วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 18:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ภูมิ เขาแยกกันที่ระดับของจิต ไม่ใช่แยกกันทางกายภาพ

จิตที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมมีใจสูงในระดับที่จะมาเกิดได้ แต่พอมาเกิดแล้ว สังขารของเรานั้น เริ่มจากศูนย์ เริ่มเรียนรู้ประสบการณ์ทางโลก ถูกอบรมผ่านวัฒนธรรมและการเลี้ยงดูต่างๆ มันจึงมีโอกาสที่จะกลายเป็น คนใจสัตว์ หรือใจเทวดา
จิตใจเป็นแบบใด เมื่อตายลง ก็จะได้ไปเกิดอีก ตามระดับของใจนั้น...

สัตว์นั้น แตกต่างจากมนุษย์ได้หลายอย่าง แต่ที่พอจะนึกออกตอนนี้คือ สัตว์นั้น โดยทั่วไปจะไม่มี ความละอาย และความยับยั้งชั่งใจในตน
แต่มันก็มีสัตว์บางตัว ที่ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เหมือนกัน...

สัตว์นั้น เป็นภูมิจิตที่สูงกว่าภูมิอบายอื่นๆ แต่ในหมู่สัตว์เอง ก็มีอยู่หลายประเภท... ในความเห็นส่วนตัว เราว่า การเกิดเป็นสุนัขหรือลิง (ที่อยู่ในเมือง) มีโอกาสที่จะเวียนว่ายไปเกิดในอบายภูมิที่ต่ำลงไปอีก เพราะโดยวิถีชีวิตของมัน มีโอกาส เบียดเบียนชีวิตอื่น ได้มากกว่าสัตว์อื่นๆ มากกว่าแม้กระทั่งสัตว์นักล่า...
สัตว์นักล่า อาจทำปาณาติบาตก็จริง แต่ก็ยังเบาบางไปได้ เพราะล่าเพื่อเป็นอาหาร ไม่มีสัตว์ใดกลัวเสือที่อิ่ม...


ที่ จขกท. ว่ามานั้น น่าจะเรียกว่า ภพ มากกว่า ในภพที่เราอยู่นี้ ก็มีทั้ง ภูมิมนุษย์ ภูมิสัตว์ ภูมิเปรต และภูมิเทวดา (ส่วนหนึ่ง)

จริงๆ เราเชื่อว่า มนุษย์นั้นสามารถ "รู้สึกได้" กับการมีอยู่ของโอปปาติกะ แต่ในสังคมยุคใหม่ ที่กิเลสท่วมท้น บวกกับการเข้ามาของวัตถุนิยม ทำให้ความสามารถเหล่านี้ ถูกบดบังไป... ส่วนสัตว์นั้น เราค่อนข้างเชื่อว่า สามารถรับรู้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ

พระสัทธรรม ความจริงมีอยู่ในโลก

พระพุทธเจ้า ทรงประกาศความจริง

ใครจะค้านความจริงพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร

เพราะปัญญา เค้ามีแค่นั้น


เราปัญญาน้อย ก็ปรับปรุงตัวเอา

แต่ความจริงเป็นอย่างไร ใครก็ค้านไม่ได้

เพราะว่า

ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 22:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 21:35
โพสต์: 13

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คงเป็นบุญของหนูที่หนูมารู้จักกับเว็ปนี้ทำให้หนูได้รับความรู้ ถึงแม้หนูอาจใช้ภาษาที่ถามไม่ถูกต้อง และหนูจะถามทุกเรื่องที่หนูสงสัย ถึงหนูจะใช้ภาษาธรรมะไม่เป็นก็ตามแต่หนูก็อยากศึกษาธรรมะ แต่ก็มีท่านผู้รู้ได้เมตตาตอบให้หนูได้เข้าใจ หนูเข้าใจแล้วค่ะ หนูขอกราบขอบพระคุณท่านผู้รู้ทุกท่านมากๆด้วยค่ะที่ได้เมตตาตอบคำถามหนู


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Baal เขียน:
จากคำตอบของท่านผู้รู้ที่ได้เมตตาตอบมานั้นหนูพอเข้าใจบ้างแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจทั้งหมดคือตอนนี้หนูเข้าใจแล้ว แต่เข้าใจอย่างนี้ค่ะว่า จำพวกอบายภูมิทั้ง 4 นั้นถือว่าสัตว์เดรัจฉานเป็นพวกที่ดีกว่า 3 จำพวกแรก และยังคิดว่าพวกสัตว์เดรัจฉานยังมีบุญมากกว่าเปรต อสุรกายและสัมภเวสีเพราะเกิดมาร่วมในภพภูมิเดียวกันกับมนุษย์ และบางจำพวกยังอยู่ใกล้ชิดกับมนุย์เสียอีกอย่างสุนัขเป็นต้น หนูเข้าใจอย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ หากหนูเข้าใจผิดช่วยให้ความรู้หนูด้วยค่ะ กราบขอบคุณค่ะ


เราไม่อาจตัดสินใครว่า..อะไรมีบุญมากบุญน้อย..กว่าอะไร

เพียงแต่..การไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน..เพราะกรรมชั่วกำลังให้ผล..เรารู้ได้แค่นี้..แต่..เรา(คนธรรมดา)..ไม่อาจรู้ได้ว่า..กรรมดีหรือกรรมชั่วอะไรบ้างที่ยังรอเขาเหล่านั้นอยู่..ไม่แน่ว่าหากเขาหมดผลของกรรมชั่วแล้ว..กรรมดีมาให้ผลได้ไปที่สุคติ..ก็ได้นะ..

เราเองเป็นมนุษย์อยู่..ก็อย่าประมาทไปว่า..เราสูงกว่าเขา..เราดีกว่าเขา..เพราะมันไม่แน่..ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่..ตราบนั้นสุคติภพยังไม่มีความแน่นอน..
(แม้อริยะเจ้า..ก็ไม่เคยไปประมาทดูถูกดูแคลนเขาเหล่านี้เลย..ท่านมีแต่เมตตา..)

แม้ปุถุชนคนดี..มีศีลพร้อม..มีบุญทานพร้อม..มีสุคติภพแน่นอนเพียงชาติหน้าชาติเดียว..ชาติต่อๆ ไปยังไม่แน่นอน

มีเพียง..อริยะชน..เท่านั้น..ที่ไม่มีทางได้ลงอบายภูมิ..อีก..มีแต่สุคติ ๆ เรื่อยไปจนถึงพระนิพพาน

หากอยากรู้..จะเป็นอริยะชน..ต้องทำยังงัย.?..
ก็ลองเข้ามาถามดู..ที่นี้มีผู้รู้มากมาย..ที่พร้อมจะให้ธรรมะเป็นทาน..
:b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 05 ม.ค. 2010, 22:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Baal เขียน:
คงเป็นบุญของหนูที่หนูมารู้จักกับเว็ปนี้ทำให้หนูได้รับความรู้ ถึงแม้หนูอาจใช้ภาษาที่ถามไม่ถูกต้อง และหนูจะถามทุกเรื่องที่หนูสงสัย ถึงหนูจะใช้ภาษาธรรมะไม่เป็นก็ตามแต่หนูก็อยากศึกษาธรรมะ



ถามไปเถอะหนู หนูอยากถามยังไงก็ได้
ไม่ต้องไปพยามใช้ภาษาให้ยุ่งยากนะ
ถามไปตรงๆอย่างที่รู้นี่แหละ ซื่อๆตรงๆ
คิดยังไงพูดไปอย่างนั้น

แล้วก็ อย่าหวั่นไหวในข้อกล่าวหาที่หนูไม่ได้ตั้งใจทำนะ

และให้ดูไปว่า ถึงเราไม่ตั้งใจทำนะ แต่มันมี"ผลลัพธ์"
ให้ความเป็นจริงมันสอนเราว่า สิ่งนี้เป็นเหตุ จึงมีสิ่งนั้นเป็นผล
สอนใจตัวไปเรื่อยๆนะ

สู้ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 22:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
... ในความเห็นส่วนตัว เราว่า การเกิดเป็นสุนัขหรือลิง (ที่อยู่ในเมือง) มีโอกาสที่จะเวียนว่ายไปเกิดในอบายภูมิที่ต่ำลงไปอีก เพราะโดยวิถีชีวิตของมัน มีโอกาส เบียดเบียนชีวิตอื่น ได้มากกว่าสัตว์อื่นๆ มากกว่าแม้กระทั่งสัตว์นักล่า...
สัตว์นักล่า อาจทำปาณาติบาตก็จริง แต่ก็ยังเบาบางไปได้ เพราะล่าเพื่อเป็นอาหาร ไม่มีสัตว์ใดกลัวเสือที่อิ่ม...



:b12: :b12:

ผมว่า..หลาย ๆ คน น่าจะอิจฉา..สุนัขในวัด..นะ :b32: :b32:

ทำชั่วไม่มี..........(อะไรละที่ชั่วสำหรับสุนัข) :b32: :b32:
ทำดีตลอด.........(ฟังเสียงพระสวดมนต์) :b8: :b8:

ผมว่า..เป็นคนเสียอีก..ทำชั่วมากกว่าสุนัข.. :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 05 ม.ค. 2010, 22:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 23:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มี"ท่านผู้รู้" ท่านหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า
เคยเห็นสุนัขแม่ลูกอ่อน แม่หมา กำลังตาย แต่จิตใจมันมีเมตตาเต็มที่เลย
ก็เลยไปสวรรค์ชั้นสูงอันหนึ่ง

(ฟังเล่นๆกันนะ ไม่ต้องถามต่อ)

เอาแค่ว่า "สูงไปต่ำได้ ต่ำไปสูงได้"
พลิกผัน รวดเร็ว หาความแน่นอนอันหนึ่งอันใดไม่ได้เลย


ในพระไตรปิฏกก็มีนะ เป็นพระเถระ แต่ว่าตอนตาย มีพลาด
จิตใจไปเกาะอยู่กับผ้าจีวรที่รักที่หวงของตน
เลยไปเกิดเป้นเลนเกาะผ้า(ผืนนั้น)อยู่ 7 วัน

ใน 7 วันนั้น พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ใครเอาผ้านั้นไปใช้เลย
เพราะเลนตัวนั้น (เจ้าของเดิม) ยังหวงอยู่

จนเลนหมดอายุ และตายไปแล้ว ท่านจึงทรงพระราชทาานอนุญาตให้นำไปใช้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 23:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
(ฟังเล่นๆกันนะ ไม่ต้องถามต่อ)

ยิ่งห้าม..ก็เหมือนยิ่งยุ....อยากรู้..อยากรู้..อยากรู้.. :b12:

อ้างคำพูด:
เอาแค่ว่า "สูงไปต่ำได้ ต่ำไปสูงได้"
พลิกผัน รวดเร็ว หาความแน่นอนอันหนึ่งอันใดไม่ได้เลย


เรียกว่า..แบบแผนไม่มี..ที่มีมันไม่แน่..ที่แน่ก็แต่อริยะเจ้า :b32:


อ้างคำพูด:
ในพระไตรปิฏกก็มีนะ เป็นพระเถระ แต่ว่าตอนตาย มีพลาด
จิตใจไปเกาะอยู่กับผ้าจีวรที่รักที่หวงของตน..เลยไปเกิดเป้นเลนเกาะผ้า(ผืนนั้น)อยู่ 7 วัน


เรียกว่า..ของรัก..กลายมาเป็นพิษ..

เอ้าว..ใครจะทิ้งของรัก..ให้รีบทิ้ง..กบฯจะรับใว้เอง :b32: :b32:

ของไม่รัก..ไม่ต้องโยนมา..นะ :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 05 ม.ค. 2010, 23:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2010, 00:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


~ภูมิกับบุคคล~

ภูมิทั้งหมดมี ๓๑ ภูมิ ได้แก่

กามภูมิ ๑๑ คือ อบายภูมิ ๔, กามสุคติภูมิ ๗
รูปภูมิ ๑๖ คือ ปฐมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓
ตติยฌานภูมิ ๓, จตุตถฌานภูมิ ๗
อรูปภูมิ ๔ คือ อากาสานัญจายตนฌานภูมิ
วิญญาณัญจายตนฌานภูมิ
อากิญจัญญายตนฌานภูมิ
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานภูมิ

อบายภูมิ ที่อยู่ในกามภูมิ ๑๑ คือ

๑. นิรยะภูมิ

= นิ + อย + ภูมิ = ไม่มี + กุศล + ที่อยู่ ได้แก่ภูมิของสัตว์นรก
คือที่อยู่ของสัตว์นรกที่ต้องถูกทรมานจนหาความสุขไม่ได้
นรก = ความเดือดร้อน ความไม่มีสุข

ดังนี้ คำว่า นิรย และนรก จึงใช้ความหมายเดียวกัน

นรกมี ๒ ประเภท คือ

๑) มหานรก ได้แก่ นรกขุมใหญ่ มี ๘ ขุม
๒) อุสสทนรก ได้แก่ จุฬนรก ได้แก่ นรกขุมย่อยลงมาจากมหานรก



๒. เปตติภูมิ ภูมิของเปรต

เปรต เป็นสัตว์ที่มีความเดือดร้อนมากเพราะอดอยาก หิวโหย
ต่างกับสัตว์นรก ที่เดือดร้อนเพราะถูกทรมาน

เปรตแบ่งออกเป็นพวกใหญ่ๆ ได้ ๔ พวก คือ

๑) ปรทัตตูปชีวิกเปรต เป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตโดยอาศัยผู้อื่นอุทิศส่วนกุศลให้
๒) ขุปปิปาสิกเปรต เป็นเปรตที่อดอยากหิวโหย หิวข้าว – น้ำ เป็นนิจ
๓) นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่ถูกไฟเผาผลาญให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
๔) กาลกัญจิกเปรต เป็นเปรตจำพวกอสุรกาย


๓. อสุรกายภูมิ

คือหมู่สัตว์ที่ไม่สว่างรุ่งโรจน์ โดยความอิสระ และสนุกรื่นเริง
คำว่า “ไม่รุ่งโรจน์” หมายถึงความเป็นอยู่ฝืดเคือง ใจคอไม่ร่าเริง หน้าชื่นอกตรม

อสุรกาย มี ประเภท คือ

๑) เทวอสุรกาย ได้แก่ อสุรกายที่เป็นเทวดา มี ๖ เหล่า
๒) เปตติอสุรกาย ได้แก่ อสุรกายที่เป็นเปรต มี ๓ เหล่า
๓) อาวุทธิกเปรตอสุรกาย ได้แก่ พวกที่ชอบประหารกันเอง


๔. ติรัจฉานภูมิ หรือ เดียรัจฉาน

คือสัตว์ที่ไปโดยขวาง จากมรรคผล

(ที่มา : http://www.abhidhamonline.org/boss_files/sangaha/86.htm)

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2010, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


นอกจากนี้ อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า....

คำว่า "ภูมิ" มี ๒ ความหมาย คือ
หมายถึงจิตซึ่งเป็นภูมิของสัมปยุตตธรรม
คือ เจตสิกธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกัน ๑
และหมายถึง "โอกาส" คือ สถานที่เกิดของสัตวโลก ๑


โลกมนุษย์เป็นภูมิ คือสถานที่เกิดภูมิ ๑ ในที่เกิดทั้งหมด ๓๑ ภูมิ

เมื่อจิตต่างกันเป็นประเภทๆ
และจิตแต่ละประเภทนั้นก็วิจิตรต่างกันมาก
ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของสัตวโลกก็ต้องต่างกันไป
ไม่ใช่มีแต่มนุสสภูมิ คือโลกนี้โลกเดียว
และแม้ว่าจะเป็นกามวจรกุศล กำลังของศรัทธา ปัญญา
และสัมปยุตตธรรมคือเจตสิกทั้งหลายที่เกิดรวมด้วยในขณะนั้นก็วิจิตรต่างกันมาก
จึงจำแนกให้ได้รับผล คือ เกิดในสุคติภูมิต่างๆ
ไม่ใช่แต่ในภูมิมนุษย์เท่านั้น


สำหรับอกุศลกรรมก็เช่นเดียวกัน
ขณะที่ทำอกุศลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น
ถ้าสังเกตจะรู้ความแตกต่างกันของอกุศลกรรม
ว่าหนักเบาด้วยอกุศลธรรมเพียงไร

บางครั้งก็ประกอบด้วยความพยาบาทมาก
บางครั้งก็ไม่ได้ประกอบด้วยความพยาบาทรุนแรง
บางครั้งก็ขาดความเพียร ไม่ได้มิวิริยะอุตสาหะที่จะทำร้ายเบียดเบียน
แต่เป็นการกระทำซึ่งประกอบด้วยเจตนาเพียงเล็กน้อย
และสัตว์เพียงเล็กๆ นั้นตายลง

เมื่อแต่ละกรรมที่ได้กระทำไปนั้นประกอบด้วยสัมปยุตธรรม
คือเจตสิกขั้นต่างๆ อกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลวิจิตรต่างๆ กัน


ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดที่เหมาะที่ควรแก่กรรมนั้นๆ ก็ย่อมต้องมีมาก
ไม่ได้มีแต่เฉพาะมนุสสภูมิแห่งเดียวเท่านั้น

คำว่า "ภูมิ" หมายถึงโอกาสโลกซึ่งเป็นสถานที่เกิดของสัตวโลกทั้งหมด ๓๑ ภูมิ
ตามระดับขั้นของจิต คือ กามภูมิ ๑๑ ภูมิ
รูปพรหม ๑๖ ภูมิ อรูปพรหม ๔ ภูมิ
รวมโอกาสโลกซึ่งเป็นสถานที่เกิดของสัตวโลกทั้งหมดมี ๓๑ ภูมิ
คือ ๓๑ ระดับขั้น ซึ่งสถานที่เกิดแต่ละขั้นนั้นมีมากว่านั้น
คือ แม้แต่ภูมิของมนุษย์ก็ไม่ได้มีแต่โลกนี้โลกเดียว ยังมีโลกมนุษย์อื่นอีกด้วย


กามภูมิ ๑๑

ภูมินั้นเป็นอบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ และสวรรค์ ๖

ซึ่งขอกล่าวถึงเพียงย่อๆ เกี่ยวกับอบายภูมิ (ที่ถามมา) คือ

อบายภูมิ ๔

ได้แก่ นรก สัตว์เดรัจฉาน ปิตติวิสัย (เปรต)อสูรกาย

นรกไม่ใช่มีเพียงแต่แห่งเดียวหรือขุมเดียว นรกขุมใหญ่ๆ มีหลายขุม
เช่น สัญชีวนรก กาฬสุตนรก สังฆาตนรก โรรุวนรก
มหาโรรุวนรก ตาปนรก มหาตานนรก และอเวจีนรก
นอกจากนรกใหญ่ ก็ยังมีนรกย่อยๆ
ซึ่งในพระไตรปิฏกก็ไม่ได้กล่าวถึงโดยละเอียดมากนัก

เพราะจุดประสงค์ที่พระผู้ภาคทรงแสดงภูมิต่างๆ
ก็เพื่อทรงแสดงให้เห็นเหตุและผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม
สิ่งใดซึ่งไม่สามารถที่เห็นชัดประจักษ์ด้วยตา
ก็ย่อมไม่เป็นสิ่งที่ควรแสดง
เท่ากับสภาพที่สามารถจะพิสูจน์โดยอบรมเจริญปัญญาให้รู้ได้

การเกิดใน อบายภูมิ ๔ นั้น

ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมหนักก็เกิดในนรก
ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมที่หนักมากก็เกิดในมหานรกที่สุดจะทรมาน คือ อเวจีนรก
และเมื่อพ้นจากขุมนรกขุมใหญ่ๆ แล้ว ก็เกิดในนรกขุมย่อยๆ อีก

เมื่อยังไม่หมดผลของอกุศลกรรม ขณะที่กระทำอกุศลกรรมนั้นไม่คิดเลยว่า
ภูมินรกรออยู่แล้วข้างหน้า แต่ว่ายังไปไม่ถึง
เพราะว่ายังอยู่ในโลกนี้ก็ยังไม่ไปสู่ภูมิอื่น
แม้ว่าเหตุคืออกุศลกรรมมีแล้ว
เมื่อทำอกุศลกรรมแล้วย่อมเป็นปัจจัยให้ไปสู่อบายภูมิใดภูมิเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว

ผลของอกุศลกรรมที่เบากว่านั้น ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอบายภูมิอื่น เช่น เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
จะเห็นได้ว่าสัตว์ดิรัจฉานนั้นมีรูปร่างประหลาดๆ ต่างๆ นานา
บางชนิดมีขามาก บางชนิดมีขาน้อย บางชนิดไม่มีขาเลย
มีปีกบ้าง ไม่มีปีกบ้าง อยู่ในน้ำบ้าง อยู่บนบกบ้าง
มีรูปร่างลักษณะ ต่างๆ มากมาย ตามความวิจิตรของจิต

มนุษย์มีตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ผิวพรรณวรรณะ ความสูงต่ำ
ก็ยังวิจิตรต่างๆ กัน ไม่เหมือนกันเลย
ไม่ว่าจำนวนคนโลกนี้จะมากสักเท่าไรก็ตาม
รวมทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตด้วย
แต่สัตว์ดิรัจฉานก็ยิ่งวิจิตรต่างกันมากกว่ามนุษย์
ทั้งสัตว์น้ำ สัตว์บก และสัตว์ที่บินได้ ซึ่งก็ย่อมเป็นไปตามกรรม
อันเป็นเหตุให้มีรูปร่างวิจิตรนั้นๆ

ผลของอกุศลกรรมที่น้อยกว่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดในภูมิของ เปรต
ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ปิตติวิสัย
เปรตทรมานด้วยความหิวโหยอยู่เสมอ และภูมิของเปรตก็วิจิตรต่างๆ กันมาก

การเกิดเป็นเปรตนั้นเป็นผลของอกุศลกรรม
เปรตใดอนุโมทนากุศลที่บุคคลอื่นกระทำแล้วอุทิศไปให้
กุศลจิตที่อนุโมทนานั้นเป็นปัจจัยให้ได้อาหารที่เหมาะสมแก่ภูมิของตนบริโภค
หรืออาจจะพ้นสภาพของเปรตโดยจุติแล้วปฏิสนธิในภูมิอื่น
เมื่อหมดผลของกรรมที่ทำให้เป็นเปรตต่อไป

อบายภูมิ อีกภูมิหนึ่ง คือ อสูรกาย
การเกิดเป็นอสุรกายเป็นผลของอกุศลกรรมที่เบากว่า อกุศลกรรมอื่น
เพราะผู้ที่เกิดเป็นอกุศลกรรมนั้นไม่มีความรื่นเริงใดๆ อย่างในภูมิมนุษย์และสวรรค์
ในภูมิมนุษย์มีหนังสืออ่าน มีหนังละครดู มีเพลงฟัง
แต่ในอสุรกายภูมิไม่สามารถที่จะแสวงหาความเพลิดเพลินสนุกสนานได้เหมือนในสุคติภูมิ

เมื่อกุศลกรรมมีต่างกัน
ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดย่อมต่างกันออกไปตามเหตุ คืออกุศลกรรมนั้นๆ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2010, 00:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


~แผนภูมิแสดงภูมิ ๓๑~

รูปภาพ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2010, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 21:35
โพสต์: 13

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเข้าใจแล้ว หนูขอขอบพระคุณท่านผู้รู้ทุกท่านที่ได้เมตตาตอบให้หนู กราบขอบพระคุณมากๆค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 13:33
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อบายภูมิหมายถึงภูมิที่อยู่ต่ำกว่ามนุษยภูมิ

และทีสำคัญสัตว์ที่อยู่ในภูมินี้ไม่มีความสามารถสร้างบุญบารมีใดๆได้ครับ


อบายภูมินั้นไม่ได้หมายถึงภูมิที่สัตว์มีชีวิตที่สุขสบายเท่านั้น

แต่ต้องหมายถึงภูมิที่สามารถสร้างบุญได้ด้วย

ถ้าผมจะต้องเกิดเปนเดรัจฉาน

แม้ว่าได้กินหูฉลาม+สเต็กส์เนื้อสัน+นอนห้องแอร์ทุกวัน

ยังไงผมก็ขอเกิดเปนคนที่อยู่ในกระท่อมที่ต้องกินข้าวกับผักทุกวันดีกว่า


เพราะว่าอยากสร้างบุญกุศลกรรมสะสมเอาไว้

คนเท่านั้นที่สร้างบุญด้วยตัวเองได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


pancreas เขียน:
และทีสำคัญสัตว์ที่อยู่ในภูมินี้ไม่มีความสามารถสร้างบุญบารมีใดๆได้ครับ



สร้างได้สิ

พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นสัตว์อยู่ตั้งนานสองนาน
ก็เพื่อทรงบำเพ็ญพระบารมี
ทรงเป็นนก เป็นช้าง เป็นอะไรตั้งหลายอย่าง
ค่อยๆเก็บหอมรอมริบไปเป็นพระพุทธเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2010, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 240

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาโย ได้กล่าวไว้แล้วในสติปัฏฐานกถา
ในหนหลังโดยนัยเป็นต้นว่า ชื่อว่า กาย เพราะอรรถว่าเป็นที่อยู่ของสิ่ง
น่าเกลียดทั้งหลาย.
ชื่อว่า ถ้ำ เพราะอรรถว่า เป็นห้องที่อยู่ของกิเลสร้าย ๆ มีราคะ
เป็นต้น. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า เพราะอรรถว่า ปกปิด ก็มี, ดุจใน
ประโยคมีอาทิว่า ไปรับอารมณ์ได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่างมี
หทัยรูปเป็นถ้ำที่อาศัย ดังนี้.
ชื่อว่า ร่างกาย เพราะอรรถว่า ถูกกิเลสมีราคะเป็นต้นเผา ดุจใน
ประโยคมีอาทิว่า เขาเหล่านั้นละร่างมนุษย์แล้วดังนี้.
ชื่อว่า ร่างกายของตน เพราะอรรถว่า กระทำให้มัวเมา ดุจใน
ประโยคมีอาทิว่า ร่างกายของตนเป็นของเปื่อยเน่าทำลายไป เพราะชีวิต
มีความตายเป็นที่สุด ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 241

ชื่อว่า จอมปลวก เพราะเป็นที่อยู่ของเหล่ากิมิชาติทั้งหลาย
ดุจในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่าจอมปลวกนี้แล เป็นชื่อของกาย
ซึ่งประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้. เหมือนอย่างว่า จอมปลวกภายนอกท่าน
เรียกว่า จอมปลวก ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือคายออก ผู้คายออก คาย
ความริษยาออก คายน้ำมันสำหรับเชื่อมออก. ด้วยว่าจอมปลวกนั้น ชื่อว่า
จอมปลวก เพราะอรรถว่า คายสัตว์ต่าง ๆ มีงู พังพอน หนู และตุ๊กแก
เป็นต้น. ชื่อว่า จอมปลวก เพราะอรรถว่า ตัวปลวกทั้งหลายใช้จะงอย
ปากคาบดินก้อนเล็ก ๆ มาคายออกก่อขึ้นสูงประมาณสะเอวบ้าง ประมาณ
ชั่วบุรุษบ้าง แม้ฝนตกถึง ๗ สัปดาห์ก็ไม่พังทลาย เพราะน้ำมันคือน้ำลาย
ที่ตัวปลวกทั้งหลายคายออกเชื่อมยึดไว้. แม้ในฤดูร้อน เมื่อเอาดินกำมือ
หนึ่งแต่จอมปลวกนั้น มาบีบด้วยกำมือที่จอมปลวกนั้น น้ำมันก็ไหลออก.
ชื่อว่า จอมปลวก เพราะอรรถว่า คายน้ำมันสำหรับเชื่อมออก ด้วย
ประการฉะนี้. แม้กายนี้ก็ฉันนั้น ชื่อว่า จอมปลวก เพราะอรรถว่า
คายออกซึ่งของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ โดยนัยเป็นต้นว่า คายขี้ตาจาก
นัยน์ตา. พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระขีณาสพทั้งหลายทิ้ง
อัตภาพด้วยสละความใคร่ในอัตภาพนี้ ดังนั้นจึงชื่อว่าจอมปลวก เพราะ
อรรถว่า อันพระอริยะทั้งหลายคายแล้ว ก็มี.
อนึ่ง กายนี้อันกระดูกสามร้อยท่อนตั้งไว้ มีเอ็นเป็นเครื่องผูก มีเนื้อ
เป็นเครื่องฉาบทา หุ้มห่อไว้ด้วยหนังสด ย้อมไว้ด้วยผิว ล่อลวงเหล่าสัตว์.
ทั้งหมดนั้นอันพระอริยะทั้งหลายตายแล้วทีเดียวดังนั้นจึงชื่อว่า จอมปลวก
เพราะอรรถว่า คายความริษยาออก ก็มี. กายนี้เชื่อมไว้ด้วยน้ำมันคือ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 242

ตัณหา ที่พระอริยะทั้งหลายคายแล้วนั่นแลเพราะตัณหาให้เกิดแล้วอย่างนี้ว่า
ตัณหาให้บุรุษเกิด แล่นไปสู่จิตของบุรุษนั้น ดังนั้นจึงชื่อว่าจอมปลวก
เพราะอรรถว่า คายน้ำมันสำหรับเชื่อมออก ก็มี.
เหล่าสัตว์ต่าง ๆ ภายในจอมปลวก ย่อมเกิด ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
นอนเจ็บไข้ ตายตกไปในจอมปลวกนั้นเอง. จอมปลวกนั้น เป็นเรือน-
ตลอด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาล และเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น
ด้วยประการฉะนี้ ฉันใด แม้ร่างกายของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้นก็ฉันนั้น
มีกิมิชาติประมาณแปดหมื่นเหล่า โดยการนับเหล่า อย่างนี้คือ เหล่าสัตว์
ที่อาศัยผิว เหล่าสัตว์ที่อาศัยหนัง เหล่าสัตว์ที่อาศัยเนื้อ เหล่าสัตว์ที่อาศัย
เอ็น เหล่าสัตว์ที่อาศัยกระดูก เหล่าสัตว์ที่อาศัยเยื่อในกระดูก ย่อมเกิด
ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอนกระสับกระส่ายด้วยความไข้ตายตกไปภายในกาย
นั่นแหละ โดยไม่คิดนึกว่า นี้เป็นกายของผู้มีอานุภาพมาก ที่คุ้มครอง
รักษาแล้ว ประดับตกแต่งแล้ว กายแม้นี้ย่อมเป็นเรือนตลอด เป็นส้วม
เป็นโรงพยาบาล และเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้
ดังนั้นจึงนับว่า จอมปลวก.
ชื่อว่า รัง เพราะเป็นที่เก็บ คือเป็นรังแห่งโรคเป็นต้น ดุจใน
ประโยคว่า รูปนี้เป็นรังแห่งโรคผุพัง ดังนี้.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร