วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 07:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 11:21
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
ก็เห็นคุณเข้ามาเรื่อย ๆ นะ...แต่ไม่ค่อยเห็นคุย...

พยายามเปลี่ยนบรรยากาศไปคุยเรื่องอื่นบ้างก็ได้นี่คะ...

ถามจริง ๆ เถอะ คุณเป็นคน serious อ๊ะป่าวนี่...

ถ้าบอกว่า "ไม่" เราล่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลย...

เพราะบุคลิกการเสวนาของคุณ ดูคุณ serious ....



ก็ซีเรียส ครับ แต่ซีเรียสแบบเงียบๆ ไม่ก้าวร้าว แล้วก็ถ้าไม่คุยเรื่องซีเรียส ก็ไม่ซีเรียสพร่ำเพรื่อครับ เช่นคนอื่นเขาคุยกันอยู่ดีๆ ก็ เข้าไปร่วมสนธนา จนวงแตก อย่างนี้ไม่มีครับ ภายนอกก็คุยเรื่องสนุกสนานตามปกติครับ ทะลึ่งเหมือนผู้ชายคนอื่น (ไม่ทะลึ่งจนถ่อยนะครับ) แฟนผมบอกว่า ผมดูเศร้าๆ เหมือนเป็นผู้ถูกกระทำตลอดเวลา (แฟนด้วยแหละที่กระทำ ว่านุ่นว่านี่) ความเศร้านี่มันฝังมาตั้งแต่เด็กที่พ่อแม่ทะเลาะกันครับ ผมยัง อยากจะหลุดเลยแต่ เหมือนเวรกรรม แค่เห็นหน้าก็ดูเศร้าแล้ว ผมว่าถ้าจะแก้นี่ต้องบำบัดกันยาวครับ ทุกวันนี้ก็ยังมีเรื่องให้ทุกข์ ตลอด
วันนั้น แฟนยืมเป้ ไปใส่เสื้อผ้า แม่ถามเอาไปทำไม มีรถ เลยบอกไปว่าคนส่วนมากเขาไม่ค่อยอยากถือถุงพลาสติก เท่าไหร่ มันไม่เท่ห์ ชอบใส่กระเป๋า เท่านั้นแหละ แกโกรธ หาว่าผมว่าแกผิดที่บ้านเราจะใส่ของในถุงพลาสติกตลอด ผมไม่ได้ว่าเลยครับ บ้านเราเป็นไงก็เป็นอย่างนั้น ผมชินกับการใส่ของในถุงพลาสติกแล้วพวกเสื้อผ้าก็ใส่ครับ แกโทรมาบ่นต่อ ตอนเดินออกไปทำงาน แล้วกระแทกหูโทรศัพท์ไปเลย (เป็นครั้งแรก ที่แม่ทำ ครับ ตกใจ เสียใจลึกๆๆๆๆๆ ลงท้ายด้วย.........................................................................เศร้าสิครับ ไม่ได้เล่าให้แฟนฟัง แต่แฟนทักว่าดูเศร้าๆ ผมสาบานได้ว่าไม่ได้ acting ให้มันเศร้าเหมือนในละคร เลยครับ ทำตามปกติ แต่เหมือนมันเป็นปฏิกริยา ที่พอโดนอะไรหนักๆ แล้วมันจะต้องรักษาสมดุล เลยต้องนิ่งๆ ไปช่วงนึงครับ ใครเจอก็ต้องเป็นแบบผม จะเดินสบายใจหน้าตายิ้มแย้ม เป็นไปได้ไงครับ ผมไม่โทษพ่อแม่หรือใครนะ กรรมของผมเองแต่ชาติที่แล้ว ผมว่านะ..5555555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ ถ้าจะแก้ แก้ที่ใจคุณก่อนเถอะ...

คิดว่า ทำยังไง จิตใจที่ดูจะเศร้า ๆ ของคุณ...หน่ะ จะสดชื่นขึ้น...

ไม่ลองออกไปท่องในกระดานอื่น ๆ บ้างล่ะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 17:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 11:21
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเพชร เขียน:
นอกจากสังคมที่คุณอยู่ มีคุณ มีแม่และพี่สาว
มีคนอื่นที่คุณสนิทไหม เช่น เพื่อนก็ได้
ที่เค้าเป็นคนดี ลองให้เค้าไปทำความรู้จักกับแม่คุณบ้างซิ
เช่นไปเยี่ยมเยียนบ่อยๆ คุยในเรื่องที่แม่คุณชอบ
เผื่อแม่คุณจะค่อยๆ ยอมรับว่า สังคมที่นอกเหนือที่ท่านรู้จัก
ก็มีคนดีๆ อยู่กับเขาบ้าง


ปัญหาคือ แม่กลัวที่จะรู้จักคนอื่นครับ เพราะทุกคนต่างมีกิเลส และมีอคติ เป็นธรรมดา คนที่จะทำให้แม่ดีขึ้นต้องยอมเป็นฝ่ายให้มากๆ แบบไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนจริงๆ เน้นว่าจริงๆ คงเป็นปมด้อยที่แม่ไม่มีอะ่ไรตอบแทนเขา เพราะจน มาตั้งแต่เด็ก เรื่องให้คนมาบ้านนี่แม่ ไม่อยากครับ อายบ้าน บ้านรก (ทั้งๆที่รกน้อยกว่าอีกหลายบ้านครับ) ถ้าใครจะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก บ้านรก หรือ การตอบแทนเนี่ยะ แม่ไม่เชื่อครับ พูดด้วยปากมันคงเปลี่ียนแม่ไม่ได้ "ขนาดคนที่ชวนขึ้นรถ พอคนนั้นไม่ขึ้น มันยังมานินทา ว่าจนแล้วยังหยิ่งอีก"
คนหลายคนก็ยังแสดงความโง่เขลาออกมา ถ้าเป็นเราๆท่านๆ หรือผมก็อาจจะโกรธเฉพาะคนๆนั้น แต่แม่ไม่ครับ คงเป็นศาสนานั่นแหละจะช่วยแม่ได้ ไม่มีใครหรอกครับ .....ถ้ามี ผม กราบเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าเพิ่งไปถามหาพระ

นอกจากคุณแล้ว มีใครเคยรับมือกับแม่คุณได้บ้าง...

คุณเคยเห็นว่ามีใครที่เข้าอกเข้าใจแม่ของคุณ มากไปกว่าคุณ...อีกรึเปล่า...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 11:21
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
อย่าเพิ่งไปถามหาพระ

นอกจากคุณแล้ว มีใครเคยรับมือกับแม่คุณได้บ้าง...

คุณเคยเห็นว่ามีใครที่เข้าอกเข้าใจแม่ของคุณ มากไปกว่าคุณ...อีกรึเปล่า...


ไม่เคยเห็นครับ แม่มีเพื่อนทีสนิทกันตอนเด็ก บ้านอยู่ใกล้กัน เขามีฐานะ แม่จะไปนอนค้างบ้านเขาประจำแต่พอเขาแต่งงานไป แม่ก็มาอยู่กับพ่อ เลยห่างๆ แม่ไม่กล้าติดต่อเขาอีกแม้จะมีเบอร์โทรศัพท์ เพราะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ของคุณ ดูจะมีอารมณ์ผ่อนคลายกับกิจกรรมใด ง่ายที่สุด

นอกจาก ดูละคร...คะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 01:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ..คุณเอราก่อน

แต่..พักโฆษณาเดี่ยวดิ.. :b32: :b32:

อยากเป็นคนไข้ของคุณหมอเสี่ยวจิ้ง..บ้างแล้วละซิ..

จองคิวต่อนะครับ..คุณหมอ

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 02:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่คุณจะเลิกโกรธเกลียดสังคม เมื่อท่านรวยค่ะ มีบ้านใหญ่ รถหรู นอนห้องแอร์ ฯลฯ นั่นแหละค่ะปัจจัยที่จะทำให้แม่คุณเลิกพฤติกรรมแบบนั้น ท่านประชดน่ะค่ะว่าชั้นดีแล้ว ชั้นเก่งแล้ว ฯลฯ (แล้วทำไมไม่ได้ดีเหมือนใครเขาวะ) อะไรประมาณนั้น

ขอโทษนะคะที่บอกตรงๆ เพราะการที่แม่คุณเป็นแบบนี้ ใช้ธรรมได้แค่นิดเดียว เพราะใจไม่เปิดรับ สอนอะไร ฟังอะไร ท่านก็ไม่ฟัง

สรุปทำได้อย่างเดียวที่ดีที่สุดนะคะ คุณเป็นลูกกตัญญูต่อท่านให้มาก อดทนเข้าไว้ ท่านขออะไร คุณให้ได้ก็ให้ จุฬาภินันท์ว่าคุณอยู่ในฐานะที่ให้ได้ ให้แม่ดีกว่าให้แผนนะคะ

ด้วยความหวังดีค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล

ธรรมชาติของจิตไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบนึกคิดไปต่างๆ นานา เช่น นึกคิดไปในทางกามบ้าง นึกคิดไปในทางอาฆาตพยาบาทบ้าง การนึกคิดในทางที่ไม่ดีเหล่านี้เรียกว่า อกุศลวิตก การห้ามจิตไม่ให้นึกคิด ในทางอกุศลทำได้ยาก บุคคลส่วนมากไม่ต้องการคิดในทางอกุศล แต่มักจะอดคิดไม่ได้ คิดจนนอนไม่หลับหรือเป็นโรคประสาทก็มี คิดจนฆ่า ตัวตายไปก็มี ตรงกันข้าม เมื่อต้องการคิดเรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล มักจะคิดในทางกุศลได้ไม่นาน การห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศลจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในที่นี้จะได้กล่าวถึงวิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล ๕ วิธี คือ

๑. เมื่อใส่ใจอารมณ์ใดอยู่ อกุศลวิตกเกิดขึ้น ก็ให้ใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกัน เช่น เมื่อนึกคิดไปในทางราคะ ก็ให้หันมาเจริญอสุภสัญญา พิจารณาว่า ร่างกายนี้เป็นของเน่าเปื่อยไม่สะอาด มีของโสโครกไหลออกอยู่เนืองๆ จะหาสิ่งที่เป็นแก่นสาร หรือสิ่งประเสริฐ ในกายนี้ไม่ได้เลย เมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศล คือ อสุภสัญญา ย่อมละราคะได้ ถ้าโลภอยากได้ข้าวของเงินทองต่างๆ ก็ให้พิจารณาว่า ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของกลางสำหรับแผ่นดิน ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เป็นเพียงของที่ยืมมาใช้ชั่วคราว ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้ในโลกให้ผู้อื่นใช้ต่อไป เมื่อมาใส่ใจในเรื่องอื่นที่เป็นกุศล คือ ความไม่มีเจ้าของและเป็นของชั่วคราว ย่อมละความโลภในทรัพย์สมบัติได้ ถ้านึกคิดไปในทางเบียดเบียนด้วยอำนาจโทสะ ก็พึงเจริญเมตตาด้วยการระลึกถึงพุทธพจน์ ที่เป็นไปเพื่อคลายความอาฆาต เช่น พุทธพจน์ในกกจูปมสูตร (๑๒/๒๗๒) ที่ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีที่จับทั้งสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ใน เหตุนั้น ภิกษุใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น

ภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตาไม่มีโทสะภายใน เราจักแผ่เมตตาจิต ไปถึงบุคคลนั้น และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น

เมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล คือ เจริญเมตตา ย่อมละโทสะได้ เหมือนช่างไม้ผู้ฉลาด ใช้ลิ่มอันเล็กตอก โยก ถอน ลิ่มอันใหญ่ออก ฉะนั้น

๒. เมื่อใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศลอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรพิจารณาโทษของอกุศลวิตกว่า ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง ทำให้ปัญญาดับ ก่อให้เกิดความคับแค้น ให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน เมื่อพิจารณาโทษอยู่อย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนชายหนุ่มหรือหญิงสาวรู้ว่า มีซากศพซึ่งเป็นของปฏิกูลน่ารังเกียจผูกอยู่ที่คอ ย่อมรีบทิ้งซากศพนั้นโดยเร็ว

๓. เมื่อพิจารณาโทษของอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็อย่าใส่ใจ อย่านึกถึงอกุศลวิตกนั้น เมื่อไม่นึก ไม่ใส่ใจ ก็ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ ไม่ต้องการจะเห็นรูปที่ผ่านมา เขาพึงหลับตาเสีย หรือเหลียวไปทางอื่นเสีย

พระโบราณาจารย์ก็เคยใช้วิธีนี้ แก้ความกระวนกระวายของติสสสามเณรที่ต้องการลาสิกขา เรื่องมีอยู่ว่า

ติสสสามเณรคิดจะลาสิกขา จึงแจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบ พระเถระจึงหาวิธีเบนความสนใจของสามเณร โดยกล่าวว่า ในวิหารนี้หาน้ำได้ยาก เธอจงพาเราไปที่จิตตลดาบรรพต สามเณรก็กระทำตาม พระเถระกล่าวกับสามเณรอีกว่า เธอจงสร้างที่อยู่ใหม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะบุคคลคนหนึ่ง สามเณรก็รับคำ แล้วสามเณรก็เริ่มสิ่งทั้งสามพร้อมๆ กัน คือ เรียนคัมภีร์สังยุตตนิกายตั้งแต่ต้น การชำระพื้นที่ที่เงื้อมเขา และการบริกรรมเตโชกสิณจนถึงอัปปนา เมื่อเรียนสังยุตตนิกาย จบลงแล้ว ก็เริ่มทำที่อยู่ในถ้ำ

เมื่อทำกิจทั้งปวงสำเร็จแล้ว ก็แจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบ พระอุปัชฌาย์กล่าวว่า สามเณร ที่อยู่เฉพาะบุคคล ที่เธอทำเสร็จนั้น ทำได้ยาก เธอนั่นแหละจงอยู่

สามเณรนั้น เมื่ออยู่ในถ้ำตลอดราตรี ได้อุตุสัปปายะ จึงยังวิปัสสนาให้เจริญ แล้วบรรลุพระอรหัต ปรินิพพานในถ้ำนั้นแหละ ชนทั้งหลายจึงเอาธาตุของสามเณรก่อสร้างพระเจดีย์ไว้

นี้คือเรื่องของติสสสามเณรที่ถูกพระอุปัชฌาย์เบนความสนใจ ให้ไปกระทำสิ่งอื่นที่เป็นกุศล จนลืมความคิดที่จะลาสิกขา เมื่อไม่ใส่ใจ ไม่นึกถึง ความคิดที่จะลาสิกขาก็ดับไปเอง

๔. เมื่อไม่นึกไม่ใส่ใจในอกุศลวิตกนั้น อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรใส่ใจถึงเหตุของอกุศลวิตกนั้นว่า อกุศลวิตกนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เพราะเหตุไรจึงเกิดขึ้น เมื่อค้นพบเหตุปัจจัยอันเป็นมูลรากแล้ว อกุศลวิตกนั้นย่อมจะเบาบางลง แล้วถึงความดับไป โดยประการทั้งปวง

๕. เมื่อใส่ใจถึงเหตุแห่งอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็พึงกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตด้วยจิต เมื่อข่มจิตอย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นเสียได้ เหมือนบุรุษผู้มีกำลังมากจับบุรุษผู้มีกำลังน้อยไว้ได้ แล้วบีบกด เค้นที่ศีรษะ คอ หรือก้านคอไว้ให้แน่น ทำบุรุษนั้นให้เร่าร้อน ให้ลำบาก ให้สยบ ฉะนั้น
(วิตักกสัณฐานสูตร ๑๒/๒๕๖)

วิธีควบคุมอกุศลวิตกทั้ง ๕ วิธีนี้ อาจย่อให้สั้นเพื่อให้จำได้ง่าย ดังนี้ คือ
๑. เปลี่ยนนิมิต หันมาคิดเรื่องที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกัน

๒. พิจารณาโทษา พิจารณาโทษของความคิดฝ่ายชั่ว

๓. อย่าไปสน อย่าสนใจความคิดฝ่ายชั่ว หางานอื่นทำ

๔. ค้นเหตุที่คิด หาสาเหตุของความคิดฝ่ายชั่ว

๕. ข่มจิต เอาฟันกัดฟัน เอาลิ้นกดเพดาน เพื่อข่มจิต

ผู้ที่ฝึกหัดตามวิธีทั้ง ๕ นี้จนชำนาญ ย่อมควบคุมความคิดของตนได้ เมื่อต้องการคิดเรื่องใดก็คิดเรื่องนั้นได้ ไม่ต้องการคิดเรื่องใด ก็เลิกคิดเรื่องนั้นได้ การควบคุมความคิดได้ดังใจนึกเช่นนี้เป็นประโยชน์อย่างมากทั้งทางโลกและทางธรรม

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์สามารถแก้ไขทุกปัญหาให้เราได้ทั้งหมดค่ะ


พิจารณาตรงเหตุเสียก่อนนะคะ
แล้วค่อยๆ ปรับ แก้ อย่าคาดหวัง 100% ได้เท่าไหน ก็เท่านั้น
ทำใจสักเล็กน้อย ว่า ความจริงคือ ไม้แก่ดัดยาก เปลี่ยนความคิดที่ฝังหัวมานานวัน ยากมากค่ะ
คุณต้องค่อยเป็นค่อยไป แบบน้ำซึมบ่อทราย
ค่อยๆ ตะล่อมคุณแม่ทุกๆ วัน บ่อยๆ
และที่สำคัญคุณต้องดีให้ได้เป็นตัวอย่างให้คุณแม่ท่านเห็น เมื่อท่านศรัทธา
เด๋วท่านก็ปฏิบัติตาม แล้วมีความสุขในที่สุดค่ะ

ขออนุโมทนาในความกตัญญูค่ะ :b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สาธุ..คุณเอราก่อน

แต่..พักโฆษณาเดี่ยวดิ.. :b32: :b32:

อยากเป็นคนไข้ของคุณหมอเสี่ยวจิ้ง..บ้างแล้วละซิ..

จองคิวต่อนะครับ..คุณหมอ

:b12: :b12: :b12:


อุ๋ย...?....อย่างคุณต้องเข้าเขตกักกัน...โรคติดต่อ... :b32: :b32:

:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:

บัวไม่แล้วน้ำ เขียน:
.....


จริง ๆ เรารู้ตัวเองดี....ว่าเราไม่สามารถจะแนะนำอะไรได้ดี....หรอกนะ

เพราะปัญหาแต่ละอย่าง มันมีองค์ประกอบที่ซับซ้อน... สิ่งที่คุณ บัวฯ เล่ามา มันแค่ผิว ๆ ...
ลำพังข้อมูลแค่นี้ วิเคราะห์หาหนทางแก้ได้ไม่ตรงจุดหรอก...

แต่คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของ ปัญหา สภาพแวดล้อมของปัญหา
และโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ ที่ดีที่สุด ก็คืน คุณบัว ฯ เอง

จากการสังเกตการสนทนาของคุณ เราเห็นว่า คุณไม่ใช่คนที่ด้อยทางปัญญาเลย...
เพียงแต่... ความเศร้า...มันมาบดบังปัญญาของคุณ...
ทำให้ จะคิดอะไร จะหยิบอะไร จะทำอะไร เพื่ออะไร ก็เหมือนกับกำลังเอาหัวโหม่งกำแพง...

เราพยายามนึก...ไปถึงตอนที่เราเคยรู้สึกเศร้าที่สุด...นะ...

คนเรามักจะเศร้า...เพราะ...ภาพสะท้อนจากโลกภายนอกที่เข้ามาสู่สายตานั้น
ไม่เป็นไปดั่งที่ใจเราคิด....

ในวันที่เรา...เศร้าที่สุด เราพยายามนั่ง list รายการสิ่งที่เราคิดอยากให้เป็นออกมา
และเฝ้านั่งพิจารณาว่า เราอยากให้สิ่งนั้น เป็นเช่นนั้น เพื่ออะไร เพื่อใคร...
ต้องทบทวนให้ดี ๆ ... ไล่ไปให้สุด ...
ในวันนั้น เราพบว่า เรามักจะต้องการให้โลกเป็นอย่างที่ใจเราคิด
เพราะถ้ามันเป็นเช่นนั้น เราจะได้มีความสุข
... :b41: :b41:

เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ทำให้เรามองเห็นความเห็นแก่ตัวอย่างลึก ๆ และร้ายกาจ
ที่เราฉาบมันเอาไว้ด้วยน้ำตาล...
มันคือ...ความดี(ความเป็นผู้ดี)...อันจอมปลอม...

หลังจากนั้นมา เราพยายาม
เรียนรู้ที่จะ มีความสุข ที่ไม่ขึ้นกับสิ่งใด
และ หยุดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่โดยสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม...
แค่นี้...จริง ๆ ...

เมื่อเรารู้สึก clear เราก็เริ่มเรียนรู้ที่จะทำตัวเองให้เสมือนกับ "ไต" ของบ้าน...

สำหรับคุณตอนนี้ ไหนจะแม่ ไหนจะแฟน ไหนจะเรื่องแต่งงาน...
แต่เราเห็นปมจริง ๆ เพียงข้อเดียว คือ ตัวคุณเอง...
....

ตอนนี้ ไต ของครอบครัวคุณ...บกพร่อง
ต้องหายามาช่วยก่อน "ยา" ก็บทธรรมเบา ๆ ความหมายดี ๆ ไว้คอยเป็นกำลังใจ...มากล่อมใจ

ธรรม...มีให้เลือกเสพ หลายระดับ ตั้งแต่ ระดับคลายทุกข์ จนถึง ดับทุกข์
คุณไปหาเสพให้ถูกกับอาการเศร้าของคุณก่อน...


เราถึงได้...อยากจะบอกคุณอย่างแรงกล้า... คือ คุณต้องแก้ที่ตัวคุณก่อน...

เมื่อคุณ...คลายตัวเองออกมาได้ในระดับหนึ่ง
เมื่อทัศนะในการมองปัญหาของครอบครัวของคุณเริ่ม clear
คุณก็จะค่อย ๆ เห็นหนทาง...ที่จะนำมาปรับกระบวนทัศน์ของคนในครอบครัวได้...

ความเศร้าของคุณ จะไม่จบไม่สิ้น ตราบเท่าที่คุณยังไม่สามารถยอมรับความจริงได้...
ความจริง คือ ความจริงที่เป็นอยู่ กับ ความจริงที่มันควรเป็นไป...

ปัญหาของครอบครัวคุณ...ไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปฝากความหวังไว้กับใคร...
และ...การปรับสภาวะ...ไม่ใช่ว่าจะหักดิบได้....
มันต้องอาศัยการ...ค่อย ๆ ปลูกถ่าย... ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลา

ใจต้องมีศรัทธา ทั้งหมอ และ คนไข้

ก็อยากให้คุณ...และครอบครัวของคุณ...ได้พบกับวิถีที่จะนำมาซึ่งความสุข...นะ...
แต่เราก็...แสดงความเห็นอย่างดี...ได้เพียงเท่านี้...
ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ก็มาระบายได้เรื่อย ๆ นะ....
ถ้าการรับฟัง และให้กำลังใจ มันช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง... เราก็จะคอยมารับฟัง...นะ


:b54: :b51: :b54: :b51: :b54: :b51: :b54: :b51: :b54: :b51:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 12 ธ.ค. 2009, 15:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จ๊ะเอ๋.... :b12:

นี่...พูดหน่อยสิ่.......เป็นไงบ้าง... :b16: :b16:

คุยได้...นะ...ถ้าอยากจะคุย บอกแล้วเราจะคอยแวะเข้ามาเรื่อย ๆ ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 23:20
โพสต์: 70

ชื่อเล่น: pmam
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากบอกว่า..เหนื่อยจัง แต่เป็นกำลังใจให้นะ..แต่ก่อนที่บ้านพ่อก็มีอาการตรงกันข้ามกับแม่ของคุณนะ..ที่ว่าตรงข้ามคือเห็นชาวบ้านดีหมด..เห็นลูกทำอะใรก็ไม่เคยถูกใจหรือดีเลยในสายตาท่าน..ท่านมักเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นเสมอ..ก้อเลยลองเอาดอกไม้เข้าไปขอขมาท่านแล้วก้อบอกรักท่าน กอด..พูดความในใจหลายๆๆอย่างที่เก็บในใจใว้หลายๆๆปีที่ผ่านมาให้ท่านฟัง..พูดไปร้องให้ไป.. :b2: แต่ก็พูดไม่หมดหรอกมันจุกอยู่ในอก..ที่จับใจความได้ก็ขอขมาเรื่องที่ทำให้ท่านผิดหวังกับเรา...ที่ดื้อ..หลังจากนั้นท่านก้อออ่นลง..แต่ก้อยังมีอยู่..เป็นกำลังใจให้นะ สู้..สู้..บางทีคนเรามักคาดหวังกับคนอื่นมากไปเมื่อผิดหวังเมื่อไม่ได้อย่างที่หวังมักจะเก็บมาเป็นอารมณ์..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 19:41
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในครอบครัวของดิฉันก็มีความขัดแย้งกันอยู่เหมือนกันค่ะ
แม่เชื่อเรื่องบุญบาป เชื่อเรื่องผีสางเทวดา ทั้งทางธรรมและไสยศาสตร์ ทำบุญไหว้พระอยู่เป็นประจำ
แต่พ่อกลับไม่เชื่ออะไรเลย ทั้งที่ก็เคยบวชเรียน แต่ไม่ศรัทธาในเรื่องธรรมมะเลยค่ะ
ดิฉันซื้อหนังสือธรรมมะมาไว้จนเต็มบ้าน พ่อก็ว่า เปลืองเงิน ไร้สาระ
ท่านเป็นคนขวางโลกค่ะ ชอบแขวะนู่นแขวะนี่
อยากให้ท่านหันมาสนใจทางธรรมมะบ้าง จะได้สงบนิ่งกว่านี้
พยายามทำให้ท่านเห็นว่า เราปฏิบัติแล้วมันดียังไง อยู่บ้านก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ
ไปทำบุญบ่อยๆก็ขอให้ท่านขับรถไปส่ง
เชื่อว่า การกระทำ สำคัญกว่า คำพูด
ถ้าเราทำๆๆๆๆ ให้ท่านเห็น อย่างน้อยจะต้องมีอะไรซึมเข้าไปในใจท่านบ้างน่ะค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร