วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 16:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ หน้า ๔๕๓

ปฐมเสทกสูตร

บุคคลผู้รักษาตน ย่อมชื่อว่ารักษาผู้อื่น

บุคคลผู้รักษาผู้อื่น ชื่อว่ารักษาตน...



สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า

เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้

เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความ เจ็บไข้ไปได้

เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้

เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น

เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม

มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง

จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม

เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น



ใกล้ปีใหม่แล้ว โดยมากทุกท่านก็ให้พรคนอื่น

ให้พรตัวเองบ้างดีไหม

พร คือ ความตั้งใจที่จะทำกุศล

และกุศลก็อย่าได้คิดเรื่องของทานอย่างเดียว

เพราะ กุศลควรจะเป็นทุกประการ

ไม่ใช่แต่เฉพาะในเรื่องของทานเท่านั้น

ถ้าให้พรแก่ตัวเองบ้าง คือ ว่า..

เริ่มพิจารณาจิตของตนเอง

พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ หน้า ๔๕๓

ปฐมเสทกสูตร

ข้อความบางส่วนจาก ปฐมเสทกสูตร...

รักษาผู้อื่นย่อมชื่อว่ารักษาตนอย่างไร

ที่ชื่อว่ารักษาตน

ด้วยความอดทน

ด้วยความไม่เบียดเบียน

ด้วยความมีจิตเมตตา

ด้วยความเอ็นดู

บุคคลผู้รักษาผู้อื่น

ย่อมชื่อว่ารักษาตนอย่างนี้แล...
" เมื่อโลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์,

พวกเธอยังจะร่าเริง บันเทิงอะไรกันหนอ ? เธอ

ทั้งหลายย่อมความมืดปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหา

ประทีปเล่า ?

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่มที่ ๒ ภาคที่ ๑

มหาปรินิพพานสูตร หน้า ๒๖๗



ในอัมพปาลิวัน นั้นแล

พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสกะพระภิกษุทั้งหลายว่า


ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่.


นี้เป็น "อนุสาสนีของเรา"

มอบให้ แก่เธอทั้งหลาย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ก็ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างไร


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุในพระศาสนานี้

พิจารณากาย ในกาย.....ป็นผู้มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่

กำจัดอภิชฌา และ โทมนัสในโลกเสียได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุในพระศาสนานี้

พึงพิจารณาเวทนาในเวทนา

พึงพิจารณาจิตในจิต

พึงพิจารณาธรรมในธรรม

มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.


ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติอยู่

อย่างนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า


ดูก่อนอานนท์

ก็ภิกษุ ยังหวังอะไรในตถาคตเล่า.


ดูก่อนอานนท์

ตถาคต มิได้มีกำมืออาจารย์ (ปิดบังซ่อนเร้น) ในธรรมทั้งหลาย.



ดูก่อนอานนท์

ก็ในกาลบัดนี้..........เราตถาคต แก่เฒ่าแล้ว

เป็นผู้ใหญ่.....ล่วงกาลผ่านวัย โดยลำดับแล้ว

อันวัยของตถาคตก็ดำเนินเข้าเป็น ๘๐ ปีอยู่.


ดูก่อนอานนท์

เกวียนคร่ำคร่า เดินไปได้ ด้วยการแซมด้วยไม้ไผ่ แม้ฉันใด

ร่างกายของตถาคต ก็ดำเนินไปได้.............

เหมือนด้วยการแซมด้วยไม้ไผ่ แม้ฉันนั้นแล.


เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ

มีตนเป็นสรณะอยู่เถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย.............


ดูก่อนอานนท์

เพราะว่า ในกาลบัดนี้ก็ดี

โดยการที่เราตถาคต ล่วงลับไปแล้วก็ดี


ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง...........

จักมีตนเป็นเกาะ...มีตนเป็นสรณะอยู่

.................ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ


ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง.........

ซึ่งเป็นผู้ใคร่ ในการศึกษา เหล่านั้น

จักเป็นผู้ประเสริฐสุดยอด

ดังนี้แล.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า


ดูก่อนอานนท์

บางทีพวกเธอ จะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า

ปาพจน์ มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของเราไม่มี.


ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น.!


ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใด อันเราแสดงแล้ว

ได้บัญญัติไว้แล้ว แก่พวกเธอ................


ธรรม และ วินัย อันนั้น....จักเป็น "ศาสดาแห่งพวกเธอ"

โดยกาลล่วงไป แห่งเรา.

ปีเก่ากำลังจะผ่านไป ปีใหม่กำลังจะมาถึง (เมื่อปีที่แล้ว ก็เป็นอย่างนี้ ถอยกลับไปปี

ที่แล้ว ๆ มาก็เป็นอย่างนี้)ชีวิตของแต่ละบุคคลมีแต่จะเดินหน้าไปอย่างเดียวไม่สามารถ

ย้อนกลับมาเป็นเหมือนอย่างในอดีตได้ เปรียบเหมือนกับก้อนเมฆเมื่อตั้งขึ้นแล้ว มีแต่

จะล่องลอยไปตามลมถ่ายเดียว กาลเวลาล่วงไป ๆ ชีวิตของแต่ละบุคคล ย่อมใกล้ต่อ

ความตายเข้าไปทุกที ๆ จะมีอะไรเป็นที่พึ่งในชีวิตได้ นอกจากการศึกษาพระธรรม

ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ล่วงเลยขณะที่จะเป็นเหตุทำ

ให้ปัญญาของตนเองเจริญขึ้น เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับ กุศลประการ

ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ก็จะเจริญขึ้นตามระดับของปัญญาด้วย กาย วาจา และ ใจ

ย่อมเป็นไปในทางที่ดีงามเพิ่มขึ้น ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่าง

แท้จริง

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๓ - ๔๕๔

“ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศ

สัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้น ชื่อว่าล่วงขณะ, ชนเป็นอันมาก กล่าว

เวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน, พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑

การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้

ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตน

พอจะรู้ จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะ

บุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ย่อมเศร้าโศก”

คนทั่วไปเข้าใจว่าความสุขเกิดจากการได้รับสิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนา แท้จริงเป็นเพียง

ชั่วขณะที่เห็นสิ่งที่ดี หรือได้ยินเสียงไพเราะ หรือได้กลิ่นหอม ๆ หรือได้ลิ้มรสอร่อย

หรือได้กระทบสัมผัสที่ดี ความสุขเหล่านี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ชั่ว

คราว มีแล้วก็หมดไป แต่ความสุขที่แท้จริงเพื่อความพ้นทุกข์ มาจากความเกิดขึ้น

แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย การได้ฟังธรรมที่สัตบุรุษแสดง ความพร้อมเพรียง(กันทำ

กิจที่ควรทำ)ของหมู่ ความเพียร(ชอบ)ของชนผู้พร้อมเพรียงกัน

จากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เรื่องสัมพหุลภิกขุ
ถา ทณฺเฑน โคปาโล คาโว ปาเชติ โคจรํ

เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ อายุ ปาเชนติ ปาณินํ

นายโคบาล ย่อมต้อนโคทั้งหลายไปสู่ที่หากินด้วยท่อนไม้ ฉันใด

ชรา และ มัจจุ ย่อมต้อนอายุของสัตว์ทั้งหลายไป ฉันนั้น

(คาถาธรรมบท)

วัน คืน ก็ล่วงไปอีกปี ไม่รู้ว่าจะยินดี หรือ หวั่นไหว แต่ไม่ว่าจะเป็นวันอะไร

สภาพธรรมก็มีปรากฏ แล้วก็ดับไปทุกขณะอย่างรวดเร็วตลอดเวลา

ทำไม่จึงติดข้อง ในสิ่งที่เพียงปรากฏ

เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทานทั้งครอบครัว
และได้ตักบาตรทั้งครอบครัว และได้กำหนดอิริยา
บทย่อย เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
และเมื่อวานนี้ได้รักษาอาการป่วยของคุณแม่ให้หายเป็น
ปกติและวันนี้เป็นวันเกิดจะกตัญญูต่อบิดามารดา
โดยจะช่วยท่านทำงานบ้าน และรักษาอาการป่วยของท่าน
และจะปฏิบัติกรรมฐานตเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา
และวันนี้ได้อนุโมทนากับผู้ใส่บาตรทั้งหมู่บ้านหลายร้อยชีวิต
และได้ร่วมทำบุญถวายสังฆทานทั้งหมู่บ้าน
ประมาณ 50 ชุด พร้อมกับงานบุญอื่นๆอีกมากมาย
และตั้งใจว่าจะกำหนดอิริยาบทย่อย เจริญวิปัสสนา
สนทนาธรรม รักษาศีล และเมื่อเช้า
ก็อาราธนาศีลทั้งหมู่บ้าน และได้ร่วมกันสวดมนต์
และขอสรุปยอดบุญกุศลที่ได้ทำมาทั้งหมดเลยนะ
เนื่องในวันเกิด
เพื่อให้อนุโมทนากันอย่างเต็มที่
ได้ให้ทาน รักษาศีล ทุกวัน
โดยให้ทานแก่สัตว์แต่ละวันประมาณร้อยตัว
ตอนเด็กเคยซื้ออาหารเลี้ยงปลามาถุงละ 10 บาท
มาหว่านปลาตามแม่น้ำและให้ทานแก่
สัตว์ตัวอื่นอีกหลายตัวตามถนน
หนทางเช่น สุนัขขาหัก แมว...

และได้ให้ตักบาตร
มาเป็นเวลา 12 ปีเต็ม
ได้ให้ธรรมะเป็นทานทุกวันเป็นเวลาปีครึ่งแล้ว
ได้กำหนดอิริยาบทย่อยมาเป็นเวลา 1 ปี กับอีก 2เดือน
ได้มีความกตัญญูต่อบิดามารดามาตั้งแต่เด็ก
ได้เคยบวชพระหมู่เป็นเวลา 15 วัน

ได้ถวายสังฆทานทุกวันมาเป็นเวลาประมาณ 1 ปี

และได้ถวายสังฆทานตั้งแต่เด็กแต่ทำเป็นบางวัน

ประมาณหลายปี

ที่สำคัญชอบเจริญสมาธิและทำมาประมาณ 12 ปี

ครั้งแรกรู้จักอานาปานะสติและได้เจริญอานาปานะสติ

และกรรมฐานอื่นๆอีก

ที่สำคัญได้ฟังธรรมและศึกษาธรรมมาเป็น

เวลา10 กว่าปี และชอบให้ธรรมะ

เป็นทานมาแต่เด็กแล้ว
ได้เคยไปปฏิบัติธรรมกับสถานปฏิบัติธรรมหลายแห่ง
เช่น ของคุณแม่สิริกรินชัย,ของวัดเขาพุทธโดม
ของวัดท่าข้าม ของวัดบางแก้ว เป็นต้น
และไปปฏิบัติแต่ละแห่งก็นับครั้งไม่ได้
และได้บริจาคโลหิตครบ 14 ครั้ง
และบุญอื่นๆอีกนึกไม่ออกอีกหลายอย่าง
ขอให้บุญนั้นที่เราทำจงมีแก่ทุกท่าน และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
31 ภพภูมิจงมีส่วนแห่งบุญที่ได้ทำขอให้
อนุโมทนาบุญด้วย





ขอเชิญสักการะพระพุทธรูปปางมารวิชัย หลวงพ่อติ้ว เป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย แกะสลักด้วยไม้แต้ว ลักษณะเป็นศิลปะของชาวลาว ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดหัวถนน ตำบลหัวถนน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุเมื่อ พ.ศ. 2537

พระพุทธรูป หลวงพ่อติ้ว เป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย แกะจากไม้แต้ว (ชาวลาวเรียกไม้ติ้ว) โดยประดิษฐานห่างจากตัวอำเภอพนัสนิคมประมาณ 10 กม. ตามเส้นทาง พนัสนิคม-สระสี่เหลี่ยม ณ วัดหัวถนน ตำบลหัวถนน อำเภอพนัสนิคม พอถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 19 เมษายน ของทุกปีจะมีการแห่องค์หลวงพ่อติ้ว ไปรอบหมู่บ้าน โดยเชื่อว่าจะช่วยดลบันดาลให้ประสบกับสิ่งที่หวังทุก ๆ ประการ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 15:37
โพสต์: 112

ชื่อเล่น: ดอกพุทธ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุ ด้วยค่ะ

.....................................................
หลอมจิตบรรจง สู่แสงแห่งธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

ขอให้มีความสุขตลอดปีและตลอดไป


:b48: :b48: :b48: :b48: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

:b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร