วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 21:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"....การปฏิบัติทั้งหมดเราไม่ได้ไปละอะไรเลย เพียงแต่ไปรู้ความจริง แล้วก็หยุดความจริง โดยที่ไม่หลงความจริง และไม่ฝืนความจริง ...รู้ในธรรมชาติ แล้วก็ไม่หลงในธรรมชาติ และปล่อยวางทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติทั้งหมด เพราะเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ขันธ์ ๕ ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ตัวผู้รู้ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเช่นกัน จริงๆแล้วเป็นธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีเราอยู่เลย เป็นเพียงสมมติของธรรมชาติทั้งหมด

....ถ้าเราแจ้งในธรรม ในกระบวนการของมันทั้งหมดแล้ว มองไปทางไหนก็ไม่มีเรา มองอนาคตก็ไม่มีเรา มองอดีตก็ไม่มีเรา แม้ในปัจจุบันก็หาเราไม่เจอ ทั้งสิ่งที่ถูกรู้และตัวผู้รู้ หาเราไม่เจอในกองขันธ์ ๕ และรูป-นาม นี้ มองไปทางไหนก็มีแต่ธาตุ มองทางไหนก็มีแต่สมมติ มองทางไหนก็มีแต่ของที่ไม่เที่ยง เกิด-ดับ อยู่อย่างนั้น หาความเป็นอะไรไม่มี เพราะทุกอย่างเป็นสมมติทั้งหมด ในเมื่อเป็นสมมติ เรายึดไว้ก็เป็นอุปาทาน เมื่อยึดอุปาทานก็ทำให้เกิด “ทุกข์”...การละตัณหาก็คือการละตัวอุปาทานนั้นเอง

...ในปฏิจจสมุปบาทก็เป็นอย่างนั้น มันคือวงจรที่เราไม่ได้ไปละอะไรเค้าเลย เพียงแต่ไปเข้าใจวงจรของเขา ว่าเมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพียงดับตัวใดตัวหนึ่งวงจรก็ดับหมด ดับอวิชชาวงจรก็ดับ ดับรูป-นาม วงจรก็ดับหมด ดับตัวใดตัวหนึ่งในปฏิจจสมุปบาทวงจรก็ดับทั้งหมด การดับก็คือการละ การไม่ยึดด้วยความเข้าใจนั่นเอง

.....เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเราไม่ได้ไปเอาอะไร ถ้ายังเอาอยู่ก็ยังไปนิพพานไม่ได้ เพียงแต่ไม่เอามันทั้งหมด ไม่เอาขันธ์ ๕ ไม่ยึดขันธ์ ๕ หาเราไม่เจอในรูป หาเราไม่เจอนาม หาเราไม่เจอในสมมติทั้งปวง จึงเป็นวิมุติหลุดพ้น"

(หลวงพ่อชานนท์ วัดป่าเจริญธรรม จ.ชลบุรี)

สัพเพธรรมา อนัตตาติ
สรรพสิ่งและธรรมทั้งหลายล้วนไม่มีตัวตน
ผู้รู้แจ้งในธรรมชาติ ย่อมเข้าใจธรรมชาติ
และสามารถปล่อยวางธรรมชาติ ให้เป็นธรรมชาติได้


แจกหนังสือและMP3"หลักการพิจาณาเพื่อถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น"
ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆครับ
เพียงทิ้งชื่อและที่อยู่ไว้ที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้ครับ
http://www.watpachareongtham-chonburi.c ... art=292065


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b16:
...พระอรหันต์ท่านสละแล้วซึ่งทรัพย์สมบัติทางโลก...
...เปรียบเสมือนท่านถ่มน้ำลายทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว...
...ธรรมะเป็นของกลาง...ทรัพย์สินเงินทองเป็นของกลาง...
...ท่านสละแล้ว...แต่กลับมากมานทับถมทวีคูณ

:b1:
...ผู้แสวงหาให้ได้มามากๆ...ก็ควรขยันในทางที่ถูกที่ควร...ส่วนผู้ที่ไม่รู้..ไม่รู้ตัวมากกว่า...
...กิเลสในตัวทุกคนถึงไม่หามันก็มีเป็นสมบัติติดเนื้อ...ติดตัว...ติดใจเรามา...
...ใครขยันหาอันไหนมาก...ก็ย่อมได้สิ่งนั้นมาก...ขยันสร้างกิเลสก็เกิดกิเลส...

:b13:

:b27: :b27: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผู้ปฏิบัติแรกๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นค่ะ ทำแค่บอกตัวเองว่าทำอะไรอยู่ จมูกหายใจเข้าออก ปากแห้ง เมื่อยคอ ฯลฯ อะไรแบบนั้นค่ะ เพราะต้องเริ่มจากปฏิบัติสมาธิ

แต่เมื่อถึงสมาธิขั้นสูง คือ แจ้งในธรรมระดับโสดาบันแล้ว ก็เข้าอัปปนาสมาธิ ซึ่งสามารถทำวิปัสสนากรรมฐานได้แล้ว

และเมื่อนั้น ในสมาธิ เราคิดอะไรก็ได้ค่ะ คิดโดยอิงสัจธรรม แล้วคำตอบจะมีในทุกๆสิ่งที่สงสัยค่ะ แต่กว่าจะขั้นนั้นได้ก็เหนื่อยกันเลยทีเดียว

สิ่งที่ต้องละในการปฏิบัติมีเพียง กิเลสค่ะ ยิ่งละกิเลสได้ จิตยิ่งมีกำลัง เพราะจิตเบาจากกิเลส ก็จะเปิดรับธรรมง่ายขึ้น

สิ่งที่ต้องเติมมากคือ ความเพียรพยายาม เติมมาก แต่ทำอย่างพอดีค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร