...จะทำอะไรพอน้อมเข้ามาสู่จิต...มันผ่องใสตลอด...ใจมันเป็นอย่างนั้นจริงๆแม้ขณะที่เขียนอยู่นี้...
...ไม่ว่าจะทำบุญอะไร...จะใส่บาตรยินดีทั้งก่อนทำ...ขณะทำ...หลังทำ...ดีไปหมด...น่าจะเรียกจิตผ่องใส

:b12: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 พ.ย. 2009, 23:22
โพสต์: 18

อายุ: 14

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำจิตใจให้สงบนี่ยากครับ ต้องรักษาศีล ภาวนา งดทำชั่วทั้งปวง เเต่ทุกคนก็ต้องพลาดกันอะครับ ผมเลยคิดว่า ทำบาปให้น้อยจะเป็นการเรียกที่ดีกว่า

.....................................................
ธรรมะคือเครื่องนำทางให้ชีวิตสัตว์โลกพบกับเเสงสว่าง
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถือศีลห้าอย่างบริสุทธิ์ใจ ก็ทำให้ใจเบิกบานเกินครึ่งแล้วค่ะ

ใจเบิกบาน ไม่ได้หมายถึงร่าเริง แฮบปี้ก็ไม่ใช่ แต่หมายถึงใจที่บริสุทธิ์ค่ะ ใจบริสุทธิ์ตามพรหมวิหารสี่น่ะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 23:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
ในโอวาทปาฏิโมกข์ กล่าว ว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส
สงสัยว่า ทำจิตใจให้ผ่องใส นี่ทำยังไง คือการนั่งสมาธิใช่หรือไม่


คิ..คิ..แกล้งถามมา..

ก็จะแกล้งตอบไป..

ทำจิตให้ผ่องใส่..จิตผ่องใส..คือจิตไม่ขุ่น

จิตขุ่นเพราะอวิชชา...หลงไปยึด..รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ..ว่าจริง..ว่าใช่..ว่าเรา..จึงมองไม่เห็นโลกตามความเป็นจริง

จิตไม่ขุ่นเพราะวิชชา..ไม่หลงในขันธ์ทั้ง 5 ว่าจริง..ว่าใช่..ว่าเรา..ย่อมเห็นโลกตามความเป็นจริง

จิตจะมีวิชชาได้..เพราะเดิมมาถูกทาง..คือมรรค์ 8

ก่อนจะย่างก้าวตามทางมรรค์ 8 ได้..เพราะจิตมีสัมมาทิฏฐิ

เรียกว่า..จิตมีสัมมาทิฏฐิ..เพราะจิตเห็น..ความทุกข์..เห็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์..ตระหนักว่าความสุขมีอยู่..เห็นว่ามรรค์ 8 คือทางที่จะนำไปถึงความไม่มีทุกข์ได้..จึงได้ชื่อว่า..มีสัมมาทิฏฐิ

เพราะมีสัมมาทิฏฐิ..มรรค์ข้อที่ 1..จีงเป็นเหตุเป็นปัจจัย..ให้เกิดข้อที่ 2..ถึง สัมมาสมาธิ มรรค์ข้อที่ 8 ได้

ที่สำคัญ..มรรค์ข้อที่ 6 สัมมาวายามะคือเพียรชอบ 4 ประการ..1. มั่นล้างความชั่วที่เคยทำไม่ให้เกิดอีก(ล้างกิเลสที่นอนเนื่องในกมลสันดาร..นิวรณ์ 5)..2.ไม่ทำชั่วอีก.(มีศีล) 3.มั่นทำแต่กุศล..(สมาธิ..ภาวนา) 4.รักษาความดีที่เกิดแล้วอยู่เสมอ..(มี..ศีล..สมาธิ..ภาวนา..อยู่ทุกลมหายใจ)..

เพราะ..สัมมาสมาธิ มรรค์ข้อที่ 8 สมบูรณ์ดีแล้ว..สัมมาญาณคือความรู้จริง..รู้แจ้ง..จึงมีได้

เพราะ..มีสัมมาญาณคือรู้จริง..รู้แจ้ง..ความไม่รู้คืออวิชชาก็หายไป..เหมือนแสงมา..มืดก็ไป

เพราะ..ไม่มีอวิชชาแล้ว..ความหลงในสังขาร..หลงในขันธ์ 5 จะมีได้ที่ไหน..จิตใจก็เลยไม่ขุ่นมั่ว

เมื่อจิตใจไม่ขุ่นแล้ว..จึงเรียกว่า..จิตใจผ่องใส

:b12: :b12: :b12:

ที่เขียนมาทั้งหมด..ผมโม้ไปงั้นแหละ :b4: :b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 18 พ.ย. 2009, 23:36, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองเปลี่ยนมุมมองดูบ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ
แทนที่เราจะคิดว่า ทำไงให้จิตผ่องใส?
เราก็ลองหวนกลับมาถามตัวเองซักหน่อยว่า
ทำยังไงไม่ให้จิตมันหม่นหมอง ไม่ให้จิตมันทุกข์

อนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 11:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น้ำในแก้วจะใสถ้าหยุดคน จิตใจจะผ่องใสถ้าเลิกสร้างเหตุ
รู้จักแล้วๆไป ไม่อะไรกับอะไร ที่ทุกธรรมชาติ ก็ไม่อะไรกับอะไรอยู่เองแล้ว
ขอเชิญอ่านศึกษาธรรมของหลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต ตามหัวข้อที่บอร์ดตั้งไว้นะครับ
ขออนุโมทนาด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 19:01
โพสต์: 60

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


moddam เขียน:
ทำอย่างไรไม่ให่้ตัวเองแบกทุกข์ไว้

แค่นี้ก็สบายใจแล้วครับ ปล่อยวางบ่อย ใจก็บริสุทธิ์เองครับ

cool



อืมมม จริงครับ ผมเป็นคนนึงที่เอาสิ่งรอบข้างมาคำนึง มากลุ้มใจมาก

คงต้องพยายามปล่อยวางให้หมดแล้วหล่ะ

แผ่เมตตาจะช่วยได้เหรอเปล่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
ในโอวาทปาฏิโมกข์ กล่าว ว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส
สงสัยว่า ทำจิตใจให้ผ่องใส นี่ทำยังไง คือการนั่งสมาธิใช่หรือไม่


จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เพราะการทำจิตให้ผ่องใส่ นั้น มีความหมายสองนัย
นัยแรก ถ้าคุณปฏิบัติสมาธิ หรือนั่งสมาธิ เวลาใจสงบ ไม่คิดสิ่งใด ไม่กำหนดรู้สิ่งใด ก้ทำให้จิตผ่องใสได้ส่วนหนึ่ง
อีกนัยหนึ่ง
หากคุณมีสมาธิ คิดดี ระลึกดี ประพฤติดี ฯลฯ ก็ย่อมทำให้คุณมีจิตใจที่ผ่องใส่ได้ เพราะหากคุณไม่คิดอะไรในทางที่เสื่อมเสีย สภาพจิตใจ ก็จะเบิกบาน ผ่องใส พิสูจน์ได้ด้วยตัวของคุณเองขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำจิตให้ผ่องใส คือ ทำใจให้ตั้งอยู่บนพรหมวิหารสี่ เมื่อใจยึดพรหมวิหารสี่อย่างบริสุทธิ์ การกระทำจะเป็นไปเพื่อให้เข้าหลักนั้น นั่นแหละค่ะ ใจจะเบิกบาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตที่ผ่องใส คือจิตที่ไม่ยืดมั่นถือมั่นทั้งสุขและทุกข์ครับ เพราะตราบใดที่ยังยึดในสุขอยู่ก็ต้องมีทุกข์ตามมาเป็นเรื่องธรรมชาติ
การจะไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงได้ ก็อย่างที่เพื่อนๆบอกไว้ครับ
"ศีล สมาธิ ปัญญา"
การจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงได้ก็ต้องใช้ปัญญาเข้าไปพิจารณาถอดถอน ทุกสิ่งทุกอย่าง
คือพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างลงสู่ความเป็นไตรลักษณ์ครับ(ว่าเป็นทุกข์ ไม่เที่ยงและไม่สามารถคงอยู่ได้)
จิต กับ ความทุกข์ ความสุข เป็นคนละตัวกัน
ตราบใดที่พิจารณาจนเห็นความเป็นจริงทุกอย่าง
จะทราบได้ว่า แม้ในเวลาที่เกิดความทุกข์
จิตก็ผ่องแผ้วได้เช่นกัน เนื่องจากจิตและความทุกข์ความสุขนั้น ไม่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันแล้ว
หลักปฏิบัติง่ายๆโดยละเอียด ผมขอแนะนำเว็บไซต์นี้นะครับ

http://www.watpachareongtham-chonburi.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากไม่เนืองด้วยการฟัง การสนทนาโดยมีผู้อื่นชี้แล้ว มันจะเลยความผ่องแผ้วที่มีอยู่แล้ว มันไปลงล็อคที่ต้วตน ตัวเอง พยายามที่จะผ่องแผ้วบ้าง พยายามอัพเกรตตัวเอง เพื่อให้มีปัญญาให้เข้าถึงบ้าง ซึ่งล้วนเนืองด้วยกรรมทั้งหมด
จึงมีคำกล่าวคำสอนของครูบาอาจารย์หลายๆท่าน จะบอก ว่า หยุด ละ ปลง วาง ไม่ยึด ไม่อะไรกับอะไร เป็นต้น เพื่อสะท้อนการที่ไม่สร้างเหตุ ไม่เป็นสมุทัย ในใจนี้เองได้ดับตามคำกล่าวคำสอนนั้น
ไม่เนืองตัวตนเข้าไปทำเอาเลย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร