วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 17:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไตรภูมิ แม้แต่ภพ 4 ล้วนเป็นอนัตตา มีแต่นิพพานเท่านั้นที่เป็นอัตตา


ภพกับภูมิ แยกกันลำบาก ผมก็ขี้เกียจแยกด้วย จึงขอทับศัพท์ว่า ไตรภพ ไปเลยนะครับ

“ภพทั้ง 3” หรือ “โลกทั้ง 3” (ไตรภพ หรือ ไตรภูมิ) ไตรภพ = กามภพ- รูปภพ-อรูปภพ เป็นอนัตตา

หมายถึง ทุกสภาวะเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา และ สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา คำว่า ธรรม ในที่นี้หมายถึง รูปธรรม นามธรรม และกฎเกณฑ์ธรรมชาติทุกอย่าง นั่นหมายถึง สังขารหรือสังขตธรรมทั้งหมด เป็นอนัตตา

อย่างไรก็ตาม ในกรณีรูปภพในไตรภพ มี 11 ภูมิเทานั้น ที่เป็นภูมิของสังขารหรือสังขตธรรม ส่วนภูมิที่ 12-16 คือ

12. อวิหาภูมิ มีอายุ 1,000 มหากัป
13. อตัปปาภูมิ มีอายุ 2,000 มหากัป
14. สุทัสสาภูมิ มีอายุ 4,000 มหากัป
15. สุทัสสีภูมิ มีอายุ 8,000 มหากัป
16. อกนิฏฐภูมิ มีอายุ 16,000 มหากัปรวมถึงอสังขตธรรมที่ยังไม่ได้เข้านิพพานด้วย

ภูมิ12-16 เหล่านี้เป็นของอสังขตธรรมที่ยังไม่เข้าถึงนิพพาน เรียกว่า สุทธาวาส สุทธาวาส ถือเป็นที่อยู่ของพรหมที่เป็นพระอริยเจ้าระดับพระอนาคามี พวกท่านล้วนเป็นอสังขตธรรมทั้งสิ้น แต่เป็นอสังขตธรรมที่ยังไม่ได้เข้านิพพาน แต้เข้าใกล้พระนิพพานแล้ว พวกท่านจัดได้ว่าเป็นผู้ได้กายธรรม(ธรรมกาย) แต่ยังไม่ถึงนิพพาน จึงยังต้องเป็นพรหมอยู่ในสุทธาวาส อสังขตธรรมชนิดนี้ (พรหมชั้นสุทธาวาส ) จึงยังจัดว่าเป็นอนัตตาอยู่ (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา)

พูดอีกนัยหนึ่ง หลายตำราแยกภพออกเป็น 4 ภพ แทนที่จะเป็น 3 ภพ ภพที่ 4 นั้นเป็นภพของผู้ได้กายธรรม(ธรรมกาย) เป็นอสังขตธาตุภพที่ยังไม่เข้านิพพาน จัดได้ว่า ภพที่ 4 นี้ก็ยังเป็นอนัตตา เพราะยังหลักเลี่ยงอนิจจังไม่ได้

แต่อสังขตธรรมที่หมายถึงพระนิพพาน เป็นอสังขตธรรมที่เป็นวิราคะธรรม ไม่เกิด ไม่ดับ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะการสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เป็นชื่อของนิพพานธาตุ ที่เป็น อมตะ(เที่ยง)

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

ด้วยเหตุนี้ อสังขตธาตุที่เป็นวิราคะธรรม คือ พระนิพพานจึงเป็นอัตตา ส่วนอสังขตธาตุชนิดอื่น และสังขตธาตุทั้งหมด ล้วนเป็นอนัตตา

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด วิราคธรรม เรากล่าวว่า เป็นยอด (หรือเลิศก็ได้) ของสังขตธรรม และอสังขตธรรม เหล่านั้นทั้งหมด "


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 11 ก.พ. 2010, 12:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




oba41.gif
oba41.gif [ 18.27 KiB | เปิดดู 6326 ครั้ง ]
สวัสดีขอรับสหายพลฯ

ได้ยินบ่อย ๆ และใครๆก็มักพูดกัน คืออัตตาๆ ทำไมอัตแต่ตา ไม่อัตยายบ้าง ล่ะ :b12:
:b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 11 ก.พ. 2010, 12:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สวัสดีขอรับสหายพลฯ

ได้ยินบ่อย ๆ และใครๆก็มักพูดกัน คืออัตตาๆ ทำไมอัตแต่ตา ไม่อัตยายบ้าง ล่ะ :b12:
:b1:

เป็นเพราะว่าตาไม่ให้อัตยาย ถ้าเราไปอัตยาย เราก็โดนตาอัต


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนิพพาน...ไม่ใช่ อัตตา
พระนิพพาน...ไม่ใช่ อนัตตา
พระนิพพาน...อยู่ที่สุดแห่งโลก
พระนิพพาน...จะว่าเกิดก็ไม่ใช่
พระนิพพาน...จะว่าไม่เกิดก็ไม่ใช่
พระนิพพาน...ไม่มี รูปพรรณสัณฐาน
พระนิพพาน...ไม่มี สีสรร
พระนิพพาน...ไม่มี ที่ตั้ง

.............แต่....................

พระนิพพาน...มีอยู่จริงแท้แน่นอน


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายครับ


อัตตา ในคำนิยามที่พระพุทธเจ้าได้ให้ไว้ในอนัตตลักขณะสูตร


" ดูกรภิกษุทั้งหลาย....

ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย "

สรุป

ถ้ามีรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ใด ที่ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย สิ่งนั้นก็เป็น "อัตตา"

และพระพุทธองค์ยังตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ เพื่อสอบความเข้าใจด้วยว่า :

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


ตอนนี้ผมจะถามคุณกรัชกาย ว่า:

ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ท่านกรัชกาย จะตอบว่า : ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า ไม่ใช่หรือครับ

เมื่อไรที่ท่านกรัชกายตอบดังนี้ แสดงว่าท่านทิ้งมิจฉาทิฏฐิแล้ว และก็พบและเข้าใจ อัตตาที่พระพุทธเจ้าให้นิยามไว้ในอนัตตลักขณะสูตร


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ์ มานี่ๆ viewtopic.php?f=66&t=29464

กรุณาอย่าเดินเพ่นพ่าน คุณชาติสยาม ให้ คุณพลศักดิ์ มานี่ๆ


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
คุณพลศักดิ์ มานี่ๆ viewtopic.php?f=66&t=29464

กรุณาอย่าเดินเพ่นพ่าน คุณชาติสยาม ให้ คุณพลศักดิ์ มานี่ๆ


เปล่าๆ บอร์ดไม่ใช่ของผมน่ะครับ
ผมขี้เกียจยุ่งด้วย ไม่หนุกแล้วล่ะ

ตัวใครตัวมันนะครับ ท่านผู้ชม จุ๊บๆ
:b32:


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:
คุณพลศักดิ์ มานี่ๆ viewtopic.php?f=66&t=29464

กรุณาอย่าเดินเพ่นพ่าน คุณชาติสยาม ให้ คุณพลศักดิ์ มานี่ๆ


เปล่าๆ บอร์ดไม่ใช่ของผมน่ะครับ
ผมขี้เกียจยุ่งด้วย ไม่หนุกแล้วล่ะ

ตัวใครตัวมันนะครับ ท่านผู้ชม จุ๊บๆ
:b32:

อ้าว...บอร์ดไม่ใช่ของ อสูรย์ เหมือนกัน
งั้น คุณพลศักดิ์ เชิญเพ่นพ่าน ต่อไปได้ 555


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกือบลืม....แต่อย่าไปไหนไกลเกินไปนะ 555


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกเรื่อง....อย่ามาว่า อสูรย์ เป็น เอกวี แห่งเว็บพลังจิต อีกละ 555


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
พระนิพพาน...ไม่ใช่ อัตตา
พระนิพพาน...ไม่ใช่ อนัตตา
พระนิพพาน...อยู่ที่สุดแห่งโลก
พระนิพพาน...จะว่าเกิดก็ไม่ใช่
พระนิพพาน...จะว่าไม่เกิดก็ไม่ใช่
พระนิพพาน...ไม่มี รูปพรรณสัณฐาน
พระนิพพาน...ไม่มี สีสรร
พระนิพพาน...ไม่มี ที่ตั้ง

.............แต่....................

พระนิพพาน...มีอยู่จริงแท้แน่นอน


นิยามอัตตาของคุณคืออะไรล่ะครับ?

เหล่าพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่า: นิพพานเป็นอัตตา


1. บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓)

"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ....
เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"


กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม = กายที่อยู่ภายในกาย เมื่อเรามีสัมปชัญญะ... มีสติ นั่นแหละ "อัตตา"


2. จากพรหมชาลสูตร

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย จักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ "

แล้วตรัสต่ออีกว่า

"เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต."


ผมย้ำท่อนนี้อีกที เพราะมารมันบังตาพวกเราไว้ให้ผ่านท่อนนี้ไป แต่คราวนี้เน้นเลย เอาอำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต (มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว) ยังดำรงอยู่ มนุษย์ทั้ง
หลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ = กายที่ยังดำรงอยู่ นี่แหละ "อัตตา" ...

3. คราวนี้มาดูอนัตตลักขณสูตรบ้าง ผมขอตัดตอนที่อำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด นะครับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่
พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อม
บังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึง
ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคล
พึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และ
บุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และ
บุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

จะเห็นว่า สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา

สรุป

ตอนนี้พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทุกองค์ในนิพพาน มีอยู่ ยังดำรงอยู่ และอายตนะนิพพาน
(ธรรมกาย)ของพวกท่าน ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ที่ไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บ
ไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนาด้วย

ย้ำ!!! สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม
เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา

ด้วยเหตุนี้ ธรรมกายที่เป็นอายตนะนิพพาน ก็เป็นอัตตา

อัตตานี้มีขันธ์ 5 เป็นธรรมที่เรียกว่า ธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย


4. ในจักกวัตติสูตร ๑๑/๘๔ ขันธสังยุต ๑๗/๕๓๓๓๓. มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ มีความว่า:

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย"

ย้ำ! ! พวกเธอจงมี ตน เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย จงมี ธรรม เป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย

หลักฐานนี้ชัดครับ

อัตตา = ตน ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง คือ ธรรม ตน(อัตตา) กับ ธรรม จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เรามีอัตตา(ธรรม)เป็นที่พึ่ง

เบญจขันธ์ = อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ธรรมขันธ์ = นิจจัง สุขขัง อัตตา

5. นี่ชัดเจนที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรชัดกว่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพุทธพจน์ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด"

(อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)"

อัตตา(ตน)นั้นแท้จริงก็คือธรรม


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพล ฯ ไปเยี่ยมเยียนขงเบ้งฯ เสืออีสานบ้างดิที่

http://www.free-webboard.com/home.php?n ... list=1&p=1

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
2. จากพรหมชาลสูตร

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย จักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ "

แล้วตรัสต่ออีกว่า

"เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต."


ผมย้ำท่อนนี้อีกที เพราะมารมันบังตาพวกเราไว้ให้ผ่านท่อนนี้ไป แต่คราวนี้เน้นเลย เอาอำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต (มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว) ยังดำรงอยู่ มนุษย์ทั้ง
หลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ = กายที่ยังดำรงอยู่ นี่แหละ "อัตตา" ...

[/color]

โถโถๆๆๆๆๆๆๆๆ.....

พระองค์ตรัส กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ หมายถึง กายที่ยังไม่ปรินิพพาน

ไปตีความว่าเป็น อัตตา ได้ โถโถๆๆ ใช้อะไรคิดนะ 555


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วอย่าลืมเอา พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ ที่ว่าเป็น สมเด็จองค์ปฐม

มาคุยด้วยละ ไหนๆก็จะผสมพุทธให้เข้ากับ พราหมณ์ ฮินดู แล้วนิ 5555555


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:
คุณพลศักดิ์ มานี่ๆ viewtopic.php?f=66&t=29464

กรุณาอย่าเดินเพ่นพ่าน คุณชาติสยาม ให้ คุณพลศักดิ์ มานี่ๆ


เปล่าๆ บอร์ดไม่ใช่ของผมน่ะครับ
ผมขี้เกียจยุ่งด้วย ไม่หนุกแล้วล่ะ

ตัวใครตัวมันนะครับ ท่านผู้ชม จุ๊บๆ
:b32:


งั้นผมประกาศยึดอำนาจการปกครองเว็บบอร์ดdhammajak.net/forumsอย่างถาวร ยกเลิกรัฐธรรมนูญของเว็บนี้ทั้งหมด

ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 1..... (ยังคิดไม่ออกว่าจะประกาศอะไร)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร