วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 12:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ที่มา...หนังสือพระมหาการุณิโกนาโถ...แจกฟรีที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี...
:b20:
วัฏสงสาร
...คือการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆตามผลแห่งกรรมของแต่ละคน...
...โดยไม่มีวันจบสิ้น...ถ้าตราบใดใจเรายังมีกิเลสและอวิชชาความหลงผิดเข้าครอบงำ...
...ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น...กระทำกรรมต่างๆเป็นเหตุให้ไปเกิดตามผลแห่งกรรมดีและชั่ว...
...ถ้ากุศลกรรมส่งผลก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ...ถ้าเป็นอกุศลกรรมส่งผลก็ต้องไปเกิดในทุคติภูมิ...
...โดยเสวยหรือรับผลแห่งกรรมนั้นจนกว่าจะหมดสิ้นผลแห่งกรรมนั้นๆ...ด้วยเหตุที่สัตว์โลกส่วนใหญ่...
...กระทำทั้งบุญและบาป ปะปนกันติดต่อกันมาหลายภพหลายชาติ...ดังนั้นจึงเป็นเหตุทำให้เวียนว่าย...
...ตายเกิดท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด...ดังนั้นการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้...
...เราจึงไม่สามารถทราบได้ว่าชาติก่อนเราเคยเกิดในภพภูมิใดหรือที่เรียกว่ามาจากภพภูมิใด...
...และตายจากโลกนี้ไปแล้ว...เราก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าต่อไปเราจะไปเกิดยังภพภูมิใด...
...ซึ่งเราสามารถแบ่งแยกภพภูมิในวัฏสงสารออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้...1)ทุคติภูมิ...2)สุคติภูมิ

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสต์ เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 22:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:
:b2:
ทุคติภูมิหรืออบายภูมิ
...คือภพภูมิแห่งความทุกข์ทรมาน...ความเสื่อม...
...เพราะเป็นที่เกิดแห่งสัตว์ที่ได้รับผลแห่งกรรมชั่ว...
...ที่ตนเองทำไว้หนักเบาตามเหตุแห่งกรรม...
...ซึ่งประกอบด้วย...

:b5:
1)นิรยภูมิ หรือ โลกนรก
...นิรยภูมิ แปลว่า ภพภูมิที่ปราศจากความสุขสบายโดยสิ้นเชิง...เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน...
...จากการรับการลงโทษหนักเบาตามประเภทของขุมนรกที่ต้องไปรับโทษตามผลของกรรม...
...ประกอบด้วยมหานรก 8 ขุม และนรกขุมเล็กที่เป็นบริวารล้อมรอบชั้นในมหานรกที่เรียกว่า...
...อุสสุทนรกอีก 128 ขุม...นรกขุมเล็กบริวารล้อมรอบชั้นนอกที่เรียกว่า...ยมโลกนรกอีก 320 ขุม...
...และนรกขุมพิเศษคือโลกันตนรกอีก 1 ขุม...รวมแล้วมีนรกทั้งหมด 457 ขุม...วันคืนในนรก...
...จะยาวนานกว่าวันเวลาในโลกมนุษย์เป็นอย่างมาก...โดยขึ้นกับขุมนรกที่ไปอุบัติ...
...โดยจะอธิบายยกตัวอย่างเฉพาะมหานรกที่เป็นนรกขุมใหญ่ตั้งซ้อนเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ...
...โดยเริ่มจากชั้นบนสุดลงล่างสุด 8 ขุมดังนี้...

:b14:
1.1)สัญชีวมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้ไม่มีวันตาย...ตั้งอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ประมาณ...
...15,000 โยชน์(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กิโลเมตร)(15,000โยชน์เท่ากับ 240,000 กิโลเมตร)
...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้จะถูกนายนิรยบาลประหารด้วยอาวุธ ฟันร่างกายให้ขาดเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย...
...ได้รับทุกขเวทนาจนขาดใจตายไป...แล้วฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อรับโทษทัณฑ์ต่อไปจนกว่าจะหมดกรรม...
...อันเนื่องมาจากกรรมชอบฆ่าสัตว์...

:b22:
1.2)กาฬสุตตมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งมีการลงโทษตามเส้นบรรทัดดำ...อยู่ห่างลงไปจาก...
...สัญชีวมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้ถูกนายนิรยบาลเอาเส้นเหล็กแดง...
...ลุกเป็นไฟ...มาคาดตีเส้นตามร่างกายจนไหม้ดำ...แล้วเอาเลื่อยนรก ขวานนรก หรือมีดนรก...
...มาเลื่อย ผ่า หรือเฉือนร่างกายตามรอยเส้นดำ...ได้รับทุกขเวทนาอันเนื่องมาจากกรรมชอบพูดเท็จ...

:b5:
1.3)สังฆาฏมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งมีการลงโทษโดยมีภูเขาไฟบดขยี้ร่างกาย...อยู่ห่างลงไปจาก...
...กาฬสุตตมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้จะถูกภูเขาเหล็กลุกแดงเป็นไฟ...
...กลิ้งมาบดขยี้ร่างกายให้แหลกละเอียดเป็นจุณ...ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสอันเนื่องมาจากกรรม...
...ชอบเผาสัตว์ให้ตายในกองไฟ...

:b22:
1.4)โรรุวมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญ...อยู่ห่างลงไปจาก...
...สังฆาฏมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้จะนั่งในดอกบัวกรด...
...ซึ่งมีไฟนรกลุกแดงโพลงอยู่ตลอดเวลา...โดยมีมือและเท้าอยู่ในดอกบัวกึ่งหนึ่งไม่สามารถหนีไปได้...
...ถูกไฟนรกไหม้ทั้งด้านบนและล่างให้ฉิบหาย...ส่งเสียงร้องไห้ครวญครางระงมอยู่อันเนื่องมาจากกรรม
...ชอบลักทรัพย์และเป็นพยานเท็จ...

:b21:
1.5)มหาโรรุวมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญมากกว่ามาก...อยู่ห่างลงไปจากโรรุวมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้จะถูกลงโทษให้ยืนแข็งทื่อ...
...อยู่ในดอกบัวเหล็ก...ซึ่งกลีบแต่ละกลีบคมเป็นกรด...มิหนำซ้ำยังร้อนแรงแดงฉานไปด้วยไฟนรก...
...ซึ่งลุกโพลงอยู่ในดอกบัวเป็นนิตย์...เผาไหม้ตั้งแต่พื้นเท้าถึงศีรษะ...มีเปลวไฟแลบเข้าออกที่ทวาร...
...ทั้ง 9...ได้รับทุกขเวทนาแก่กล้ายิ่งนัก...นรกนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่มากกว่า...
...อันเนื่องมาจากกรรมชอบลักของสงฆ์และการประพฤติผิดในกาม...

:b28:
1.6)ตาปมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้สัตว์นรกทั้งหลายเร่าร้อน...อยู่ห่างลงไปจาก...
...มหาโรรุวมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้ถูกย่างให้ร้อนบนปลายหลาวเหล็ก...
...ซึ่งโตเท่าลำตาลมีไฟนรกลุกตลอดเวลา...ได้รับทุกข์ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง...อันเนื่องมาจากกรรมชอบ...
...เสพสิ่งมึนเมา...ทำร้ายบิดามารดา...พระสงฆ์ผู้มีศีล...และไม่มีความเคารพต่อพระพุทธ...พระธรรม
...พระสงฆ์...

:b7:
1.7)มหาตาปมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้สัตว์นรกทั้งหลายเร่าร้อนมากกว่ามาก...อยู่ห่าง...
...ลงไปจากตาปมหานรก ประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้ถูกเสียบแทงด้วยหลาวเหล็ก...
...อันมีไฟลุกไหม้ตลอดทั่วร่างกาย...แล้วถูกบังคับขึ้นไปบนภูเขานรกซึ่งมีความร้อนแรงอย่างมาก...
...ถูกไฟนรกเผาผลาญร่างกายให้ได้รับทุกข์ร้อนมากยิ่งกว่า...อันเนื่องมาจากกรรมชอบเป็นพยานเท็จ...
...ฆ่ามนุษย์...ชำระความด้วยความไม่ยุติธรรมเห็นแก่สินบน...และโทษกล่าวตู่พระพุทธวัจนะของ...
...พระพุทธเจ้า...และโทษของพระภิกษุผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์...

:b21:
1.8)อเวจีมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งปราศจากความเบาบางแห่งคลื่นทุกข์...อยู่ห่างลงไปจาก...
...มหาตาปมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกขุมนี้ได้รับการลงโทษอย่างหนักที่สุด...
...ได้รับทุกข์ทรมานไม่มีว่างเว้น...ได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัสหนักตลอดเวลา...ไม่มีเวลาผ่อนปรน...
...เบาบางเหมือนนรกขุมอื่นๆ...เพราะถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟนรกที่เผาผลาญตลอดเวลา...
...อันเนื่องมาจากกรรมหนัก(ครุกรรม)คือ ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์...ประทุษร้ายพระพุทธเจ้า...
...ให้ห้อพระโลหิต...และยุยงพระสงฆ์ให้แตกแยกกัน...และคนที่ทำกรรมชั่วเป็นนิตย์ตลอดชีวิต...
...ภิกษุที่ปาราชิกแล้วปกปิดไว้...

:b5:
:b48: :b48: :b48:
...คราวหน้าต่อด้วยโลกเปรต...


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 04 ธ.ค. 2009, 09:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue วันนี้ต่อด้วยโลกเปรต โลกอสุรกาย และโลกสัตว์เดียรัจฉาน
2)เปตติวิสยภูมิ หรือโลกเปรต...
...เปตติวิสยภูมิ หรือโลกเปรต...แปลว่าภูมิที่อยู่ของเหล่าสัตว์ที่ห่างไกลจากความสุขสบาย...
...ถึงแม้จะได้รับความทุกข์ทรมานน้อยกว่าสัตว์นรกก็ตาม...มีอายุยืนนานคล้ายสัตว์นรก...
...เปรตส่วนใหญ่ไม่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศลของใครได้...มีปรัทัตตูปชีวีเปรตเท่านั้น...
...ที่สามารถอนุโมทนารับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติมิตรในโลกมนุษย์อุทิศไปให้ได้...
...มีรูปกายเป็นอทิสมานกาย...คือมีกายไม่ปรากฎในวิสัยของตามนุษย์ทั้งหลาย...
...นอกจากตนต้องการจะแสดงให้มนุษย์เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น...
...โดยมีชื่อเปรตที่ปรากฎกล่าวไว้ในพระคัมภีร์พระพุทธศาสนาดังนี้...

:b1:
2.1)วิชชาตเปรต เป็นเปรตที่มีฤทธิ์มากเป็นหัวหน้าดุจพญาเปรต...
...เพราะเคยเป็นผู้รู้พระสัจธรรม...แต่ไม่สนใจปฏิบัติ...เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมไว้...
...จึงต้องมาเสวยผลกรรมเป็นเปรต...จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้...

:b1:
2.2)วันตาสาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างชั่วร้ายน่าเกลียดเที่ยวร่อนเร่ไป...
...ด้วยความรู้สึกอดอยากหิวโหย...แสวงหาเสลดน้ำลายที่มนุษย์ขากถ่มออกมา...
...กินเป็นอาหาร...ได้รับทุกขเวทนาเยี่ยงนี้...นานแสนนานจนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.3)กุณปขาทาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างน่าเกลียดพิลึก...เที่ยวร่อนเร่ไป...
...ด้วยความรู้สึกอดอยากหิวโหย...แสวงหาซากศพเน่าเปื่อยเหม็นของสัตว์...
...และมนุษย์กินเป็นอาหาร...ได้รับทุกขเวทนาเยี่ยงนี้นานแสนนาน...
...จนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.4)คูถขาทาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างน่าเกลียดน่าชัง มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสาง...
...น่าสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด...เที่ยวร่อนเร่ไปด้วยความรู้สึกอดอยากหิวโหย...
...แสวงหามูตรคูถคืออุจจาระปัสสาวะที่มนุษย์ถ่ายทิ้งไว้...กินเป็นอาหาร...
...จนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.5)อัคคีชาลมุขาเปรต เป็นเปรตรูปร่างผอมโซสกปรก...มีเปลวไฟแลบออกจากปาก...
...ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน...เผาไหม้ปากและลิ้นได้รับทุกขเวทนาปวดแสบปวดร้อน...
...วิ่งร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดไปทั่วแดนเปรต...จนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.6)สูจิมุขาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างแปลกพิลึก...คือมีเท้าทั้งสองข้างใหญ่โต...
...ท้องเท่าภูเขามีคอยาวมาก...แต่มีปากเท่ารูเข็ม...ทำให้กินอาหารด้วยความลำบากยากเย็น...
...ไม่พออิ่มพออยาก...มีรูปกายผอมโซและดำเกรียม...ได้รับทุกขเวทนาหิวโซอดอยากอาหาร...
...จนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.7)ตัณหาชิตาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างผอมโซ อดอยากหิวโซ...
...มีความต้องการอยากกินข้าวน้ำเป็นอย่างมาก...เที่ยววิ่งหาอาหารและน้ำ...
...โดยกรรมบันดาลให้แลเห็นอาหารและน้ำ...ครั้นพอวิ่งเข้าไปหาอาหารและน้ำนั้น...
...ก็พลันสูญหายไปได้รับความทุกข์เสียใจ...เสวยผลกรรมด้วยความอดอยากหิวโหย...
...นานแสนนาน...จนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.8)นิชฌามกเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างต่างจากเปรตประเภทอื่น...
...คือมีฟันขาวมีเขี้ยวยื่นงอกออกมาจากปาก...ผมเผ้ายาวพะรุงพะรัง...
...ริมฝีปากบนห้อยย้อยลงมาทับริมฝีปากล่าง...มีรูปร่างคล้ายต้นตาล...
...หรือต้นไม้ใหญ่ที่ถูกไฟไหม้สูงชะลูดดำทะมึนแลดูน่ากลัว...
...เนื้อตัวมีกลิ่นเน่าเหม็น...เท้าและมือเป็นง่อยเคลื่อนไหวไปมาไม่ได้...
...ยืนร้องไห้ครวญครางด้วยความอดอยากหิวโหยอยู่กับที่ไม่สามารถหาอาหารได้...
...ทนทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.9)สัพพังคเปรต เป็นเปรตรูปร่างใหญ่โต...มีเล็บเท้าและเล็บมือยาวแหลมโค้งงอเหมือนเบ็ด...
...ตลอดเวลาจะก้มหน้าก้มตาใช้เล็บมือเล็บเท้าของตัวเอง...ข่วนตะกุยตะกายร่างกายของตนเอง...
...เป็นอาหาร...พร้อมกับร้องลั่นไปด้วยความเจ็บปวด...จนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.10)ปัพพตังคเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างใหญ่โตเหมือนภูเขา...ในเวลากลางคืนร่างกาย...
...จะถูกเผาไหม้ลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา... ในเวลากลางวันปรากฏเป็นควันระอุล้อมรอบกายอยู่...
...ถูกไฟเปรตเผาไหม้ทุกข์ร้อน...ร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา...จนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.11)อชคราทิเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างแตกต่างกันหลายอย่างหลายชนิด...โดยมีรูปร่าง...
...คล้ายสัตว์เดียรัจฉานที่เห็นในโลกมนุษย์ เช่น รูปร่างเหมือนกับงูเหลือม ควาย * เสือ...
...หมา ม้า ไก่ ปลา จระเข้ และมนุษย์ขี้เรื้อน...ถูกไฟเปรตเผาไหม้ตลอดร่างกาย...
...ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.12)มหิทธิกาเปรต...เป็นเปรตที่มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้...
...มีรูปร่างงดงามดั่งเทพยดาทั้งหลาย...แต่หาได้รับความสุขไม่...
...เพราะรู้สึกความรู้สึกอดอยากหิวโหยอาหารเป็นยิ่งนัก...
...แสวงหาสิ่งไม่สะอาดโสโครกกินเป็นอาหาร...
...ทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.13)เวมานิกเปรต...เป็นเปรตที่มีชีวิตดีกว่าเปรตประเภทอื่นคือมีวิมานทิพย์เป็นของตน...
...มีเปรตบริวารรับใช้อยู่มากมาย...บางครั้งได้รับความสุขดั่งเทพยดา...
...ปรารถนาอะไรก็ได้ดั่งใจ...แต่ครั้นต้องเสวยทุกข์ตามประสาเปรต...
...ก็จะกลายเพศเป็นเปรตรูปร่างน่าเกลียดน่าชัง...ได้รับทุกขเวทนา...
...ยิ่งกว่าเปรตธรรมดาเสียอีก...ได้รับทุกขเวทนาเป็นกึ่งเปรตกึ่งเทวดา...
...ผลัดเปลี่ยนตามกาลเช่นนี้...จนกว่าจะสิ้นกรรม...

:b1:
2.14)ปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นเปรตประเภทเดียวที่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศล...
...ที่มนุษย์เราอุทิศให้ได้...ท่องเที่ยวไปตามบ้านช่องของหมู่ญาติมิตร...
...ด้วยความอดอยากหิวโหย...คอยรับการอุทิศส่วนกุศลของหมู่ญาติพี่น้อง...
...ครั้นไม่ได้รับก็รำพึงด้วยความน้อยใจ...เที่ยวรอคอยด้วยความหวังต่อไป...
...ว่าญาติมิตรจะคิดถึงทำบุญ...กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้...
...ครั้นได้รับส่วนกุศลผลบุญที่หมู่ญาติอุทิศให้...เขามีใจผ่องแผ้ว...
...อนุโมทนาสาธุการ...สำเร็จเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศลกรรม...
...จึงพ้นจากความเป็นเปรตไปอุบัติในภพภูมิที่สูงกว่าทันที...
...ซึ่งการที่จะได้รับส่วนบุญกุศลต้องประกอบด้วยองค์ 3 คือ...
......1)เป็นทานที่เหล่าญาติมิตร...ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีประพฤติชอบ...
........หรือทานแก่หมู่สงฆ์ที่เรียกว่า...สังฆทาน
......2)เมื่อเหล่าญาติถวายทานแล้ว...มีใจผ่องแผ้วตั้งจิตกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล...
......3)ปรทัตตูปชีวีเปรตนั้น...ก็ต้องมาคอยรับและคอยอนุโมทนาด้วยความตั้งใจ...
........มีความเลื่อมใสสาธุการ...พลอยยินดีกับการทำทานที่ญาติมิตรได้กระทำเพื่ออุทิศให้ตน...

:b39:
:b12:
3)อสุรกายภูมิ หรือวินิบาต คือโลกอสุรกาย...
...อสุรกายภูมิ หรือวินิบาต คือโลกอสุรกาย...แปลว่าภูมิที่อยู่ของเหล่าสัตว์อันปราศจาก...
...ความแช่มชื่นร่าเริง...เป็นโลกที่มีแต่ความชั่วร้ายไม่น่าอยู่ไม่น่าอาศัย...เต็มไปด้วย...
...เหล่าอสุรกายรูปร่างแปลกประหลาดพิสดารน่าเกลียดน่าชัง...ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์...
...ปราศจากความสุขรื่นเริงโดยสิ้นเชิง...โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับเปรตมาก...
...จะต่างกันที่เปรตได้รับความทุกข์เนื่องจากหิวอาหาร...ส่วนอสุรกายจะได้รับความทุกข์...
...ความทรมานจากความหิวกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา...จนกว่าจะสิ้นกรรม...
...อันเนื่องมาจากกรรมคือ...การกระทำอกุศลกรรมด้วยความโลภมากไปด้วยอภิชฌา...
...ความเพ่งเล็งอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น...

:b44:
4)ติรัจฉานภูมิหรือโลกสัตว์เดียรัจฉาน...
...ติรัจฉานภูมิ...แปลได้สองอย่างคือ...
...อย่างแรกแปลว่า...โลกของเหล่าสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุเพียง 3 ประการ...
...เนื่องจากเป็นโลกที่อาภัพเศร้าหมอง...จะมีความสุขความยินดีแต่เพียงเหตุ...
...3 ประการเท่านั้นคือ...1.การกิน...2.การนอน...3.การสืบพันธุ์...

:b48:
...อย่างที่สองแปลว่า...โลกของสัตว์ผู้ไปโดยขวาง...คือการเคลื่อนที่ไปมาของสัตว์...
...ส่วนใหญ่จะไปตามแนวขวาง...คว่ำอกไปทั้งสิ้น...และยังหมายถึงจิตใจที่ขวางจาก...
...มรรคผลนิพพาน...คือไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในเพศสัตว์เดียรัจฉาน...
...จึงเป็นโลกของสัตว์ผู้อาภัพ...มีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากเย็น...เพราะมีภัยอยู่รอบด้าน...
...ต้องระแวงระวังภัยอยู่ตลอดเวลา...มีความหวาดสะดุ้งของจิตไม่มีหยุดในขณะที่แสวงหา...
...อาหารมาบรรเทาความหิวกระหาย...มีถิ่นที่อยู่ไม่แน่นอน...ตามที่เราพบเห็นได้ทั่วไป...
...เพราะมีรูปกายหยาบเช่นเดียวกับมนุษย์เรา...ซึ่งเหตุที่ได้มาเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน...
...ก็เนื่องมาจากการกระทำอกุศลกรรมบถต่างๆ...แต่ไม่หนักหรือรุนแรง...
...หรือเป็นเหล่าสัตว์ที่ได้ชดใช้ผลกรรมหนักจนเหลือผลกรรมเบาบาง...ก็จุติจาก...
...โลกนรก โลกเปรต โลกอสุรกาย มาเกิดในภพภูมิสัตว์เดียรัจฉานนี้ก็ได้...
...ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 4 ประเภทคือ...

:b48:
4.1)อปทติรัจฉาน คือสัตว์เดียรัจฉานประเภทไม่มีเท้า...ไม่มีขา...
...ซึ่งได้แก่ งู ปลา ไส้เดือน เป็นต้น...
4.2)ทวิปทติรัจฉาน คือสัตว์เดียรัจฉานประเภทมี 2 เท้า...
...ซึ่งได้แก่ นก เป็ด ไก่ เป็นต้น...
4.3)จตุปทติรัจฉานคือสัตว์เดียรัจฉานประเภทมี 4 เท้า...
...ซึ่งได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย เสือ และเก้ง กวางเป็นต้น...
4.4)พหุปปทติรัจฉานคือสัตว์เดียรัจฉานประเภทที่มีเท้ามากกว่า 4 เท้าขึ้นไป...
...ซึ่งได้แก่ แมลง ตะเข็บ ตะขาบ กิ้งกือ เป็นต้น...

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:
...คราวหน้าติดตามสุคติภูมิ...
cheesy


โพสต์ เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

:b39: 1. อบายภูมิ 4 (ภูมิที่ปราศจากความเจริญ — planes of loss and woe; unhappy planes)
1) นิรยะ (นรก — woeful state; hell)
2) ติรัจฉานโยนิ (กำเนิดดิรัจฉาน — animal kingdom)
3) ปิตติวิสัย (แดนเปรต — ghost-sphere)
4) อสุรกาย (พวกอสูร — host of demons)

:b39: 2. กามสุคติภูมิ 7 (กามาวจรภูมิที่เป็นสุคติ, ภูมิที่เป็นสุคติซึ่งยังเกี่ยวข้องกับกาม — sensuous blissful planes)
1) มนุษย์ (ชาวมนุษย์ — human realm)
2) จาตุมมหาราชิกา (สวรรค์ชั้นที่ท้าวมหาราช 4 ปกครอง — realm of the Four Great Kings)
3) ดาวดึงส์ (แดนแห่งเทพ 33 มีท้าวสักกะเป็นใหญ่ — realm of the Thirty-three Gods)
4) ยามา (แดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์ — realm of the Yama gods)
5) ดุสิต (แดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยสิริสมบัติของตน — realm of satisfied gods)
6) นิมมานรดี (แดนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต — realm of the gods who rejoice in their own creations)
7) ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนแห่งเทพผู้ยังอำนาจให้เป็นไปในสมบัติที่ผู้อื่นนิรมิตให้ — realm of gods who lord over the creation of others)

ภูมิทั้ง 11 ใน 2 หมวดนี้ รวมเป็น กามาวจรภูมิ 11 (ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในกาม — sensuous planes)

:b39: 3. รูปาวจรภูมิ 16 (ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูป, ชั้นรูปพรหม — form-planes)
ก. ปฐมฌานภูมิ 3 (ระดับปฐมฌาน — first-Jhana planes)
1) พรหมปาริสัชชา (พวกบริษัทบริวารมหาพรหม — realm of great Brahmas’ attendants)
2) พรหมปุโรหิตา (พวกปุโรหิตมหาพรหม — realm of great Brahmas’ ministers)
3) มหาพรหม (พวกท้าวมหาพรหม — realm of great Brahmas)

ข. ทุติยฌานภูมิ 3 (ระดับทุติยฌาน — second-Jhana planes)
4) ปริตตาภา (พวกมีรัศมีน้อย — realm of Brahmas with limited lustre)
5) อัปปมาณาภา (พวกมีรัศมีประมาณไม่ได้ — realm of Brahmas with infinite lustre)
6) อาภัสสรา (พวกมีรัศมีสุกปลั่งซ่านไป — realm of Brahmas with radiant lustre)

ค. ตติยฌานภูมิ 3 (ระดับตติยฌาน — third-Jhana planes)
7) ปริตตสุภา (พวกมีลำรัศมีงามน้อย — realm of Brahmas with limited aura)
8) อัปปมาณสุภา (พวกมีลำรัศมีงามประมาณหามิได้ — realm of Brahmas with infinite aura)
9) สุภกิณหา (พวกมีลำรัศมีงามกระจ่างจ้า — realm of Brahmas with steady aura)

ง. จตุตถฌานภูมิ 3—7 (ระดับจตุตถฌาน — fourth-Jhana planes)
10) เวหัปผลา (พวกมีผลไพบูลย์ — realm of Brahmas with abundant reward)
11) อสัญญีสัตว์ (พวกสัตว์ไม่มีสัญญา — realm of non-percipient beings)

(*) สุทธาวาส 5 (พวกมีที่อยู่อันบริสุทธิ์ หรือ ที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์ คือ ที่เกิดของพระอนาคามี — pure abodes) คือ
12) อวิหา (เหล่าท่านผู้ไม่เสื่อมจากสมบัติของตน หรือผู้ไม่ละไปเร็ว, ผู้คงอยู่นาน — realm of Brahmas who do not fall from prosperity)
13) อตัปปา (เหล่าท่านผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร หรือผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร — realm of Brahmas who are serene)
14) สุทัสสา (เหล่าท่านผู้งดงามน่าทัศนา — realm of Brahmas who are beautiful)
15) สุทัสสี (เหล่าท่านผู้มองเห็นชัดเจนดี หรือผู้มีทัศนาแจ่มชัด — realm of Brahmas who are clear-sighted)
16) อกนิฏฐา (เหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อยหรือเล็กน้อยกว่าใคร, ผู้สูงสุด — realm of the highest or supreme Brahmas)

:b39: 4. อรูปาวจรภูมิ 4 (ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในอรูป, ชั้นอรูปพรหม — formless planes)
1) อากาสานัญจายตนภูมิ (ชั้นที่เข้าถึงภาวะมีอากาศไม่มีที่สุด — realm of infinite space)
2) วิญญาณัญจายตนภูมิ (ชั้นที่เข้าถึงภาวะมีวิญญาณไม่มีที่สุด — realm of infinite consciousness)
3) อากิญจัญญายตนภูมิ (ชั้นที่เข้าถึงภาวะไม่มีอะไร — realm of nothingness)
4) เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ (ชั้นที่เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ — realm of neither perception nor non-perception)

ปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามี ย่อมไม่เกิดในสุทธาวาสภูมิ; พระอริยะไม่เกิดในอสัญญีภพ และในอบายภูมิ; ในภูมินอกจากนี้ ย่อมมีทั้งพระอริยะ และมิใช่อริยะไปเกิด.
ในพระไตรปิฎก ไม่พบที่ใดแสดงรายชื่อภูมิทั้งหลายไว้ทั้งหมดในที่เดียว บาลีแสดงรายชื่อภูมิมากที่สุด (มีเฉพาะชั้นสุคติภูมิ) พบที่ ม.อุ. 14/318-332/216-225 (M.III. 99-103) กล่าวตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไปจนถึงอรูปาวจรภูมิ.
ในบาลีแห่งทีฆนิกาย เป็นต้น* แสดงคติ (ที่ไปเกิดของสัตว์, แบบการดำเนินชีวิต — destiny; course of existence) ว่ามี 5 คือ นิรยะ ติรัจฉานโยนิ เปตติวิสัย มนุษย์ และเทพ (พวกเทพ — heavenly world ได้แก่ภูมิ 26 ตั้งแต่จาตุมหาราชิกาขึ้นไปทั้งหมด) จะเห็นว่าภูมิ 31 สงเคราะห์ลงได้ในคติ 5 ทั้งหมด ขาดแต่อสุรกาย อย่างไรก็ดีในอรรถกถาแห่งอิติวุตตกะ** ท่านกล่าวว่า อสูร สงเคราะห์ลงในเปตตวิสัยด้วย จึงเป็นอันสงเคราะห์ลงได้บริบูรณ์ และในคติ 5 นั้น 3 คติแรกจัดเป็นทุคติ (woeful courses) 2 คติหลังเป็นสุคติ (happy courses).
* ที.ปา. 11/281/246; ม.มู 12/170/148; องฺ.นวก. 23/272/450 (D.III.234; M.I.73; A.IV.459)
** อุ.อ. 174; อิติ.อ. 168 (approx., UdA.140; ItA.101)

อนึ่ง พึงเทียบภูมิ 4 หรือ ภูมิ 31 ข้อนี้ กับ [162] ภูมิ 4 ที่มาในพระบาลีด้วย กล่าวคือ ภูมิ 4 หรือ 31 ชุดนี้ จัดเข้าในภูมิ 3 ข้อต้นใน [162] ภูมิ 4 ดังนี้ อบายภูมิ 4 และกามสุคติภูมิ 7 รวมเข้าเป็นกามาวจรภูมิ (11) ส่วนรูปาวจรภูมิ (16) และ อรูปาวจรภูมิ (4) ตรงกัน รวมภูมิทั้งหมด 31 นี้ เป็นโลกียภูมิ พ้นจากนี้ไปเป็นโลกุตตรภูมิ


:b44: http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=351

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสต์ เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ :b12:


โพสต์ เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ข้าพเจ้าพิมพ์ดีดไม่เป็น...ตั้งใจบรรจงนั่งจิ้มดีดทีละตัว...
...ช้าหน่อยนะเจ้าคะ...ช้าๆได้พร้าเล่มงาม...

:b4:
สุคติภูมิ
...สุคติภูมิเป็นภูมิแห่งความสุข...เพราะเป็นแดนเกิด...
...แห่งสัตว์ที่ได้รับผลแห่งกรรมดีที่ตนเองได้กระทำไว้...
...มากน้อยตามเหตุแห่งกุศลธรรม...
...ประกอบด้วย...

:b48:
1)มนุสสภูมิ หรือ โลกมนุษย์
...มนุสสภูมิ แปลว่า ภูมิที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูง...ซึ่งหมายถึงความมีใจสูงในเชิงกล้าหาญ...
...คือมีความองอาจกล้าหาญกระทำกรรมได้ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว...กล่าวคือสามารถกระทำได้...
...ทั้งกรรมดีอันยิ่งใหญ่จนถึงมรรคผลนิพพาน...และสามารถกระทำกรรมชั่วที่เลวร้ายสุดๆ...
...จนถึงขั้นครุกรรม...ซึ่งไม่มีภพภูมิอื่นจะกระทำได้เยี่ยงมนุษย์เราเช่นที่กล่าวนี้...

:b48:
...หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นภพภูมิผู้ก่อหรือสร้างเหตุแห่งผลกรรมต่างๆได้มากที่สุด...
...คือได้ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว...ดังนั้นจึงเป็นภพภูมิที่เหมาะสมกับการสร้างบุญบารมี...
...จนหลุดพ้นมากที่สุด...ดังนั้นในกาลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาอุบัติตรัสรู้...
...จึงทรงอุบัติมาเกิดในมนุสสภูมิของเรา...เพื่ออบรมสั่งสอนมนุษย์เราเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง...

:b48:
...ดังนั้น...จึงถือว่าเป็นโชควาสนาที่พวกเราทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้...
...จึงไม่ควรประมาทในการแสวงหาและกระทำแต่กรรมดีสะสมไว้...โดยเฉพาะมนุษย์...
...ที่ได้มีโอกาสพบหรือรู้จักกับพระพุทธศาสนา...อันเป็นที่พึ่งใหญ่เป็นประโยชน์ใหญ่...
...แก่เหล่าสัตว์ทั้งปวง...ยากที่จะหาได้จากที่อื่นได้...อย่าได้กระทำตัวเหมือนลิงได้แก้ว...
...หรือไก่ได้พลอย...จนสิ้นชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย...เพราะโอกาสจะกลับมาเกิด...
...ในโลกมนุษย์อีกครั้งก็เป็นเรื่องที่ยาก...สำหรับบุคคลที่เป็นผู้ประมาทเพลิดเพลิน...
...ในการทำอกุศลกรรมอยู่ตลอดเวลา…

:b48:
...ความเป็นอยู่...ยศศักดิ์...ความฉลาด...ความโง่...รวย...จน...
...รูปร่าง...หน้าตา...และผิวพรรณของมนุษย์แต่ละคน...
...ก็มีความแตกต่างกันมาก...ตามเหตุแห่งผลกรรมดีหรือกรรมชั่ว...
...ซึ่งเป็นสิ่งจำแนกแยกแยะคนให้มีความแตกต่างกัน...ดังนั้นบุคคลบางคน...
...ก็ประสบพบแต่ความสุขความเจริญในชีวิต...ในขณะที่อีกหลายคนก็พบแต่...
...เคราะห์กรรมความทุกข์ความทรมานก็มีแตกต่างกันไปตามผลกรรมที่ส่งผล...
...มนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับความสุข...ความชื่นชมยินดีจากกามคุณทั้ง5 คือ...
...รูป รส กลิ่น เสียง การสัมผัสที่น่ายินดีที่ชอบใจนั่นเอง...

:b4:
...คราวหน้าต่อด้วยเทวภูมิ หรือโลกสวรรค์...
:b48:
:b48:
:b48:
:b48:
:b48:
...ผู้ให้ของชอบใจ.....ย่อมได้ของชอบใจ
...ผู้ให้ของเลิศ.........ย่อมได้ของเลิศ
...ผู้ให้ของดี............ย่อมได้ของดี
...ผู้ให้ของประเสริฐ...ย่อมถึงฐานะอันประเสริฐ

:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 04 ธ.ค. 2009, 16:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ขออนุโมทนาในความเพียรค่ะ tongue

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสต์ เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b7: ส่วนใหญ่ดิฉันไม่พิมพ์หรอกค่ะ ก็อปมา แล้วก็อนุโมทนาไป อิอิ.. :b12:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
สุคติภูมิ (ต่อ)
:b16:
2)เทวภูมิ หรือโลกสวรรค์...
:b4:
...เทวภูมิ แปลว่าภูมิที่อยู่แห่งทวยเทพทั้งหลาย...เทวโลกเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสุขล้วนๆ...
...ปราศจากความทุกข์ความเดือดร้อนโดยสิ้นเชิง...เป็นโลกที่มากไปด้วยความสุขในโลกียารมณ์...
...ยิ่งกว่าโลกไหนๆ...เป็นโลกทิพย์...ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยแห่งผู้มีกายทิพย์มีรัศมีพุ่งเรืองรองสว่างไสว...
...ออกจากกาย...ไม่ต้องประกอบการงานใดๆทั้งสิ้น...มีแต่ความสนุกสนานเพลิดเพลินไปด้วย...
...โลกียารมณ์คือกามคุณ5...ตลอดเวลา...บางครั้งจึงเรียกว่า...เทวภูมิ ซึ่งแปลว่า
...ภูมิเป็นที่อยู่ของกายทิพย์...ผู้เพลิดเพลินสนุกสนานไปด้วยเบญจพิธกามคุณารมณ์...
...อันเนื่องมาจากผลแห่งการกระทำกามาวจรกุศลกรรม...โดยมีชีวิตความเป็นอยู่ดังนี้...

:b20:
...การเกิดในเทวโลกจะเป็นลักษณะอุบัติเป็นเทวดาในทันทีทันใด...โดยไม่ต้องอยู่ในครรภ์...
...มีรูปร่างสวยสดงดงามอยู่ในวัยหนุ่มสาวเป็นเทพบุตรเทพธิดาทันที...โดยได้รับความสุขมากน้อย...
...ตามชั้นภูมิและผลกรรมแห่งตน...บ้างก็มีวิมานเป็นของตัวเอง...บ้างก็เกิดในฐานะบาทบริจาริกา...
...หรือในฐานะบุตร-ธิดาแห่งเทพองค์อื่นหรือเป็นเพียงเทพบริษัทบริวารของเทพผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่...
...หากว่าตนได้เคยสร้างบุญกุศลไว้มากมาย...ย่อมอุบัติเกิดเป็นเทวดาอิสรเสรีโดยลำพัง...
...ก็ย่อมจักไปเกิดยังวิมานของตนเอง...เพราะมีปราสาทวิมานพร้อมทั้งเทพบริวาร...
...ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิบากแห่งบุญกุศลคอยต้อนรับอยู่แล้ว...โดยไม่ต้องเป็นบุตร-ธิดา
...หรือเทพรับใช้แห่งเทพองค์ใด...

:b27:
...เทพทุกองค์ล้วนมีรูปโฉมผิวพรรณสัณฐานเป็นทิพย์สวยงามหนักหนา...
...สรีรร่างกายบริสุทธิ์สะอาดปราศจากเหงื่อกลิ่นตัวเช่นมนุษย์เรา...นุ่งห่มผ้าอาภรณ์ทิพย์...
...อันมีรัศมีเรืองรอง...สามารถเนรมิตกายให้เล็กหรือใหญ่โตได้ตามประสงค์...เป็นอยู่โดย...
...การบริโภคอาหารทิพย์ทุกวัน...ซึ่งไม่ต้องมีกากอาหารต้องขับถ่ายเหมือนพวกเราตลอดชีวิต...
...ตลอดชีวิตในแดนเทวโลกจะไม่มีภัยอันตรายใดๆหรือโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น...
...มีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญชื่นบาน...รัศมีอันเรืองรองจากกายจากอาภรณ์...จากปราสาท...
...และจากรัศมีแห่งแก้วเก้าเนาวรัตน์อันเป็นทิพยสมบัติ...ย่อมทำให้เมืองสวรรค์...
...สว่างเรืองรองอยู่ตลอดเวลาไม่มีราตรีค่ำมืดเหมือนโลกเรา...

:b7:
...การจุติตายไปของเหล่าเทวดาจากเทวโลก...ถึงแม้ภพภูมิเทวดาทั้งหลาย...
...จะมีอายุยืนนานและมีความสุขที่มั่นคงเป็นเนืองนิตย์ก็ตาม...
...แต่ก็ยังอยู่ในกฎแห่งไตรลักษณ์...คือการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง...
...ดังนั้นเทพเทวดาจึงมีการจุติตายไปทั้งสิ้น...ด้วยเหตุ 4 ประการคือ...

:b1:
...1)อายุกขยะ...จุติเพราะหมดอายุ...ก็คือหมดผลแห่งกรรมดี...ประกอบด้วย...
...ทานและศีลเป็นประมาณยิ่งแต่ไม่ได้ประกอบการภาวนาที่เรียกว่า...กามาวจรกุศลกรรม...
...ที่ชักนำให้มาอุบัติเกิดในเทวโลกนี้...จนครบอายุทิพย์ในทวโลกแต่ละชั้น...
...ก็จำต้องจุติหรือหมดอายุขัย...ไปอุบัติในภพภูมิใหม่ตามผลกรรมแห่งตนสืบไป...

:b12:
...2)ปุญญักขยะ...จุติเพราหมดบุญก่อนอายุขัย...อันเนื่องจากผลบุญกุศลที่ตนได้กระทำไว้...
...มีประมาณน้อย...เมื่อผลบุญที่ชักนำให้มาบังเกิดหมดสิ้นแล้ว...ก็จำต้องจุติตายไป...
...เกิดในภพภูมิอื่นก่อนครบอายุขัย...

:b2:
...3)อาหารักขยะ...จุติเพราะหมดอาหาร...อันเนื่องจากทวยเทพทั้งหลาย...
...จำเป็นต้องทานอาหารทิพย์เพื่อเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่ทิพยกายของตน...
...เทวดาบางองค์หลงเพลิดเพลินการเสวยความสุขจากกามคุณ5 อันเป็นทิพยสมบัติ...
...จนลืมบริโภคอาหารทิพย์...จนเป็นเหตุให้ต้องจุติตายไปเนื่องจากหมดอาหาร...

:b33:
...4)โกธาพลักขยะ...จุติเพราะความโกรธ...อันเนื่องจากเทวดาบางองค์มีจิตอิจฉาริษยา...
...สิริสมบัติทิพย์ของเทพองค์อื่น...หาเหตุพาลทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน...
...ถ้าเทพองค์ใดไม่มีขันติธรรมถูกความโกรธเข้าครอบงำจิตใจมีใจเสมือนไฟแล้ว...
...ย่อมลุกเป็นไฟไหม้กายทิพย์แห่งตนให้วอดวายต้องจุติไปสู่ภพภูมิอื่น...
...ด้วยกำลังแห่งความโกรธ...

:b7:
:b48:...คราวหน้ารออ่านชั้นต่างๆในเทวโลก...:b48:
:b16:


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue มารออ่านค่ะ ชอบมากค่ะ
มีใครเคยไปเห็นมาบ้างมั้ยคะ ว่าเป็นยังไง

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 16:40
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b4: ...เอามาให้อ่านต่ออีกหนึ่งยก...
:b44:
:b44:
:b44:
:b20:
...เทวโลกประกอบด้วยเมืองสวรรค์ที่ตั้งอยู่ในชั้นต่างๆ...มีด้วยกันทั้งหมด 6 ชั้น...
...เรียงลำดับจากล่างสุดไปหาชั้นสูงสุดได้ดังนี้...

:b1:
2.1)สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ (อายุ 500 ปีทิพย์เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์)
...สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพซึ่งมีท้าวจาตุมหาราชทรงเป็นอธิบดี...
...อยู่สูงขึ้นไปจากโลกมนุษย์ 42,000 โยชน์(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กิโลเมตร)...
...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กิโลเมตร)...เป็นแดนสุขาวดีโลกชั้นที่1...
... ซึ่งตั้งอยู่ ณ ตอนกลางแห่งสิเนรุราชบรรพต...โดยมีเทพนครใหญ่อยู่ 4 พระนคร...

:b48:
...แต่ละพระนครมีปราการกำแพงทองทิพย์รุ่งเรืองเหลืองอร่ามแลดูงดงาม...
...ประดับประดาด้วยสัตตรัตนะแก้ว 7 ประการ...บานประตูประกอบด้วยแก้วอันวิเศษ...
...และมีปราสาทวิมานสวยงามอยู่เหนือประตูทุกๆประตู...ภายในนครมีวิมานแก้ว...
...ซึ่งเป็นที่อยู่ของทวยเทพ...เรียงรายอยู่มากมาย...บนพื้นแผ่นสุพรรณทองคำที่ราบเรียบ...
...เรืองรองและมีความอ่อนนิ่มดุจฟูกผ้า...และมีสวนทิพย์...สระโบกขรณีที่มีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว...
...เต็มไปด้วยปทุมชาติอันเป็นทิพย์นานาชนิด...ส่งกลิ่นทิพย์หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ...
...มีดอกไม้นานาพรรณสีสันวิจิตรตระการตา...พร้อมรุกขชาติต้นไม้สวรรค์อันมีผลทิพย์รสโอชา...
...ออกผลตามฤดูกาล...ไม่มีวันร่วงโรยหรือหมดไป...

:b48:
...ซึ่งเทพนครทั้ง4 ที่ตั้งอยู่ในทิศต่างๆ จะมีเทวาธิราชผู้มีศักดิ์และอำนาจใหญ่เป็นผู้ปกครองป้องกันดังนี้
2.1.1)ธตรฐมหาราช...ปกครองเทพนครในทิศตะวันออก...และปกครองหมู่เทพ...คนธรรพ์...
2.1.2)วิรุฬหกมหาราช...ปกครองเทพนครในทิศใต้...และปกครองหมู่เทพ...กุมภัณฑ์...
2.1.3)วิรูปักษ์มหาราช...ปกครองเทพนครในทิศตะวันออก...และปกครองหมู่เทพ...นาค
2.1.4)เวสสุวัณมหาราชหรือท้าวกุเวรเทพ..ปกครองเทพนครในทิศเหนือ...และปกครองหมู่เทพ...ยักษ์

:b48:
...เหตุแห่งกรรมที่ได้มาเกิดในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกานี้...มีกล่าวไว้ในบุญกิริยาวัตถุสูตร ดังนี้...
:b20:
“ ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย...บุคคลบางคนในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน...
...อันมีประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลอันมีประมาณยิ่ง...
...แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย...เมื่อเขาผู้นั้นถึงกาลกิริยาตายไปแล้ว...
...เขาย่อมจักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา...
:b48:
...ส่วนท้าวมหาราชทั้ง 4 ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานั้น...
...พระองค์ได้ทรงกระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานอันเป็นอดิเรก...
...ได้ทรงทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลอันเป็นอดิเรก ฉะนั้นพระองค์จึงทรงเจริญรุ่งเรือง...
...ก้าวล่วงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิทั้งหลาย โดยฐานะ 10 ประการ คือ อายุทิพย์1 ...
...วรรณทิพย์1 สุขทิพย์1 ยศทิพย์1 อธิปไตยทิพย์1 รูปทิพย์1 เสียงทิพย์1 กลิ่นทิพย์1 ...
...รสทิพย์1 โผฐัพพทิพย์1 ดังนี้ ”...

:b44: :b44: :b44:
:b53:
:b16:
2.2)สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ (อายุ 1,000 ปีทิพย์เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์)
...สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพซึ่งมีเทพเจ้า 33 พระองค์ทรงเป็นอธิบดี...
...หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า... “ ไตรตรึงษ์ ” หรือ “ ดาวดึงส์ ” อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์...
...ชั้นจาตุมหาราชิการประมาณ 42,000 โยชน์...มีเทพนครเมืองใหญ่นามว่า...สุทัสสนเทพนคร...
...เป็นเทพนครที่สวยสดงดงาม...ปรางค์ปราสาทประดับประดาไปด้วยแก้วอันเป็นทิพย์...
...มีปราการกำแพงแก้วอันเป็นทิพย์...มีประตูรอบพระนคร 10,000 ประตู...โดยมีปราสาทยอด...
...ทรงรัศมีสว่างไสวงดงามอยู่เหนือทุกประตู...เวลาเปิดประตูจะปรากฏเสียง...
...อันไพเราะน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง...

:b48:
...ปราสาทพิมานที่สำคัญสวยงามเป็นอย่างยิ่งในสวรรค์ชั้นนี้คือ...ไพชยนตปราสาทพิมาน...
...ซึ่งเป็นที่ประทับของ...สมเด็จพระอมรินทราธิราช หรือที่เราชอบเรียกว่า “ พระอินทร์ ”
...ซึ่งองค์ปัจจุบันคือท้าวสักกอมรินทราธิราช...ซึ่งเป็นผู้มีบุญสิริบุญญานุภาพมากมาย...
...เป็นผู้ปกครองเมืองสวรรค์ชั้นนี้...ทรงมีพระหฤทัยฝักใฝ่กระทำบุญกุศล...
...และกิจอันเป็นประโยชน์อยู่เนืองนิตย์...ด้วยบุญญาธิการอันมากเช่นนี้...
...จึงทำให้สวรรค์ชั้นนี้มีชื่อเสียงเรื่องความเป็นอยู่ที่น่ารื่นเริงบันเทิงใจเป็นอย่างยิ่ง...
...น่าเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง...จึงปรากฏว่าโยคีฤาษีผู้ได้ฌานอภิญญาย่อมถือโอกาส...
...มาเที่ยวชมทัศนาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่เสมอๆ...

:b48:
...บรรดาทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นนี้...ที่ขึ้นชื่อได้แก่สวนขวัญอุทยานทิพย์ซึ่งประกอบด้วยแมกไม้...
...ดอกไม้สวรรค์และสระโบกขรณีที่สวยสดงดงามน่ารื่นรมย์ตั้งอยู่มากมาย...แต่ที่เลื่องชื่อเป็นพิเศษ...
...มีดังนี้คือ...สวนมหาวัน...สวนนันทวัน...สวนจิตรลดาวัน...สวนมิสกวัน...สวนผารุสกวัน...และ...
...สวนปุณฑริกวัน...ซึ่งมีต้นทองหลางทิพย์นามว่า “ ปาริชาตกัลป์ปพฤกษ์ ” ซึ่งดอกปาริชาตนี้...
...จะบานสะพรั่งทุก 100 ปี...เมื่อบานแล้วจะมีรัศมีแสงอันรุ่งเรืองงดงามและส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปไกล...

:b48:
...ภายใต้ต้นไม้ทิพย์ปาริชาตมีแท่นศิลาแก้วนามว่า “ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ” เป็นศิลาทิพย์...
...สีแดงดังดอกชบามีลักษณะอ่อนนุ่มเหมือนผ้าฟูก...เมื่อองค์อัมรินทราธิราชทรงประทับนั่งพักผ่อน...
...แท่นศิลาก็จะอ่อนยุบลงไป...และกลับฟูขึ้นตามเดิมเมื่อพระองค์เสด็จลุกขึ้น....นอกจากนี้...
...ยังมีศาลาทิพย์กว้างใหญ่สวยงามชื่อ...สุธรรมมาเทวสภา...ซึ่งเป็นที่ประชุมฟังธรรม...
...ของเหล่าเทวดาผู้มีสัมมาทิฐิทั้งหลาย...มีธรรมาสน์แก้วสวยงามวิจิตรตระการตานักหนา...
...เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจเป็นอย่างยิ่งเพราะอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้สวรรค์นานาชนิดอยู่ตลอดเวลา...

:b48:
...ในสวรรค์ชั้นนี้ยังมีเจดีย์ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ...พระเกศจุฬามณีเจดีย์เจ้า...
...ซึ่งมีความประเสริฐวิเศษเป็นมโหฬารและศักดิ์สิทธิ์...เพราะเป็นเจดีย์ที่บรรจุ...
...พระเมาลี(ผม)แห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า...เมื่อทรงตัดทิ้งในคราวเสด็จออกสู่...
...มหาภิเนษกรมณ์(ออกบวช)...และเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวา...
...แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูแห่งพวกเราทั้งหลาย...
...จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทวยเทพทุกชั้นฟ้าต่างพากันมาถวายนมัสการกระทำสักการบูชา...
...องค์พระมหาเจดีย์ด้วยความเคารพเลื่อมใสอยู่เป็นเนืองนิตย์...

:b27:
...ความวิจิตรงดงามและความสุขอันเป็นทิพยสมบัติ...ในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้...
...ไม่สามารถที่จะบรรยายให้หมดสิ้นไปได้...สมบัติต่างๆในมนุษยโลกย่อมไม่สามารถ...
...นำมาเทียบกับเทวสมบัติซึ่งเป็นทิพย์ได้...

:b8:
...บุพกรรมที่ทำให้ท่านท้าวสักกะได้มาอุบัติเป็นองค์อัมรินทราธิราช...ผู้เป็นใหญ่ปกครอง...
...สวรรค์ชั้นนี้พร้อมทั้งเทพสหายรวม 33 พระองค์...คือชาติก่อนเคยเกิดเป็นมนุษย์...
...ในยุคก่อนพระสมณโคดมจะมาตรัสรู้ประกาศธรรม...เป็นคนมีศรัทธา...
...ประกอบแต่กุศลกรรมต่างๆชั่วชีวิต...เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและสาธารณประโยชน์...
...อาทิ...ขุดสระ...สร้างศาลา...ที่พักอาศัย...ถนนหนทางเป็นต้น...โดยมีสหายร่วมอุดมการณ์...

:b43:
...ในการกระทำบุญกุศลเช่นนี้รวม 33 คน และยังประพฤติตนอยู่ในวัตตบท 7 ประการ...
...อย่างเคร่งครัดคือ1)เลี้ยงดูบิดามารดา2)เคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล3)กล่าววาจา...
...อ่อนหวาน4)ไม่กล่าวคำส่อเสียด5)ไม่มีความตระหนี่6)มีความสัตย์กล่าวคำที่เป็นจริง...
...7)ระงับความโกรธไว้ได้

:b48:
...ท่านตั้งตนอยู่ในคุณธรรมทั้ง 7 ประการนี้เสมอเป็นนิตย์...ครั้นถึงกาลสิ้นชีพจากโลกมนุษย์...
...ผลแห่งกุศลกรรมนี้จึงนำพาให้มาอุบัติเกิดเป็นองค์อัมรินทราธิราชเช่นปัจจุบันนี้...
...ชาติก่อนพระองค์เกิดในยุคนอกพระพุทธศาสนา...เป็นเหตุให้ไม่มีโอกาสได้กระทำ...
...บุญกุศลที่มีอานิสงส์มายิ่งกับพระพุทธศาสนาได้...ทำให้พระองค์บางทีก็นึกน้อยใจที่ไม่มีวาสนา...
...ได้เกิดเป็นมนุษย์ในยุคแห่งพระพุทธศาสนา...มีบุญญาธิการรัศมีรุ่งเรืองยิ่งกว่าพระองค์ในบางองค์...

:b48:
...ทำให้พระองค์ทรงมีความขวนขวายฝักใฝ่ในการกระทำบุญกุศลกับพระพุทธศาสนาทุกประการ...
...ที่สามารถจะกระทำได้เป็นอย่างยิ่ง...แม้กระทั่งเคยเนรมิตพระองค์ปลอมเป็นชายชราผู้ยากจน...
...เพื่อจะได้ถวายบิณฑบาตทานแก่พระมหากัสสปเถรเจ้า...ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในวันที่ท่านออกจาก...
...นิโรธสมาบัติและตั้งใจจะสงเคราะห์ผู้ยากไร้...เนื่องจากบิณฑบาตทานที่ถวายแก่พระขีณาสพ...
...ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ...ย่อมมีผลใหญ่มีอานิสงส์มากสุดจะคณานับได้...

:b8:
...ปัจจุบันจากผลแห่งการถวายทานแก่พระมหากัสสปเถรเจ้า...และการได้สดับฟังพระสัทธรรมเทศนา...
...ในสำนักแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงขึ้นไปเทศนาโปรดพุทธมารดาในสรวงสวรรค์...
...จนพระองค์ได้สำเร็จเป็นอริยบุคคลในพรพุทธศาสนาชั้นพระโสดาบัน...และมีบุญญาธิการ...
...มีรัศมีรุ่งเรืองรอง...มีศักดาใหญ่เหนือกว่าเทพทั้งปวงในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้และตามคำพยากรณ์...
...ในอนาคตกาลก็จะไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปตามลำดับจนเข้าสู่แดนนิพพานในที่สุด...

:b48:
...ดังนั้นพวกเราทั้งหลายที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์...และได้พบกับพระพุทธศาสนาแล้ว...
...อย่าได้เป็นผู้ประมาทในชีวิตอันน้อยนิดนี้เลย...ควรเร่งกระทำบุญกุศลสะสมไว้...
...ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่...และยังมีกำลังความสามารถที่จะกระทำได้...ทั้งนี้เพื่อประโยชน์...
...เพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่และยาวนานมากกว่าชีวิตในโลกมนุษย์ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย...
...ที่จะมีเกิดแก่บุคคลผู้กระทำกุศลกรรมนี้ในทุกภพทุก๙ติเบื้องหน้า...และเป็นกำลังหนุนเนื่อง...
...เข้าสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่แดนนิพพานในที่สุด...

:b12:
:b49:
...คราวหน้าต่อด้วยสวรรค์ชั้นยามาภูมิ...
:b53:
:b39: :b39: :b39: :b39: :b39:


โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...เพิ่งหาหนังสือเจออ่ะค่ะ...อ่านต่อกันดีกว่าค่ะ...
:b16:
2.3)สวรรค์ชั้นยามาภูมิ (อายุ 2,000 ปีทิพย์เท่ากับ 144 ล้านปีมนุษย์)
...สวรรค์ชั้นยามาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพผู้ปราศจากความลำบาก...
...มีพระสุยามเทวาธิราชเป็นอธิบดี...อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ 42,000 โยชน์...
...(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กิโลเมตร)...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กิโลเมตร)...
...เป็นเทพนครตั้งอยู่บนนภากาศ มีปราสาทวิมาฯเงินและทองมากมาย...
...งามประณีตวิจิตรตระการตายิ่งกว่าในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์...เพราะภพภูมิสวรรค์ที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ...
...จะมีความสุข ความรื่นรมย์ และทิพยสมบัติต่างๆ ย่อมละเอียดปราณีตขึ้นไปเป็นลำดับชั้น...
...ดังนั้นในชั้นนี้จึงมีเฉพาะเทวดาประเภท อากาสัฏฐกเทวดา คือ เทวดาที่บนนภากาศจำพวกเดียวกัน...
:b20:
...ผลแห่งกุศลกรรมมีทานและสีลเป็นต้น...ชักนำมาอุบัติเกิดในสรวงสวรรค์ชั้นนี้...
...เทพเจ้าทั้งหลายย่อมมีรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามมีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองนักหนา...
...มีชีวิตอันผาสุก เสวยทิพยสมบัติตามสมควรแก่อัตภาพ...
:b27:
:b44: :b44:
...บุพกรรม...เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน...
...ให้ทานโดยไม่หวังในผลของทาน โดยความคิดดว่าสืบทอดประเพณีตามบรรพบุรุษ...
...รักษาศีล...มีจิตขวนขวายในธรรม...ทำความดีด้วยใจจริง...


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 16 มิ.ย. 2010, 12:07, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
2.4)สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ (อายุ 4000 ปีทิพย์ เท่ากับ 576 ล้านปีมนุษย์)
...สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพผู้มียินดีแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์...
...ซึ่งมีพระสันดุสิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นยามาภูมิประมาณ...
...42,000โยชน์(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กม.)...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กม.)...

:b44:
...เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่กลางนภากาศ ประกอบด้วยวิมานแก้ว วิมานทอง และวิมานเงิน...
...เรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม มีความวิจิตรพิสดาร พร้อมสวนขวัญอุทยานทิพย์...
...เทวดาในชั้นนี้มีจิตใจใฝ่ธรรมเป็นยิ่งนัก เพราะมีจิตยินดีในการสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนา...
...เป็นยิ่งนัก โดยมีสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราชผู้เป็นเทพยสภาบดี ผู้เป็นพหูสูต เป็นผู้รู้ธรรมมาก...
...เป็นผู้นำในการแสดงธรรมบ้าง เป็นผู้นำในการพาสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาบ้าง...

:b44:
...ในสวรรค์ชั้นนี้มีความพิเศษคือ จะเป็นที่สถิตอยู่แห่งเทพบุตรโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี...
...จนเต็มเปี่ยมก่อนที่จะลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์เพื่อตรัสรู้สำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ...
...เป็นภพชาติสุดท้าย ดังเช่นในปัจจุบันนี้ก็เป็นที่สถิตของ สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์...
...ผู้จะมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตอันตรกัปที่ 13 แห่งภัทรกัปนี้...
...จึงมักได้รับการอาราธนามาเป็นองค์แสดงธรรมอยู่เป็นนิตย์...

:b44:
...1 อันตรกัป เท่ากับ 1 รอบอสงไขยปี เท่ากับ เลขหนึ่งตามด้วยศูนย์ 140 ตัว...
...อสงไขยปีนับอายุจากยุคเริ่มต้นเกิดมีสิ่งมีชีวิตไปจนกระทั่งเกิดการล้างโลกราบเป็นหน้ากลอง...
...ไปจนถึงเริ่มเกิดมีสิ่งมีชีวิตในยุคเริ่มต้นอีกครั้งคือนานจนนับไม่ได้ 1 รอบเจ้าค่ะ...

:b17:
:b4: :b4:
...เพิ่มเติมบุพกรรม...เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน...
...ให้ทานโดยไม่หวังในผลของทาน โดยความคิดดว่าสืบทอดประเพณีตามบรรพบุรุษ...
...เราต้องหุงหาอาหารให้แก่สมณะหรือพราหมณ์ที่หุงหาอาหารเองไม่ได้...ทรงศีล...ทรงธรรม...
...ชอบฟังพระธรรมเทศนาหรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก ฯลฯ...


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 16 มิ.ย. 2010, 12:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
2.5)สวรรค์ชั้นนิมมานรตีภูมิ (อายุ 8000 ปีทิพย์ เท่ากับ 2,304 ล้านปีมนุษย์)
...สวรรค์ชั้นนิมมานรตีภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพผู้มีความเพลิดเพลิน...
...ในกามคุณารมณ์ที่ตนเนรมิตขึ้น...อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นดุสิตประมาณ 42,000โยชน์...
...(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กม.)...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กม.)...

:b44:
...เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่กลางนภากาศ ประกอบด้วยวิมานเงิน วิมานทอง และวิมานแก้ว...
...มีความสุข และทิพยสมบัติประณีตยิ่งขึ้น...เทพแต่ฃะองค์มีรูปทรงสวยงามน่าดู...
...หากมีความประสงค์ใคร่สวยสุขด้วยกามคุณารมณ์สิ่งใดก็เนรมิตให้มีขึ้นได้ดังใจปรารถนา...
...ดังนั้นในสวรรค์ชั้นนี้จึงไม่มีคู่ครองประจำตนเหมือนกับสวรรค์ในชั้นก่อนหน้านี้...
...เพราะสามารถเนรมิตคู่ครองขึ้นได้ทุกครั้งที่ปรารถนา...

:b44:
...ในแผนผัง 31 ภพภูมิให้รายละเอียดว่า สวรรค์ชั้นนิมมานรตีมีท้าวสุนิมมิตเทวราชปกครอง...
...บุพกรรม...เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ให้ทานโดยไม่หวังในผลของทาน...
...ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาด มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยะอุตสาหะ...
...ในการบริจาคทานเป็นอันมาก ด้วยผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงนั้นจึงอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ได้...

:b12:
2.6)สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ (อายุ 16,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์)
...สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ แปลว่า ภูมิที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพผู้ได้เสวย...
...กามคุณารมณ์ที่ผู้อื่นซึ่งรู้ความต้องการของตนแล้วเนรมิตให้โดยสมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราช...
...ทรงเป็นอธิบดีอยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์สวรรค์ชั้นนิมมานรตีภูมิ ประมาณ 42,000โยชน์...
...(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กม.)...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กม.)...

:b48:
...โดยมีเทพนครตั้งอยู่บนนภากาศ เป็นแดนสวรรค์ที่เสวยความสุขประณีตละเอียดที่สุด...
...เนื่องจากเป็นยอดแห่งกามาพจรสวรรค์ทั้งหกชั้น โดยเมื่อไหร่มีความต้องการเสวย...
...กามคุณารมณ์ใดๆเกิดขึ้น...ก็จะมีเทวดาบริวารเนรมิตให้ตามความต้องการทุกประการเป็นนิตย์...
...จึงไม่มีคู่ครองประจำเช่นเดียวกับเทวดาชั้นนิมมานรตี...

:b48:
...ในแผนผัง 31 ภพภูมิให้รายละเอียดว่า สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ แบ่งเป็น2ฝ่าย...
...ฝ่ายเทพมีท้าวปรนิมมิตเทวราชปกครอง กับ ฝ่ายมารมีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราชปกครอง...
...บุพกรรม...เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฎ์...
...อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ทำอย่างจริงๆ มากไปด้วย...
...ศรัทธาปสาทะอย่างยิ่งยวดและถูกต้อง ในการให้ทานเป็นผู้ไม่หวังในผลแห่งทานแล้วให้ทาน...
...ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยความคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราเลื่อมใส...
...จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส ด้วยผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงยิ่งเท่านั้นจึงอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ได้...
:b48:
:b44: :b44:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร