วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

:b8: :b8: :b8:

อาจมีประโยชน์กับนักศึกษาที่กำลังค้นคว้าครับ

พระพุทธศาสนาในจีน

ตามตำนานฝ่ายจีนเล่าไว้ว่า พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศจีนตั้งแต่ ๒๑๗ ปีก่อน ค.ศ. (คือราว พ.ศ. ๓๒๖) แต่ตามที่ปรากฏหลักฐานในทางราชการ ค้นได้ว่าเมื่อ ค.ศ. ๖๕ (พ.ศ. ๖๐๘) พระจักรพรรดิมิ่งตี่ แห่งราชวงศ์ฮั่น ทรงส่งคณะฑูต ๑๘ คนไปสืบศาสนา ณ เมืองโขตาน (ปัจจุบันอยู่ ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลซินเกียงในประเทศจีน ในสมัยโบราณโขตานเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอินเดีย และพระพุทธศาสนาได้เข้ามาสู่โขตานตั้งแต่ ๒๑๗ ปี ก่อนคริสต์ศักราช) หลังจากนั้น ๒ ปี คณะทูตก็ได้กลับมายังประเทศจีน พร้อมด้วยพระภิกษุ ๒ รูปคือ พระกาศยปะมาตังคะ กับ พระธรรมรักษะ และ คัมภีร์พระพุทธศาสนาส่วนหนึ่ง พระภิกษุทั้ง ๒ รูปได้มาพำนักอยู่ ณ วัดม้าขาวแห่งนครโลยาง (ลกเอี๋ยง) และได้แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาจีนหลายคัมภีร์

ในสมัยราชวงศ์ฮั่น นับแต่นั้นมา (ค.ศ. ๖๕–๒๒๐) แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะได้รับความเคารพเลื่อมใสและการอุปถัมภ์บำรุงแต่ก็ยังเสียเปรียบและถูกต่อต้านจากอิทธิพลของลัทธิศาสนาเดิมของจีน (คือ ขงจื้อและเต๋า) จนกระทั่งถึงปลายราชวงศ์นี้ จึงมีปราชญ์ผู้สามารถเช่น โม่วจื้อ แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้เห็นความลึกซึ้งจริงแท้เหนือกว่าลัทธิศาสนาเดิมของถิ่นกับได้อาศัยความประพฤติอันบริสุทธิ์ของพระสงฆ์เป็นเครื่องจูงศรัทธา พระพุทธศาสนาก็ได้รับความนิยมเลื่อมใสยิ่งกว่าลัทธิศาสนาอื่น ๆ ครั้งถึงสมัยราชวงศ์เว (หรือ วุยก๊กในสมัยกามก๊ก) ในคริสต์ศตวรรษที่ ๔ พระพุทธศาสนาก็ได้เป็นศาสนาประจำชาติของจีน ตั้งแต่รัชกาลของพระจักรพรรดิพระองค์แรก ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๔ และ ๕ นี่เอง พระภิกษุผู้ทรงเกียรติคุณเป็นปราชญ์หลายท่าน เช่น กุมารชีวะ เป็นต้น ได้เดินทางเข้ามาจากอาเซียกลางและอินเดีย ช่วยแปลพระคัมภีร์ รจนาอรรถกถาและเผยแพร่สั่งสอนธรรมแก่ประชาชนอย่างแพร่หลายกว้างขวาง ลัทธิอมิตาภะก้ได้เข้ามาเผยแพร่ในสมัยนี้ด้วย

เหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่ง คือ พระโพธิธรรม ได้นำพระพุทธศาสนานิกาย ฉาน ( บาลีว่า ฌาน, สันสกฤตว่า ธยาน, ญี่ปุ่นว่า เซน) เข้ามาเผยแพร่เมื่อประมาณ ค.ศ. ๕๒๖

พระพุทธศาสนาในประเทศจีนได้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากโดยได้รับพระบรมราชูปถัมภ์จากราชวงศ์ถังและราชวงศ์ต่อ ๆ มา โดยลำดับ แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ได้มีผู้นำลัทธิ ลามะ (พระพุทธศาสนานิกายหนึ่งแบบในทิเบต) เข้ามาเผยแพร่ในจีนเหนือและทางฝ่ายอาณาจักรได้สนับสนุนลัทธินั้น ต่อนั้นมาพิธีกรรมต่าง ๆ ก็เจริญแพร่หลายออกหน้า ส่วนศาสนธรรมที่แท้ก็เลือนลางจืดจางไปจากความสนใจ

ลำดับเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน


๑. สมัยราชวงศ์ฮั่น (พ.ศ. ๓๔๒–๗๖๓)

พ.ศ. ๔๒๓
พระเจ้าบู่ตี่ทรงได้รับรายงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในอาณาจักรกุษาณ (อินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ)

พ.ศ. ๖๐๘
พระเจ้ามิ่งตี่หรือเม่งตี่ ทรงส่งทูต ๑๘ คนไปสืบศาสนาในปัจจิมทิศ ทูตกลับมาพร้อมด้วย พระกาศปะมาตังคะ ใน พ.ศ. ๖๑๐ ทรงสร้างวัดถวายชื่อวัดแปะเบ๊ยี่ (วัดม้าขาว) พระกาศยปะมาตังคะแปล “พระสูตรพุทธวจนะ ๔๒ บท” เป็นสูตรแรก

พ.ศ. ๖๙๘
พระเจ้าฮ่วงตี่โปรดให้หล่อพระพุทธรูปครั้งแรก (เป็นพระพุทธรูปทองแดง)

พ.ศ. ๗๓๔
ในสมัยพระเจ้าเฮี่ยนตี่ พระพุทธศาสนาเริ่มแพร่หลายเข้าสู่ภาคใต้ของจีนและมีปราชญ์ชื่อ โม่วจื้อ เขียนคำบรรยายแสดงหลักธรรมเปรียบเทียบกับลัทธิเต๋า เป็นข้อเขียนแสดงหลักธรรมเรื่องแรกของชาวจีน

๒. สมัยสามก๊ก (พ.ศ. ๗๖๓–๘๐๘)

พ.ศ. ๘๐๐
ในรัชกาล พระเจ้าฮุ่ยตี่ มีการแปลคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรในปีต่อมา (๘๐๑) มีการอุปสมบทพระภิกษุจีนรูปแรก (ก่อนหน้านี้ราชการห้ามชาวจีนอุปสมบท พระเจ้าโจผี เป็นผู้ทรงยกเลิกข้อห้ามนี้)

๓. สมัยราชวงศ์จิ้น (พ.ศ. ๘๐๘–๙๖๓)

พ.ศ. ๘๔๓
ในรัชกาลพระเจ้าไว่ตี่มีพระภิกษุชาวอาเซียกลางชื่อโฟเถอเตงจาริกมายังนครโลยางนำหลักธรรมนิกายมนตรยานเข้ามาเผยแพร่และมีการบวชภิกษุณีรูปแรกของจีน

พ.ศ. ๙๑๕
มีพระภิกษุชื่อ ฮุ่ยเอี้ยง เริ่มประกาศหลักธรรมในนิกายสุขาวดี ณ ภูเขาโลซาน

พ.ศ. ๙๔๒
ในรัชกาลพระเจ้าอ่านตี่ หลวงจีนฟาเหียน (ฮวบเฮี้ยน) ออกจาริกไปสืบศาสนกิจอยู่จนถึงมรณภาพ ใน พ.ศ. ๙๕๖

๔. สมัยราชวงศ์เหนือและใต้ (พ.ศ. ๙๖๓–๑๑๒๔)

ประกอบด้วยราชวงศ์ สุง หรือ ส่อง ชี้ เลี้ยง และ ตั้นในภาคใต้กับเผ่าทั้ง ๕ ในภาคเหนือ

พ.ศ. ๙๖๒–๙๙๐
ในระหว่างการรุกรบโจมตีระหว่างแคว้น ได้มีการประหารพระสงฆ์ ทำลายพระพุทธรูปและ พระคัมภีร์อย่างร้ายแรงหลายครั้ง เริ่มแต่ที่นครเชียงอานเป็นต้นไป

พ.ศ. ๙๘๔
มีอุบาสกเผาตนเป็นพุทธบูชาครั้งแรก
อนึ่ง นับแต่ พ.ศ. ๙๔๕ เป็นต้นมา ได้มีการตั้งพระสงฆ์ให้มีตำแหน่งในทางราชการ เป็นเหตุให้พระสงฆ์เข้ายุ่งเกี่ยวพัวพันกับกิจการบ้านเมืองไปด้วย

พ.ศ. ๑๐๓๘
รัชกาลพระเจ้าเม่งตี่ มีการสร้างถ้ำพระพุทธรูป โดยสลักภูเขาทั้งลูกเป็นถ้ำ ทำเป็นพระพุทธรูปและเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาเป็นแบบฉบับของพุทธศิลปต่อมา
พ.ศ. ๑๐๕๓
ในรัชกาลพระเจ้าบู่ตี่ได้สถิติตามการสำรวจมีวัด ๑๓,๐๐๐ วัดเศษ ในนครโลยาง มีภิกษุและภิกษุณี ๒,๐๐๐,๐๐๐ รูปเศษพระชาวต่างประเทศ ๓,๐๐๐ รูปเศษ

พ.ศ. ๑๐๕๕
พระเจ้าบู่ตี่ ทรงเสวยเจขอให้พระสงฆ์เลิกฉันเนื้อสัตว์ทำให้เกิดประเพณีพระสงฆ์จีนถือมังสวิรัติ จนถึงทุกวันนี้
พระเจ้าบู่ตี่ ซึ่งครองราชย์แต่ พ.ศ. ๑๐๖๔ ถึง ๑๐๙๒ ทรงมีพระราชศรัทธาในพระศาสนาอย่างแรงกล้า และทรงพยายามดำเนินนโยบายทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาเจริญก้าวหน้า มีการก่อสร้างวัดวาอารามที่สวยงามใหญ่โต และเกิดประเพณีทางพุทธศาสนาแบบจีนหลายอย่าง

พ.ศ. ๑๐๖๓
ในรัชกาลพระเจ้าง่วนตี่ พระภิกษุอินเดียชื่อปรมิตรจาริกมาเผยแพร่นิกายธรรมลักษณ์ และในระยะเดียวกัน พระพุทธศาสนาได้แพร่จากเกาหลีเข้าสู่ญี่ปุ่น
พ.ศ. ๑๑๑๘–๑๑๒๓

รัชกาลพระเจ้าซวนตี่ เป็นระยะเวลาแห่งการทำลายล้างพระพุทธศาสนา เริ่มแต่ในแคว้นจิว ให้ยกเลิกพระพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า ต่อมาแคว้นจิวยกทัพเข้ามาโจมตีแคว้นชี้ได้ แล้วทำลายพระพุทธศาสนา ด้วยการบังคับให้พระสงฆ์ลาสิกขา ๒,๐๐๐,๐๐๐ รูป ยึดวัด ๔๐,๐๐๐ วัด ทำลายพระพุทธรูป เอาทองคำและทองแดงไปทำทองแท่งและเหรียญกษาปณ์ ท้ายสุดจึงอนุญาตให้มีการนับถือพระพุทธศาสนา และลัทธิเต๋าใหม่อีก แต่ให้ถืออภิกษุเป็นโพธิสัตว์แต่งตัวอย่างสามัญชน ไม่ต้องครองจีวร

กล่าวโดยสรุป ระยะเวลาประมาณ ๓๖๐ ปีที่ประเทศมีแต่ความแตกแยกระส่ำระสาย รบราฆ่าฟันกัน นับแต่สิ้นราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมานี้ กลับเป็นระยะเวลาที่พระพุทธศาสนาเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และเสริมสร้างศิลปวัฒนธรรมของจีน ตลอดจนเป็นพลังช่วยให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวันของชาติในที่สุด ดังจะเห็นได้ในสมัยต่อไป

มีต่อครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

๕. สมัยราชวงศ์ซุย (พ.ศ. ๑๑๒๔–๑๑๖๑)

พ.ศ. ๑๑๒๔
พระเจ้าบุ่นตี่ ทรงรวบรวมประเทศจีนทั้งภาคเหนือและภาคใต้ทั้งหมดเข้าได้เป็นอันเดียวกัน พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ครั้นขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้ทรงฟื้นฟู พระพุทธศาสนาโปรดให้พระสงฆ์กลับครองจีวรตามเดิม ทรงแต่งตั้งประมุขสงฆ์ และโปรดให้สร้างวัดขึ้นใหม่ทั่งประเทศโดยเฉพาะ ณ ภูเขาแห่งที่สวยงามกับให้มีที่นาประจำหรับบำรุงวัดให้ทำสารบาญรายชื่อพระสูตรรวบรวมพระไตรปิฎกขึ้นให้เรียบร้อย

๖. สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑–๑๔๕๐)

พ.ศ. ๑๑๖๓
พระเจ้าเกาโจ มีพระบาทราชโองการกำหนดเดือน ๑ เดือน ๕ เดือน ๙ ตลอดเดือนและวันที่ ๑, ๘, ๑๔–๑๕, ๑๘, ๒๓–๒๔, ๒๙–๓๐ ของทุกเดือนเป็นวันอุโบสถ ห้ามการประหารชีวิต ตกปลา ล่าสัตว์ ตามวินัยของมายาน ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติธรรมของชาวพุทธจีนมาจนปัจจุบัน และในปีต่อมาก็ได้ทรงสละพระราชวังเดิมให้เป็นวัด

พ.ศ. ๑๑๗๒
ในรัชกาลพระเจ้าถังไทจง พระถังซัมจั๋ง (บางทีเรียกหลวงจีนเหี้ยนจัง หรือยวนฉาง) ออกจาริกไปสืบศาสนาในชมพูทวีปกลับมาถึงจีนใน พ.ศ. ๑๑๘๘ ทรงอาราธนาให้สถิต ณ เมืองโลยางทรงอุปถัมภ์ในการแปลพระสูตรมากมายที่นำมาจากอินเดีย พระถังซัมจั๋งได้เขียนบันทึกการเดินทางชื่อ “บันทึกแคว้นตะวันตก” ไว้อันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมากมายและได้ปฏิบัติศาสนกิจต่อมาจนถึงมรณภาพใน พ.ศ. ๑๒๐๘ ในรัชกาลพระเจ้าเกาจง
พ.ศ. ๑๑๘๔
พระเจ้าถังไทจง โปรดเกล้าฯยกพระราชธิดาบุ่นเซ้ง ให้อภิเษกสมรสกับกษัตริย์ทิเบต เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาแพร่เข้าสู่ประเทศทิเบต พระน่างบุ่นเซ้งทรงริเริ่มสร้างอักษรทิเบตขึ้นตามแบบอักษรอินเดียที่ใช้เขียนภาษาสันสฤต และทรงสร้างสรรค์ความเจริญแก่ทิเบตเป็นอันมาก จนชาวทิเบตยอย่องเป็นพระแม่เจ้าตราบถึงปัจจุบัน

พ.ศ. ๑๒๑๔
ในรัชกาลพระเจ้าเกาจง หลวงจีนเต่าซวนผู้ริเริ่มนิกายวินัยได้ถึงมรณภาพและในปีเดียวกัน หลวงจีนอี้จิง (งี่เจ๋ง) ออกจาริกไปอินเดีย และพักที่สุมาตราหลายปี กลับถึงจีนใน พ.ศ. ๑๒๓๘ พระนาง บูเจ็กเทียน เสด็จไปรับถึงนอกประตูวัง หลวงจีนอี้จิงพูดได้หลายภาษา แปลคัมภีร์พระวินัยและพระสูตร และประพันธ์หนังสือเรื่อง “ประวัติสงฆ์จีนจาริกไปอินเดีย” และ “พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาในเกาะแถบทะเลใต้” ท่านถึงมรณภาพใน พ.ศ. ๑๒๕๕

พ.ศ. ๑๒๑๘
หลวงจีนเว่ยหล่างหรือฮุยเหนิง ได้รับตำแหน่งเป็นประมุของค์ที่ ๖ ของนิกายเซน และถึง มรณภาพใน พ.ศ. ๑๒๕๕ (ปีเดียวกับหลวงจีนอี้จิง)

พ.ศ. ๑๒๕๒
พระเจ้าตงจง โปรดให้มีการสอบคัดเลือกผู้ที่จะบวชเป็นครั้งแรก และต่อมาใน พ.ศ. ๑๒๕๘ พระเจ้าเฮียนจง ก็โปรดให้พระที่ไม่ศึกษาปริยัติธรรมลาสิกขา ๑๒,๐๐๐ รูป เพราะมีผู้บวชเพื่อหลีกเลี่ยงการงานมาก และทรงห้ามการสร้างวัดหล่อพระพุทธรูปและคัดพิมพ์พระสูตรโดยไม่ได้รับอนุญาต (ต่อมาใน พ.ศ. ๑๓๐๒ ผู้จะบวชจะต้องสวดพระสูตรได้ ๑,๐๐๐ หน้า หรือเสียค่าบวชให้หลวง ๑๐๐,๐๐๐ อีแปะ)
พ.ศ. ๑๒๖๐
โปรดให้ต้อนรับ พระศุภกรสิงห์ แห่งนิกายมนตยาน ซึ่งจาริกมาจากอินเดีย เข้ามาพำนักใน พระราชวัง ทรงแต่งตั้งเป็นประมุขสงฆ์ หลังจากนี้ก็มีพระวัชรโพธิ และพระอโมฆวัชระ เป็นกำลังสืบงานเผยแพร่ต่อมาอีก เป็นเหตุให้นิกายมนตรยานเริ่มเจริญแพร่หลาย

พ.ศ. ๑๓๗๔
ในรัชกาลพระเจ้าบุ่นจง มีเหตุการณ์น่าสนใจคือ มีรับสิ่งให้ภิกษุและภิกษุณีที่บวชโดยไม่ได้รับอนุญาตจากราชการยื่นคำขอใหม่ ในการนั้นมีผู้ยื่นคำขอถึง ๗๐๐,๐๐๐ รูปเศษ และต่อมาใน พ.ศ. ๑๓๘๑ โปรดให้ทุวัดมีโบสถ์บูชาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ซึ่งเป็นประเพณีมาจนบัดนี้

พ.ศ. ๑๓๘๕
ได้เริ่มมีการทำลายล้างพระพุทธศาสนา โดยพระเจ้าบู่จงผู้ทรงเลื่อมใสลัทธิเต๋า ทรงแต่งตั้ง นักบวชเต๋าเป็นเสนาบดี แล้วางแผนทำลาย โดยเริ่มให้มีการโต้วาทะหน้าพระที่นั่ง ระหว่างพระภิกษุกับนักบวชเต๋า ใน พ.ศ. ๑๓๘๙ แต่ฝ่ายเต๋าปราชัย ไม่สมพระทัยจึงทรงจัดการเองโดยพลการ คือ ให้ภิกษุและภิกษุณีลาสิกขา ๒๖๐.๐๐๐ รูป ริบที่ดินของสงฆ์ ยุบวัด หลอมพระพุทธรูปเผาคัมภีร์ เป็นต้น เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรมแต่นั้นมาอีกหลายร้อยปี (การทำลายล้างหยุดเมื่อเปลี่ยนแผ่นดิน โดยใน พ.ศ. ๑๓๙๑ พระเจ้าซวนจงทรงห้ามการทำลายวัด นำประมุขลัทธิเต๋ากับพวกก่อการไปประหารชีวิต และให้มีการบวชพระได้อีกโดยสอบความรู้ ออกบัตรอนุญาตอุปสมบทให้ และให้มีการปฏิสังขรณ์วัดเฉพาะวัดใหญ่ ๆ)

๗. สมัยห้าราชวงศ์ หรือ หงอโต้ว (พ.ศ. ๑๔๕๐–๑๕๐๓)

พ.ศ. ๑๔๕๙
มีพระรูปหนึ่ง ลักษณะอ้วนร่าเริงจาริกเผยแพร่พระศาสนาครั้งถึงมรณภาพมีผู้เชื่อว่าท่านเป็น พระเมตไตรย์โพธิสัตว์ ทำให้เกิดความนิยมสร้างรูปของท่านเป็น พระอ้วน สมบูรณ์ ร่าเริง ถือถุงย่ามใบหนึ่งไว้ที่หน้าวัดจีน ถือเป็นพระที่ให้ความสุข ความมั่งมีและให้บุตร

พ.ศ. ๑๔๙๙
มีการทำลายพระพุทธศาสนาครั้งใหญ่อีก โดยพระเจ้าซีจงแห่งแคว้นจิว ทรงกวดขันการบวช ยึดและยุบวัดที่ไม่มีพระบรมราชโองการให้สร้าง หลอมพระพุทธรูปตามวัดเอาไปทำเงินตราและบังคับราษฎรให้ขายพระพุทธรูปและเครื่องบูชาที่เป็นทองแดงให้ก่ราชการทั้งหมด

๘. สมัยราชวงศ์สุง หรือ ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓–๑๘๒๓)

พ.ศ. ๑๕๐๔
พระเจ้าเกาโจ้ว เริ่มทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เช่น โปรดให้สร้างวัด ณ สถานที่ที่เคยมีการรบใหญ่ ทรงส่งราชทูตไปอาราธนาพระสูตรจากเกาหลีและอินเดีย และใน พ.ศ. ๒๕๑๖ โปรดให้แกะไม้แผ่นพิมพ์พระไตรปิฎกรวม ๑๓๐,๐๐๐ แผ่น หลังจากนั้นมาได้มีผู้มีคุณสมบัติบวชมากขึ้น การศึกษาธรรมวินัยเจริญขึ้น มีพระจาริกมาจากอินเดีย และพระจีนจาริกไปอินเดียมากขึ้น ปรับปรุงประเพณีพิธีกรรม และ ส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ปรากฏว่า ใน พ.ศ. ๑๕๗๘ (รัชกาลพระเจ้ายินจง) มีภิกษุ ๓๘๐,๐๐๐ รูปภิกษุณี ๔๘,๐๐๐ รูป

พ.ศ. ๑๖๑๒
ราชการเริ่มหารายได้จากการบวชพระ โดยการขายบัตรอุปสมบท ทำให้การบวชเป็นการซื้อขาย คนมีศรัทธาแต่ไม่มีเงินไม่มีโอกาสบวช เป็นเหตุหนึ่งแห่งความเสื่อมของการศึกษาธรรมวินัย ต่อมาใน พ.ศ. ๑๖๘๙ ถึงกับให้พระภิกษุต้องเสียภาษีทุกรูเว้นแต่อายุครบ ๖๐ ปีหรือพิการ และใน พ.ศ. ๑๖๙๕ ก็ให้นำผลประโยชน์จากที่นาสวนของวัดไปบำรุงโรงเรียนหลวงทาน

พ.ศ. ๑๖๖๑
พระเจ้าฮุยจง ทรงเลื่อมใสลัทธิเต๋ามาก และทรงบีบคั้นพระพุทธศาสนา โปรดให้ทุกอำเภอมีศาลเจ้าของเต๋า เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาให้เข้าลัทธิเต๋า เช่น เรียกพระนามพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์เป็น “เซียน” เปลี่ยนชื่อวัดเป็นศาลเจ้า ถวายเครื่องครองพระพุทธรูปเป็นแบบเต๋า เป็นต้น จนถึง พ.ศ. ๑๖๖๕ จึงโปรดให้พระพุทธศาสนาคืนสู่ฐานะเดินคืนนาสวนที่ยึดไปให้แก่วัด และในที่สุด พ.ศ. ๑๖๖๘ ก็ให้เลิกนับถือลัทธิเต๋า

พ.ศ. ๑๖๘๗
ในรัชกาลพระเจ้าเกาจง พระฮวบฮุ้น เรียบเรียงหนังสือ “ศัพท์พุทธศาสนา” ขึ้น เป็นประโยชน์ในการศึกษามาก และใช้กันแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน (ก่อนหน้านี้เคยมีพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิเรียบเรียงหนังสือสำคัญคล้ายกันขึ้นมาแล้วหลายคราว เรียกชื่อว่า “การออกเสียงและความหมายของศัพท์ใน พระไตรปิฎก” คือใน พ.ศ. ๑๓๕๑ จำนวน ๑๐๓ เล่ม ใน พ.ศ. ๑๔๘๓ จำนวน ๔๘๐ เล่มและใน พ.ศ. ๑๕๑๒ เรียก “ศัพท์ในพระไตรปิฎก” ๖๖๐ เล่ม)
โดยสรุป ในราชวงศ์นี้ กษัตริย์และนักปราชญ์ราชบัณฑิตมีศรัทธาในพระศาสนาดี พระพุทธศาสนาฟื้นฟูขึ้นมาพอสมควรแต่เพราะราชการมัวพะวงกับการหารายได้แม้จากวัด เพื่อใช้ในการป้องกันราชวงศ์จากอริราชศัตรู ความเจริญจึงไม่เท่าที่ควร

๙. สมัยราชวงศ์หงวน หรือ หยวน (พ.ศ. ๑๘๒๓–๑๙๑๑)

พ.ศ. ๑๘๐๒–๑๘๓๗
รัชกาล พระเจ้าซีโจ้ว หรือ กุบไลข่าน ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เช่น โปรดให้จัดพิมพ์พระไตรปิฏกขึ้นใหม่ ยกเลิกเก็บภาษีวัด เป็นต้น โดยเฉพาะทรงส่งเสริมพระลามะเป็นพิเศษโดยมุ่งผลทางการปกครองเป็นสำคัญ จึงไม่สู้เป็นผลดีแก่พระศาสนาเท่าใดนัก แม้กษัตริย์พระองค์ต่อ ๆ มาในราชวงศ์หงวน ก็ยึดถือนโยบายอย่างนี้

๑๐. สมัยราชวงศ์หมิง หรือ เหม็ง (พ.ศ. ๑๙๑๑–๒๑๘๗)

พ.ศ. ๑๙๑๑–๑๙๔๓
รัชกาล พระเจ้าไท่โจ้ว หรือฮุ่งวู หรือฮั่งบู๊ พระมหากษัตริย์เคยผนวชมาก่อน จึงทรงอุปถัมภ์บำรุงพระศาสนาให้กลับเจริญมั่นคงขึ้นอีกมาก

พ.ศ. ๒๐๖๙–๒๑๐๙
รัชกาลพระเจ้าซีจง กษัตริย์องค์นี้เลื่อมใสลัทธิเต๋ามาก และเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาจึงถูกทำลายครั้งใหญ่อีก เริ่มแต่ลำลายพระพุทธรูป ทำลายวัด ให้นักบวชเต๋าเข้าอยู่ในวัด วัดถูกแปลงเป็นสำนักเต๋า ภิกษุครองจีวรแบบเต๋า พิธีกรรมพุทธกับเต๋าปะปนกันไปหมด

พ.ศ. ๒๑๔๔–๒๑๘๖
คริสต์ศาสนาซึ่งเริ่มเข้ามาเผยแพร่ที่มาเก๊า ตั้งแต่ขึ้นต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ได้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในราชสำนัก และได้ช่วยถ่ายทอดวิชาการสมัยใหม่แก่จีน ในสมัยราชวงศ์เซ็งต่อไปเป็นอันมาก


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

๑๑. สมัยราชวงศ์ชิง หรือ เช็ง (พ.ศ. ๒๑๘๗–๒๔๕๕)

พ.ศ. ๒๑๘๗–๒๓๓๘
เมื่อราชวงศ์เซ็ง ซึ่งเป็นเผ่าแมลงจู ขึ้นครองมหาอาณาจักรจีน ก็ได้บังคับให้ประชาชนไว้ผมเปีย แทนไว้ผมยาว และให้แต่งกายแบบแมนจู มีชาวจีนที่ขัดขืนถูกประหารชีวิตไปนับล้าน ในครึ่งแรกของราชวงศ์นี้ มีกษัตริย์ยิ่งด้วยบุญญาธิการ ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าคังฮี และพระเจ้าเคียงล้ง ทรงเป็นนักรบที่เก่งกาจเป็นนักปกครองที่สามารถ ส่งเสริมวรรณกรรมการศึกษา วิชาการต่าง ๆ แต่ในทางพระพุทธศาสนา กลับทรงกวดขันการบวชต้องให้ได้รับอนุญาตจากทางการก่อน ห้ามสร้างวัดใหม่หรือขยายเขตวัดเก่า ส่วนในทางวิชาการทรงช่วยสนับสนุนบ้าง เช่นให้รวบรวมพระไตรปิฏกถวายวัดทุกวัด ให้แปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาแมนจูเรีย ทรงอุปถัมภ์บำรุงเฉพาะพระลามะเท่านั้น

พ.ศ. ๒๓๙๗
เกิดขบถผมยาวของพวกนับถือคริสต์ศาสนา นานถึง ๑๕ ปี ทำให้วัดและพระคัมภีร์ในภาคใต้ถูกทำลายเกือบหมดสิ้น

พ.ศ. ๒๔๐๙–๒๔๕๕
ข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ ยางวานฮุย ได้ขวนขวายฟื้นฟูการศึกษาพุทธศาสนา และเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ ช่วยให้สถานการณ์พระพุทธศาสนาซึ่งกำลังเสื่อมโทรมดีขึ้นบ้าง

พ.ศ. ๒๔๔๗
ราชการปรับปรุงระบบการปกครองใหม่ตามแบบตะวันตกให้ท้องถิ่นปกครองตนเอง ทำให้คนที่คิดร้ายได้โอกาสเข้ายึดวัดและนาสวน โดยอ้างว่าจะดัดแปลงเป็นโรงเรียน วัดถูกทำลายไปมากมาย

พ.ศ. ๒๔๕๑
มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และเป็นปีเดียวกับที่ พระเจ้ากวงซู้ และ พระนางชูสีไทเฮา เสร็จสวรรคต

โดยสรุป พระพุทธศาสนาในจีนเจริญถึงขีดสุดในสมัยราชวงศ์ถัง หลังจากนั้นก็เสื่อมโทรมลง กลับฟื้นฟูทรงตัวขึ้นได้ในสมัยราชวงศ์สุง หรือ ซ้อง ก็เสื่อมโทรมลงอีกนับแต่สมัยราชวงศ์หงวน ของ มงโกลเป็นต้นมา มีแต่พระเจ้าไท่โจ้ว ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เหม็งองค์เดียว ที่บำรุงพระพุทธศาสนาจริงจัง เพราะเคยผนวชมาก่อน นอกนั้น ยกย่องพระพุทธศาสนาบางคราวเพียงเพื่อผลในการปกครอง โดยเฉพาะเอาใจพระลามะเพื่อครอบครองทิเบตไว้โดยง่าย เป็นเหตุให้การศึกษาธรรมวินัยเสื่อมโทรมอย่างยิ่ง มีแต่ความเชื่อถือทางไสยศาสตร์และพิธีกรรมอ้อนวอน หนำซ้ำกษัตริย์บางองค์ยังเลื่อมใสลัทธิเต๋าแล้วทำลายพระพุทธศาสนาอีก พระพุทธศาสนาเสื่อมถึงขั้นที่วัดใหญ่พระต้องทำนาและอาศัยค่าเช่านาเป็นอยู่ ส่วนวัดเล็กก็อาศัยการให้เช่ากุฎิบ้าง ประกอบพิธีกงเต๊กบ้าง ไม่มีกำลังบำรุงให้ศึกษาธรรมวินัยได้ จนถึงปลายราชวงศ์เซ็ง จึงมีข้าราชการบางท่านช่วยฟื้นฟูประคับประคองไว้บางส่วน

๑๒. สมัยสาธารณรัฐ (พ.ศ. ๒๔๕๕ เป็นต้นมา)

พ.ศ. ๒๔๕๕
กษัตริย์แมนจูองค์สุดท้าย ซึ่งยังเป็นพระกุมารสละราชสมบัติจีนประกาศตั้งเป็น สาธารณรัฐตงฮั้ว หรือ สาธารณรัฐจีน

พ.ศ. ๒๔๖๕
เฟงยูเซียง ผู้นับถือคริสต์ศาสนาและมีสมญาว่า “นายพลคริสต์” ได้เป็นข้าหลวงใหญ่มณฑล โฮนาน ท่านผู้นี้ได้สั่งทำลายวัดพระพุทธศาสนาและสำนักเต๋าในโฮนานลงทั้งหมด วัดแปะเบ้ยี่ ที่สร้างครั้งพระพุทธศาสนาแรกเข้าสู่ประเทศจีน ก็ได้ถูกทำลายลงในครั้งนี้ด้วย

กล่าวโดยสรุป สถานการณ์พระพุทธศาสนานับแต่ตั้งสาธารณรัฐจีนจนตลอดสมัยก๊กมินตั๋งหรือจีนคณะชาติ ไม่ดีขึ้นกว่าสมัยราชวงศ์เซ็งของแมนจู แม้ว่าจะมีอิสรภาพดีขึ้น รัฐไม่เป็นปฏิปักษ์รุนแรง แต่ก็ไม่สู้อุดหนุนอะไรนัก โดยเฉพาะแนวความคิด ลัทธิมาร์กซิสม์ ได้แพร่หลายออกไปมาก มีการโจมตีวิพากษ์วิจารณ์พระพุทธศาสนา สนับสนุนการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา และเอาสถานที่วัดไปใช้ในกิจการบ้านเมือง บุคคลสำคัญที่ช่วยกู้ฐานะพระพุทธศาสนาไว้ได้บางส่วน คือ พระอาจารย์ ไทซี หรือ ไท้สู (พ.ศ. ๒๔๓๒–๒๔๙๐)

พ.ศ. ๒๔๖๕
เนื่องจากสถานการณ์ด้านพระพุทธศาสนาเสื่อมทรามลงและมีการเบียดเบียนพระพุทธศาสนามาก พระอาจารย์ไท้สูจึงดำเนินการปฏิรูปพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่แม้ว่าจะมีกำลังเพียงเล็กน้อย เริ่มด้วยการตั้งวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นที่ วูชัง เอ้หมึง เสฉวนและหลิ่งนาน เพื่อฝึกผู้นำทางพระพุทธศาสนาให้ พระสงฆ์รู้วิชาทั้งธรรมวินัยและวิชาการสมัยใหม่ของตะวันตกแล้วดำเนินงานทางการศึกษา การเผยแผ่การบำเพ็ญประโยชน์ จนถึงจัดตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีน สำเร็จใน พ.ศ. ๒๔๗๒ การประกาศ พระศาสนาในแนวใหม่ของท่าน ทำให้ปัญญาชนเข้าใจพระพุทธศาสนาดีขึ้น ท่านได้ติดต่อกับพุทธ-
ศาสนิกต่างประเทศส่งนักศึกษาไปเล่าเรียนในลังกา ไทย และญี่ปุ่น เข้าถึงกิจการของรัฐระดับชาติ แสดงให้รัฐมองเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาในการประสานชนต่างเชื้อชาติ ๕ สายของจีนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นต้น ทำให้มีการยอมรับอิสรภาพของศาสนาเพิ่มขึ้น มีการออกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์สินของวัดและหยุดยั้งการยึดเอาทรัพย์สมบัติของวัดไปใช้ในกิจการภายนอก

พ.ศ. ๒๔๗๓
มีสถิติแสดงว่า ในประเทศจีนมีพระและชี (จีนว่าภิกษุและภิกษุณี) ๗๓๘,๐๐๐ รูป และวัด ๒๖๗,๐๐๐ วัด

๑๓. สมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน (พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นต้นมา)

คอมมิวนิสต์ ได้เข้าครองอำนาจในประเทศจีนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ สถานการณ์พระพุทธศาสนา ในระยะหลังจากนี้ ไม่สู้เป็นที่รู้กระจ่างชัด ในที่นี้จะกล่าวตามแนวที่ เคนเนธ เฉิน แสดงไว้ในหนังสือ “พระพุทธศาสนาในประเทศจีน”
ในฐานะที่ชาวคอมมูนิสต์นับถือลัทธิมาร์กซ์ อันเป็นลัทธิหนึ่งต่างหาก และมีพื้นฐานคำสอน ขัดแย้งกับศาสนาทั้งหลาย จึงมิได้ต้องการให้มีพระพุทธศาสนาอยู่ร่วมด้วย แต่เบื้องต้นเห็นว่าพระพุทธ-ศาสนาแม้จะเสื่อมลงแล้ว แต่ก็มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในหมู่ประชาชน จึงยังไม่เห็นเป็นโอกาสที่จะเกี่ยวข้อง โดยใช้มาตรการตรงหรือแสดงออกชัดเจน เริ่มแรกจึงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาก่อน แต่ย้ำเสรีภาพในการที่จะไม่เชื่อและยอมให้มีการตีความเสรีภาพนี้ ไปในแง่สิทธิที่จะต่อต้านความเชื่อถือศาสนา

พ.ศ. ๒๔๙๓
ออกประกาศข้อกำหนดว่าพระสงฆ์เป็นกาฝากสังคม พร้อมกันนั้นก็สร้างความรู้สึกให้มีการแบ่งแยกชาวบ้านกับพระสงฆ์และพระสงฆ์ทั่วไปกับพระผู้บริหารว่าเป็นคนต่างชนชั้นกัน

พ.ศ. ๒๔๙๔
เพิกถอนสิทธิของวัดในการยึดครองที่ดิน เป็นการบีบรัดในด้านการดำรงชีพ เท่ากับบังคับโดยอ้อมให้พระภิกษุและภิกษุณีสึก ส่วนผู้ที่ไม่สึกก็ต้องประกอบอาชีพ เช่น ทำนา ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อม ปลูกชา สอนโรงเรียนเป็นต้น พร้อมกันนั้นก็พยายามกล่อมเกลาให้ละเลิกความเชื่อถือในลัทธิคำสอนอันนอกเหนือจากลัทธิมาร์กซิสม์

พ.ศ. ๒๔๙๖
เมื่อจำนวนพระสงฆ์ลดน้อยและอ่อนกำลังลง จึงตั้ง “พุทธสมาคมแห่งประเทศจีน” ขึ้นในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม โดยวัตถุประสงค์ว่า เพื่อผนึกชาวพุทธทั้งปวงภายใต้การนำของรัฐบาลประชาชนเพื่อแสดงความรักต่อปิตุภูมิและรักษาสันติภาพของโลกแล้วจำแนกวัตถุประสงค์ออกเป็น ๔ ข้อ คือ เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างรัฐกับพุทธศาสนิกชน เพื่อฝึกพุทธบุคลากร เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรมและพระพุทธศาสนา และส่งเสริมความร่วมมือทางพุทธศาสนากับนานาชาติ

ทั้งนี้ผู้เขียนหนังสือ “พระพุทธศาสนาในจีน” นั้น สรุปว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อเป็นศูนย์สำหรับให้รัฐบาลสอดส่องดูแลและควบคุมพุทธศาสนิกชนทั้งหมดได้ และเป็นช่องทางที่รัฐจะได้เป็นผู้แทนของชาวพุทธในกิจการระหว่างชาติ นอกจากนั้นเพื่อสนองนโยบายนี้ก็ได้ออกนิตยสารรายเดือนชื่อ “พุทธศาสนาสมัยใหม่” (Modern Buddhism) ส่วนในด้านแนวความคิด ก็มุ่งให้หันเหจากหลักเมตตากรุณาไปสู่หลักความขัดแย้งและการต่อสู้

นอกจากนี้รัฐได้ทำการทะนุบำรุง ดูแลรักษาวัดและศิลปกรรมสวยงามในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ถือว่าเป็นผลงานของประชาชน แต่ต่อมาปรากฏว่าศิลปวัตถุและศาสนาสถานต่าง ๆ ได้ถูกพวกเรดการ์ดทำลายลงเสียเป็นจำนวนมาก

พระพุทธศาสนาในจีนได้เสื่อมโทรมลง ตลอดเวลายาวนานในยุคหลัง ๆ เพราะประสบความ บีบคั้นต่าง ๆ และความอ่อนแอภายใน โดยเฉพาะในด้านการศึกษาปฏิบัติธรรมวินัย การทำหน้าที่ต่อประชาชน และการหันเหไปหาลัทธิพิธีต่าง ๆ สภาพเหล่านี้แม้คอมมูนิสต์ไม่เข้าครองถ้าไม่มีการทำลายต่อให้ถึงดับสูญเสียก่อน ก็จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงจนได้ เช่นที่ท่านไท้สูได้ริเริ่มขึ้นเป็นต้น แม้พระมหากษัตริย์ในปางก่อนก็ได้ทรงกระทำแล้วหลายครั้งคราว สิ่งที่ยังค้างวินิจฉัยมีอย่างเดียวคือ ที่ทำอย่างนั้น ๆ เป็นการปรับปรุงเพื่อฟื้นฟู หรือเป็นการทำลายหรือเป็นการปรับปรุงเพื่อทำลาย ซึ่งจะต้องพิสูจน์กันต่อไป

เนื่องจากจีนเป็นศูนย์กลางสำคัญแห่งหนึ่งของพระพุทธศาสนามาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่ในยุคหลังนี้ ชาวพุทธภายนอกไม่มีโอกาสทราบข่าวความเป็นไปเท่าที่ควร เมื่อไม่ทราบข่าวทางศาสนาโดยตรง จึงขอนำเหตุการณ์ฝ่ายบ้านเมืองซึ่งเป็นเรื่องของชาติโดยส่วนรวมมาลงไว้ พอเป็นทางประกอบการพิจารณา สำหรับสันนิษฐานภาวการณ์ทางพระศาสนาในประเทศนั้น

หลังจาก พ.ศ. ๒๔๙๖ แล้ว มีเหตุการณ์น่าสนใจในสาธารณรัฐประชาชนจีนเกิดขึ้นอีกหลายอย่าง ได้รวบรวมจากหนังสือเหตุการณ์ประจำปี และเอกสารบางเรื่องที่องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์จัดพิมพ์ แสดงไว้เฉพาะที่สำคัญและควรแก่การพิจารณา ดังนี้

พ.ศ. ๒๕๐๒
นับแต่ปี ๒๔๙๙ เป็นต้นมา ได้เริ่มมีข่าวเกี่ยวกับความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศทิเบต จนกระทั้งมีการจลาจลร้ายแรงในแคว้นขาม เพราะชาวทิเบตโกรธแค้นในการที่ชาวจีนหลายแสนคนอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐาน และมีการนำเอาเยาวชนทิเบตไปยังประเทศจีนเพื่อการฝึกอบรมชั้นสูง ต่อมาได้มีการจลาจลเกิดขึ้นใน กรุงลาซา นครหลวงของทิเบต เพราะจีนจะจับองค์ ทะไลลามะ ประมุขของพระพุทธศาสนานิกายมะ และประมุขของประเทศทิเบต ทำให้พระองค์เสด็จหนีออกจากประเทศทิเบตมาลี้ภัยอยู่ในประเทศอินเดีย เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๒ แต่นั้นมารัฐบาลทิเบตก็สลายตัว มีคณะกรรมการคณะหนึ่งขึ้นมาบริหารโดยมีปันเชนลามะเป็นประมุข

พ.ศ. ๒๕๑๑
นับแต่ราว พ.ศ. ๒๕๐๖ จีนได้กลับกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อโซเวียต โดยถือว่าโซเวียตเป็นพวกลัทธิแก้ ซึ่งเป็นศัตรูที่ร้ายแรงของจีน พอ ๆ กับจักรวรรดินิยมอเมริกัน หลิวเซ่าฉี ซึ่งได้สืบตำแหน่งจาก เหมาเจ๋อตงเป็นประธานแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๐๒ เป็นต้นมา ได้มีความขัดแย้งแข่งอำนาจกับเหมาเจ๋อตงและหลินเปียว โดยร่วมกับเลขาธิการพรรคชื่อ เตงเฉียวปิง ต่อต้านนโยบายของผู้นำทั้งสองท่านนั้นอย่างลับ ๆ มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ และมีสหภาพกรรมกรเป็นที่มั่นครั้นถึง พ.ศ. ๒๕๐๙ วารสารของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมูนิสต์จีนได้ประณาม หลิวเซ่าฉี ว่าเป็นพวกลัทธิแก้ฝ่ายกฏุมพีจากนั้นพวกเรดการ์ด ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเหมาเจ๋อตง ได้ดำเนินการปฏิวัติทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ตลอดระยะเวลานั้น หลิวเซ่าฉีถูกกักขังอยู่ในบ้าน และถูกเรียกว่าครุสชอพแห่งประเทศจีน ครั้นถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๑ หลิวเซ่าฉีก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งประมุขของรัฐ จากตำแหน่งทุกตำแหน่งในพรรคคอมมูนิสต์และขับออกจากพรรค หายตัวไปในที่สุด ส่วนสหภาพกรรมกรก็ได้สลายตัวไปในระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรมนั้นด้วย (ตั้งขึ้นใหม่อีกเมื่อมีการปฏิวัติทางวัฒนธรรมสิ้นสุดแล้ว)

พ.ศ. ๒๕๑๔
หลินเปียว รมต. กลาโหมและผู้นำฝ่ายทหาร ซึ่งได้ร่วมกับเหมาเจ๋อตงในการต่อสู้กับหลิวเซ่าฉีมาแต่ต้น ได้มีความสำคัญยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรมระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๙ ถึง ๒๕๑๒ ซึ่งเริ่มขึ้นเพื่อต่อสู้กับความคิดแบบกฎุมพีและเป็นกำลังอำนาจเพื่อสนับสนุนเหมาเจ๋อตง คณะกรรมการปฏิวัตินี้เป็นไตรภาคี ประกอบด้วยกองทัพบก พรรคคอมมูนิสต์และพวกเรดการ์ด (ผู้พิทักษ์แดงประกอบด้วยเยาวชนชายหญิง) ในการนี้หลินเปียวมีบทบาทสำคัญยิ่ง โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการสูงสุดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ในเดือนสิงหาคม ๒๕๐๙ และได้เป็นทายาททางการเมือง ของประธานเหมาเจ๋อตงแทนหลิวเซ่าฉี ครั้งถึงวันที่ ๔ กันยายน ปีเดียวกัน ก็เป็นหัวหน้าเรดการ์ด พวกเรดการ์ดนอกจากทำลายอำนาจฝ่ายหลิวเซ่าฉีแล้ว ยังปรากฏว่าได้ทำลายศิลปวัตถุ โบราณสถาน วัดวาอาราม เป็นอันมากด้วย แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด

ด้วยเหตุการณ์นี้ หลินเปียว และผู้นำฝ่ายทหารได้เรืองอำนาจมากจนจะกลายเป็นผู้ครอบงำพรรคคอมมูนิสต์ ความยิ่งใหญ่ของหลินเปียวปรากฏอยู่จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๑๔ ก็กลับหายเงียบไป ในระยะนี้ (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕) จีนได้หันไปมีความสัมพันธ์กับสหรัฐ ต่อมาภายหลังจึงมีการเปิดเผยว่า หลินเปียวได้คบคิดวางแผนสังหารประธานเหมาเจ๋อตง และสถาปนาระบบเผด็จการทหาร แต่แผนไม่สำเร็จ จึงขึ้นเครื่องบินหนีไปรัสเซียแต่เครื่องบินตกถึงแก่กรรมในระหว่างทางที่ประเทศมองโกเลีย

นับแต่นั้นมา ก็มิได้มีการแต่งตั้งทายาทการเมืองของเหมาเจ๋อตงอีก จนท่านประธานเหมาสิ้นชีวิตใน พ.ศ. ๒๕๑๙

นับแต่ พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นมา เติ้งเสี่ยวผิงได้มีอำนาจมากขึ้นและได้จัดดำเนินโครงการปรับปรุงเศรษฐกิจให้ทันสมัยตามนโยบายการค้าแบบเสรี ต่อมา อุดมการณ์และโครงสร้างการเมืองจะหันเหมาในทางเสรีมากขึ้นแล้ว การบังคับควบคุมความเชื่อถือและกิจกรรมทางศาสนาก็ผ่อนคลายความเข้มงวดลงด้วย สภาวการณ์ทางศาสนาจึงเริ่มกลับฟื้นตัวขึ้นในที่ทั่ว ๆ ไป

จบแล้วครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




prajeen.JPG
prajeen.JPG [ 90.82 KiB | เปิดดู 3370 ครั้ง ]
smiley smiley smiley

ภาพพระพุทธรูปจีนที่สร้างในราชวงค์ต่าง ๆ
(จาก FM) ค่ะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ขอบคุณภาพประกอบครับคุณแมว

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุการครับ :b1:

อยากให้สมัยนี้เป็นเหมือนสมัยพุทธกาล
เบื่อกิเลสที่เกิดขึ้นมากมาย ไม่รู้จบสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร