วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 03:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[๙๘๕] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใน
เรื่องนี้ ข้าพระองค์ไม่ถึงความเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ
ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมจิตหยั่งสู่อมตะ
มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ด้วยว่าอมตะนั้น ชนเหล่าใดยังไม่รู้
ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่กระทำให้แจ้ง ไม่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น
พึงถึงความเชื่อต่อชนเหล่าอื่นในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหลั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็น
เบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ก็แลอมตะนั้น ชนเหล่าใดรู้เเล้ว เห็นแล้ว
ทราบแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว พิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น
หมดความเคลือบแคลงสงสัยในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหลั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็น
เบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อมตะนั้น ข้าพระองค์
รู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว พิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา
ข้าพระองค์จึงหมดความเคลือบแคลงสงสัยในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ
ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหลั่งลงสู่อมตะ
มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด.
[๙๘๖] พ. ดีละ ๆ สารีบุตร ด้วยว่าอมตะนั้น ชนเหล่าใดยังไม่รู้
ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่กระทำให้แจ้ง ไม่พิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา ชน-
เหล่านั้นพึงถึงความเชื่อต่อชนเหล่าอื่นในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ
ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหลั่งลงสู่อมตะ
มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ก็แลอมตะนั้น ชนเหล่าใดรู้แล้ว
เห็นแล้ว ทราบแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว พิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา
ชนเหล่านั้นหมดความเคลือบแคลงสงสัยในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ
ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ
มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด.

จบปุพพโกฏฐกสูตรที่ ๔

สืบเนื่องจากกระทู้โดนล็อก
:b6: :b6: :b6:
ท่านชาติ ท่านแอดมิน การสนทนาธรรมนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อพระศาสนาต่อไป ในฐานะพุทธศาสนิกชนในบ้านเมืองเราเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก พระทั้งสองรูปมีคนเคารพนับถือมาก รูปหนึ่งก็เป็นศิษย์หลวงตาฯ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระอริยะเจ้า และหลวงตาได้เคยรับรองคุณธรรมของท่าน รูปหนึ่งก็มีครูบาอาจารย์มากมายดังที่ท่านกล่าว แต่คำสอนนั้นไม่ตรงกัน ซึ่งโดยแ่ก่นธรรมแล้วธรรมะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ส่วนตัวผมเองนั้นได้ปฏิบัติตามแนวทางของหลวงพ่อจรัญ ควบคู่กับการทำสมถะบางคราว แต่พอลองพิจารณาธรรมตามคำบรรยายของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เช่น พระอาจารย์สงบ หลวงตา พระครูเกษมธรรมทัต พระอาจารเปลี่ยนฯ ผมก็เห็นว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหาที่ขัดกันไม่เจอ แต่พอมาเจอของพระอาจารย์ปราโมทย์ผมมึนไปเลยครับ ก็เลยมีข้อสงสัยประมาณที่ถามท่านชาติไปแหละคับ ถ้าอันไหนอธิบายได้ก็อธิบายมาถ้าไม่ไ้ด้ก็ไม่เป็นไรเอาเท่าที่ได้หรือท่านอื่นก็ได้นะคับที่ทำตามรูปแบบที่ไม่มีรูปแบบของพระอาจารย์ปราโมทย์ เื่พื่อผมและผู้เข้ามาในลานนี้จะได้ประโยชน์ร่วมกัน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล มีเหตุ มีปัจจัย การถามมิใช่การกล่าวว่าปรามาสพระอริยะเจ้า ผมยังคงยืนยันเจตนาเดิม
อย่างไรก็ตามถ้าท่านแอดมินคิดจะล็อกกระทู้ที่อาจจะเกิดประโยชน์ ท่านก็ลองใช้ปัญญาใคร่ครวญดูเถิดว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ผมไม่โทษท่านหรอกแต่โทษระบบการศึกษาต่างหากที่ถูกหล่อหลอมให้เด็กไม่กล้ายกมือถามครูนะครับ :b21: :b21: :b21: :b21:



เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอายะไม่อยู่ในวิสัยจะคุยอะไรหรอก
โดยเฉพาะเรื่องที่จะคุย มันใหญ้เกินตัวคุณอายะมาก

ก็ในเมื่อคุณอายะยังมีนิสัยปรักปรำหลวงพ่อปราโมทย์
อาศัยคำพูดท่านเล็กน้อยแล้วไปต่อเติมคำของตนเข้าไป
เช่น

อายะ เขียน:
- ดูอย่างเดียวว่างๆ ได้นิพพาน เป็นไปได้อย่างไรหนอ
- ดูจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ มรรค 7(ไม่มีสมาธิ) ก็พอ แต่ยังไงก็ไม่รู้มาบอกว่าต้องทำสมาธิด้วย(เฮ้อโล่งอกครบมรรค 8 แล้ว) แล้วดูจิตนี่ต้องทำสมาธิหรือไม่เนี่ยชักงง แล้วอ้าวทำไมต้องทำสมาธิด้วยละในเมื่อตอนแรกบอกให้ดูจิตอย่างเดียว
- จิตเคลิ้ม จิตเยิ้ม เหอะ ๆ เพิ่งเคยได้ยินมันเป็นอย่างไงเหรอ
- อย่าไปบังคับจิต ดูไปอย่างเดียว แล้วถ้าอกุศลจิตเกิดอยากกินมาม่าหลังเที่ยง ก็ดูไปว่าอยากกิน แล้วก็ไปต้มมาม่า ก็ดูไป แล้วก็กิน แล้วก็ดูไป แล้วก็อิ่ม ที่ไม่บังคับนะจริงๆ ทำอย่างไรคับ
- เวลาฟุ้งมากอย่าทำ เช่นเครียดจัดแฟนทิ้ง อยากดื่มเหล้าก็ไปดื่มเลย


ไปเอามาจากไหน ตรงไหนหลวงพ่อบอกว่ามรรค 7 ก็พอ
ตรงไหนหลวงพ่อบอกให้ไปกินเหล้า
ตรงไหนหลวงพ่อบอกว่าให้ไปต้มมาม่าหินหลังเที่ยง
นี่มันใส่ร้าย กล่าวหา ชัดๆ เลย
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นชาวพุทธ

อายะ เขียน:
ถ้าอันไหนอธิบายได้ก็อธิบายมาถ้าไม่ไ้ด้ก็ไม่เป็นไรเอาเท่าที่ได้หรือท่านอื่นก็ได้นะคับที่ทำตามรูปแบบที่ไม่มีรูปแบบของพระอาจารย์ปราโมทย์ เื่พื่อผมและผู้เข้ามาในลานนี้จะได้ประโยชน์ร่วมกัน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล มีเหตุ มีปัจจัย การถามมิใช่การกล่าวว่าปรามาสพระอริยะเจ้า ผมยังคงยืนยันเจตนาเดิม
อย่างไรก็ตามถ้าท่านแอดมินคิดจะล็อกกระทู้ที่อาจจะเกิดประโยชน์ ท่านก็ลองใช้ปัญญาใคร่ครวญดูเถิดว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ผมไม่โทษท่านหรอกแต่โทษระบบการศึกษาต่างหากที่ถูกหล่อหลอมให้เด็กไม่กล้ายกมือถามครูนะครับ :b21: :b21: :b21: :b21:


คุณอายะเป็นเด็กโข่งที่น่ารังเกียจ เป็นศรีธนลชัย
ผมมองคุณอายะเป็นพวกที่ต้องการการแพ้ชนะ ไม่ต้องการสติปัญญา
การคุยด้วยนั้นไม่มีประโยชน์

การถามแบบคุณอายะ ไม่ใช่ปรามาสหรอก แต่ใส่ร้ายอย่างร้ายแรง
ถ้าคุณอายะอยากจะคุยอย่างบัณฑิต
อันดับแรกเลย เคลียร์ให้ได้ก่อนว่า
ที่ว่าหลวงพ่อให้กินมาม่าหลังเที่ยง ให้ไปกินเหล้า ให้ทำมรรค 7 ก็พอ
นั้นไปเอามาจากไหน

หรือคุณดัดแปลง คิดเอาเอง พูดเติมเข้าไปเอง?

การกล่าวหาว่าพระสนอ"ให้ไปกินเหล้า" พระสอนให้ทำ"มรรค 7 ก็พอ"
เป็นข้อหาที่แรงมาก

ถ้าท่านสอนอย่างนั้น ผมจะเลิกนับถือเลย
แต่ถ้าท่านไม่ได้พูด คุณอายะต้องรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 24 ก.พ. 2010, 07:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หวัดดีท่านชาติ
ผมไม่ได้ต้องการเอาชนะหรอกท่านไม่รู้ว่าถ้าชนะแล้วชีวิตผมมันจะดีขึ้นอย่างไร ผมขอออกตัวเลยว่ายอมแพ้ท่าน แต่ที่อยากรู้นะข้างล่างนี้ช่วยขยายความหน่อยนะท่านอาจารย์ชาติ

อ้างคำพูด:
ที่ว่าหลวงพ่อให้กินมาม่าหลังเที่ยง ให้ไปกินเหล้า ให้ทำมรรค 7 ก็พอ
นั้นไปเอามาจากไหน

ผมเปรียบเทียบนะท่าน ลพปม ท่านบ่ได้พูดเช่นนี้ แต่ท่านเพียงแต่บอกว่า ฟุ้งมากอย่าทำ ผมก็เห็นถ้าไม่ทำก็ยิ่งขาดสติไปใหญ่ ถ้าขาดสติโอกาสผิดศีลก็มีสูง มรรค 7 ท่านก็ไม่ได้พูด แต่จากการรู้จักนักดูจิตส่วนใหญ่ไม่ยอมทำสมาธิตัวอย่างท่านชาติเป็นต้น เอานะเคียนะ คราวนี้ตอบผมมาได้แล้วนะท่านอาจารย์


อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
แสดงว่าคุณอายะ เก่งมากเลย เก่งกว่าหลวงพ่อปราโมทย์ เก่งกว่าหลวงพ่อสงบ
ถึง ขั้นสามารถวินิจฉัยได้ว่าใครผิดใครถูก


ผม มิอาจกล้าอย่างนั้นหรอกครับ ก็หลวงพ่อสงบท่านประกาศไม่รู้กี่ครั้งว่ามันไม่เหมือนกันท่านก็บอกว่าแกะมา จากหนังสือเลย แต่ท่านก็บอกว่ามันคือกัน แถมต่อท้ายอีกว่าหลวงพ่อสงบเ้ข้าใจผิดไง
อ้างอิงคำพูด:
ท่านชาติเขียน :ไม่เห็นมีขัดกัน หลวงพ่อสงบก็ถูกของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ก้ถูกของท่าน


อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
ดูอย่างเดียวว่างๆ ได้นิพพาน เป็นไปได้อย่างไรหนอ

อันนี้ใครสอนเหรอครับ ผมศึกษามาจนป่านนี้ ผมไม่เคยได้ยินหลวงพ่อปราโมทย์สอนอย่างนี้
ท่านพูดบ่อยที่สุดเรื่องอย่า ไปคิดว่าว่างๆแล้วได้นิพพาน อย่าไปคิดว่าพรมลูกฟักเป้นนิพพาน
ตู่พระตู่ เจ้า ระวังนรก



ถาม ใหม่ก็ได้ พอดูจิตแล้วยังไงต่อ ถึงจะบรรลุได้ เอาวิธีการปฏิบัตินะ เช่น นั่งดู นอนดู ไปทำพุทโธด้วย พุทโธไปดูไปหรือยังไง อันนี้ยกตัวอย่างนะอย่าใช้คำราชาศัพท์ละ :b12:

อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
คนมันโง่ ของอยู่กับตัวไม่เคยดู จะไปเห้นอะไร


ท่านอาจารย์ชาติ ชมข้าน้อยอันนี้ก็รู้ตัวดีคับขอบพระคุณ


อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
ถามหน่อยเถอะตา มันเห้นภาพ ถามว่าต้องมีเจตนาไหม ที่จะไปรับภาพ
หูมันได้ยินเสียง ถามว่าต้องมีเจตนาไหมที่จะไปเลือกรับเสียงหรือไม่รับเสียง
นี่มันก็ไม่ เจตนาทั้งนั้นแหละ ไม่จงใจทั้งนั้นแหละ อธิบายหน่อยสิ


แม่น ครับมันไม่จงใจ แล้วไงต่อครับพอรับเข้ามาแล้วทำยังไงต่อโดยไม่จงใจจึงจะไปรู้อารมณ์นั้นได้ แล้วถ้าอยู่ในห้องเก็บเสียงอากาศเย็นสบายดีไม่มีอะไรมากระทบจะเอาจิตไปไว้ ที่ใดคับ

อ้างคำพูด:
การดูจิตมีสองระยะ
ระยะหัดรู้สภาวะให้จิตมันคุ้นเคย นำร่องให้จิต
เมื่อ จิตคุ้นเคยแล้ว จึงจะเกิดสติขึ้นมาเป้นขณะ เกิดขึ้นมาเอง เกิดเป็นขณะ
กระทั่ง นอนหลับอยู่แท้ๆ ยังเกิดขึ้นมาเอง นี่เรียกว่าปราศจากเจตนา
แม้แต่ลืมตา ใสอยู่ ก็จะเกิดขึ้นมาเอง ของมันเอง



อันนี้ท่านอาจารย์ชาติจำเขามาพูดหรือเคยเกิดกับตัวเองคับ เอาเป็นว่าเกิดกับตัวเองแล้วกัน
ที่ ว่าหัดรู้สภาวะนี่จงใจได้ปะ แน่ใจหรือว่าตอนที่สติเกิดนั้นไม่มีแม้กระทั่งต้นจิตก็ไม่มีเจตนาที่จะไปรู้ เลยจริงๆ ไม่ได้โม้ ลองสังเกตุให้ดีซิ หรืออย่างตอนที่อ่านอยูนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะอ่านมันมีสติแล้วก็อ่านไปเอง จะโดน ..่า อีกไหมเนี่ย :b12:


อ้างคำพูด:
เมื่อไหร่คุณอายะเกิดสติขึ้นมาเอง ถึงจะหมดสงสัยว่าอะไรคือปราศจากเจตนา


สติไม่ใช่หวยนะท่านที่โชคดีก็ได้ไป สติจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการฝึกเนืองๆ แล้วรูปแบบการฝึกก็ต้องเจตนา ให้พยายามรักษาสติเกิดให้ต่อเนื่อง มีใช่เกิดแบบเปาะแปะ ๆ เช่น เผลอแล้ว คนนั้นก็เผลอ คนนี้ก็เผลอ เฮ้อ เอาเงาะมาเข่งหนึ่งชี้ไปลูกไหนมันมันก็เงาะนะ ก็ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น


อ้างคำพูด:
ระยะที่สอง คือระยะที่จิตรู้ตื่น มีสตินี้แหละ
คนไม่เคยมันก้ว่าไม่มี คนมีมันก็ไม่สงสัย หายสงสัย
มัวแต่ไปเอาคำพูด ความคิด ต่างๆนาๆมาคาดคั้นเอาความจริง
ทำไปจนกระดูกเป็นอากาศก็ไม่มีทางมีสติขึ้น มากับเขาหรอก



เวลาหลับอยู่จะพลิกตัวก็รู้ จะยกแขนก็รู้ ถ้าอย่างนี้พอได้ไหมคับท่านอาจารย์ชาติ เออแล้วท่านอาจารย์ชาติละลองเล่าให้ฟังซิสติระยะนี้มันเปงไง อยากรู้จิงๆ


อ้างคำพูด:
อายะ
ธรรมมะสำหรับคนเมือง


อัน นี้ท่านอาจารย์ชาติไม่ยอมรับใช่ไหมว่าได้มีการกล่าวอ้างอย่างนี้ ในเอกสารตำรา มีเพียบเชื่อผมเหอะผมไม่มุสาหรอก ไหนอธิบายมาซิธรรมะสำหรับคนเมืองมันเป็นอย่างไร คนบ้านนอกปฏิบัติได้บ่

อ้างคำพูด:
ผมอ่านหนังสือหลวงพ่อแค่รอบเดียว ฟังอะไรก้ฟังรอบเดียว ก็รู้เรื่อง
แต่ ที่คุณอ่านกี่รอบๆไม่รู้เรื่อง เพราะอ่านแบบศรีธนลชัยนี่แหละ



ข้าน้อยทราบแล้วครับว่าท่านอาจารย์ชาติฉลาดนี่ครับ สงสัยตอนเด็กจะสอบได้ที่หนึ่ง :b12:


อ้างคำพูด:
อายะเขียน : ดูลงไปที่ปรมัตถ์เลย





อ้างคำพูด:
ท่าน เหลิม เขียน :คุณมันยังอ่อนต่อธรรมมากนักถ้า เวลาจิตมันเห็นปรมัตถ์มันจะไม่เห็นเป้นเราหรอก มันจะเห้นความเป้นเราอยู่ 2 "เรา" นี่ล่ะปรมัตถ์ เราหนึ่งนี้คือรูปกายและความรู้สึกทั้งหลาย เราที่สองนี้อยู่ในกายเป็นเราที่รู้อยู่เฉย ที่พูดนี่ พูดจากประสบการณ์ตรงนะ ไม่ต้องมาเที่ยวท้าถามว่านั่งสมาธิถึงไหน ไม่เคย นั่งหรอก แต่เกิดอย่างนี้ เห็นอย่างนี้



เหอะๆ หนึ่งเราก็แย่อยู่แล้ว มาเพิ่มอีกเรานึงอีกไม่ยึดเพิ่มเข้าไปอีกรึท่าน แถมสมาธิไม่ต้องนั่งอีก สุโค่ยมาก เหอะๆ มันก็อันเดียวกันนะแหละมั้งอาจารย์ชาติเพียงแต่มันเกิดคนละไทม์มิ่งตะหากจิต เปรียบเหมือนการทำงานของ cpu คอม นะท่านอาจารย์ในคล็อกหนึ่งมันจะทำได้อย่างเดียวเท่านั้นแต่มันทำงานเร็วมาก เป็น กิ๊ก.....กับเฮิด ตอนที่ท่านอ่านไปด้วยนึกโกรธผมไปด้วยอันนี้ภาษาคอมเรียกว่ามัลติทากกิ้งก่า ซึ่งมันเกิดขึ้นสลับไปมา ท่านอาจารย์ชาติหัวแหลมคิดว่าคงเข้าใจนะครับ

อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
อายะ เขียน: เป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุด


อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
ถาม หน่อยสิว่า กรรมฐานอะไรไม่มีจิต
กรรมฐานคุณอายะกระมัง ไม่ต้องมีจิต
ไม่ ดูเข้าย้อนมาที่จิต แ้ล้วให้ไปดูอะไร?



ท่าน อาจารย์ครับผมถามว่าทำไมรูปแบบดูจิตลัดสั้นที่สุด อีกอย่างผมก็ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องมีจิต เพียงแต่วิธีนี้ทำไมเน้นจิตอย่างเดียวอย่างนี้จะเรียกว่าสติปัำฎฐานสี่หรือ ฐานหนึ่งดี อีกสามฐานไม่เอา อย่าลืมตอบนะว่าทำไมลัดสั้นที่สุด

อ้างคำพูด:
ผมท้าให้คุณไปเอาอ้างอิงมา ว่าตรงไหนหลวงพ่อบอกว่า "ดุจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ"
ตรงไหนท่านว่า "มรรค 7 ก็พอ"
นี่ใส่ ร้ายชัดๆเลย หัวจิตหัวใจเป็นอะไรแล้ว กล้าสร้างเรื่องเองขนาดนี้


อัน นี้ผมเปรียบเปรยนะท่านต้องขออภัย ตอนนี้พอใจแล้วว่าต้องทำสมาธิด้วย แต่นักดูจิตตัวยงอย่างท่านชาติเหตุำไฉนไม่ทำสมาธิละครับ ไม่เฉพาะท่านนะนักดูจิตทุกคนเท่าที่รู้จักไม่ทำเลย มีอยู่คนนึ่งนั่งดูเวทนาได้สองชั่วโมง กลับจากวัดมาได้รับคำแนะนำว่าใ้ห้ดูจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ ลองตอบมาซิครับท่านอาจารย์

อ้างคำพูด:
คุณไม่มีเหรือจิตเคลิ้ม เคยร่วม.....ไหม
ตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม อะไรก้ฉุดไม่อยู่น่ะ นั่นแหละดูลงไป
จิตมันกำลังคลอเคลียคลิบเคลิ้มอยู่ กับราคะอย่างเหนียวแน่น
ที่สอนให้ดุตอน...... เพราะมันหยาบๆดิบๆ เห้นง่าย
ถ้าจะสอนคุณว่าให้ดูตอนจิตในมัยคลอเคลียกับบุญกุศล จงจะไม่มีปัญญาจะเข้าใจ


อะไม่มีเยิ้มก็ได้ เอาเป็นว่ามีแต่เคลิ้มนะ อ๋อนิยามของเคลิ้มมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เคยได้ยินแต่ว่าจิตมีโลภะ จิตมีโมหะ โทสะ ฯ พอมีจิตเคลิ้มมาเลยงงนะท่านขอโทษจิงๆ แล้วไอ้เคลิ้มๆ นี่มันจัดอยู่ในประเภทไหนอะท่าน โลภะ โมหะ โทสะ อยากรู้จริงๆ

อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
อายะ เขียน:
- อย่าไปบังคับจิต ดูไปอย่างเดียว แล้วถ้าอกุศลจิตเกิดอยากกินมาม่าหลังเที่ยง ก็ดูไปว่าอยากกิน แล้วก็ไปต้มมาม่า ก็ดูไป แล้วก็กิน แล้วก็ดูไป แล้วก็อิ่ม ที่ไม่บังคับนะจริงๆ ทำอย่างไรคับ



มาม่านะผมสร้างเรื่องเองยกเป็นตัวอย่างให้ท่านอาจารย์ชาติที่ผมสงสัยไงจะได้เห็นภาพต้องขออภัย สำหรับ
อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
อย่าไปบังคับจิตนี่

นักดูจิตตัวพ่ออย่างท่านชาติไม่รู้จิงๆ อะว่าเขาห้าม :b12: ไหนอธิบายมาซิทำไมห้ามบังคับ เห็นปรมัตถ์แล้วต้องอธิบายให้ได้นะท่านอาจารย์


อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
อายะ เขียน:
- เวลาฟุ้งมากอย่าทำ เช่นเครียดจัดแฟนทิ้ง อยากดื่มเหล้าก็ไปดื่มเลย


เวลา ฟุ้งมากอย่าทำ ที่ในหนังสือนะครับมีเพียบอีกเหมือนกัน แต่จนเครียดกินเห้ลาผมยกตัวอย่างไง ก็เห็นเขาเครียดกันไม่ได้กำหนดสติก็ไปกินเหล้าเยอะแยะไปแล้วทำไมฟุ้งมากห้ามทำละ เพราะถ้าไม่ทำอาจไปกินเหล้าได้ ท่านอาจารย์อธิบายมาซิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอายะยอมรับก็ดีแล้ว
อย่าทำอีก

ความจริงผมพยามจะตอบคุณนะ
เขียนเยอะแยะไปหมด แต่ตัดสินใจไม่ตอบแล้ว
ช่าวหัวคูณดีกว่า ผมเหนื่อยเปล่าๆ

ปัญหาของคูณคือไม่รู้จัก"ความตั่งมันแห่งจิต" "สติ" "สมาธิ"
จิตที่ตั้งมั่นคือจิตมีสติ คือวาระแห่งสมาธิ คือวาระแห่งศีล

มีครูบาอาจารย์สอนเรื่องเจริญสติตั้งมาก
ไม่ได้มีแค่หลวงพ่อปราโมทย์

คุณบอกว่าฟังหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
ขนาดท่านยังไม่สามารถทำให้คุณรู้เรื่อง ผมจะไปช่วยอะไรคุณได้

ช่วยตัวเองนะคุณอายะ
เรื่องอะไรเกินปัญญาน่ะ อย่าไปสู้รู้
คนตาบอดสี จะไปเห็นสีได้ยังไง
ต้องทำตาให้มองเห็นสีเสียก่อน

นี่อะไร ตาบอดสีแต่พูดเรื่องสีเป็นฉากๆ
คุณลองนึกภาพคนตาบอดที่พูดเรื่องทฤษฏีสีสิ


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 14:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ขออนุญาตแสดงความคิดเห็น...
:b20:
...การปฏิบัติที่เหมาะสมและพอดีของตัวบุคคลนั้นต้องค้นหาวิธีเอาเอง...
...การได้ธรรมะจากครูบาอาจารย์...ธรรมอันนั้นเกิดกับท่านแล้ว...
...ท่านจึงสามารถมาอบรมสั่งสอนเราเพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติ...
...มิได้ให้เราเอาธรรมอันนั้นมายึดมั่นถือมั่นเอาไว้...
:b16:
...ธรรมหรือแนวทางที่ท่านแนะนำเรามา...
...เราต้องเอามาประยุกต์ปรับใช้อีกที...
...การมีปัญญารู้แจ้งธรรมนั้น...
...จึงต้องอาศัยการฝึกฝน...
:b27:
...หัดคิดหัดพิจารณา...ถ้าสงสัยอยู่ก็ยังไม่แจ้งในธรรมนั้น
...ธรรมที่รู้แจ้งจนใจตนหายคลือบแคลงสงสัย...
...จึงจะขึ้นชื่อว่าธรรมนั้นเกิดปัญญาเป็นของผู้ปฏิบัติแล้ว...
:b4: :b4:
:b44: :b44: :b44:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ความจริงผมพยามจะตอบคุณนะ
เขียนเยอะแยะไปหมด แต่ตัดสินใจไม่ตอบแล้ว
ช่าวหัวคูณดีกว่า ผมเหนื่อยเปล่าๆ

เหอะๆ เป็นวิธีปฏิเสธที่เนียนดีครับ เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดเลย ไม่เชื่อไปดูในพันทิปได้ ด่ากราดอย่างเดียว เหล่าสาวกชกเองตบเอง แต่พอถามข้ออรรถธรรมตอบบ่ได้ เหอะๆ โง่บ้าง ปัญญาทึบบ้าง ฯลฯ เหมือนครูบางคนบางคนนะ พอเด็กถามครูครับทำไมวงโครจรของโลกเป็นวงรีครับ พอดีครูจบสุขศึกษามาจะตอบไม่รู้ก็กลัวเสียเหลี่ยม ก็เลยตอบว่าเรื่องแค่นี้ง่ายมากเธอควายเกินไปที่ครูจะอธิบายนะจ๊ะ :b1:

ชาติสยาม เขียน:
คุณบอกว่าฟังหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
ขนาดท่านยังไม่สามารถทำให้คุณรู้เรื่อง ผมจะไปช่วยอะไรคุณได้


อันนี้ไม่เคยกล่าวอ้างเลยเอามาจากไหนเนี่ย

อ้างคำพูด:
ช่วยตัวเองนะคุณอายะ
เรื่องอะไรเกินปัญญาน่ะ อย่าไปสู้รู้
คนตาบอดสี จะไปเห้นสีได้ยังไง
ต้องทำตาให้มองเห็นสีเสียก่อน
นี่อะไร ตาบอดสีแต่พูดเรื่องสีเป้นฉากๆ
คุณลองนึกภาพคนตาบอดที่พูดเรื่องทฤษฏีสีสิ
มันตลกนะ น่าสมเพชด้วย


ตอบอย่างนี้ท่านอาจารย์ชาติเก่งจังเลยนะครับ แต่ถ้าจะให้ตอบเป็นเรื่องราวละก็โบ้ยทุกที แถวบ้านเขาเรียกแถเอาสีข้างเข้าถูครับท่านอาจารย์ชาติ :b1:

อะไม่ต้องตอบผมก็ได้ ไหนลองใช้ปัญญาอันหลักแหลมเป็นลิงของท่านอธิบายที่พระอาจารย์สงบเทศน์มาซิ ตามลิงนี้เลยครับ

http://board.palungjit.com/f181/%E0%B8% ... 28742.html


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 24 ก.พ. 2010, 13:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ไม่รู้จะพูดยังไง พูดไปแล้วคุณก็ไม่เข้าใจ

เอาง่ายๆ "สติ" คืออะไร เป็นยังไง

ลองว่ามาซิ ว่าแบบที่รู้ในใจน่ะ

ถ้าเข้าใจตรงนี้ ค่อยว่ากันเรื่องอื่น
ไม่งั้นก็เอาข้อหา"ควายเกินจะรู้"ไปรับประทานก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็ไม่รู้จะพูดยังไง พูดไปแล้วคุณก็ไม่เข้าใจ

เอาง่ายๆ "สติ" คืออะไร เป็นยังไง

ลองว่ามาซิ ว่าแบบที่รู้ในใจน่ะ

ถ้าเข้าใจตรงนี้ ค่อยว่ากันเรื่องอื่น
ไม่งั้นก็เอาข้อหา"ควายเกินจะรู้"ไปรับประทานก่อน


สติเอามาจากนี้เลย จากวิกิพีเดีย ไม่รู้ใครไปใส่ไว้ อ่านดูก็ประมาณนี้และ เอแต่เขาบอกว่ามันเกิดเองไม่ได้นะ เหอะๆ

สติ แปลว่า ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ไม่เผลอไผล ฉุกคิดขึ้นได้ ระงับยับยั้งใจได้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท
สติ เป็นธรรมมีอุปการะมาก คือทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้น เป็นเหตุให้ฉุกคิด ยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม และกระตุ้นให้นึกถึงชีวิตจนทำให้เสียสละทำความดีงามต่างๆ ได้ แต่หากขาดสติแล้วจะเป็นเหตุให้ทำอะไรผิดพลาดพลั้งเผลอและเสียหายร่ำไป
สติ เป็นคุณธรรมที่เกิดเองไม่ได้ ต้องทำให้เกิดขึ้นด้วยการฝึกฝนรวบรวมจิตใจให้นิ่งแน่วด้วยวิธีต่างๆ เช่น ทำสมาธิ สวดมนต์ ภาวนา

อันนี้ขอเพิ่มเองนะครับ
ไอ้ตอนที่พิมพ์ไปด่าไปนี่มีสติหรือไม่หนอท่านอาจารย์ คราวนี้ตอบคำถามได้ยังท่านชาติผู้ชาญฉลาด จากลิงค์ข้างล่างนะไหนบอกมาซิว่ามันเหมือนกันตรงไหน
หรือจะย้อยไปตอบที่ผมถามไว้ก็ได้
http://board.palungjit.com/f181/%E0%B8% ... 28742.html

ปล กรุณางดคำหยาบคายนะท่านเพราะเสียภาพลักษณ์นักดูจิตตัวพ่อครับ :b1: และช่วยกรุณางดตอบแบบเอาสีข้างเข้าถูด้วยนะครับ ขอบคุณ


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 24 ก.พ. 2010, 14:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมนี่โง่จริงๆ
โง่ที่มาคุยกันคุณ

เวลาคนอื่นโพสต์อะไร คุณก็เที่ยวไปไล่เรียงให้เขาเอาประสบการณืตรงมาพูด
ไปทำซ่าถามคนนั้นคนนี้ให้เอาภาษาง่ายๆ เอาประสบการณ์ตรงมาพูด
พอโดนตัวเอง ก็แถไป wikipidia

คนมันไม่แน่จริง พูดอะไรก็ไม่จริง แถมชอบปั้นน้ำเป้นตัว
คุณนั่นแหละนะ เอาสีข้างเข้าถู

กรรมเวรอะไรถึงกลายเป้นคนแบบนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ผมนี่โง่จริงๆ
โง่ที่มาคุยกันคุณ

เวลาคนอื่นโพสต์อะไร คุณก็เที่ยวไปไล่เรียงให้เขาเอาประสบการณืตรงมาพูด
ไปทำซ่าถามคนนั้นคนนี้ให้เอาภาษาง่ายๆ เอาประสบการณ์ตรงมาพูด
พอโดนตัวเอง ก็แถไป wikipidia

คนมันไม่แน่จริง พูดอะไรก็ไม่จริง แถมชอบปั้นน้ำเป้นตัว
คุณนั่นแหละนะ เอาสีข้างเข้าถู

กรรมเวรอะไรถึงกลายเป้นคนแบบนี้


ปั้นน้ำที่ไหนอะบอกยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะพิมพ์เอง หรือจะเอามาแปะถ้าเอาของถูกมามันก็น่าโอแล้ว แล้วที่เอามานะถูกปะล่ะ อะผมตอบสั้นๆ ก็ได้ สติ ก็คือความระลึกได้ เช่น เผลอแล้ว เผลอแล้ว คนนั้นก็เผลอ คนนี้ก็เผลอ ก็จัดได้ว่าเป็นสติ แต่เป็นสติแบบ แวบๆ ไม่ต่อเนื่อง เอแล้วระลึกแปลว่าอะไรหว่าจะถามอย่างนี้อีกไหมเนี่ย
ท่านอาจารย์แถจนสีข้างแดงแล้วนะท่าน แล้วเมื่อไรจะตอบผมเนี่ย


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 24 ก.พ. 2010, 15:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 09:54
โพสต์: 12

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้าในตอนแรก

พระสารีบุตร นะเชื่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่ได้ฟังธรรมจาก พระอัสสะชิ แล้ว

แต่ที่ที่กล่าว หมายถึงว่า ถ้าท่านยังทำไม่ได้ท่านจะไม่พูดว่าเชื่อๆๆๆๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มารบูรพา เขียน:
พระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้าในตอนแรก

พระสารีบุตร นะเชื่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่ได้ฟังธรรมจาก พระอัสสะชิ แล้ว

แต่ที่ที่กล่าว หมายถึงว่า ถ้าท่านยังทำไม่ได้ท่านจะไม่พูดว่าเชื่อๆๆๆๆๆๆ


ใช้ประโยคใหม่ก็ได้
พระสารีบุตร ท่านรับไว้ก่อนแต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ตราบจนกระทั่งท่านได้ลงมือปฏิบัติ แล้วได้ผลจริงท่านจึงเชื่อว่าจริง ประมาณนี้พอได้บ่คับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนอ่านหนังสือไม่แตก มักมีปัญหา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
คนอ่านหนังสือไม่แตก มักมีปัญหา


เืรื่องแตกไม่แตกเอาไว้ก่อน ไม่อยากเปิดประเด็นเพิ่มกลัวเข้าทางแถ :b12:
แล้วจะเมื่อไรจะตอบคำถามผมเนี่ยพ่อนักดูจิต เอาแต่ขี่ม้าเลียบค่ายอย่างเดียว พอจะเป็นเรื่องเป็นราวก็แถ ไปฟังซีดีมาก่อนกะได้ จะตอบวันหลังก็ได้ มัวแต่แถเลยไม่รู้จะเอาอย่างไร ตอบไม่ได้ก็บอกไม่เห็นเสียหายอะไร หรือกลัวว่าตัวเองฉลาดผู้เดียวกลัวคนอื่นไม่เข้าใจ ก็ลองอธิบายมาซิ ถ้าอันไหนผมไม่เข้าใจรับรองผมไม่แถหรอกไม่รู้ก็คือไม่รู้ แต่ในลานแห่งนี้ยังมีผู้รู้มากมายรับรองต้องมีคนเข้าใจท่านแนๆ พ่อนักดูจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
ชาติสยาม เขียน:
คนอ่านหนังสือไม่แตก มักมีปัญหา


เืรื่องแตกไม่แตกเอาไว้ก่อน ไม่อยากเปิดประเด็นเพิ่มกลัวเข้าทางแถ :b12:
แล้วจะเมื่อไรจะตอบคำถามผมเนี่ยพ่อนักดูจิต เอาแต่ขี่ม้าเลียบค่ายอย่างเดียว พอจะเป็นเรื่องเป็นราวก็แถ ไปฟังซีดีมาก่อนกะได้ จะตอบวันหลังก็ได้ มัวแต่แถเลยไม่รู้จะเอาอย่างไร ตอบไม่ได้ก็บอกไม่เห็นเสียหายอะไร หรือกลัวว่าตัวเองฉลาดผู้เดียวกลัวคนอื่นไม่เข้าใจ ก็ลองอธิบายมาซิ ถ้าอันไหนผมไม่เข้าใจรับรองผมไม่แถหรอกไม่รู้ก็คือไม่รู้ แต่ในลานแห่งนี้ยังมีผู้รู้มากมายรับรองต้องมีคนเข้าใจท่านแนๆ พ่อนักดูจิต


ผมให้ฉายาคูณใหม่ พลศักดิ์น้อย อ. อายะ

ทำมาท้าให้ผมตอบคำถาม
ทีผมถามไม่เห็นจะตอบให้มันหมด

ถามอย่างเดียว สั้นๆ ง่ายๆ ไม่รบกวนให้ไปเปิดตำรา
สติของคุณ ที่อยู่ในใจคุณน่ะ มันเป็นยังไง

เอ้า ตอบมา อย่ายึกยัก

ถ้าจะให้แฟร์ ผลัดกันถามทีละคำถาม ตอบทีละคำตอบ
ไม่งั้นมั่วเหมือนยุงตีกัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร