วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 01:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


Settawit_TCE:

อ้างคำพูด:
เช้า ดูข่าว นักการเมืองแก่งแย่งชิงดีกัน คนไทยขัดแย้งกัน
สาย เข้าเรียน เข้าทำงานเจอแต่ผู้คนคอยเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบกัน
เที่ยง ทานข้าว เอาแต่จับกลุ่มติฉินนิทากัน
บ่าย เข้าเรียน เข้าทำงานก็เป็นเหมือนตอนเช้า
เย็น ดูข่าว ก็เหมือนตอนเช้า

ผมอยากถามพี่ๆทุกคนว่า พี่ๆมีความคิดเห็นอย่างไร และ..


นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่แต่อย่างใด เป็นเรื่องที่มีมาทุกยุคทุกสมัย ในทุกหมู่เหล่าสรรพสัตว์ เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ยกเว้นผู้ที่สามารถขจัดขัดเกลากิเลสของตนได้หมดสิ้นแล้วเท่านั้นที่อยู่กับใครๆได้โดยปราศจากการเบียดเบียน..

อ้างคำพูด:
ควรจะใช้หลักธรรมใดเข้ามาช่วยขัดเกลาจิตใจของคนไทยเราครับ


ไม่มีหลักธรรมสูตรสำเร็จใดๆเพื่อแก้ไขใครๆได้เลย โดยเฉพาะการที่เราจะเรียกร้องหามาตรการใดๆที่จะแก้ไข"คนอื่นๆ"นั้นย่อมเป็นไปเพื่อความเดือดร้อนอย่างสาหัสแก่ตนถ่ายเดียว..ข้อนั้นเพราะความจริงคือ สัตว์ทั้งหลายย่อมมาด้วยกรรมและกิเลสอันตนสั่งสมมา ย่อมมีอัธยาศัยเฉพาะตน..หากการใครๆจะสามารถแก้ไขคนอื่นได้ พระพุทธเจ้าผู้เลิศพร้อมด้วยปัญญาญาน
อย่างถึงที่สุดกว่าสรรพสัตว์ทั้งปวง น่าจะทรงสามารถพาสัตว์ทั้งหมดให้เข้าถึงพระนิพพานได้จนไม่เหลือให้มานั่งทะเลาะต่อสู้ถล่มกันในบัดนี้ดอกครับ..

คำถามจึงควรมุ่งเน้นไปว่า"จะมีข้อธรรมใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ ข้าพเจ้าเอง เพื่อสามารถอยู่ได้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดนี้ "...นี่จึงจะเป็นประโยชน์แก่ตนโดยแท้..

เพราะในความจริงแล้ว สิ่งทั้งปวงเป็นสภาพธรรมที่ใครๆไม่อาจมีอำนาจเข้าบังคับควบคุมให้เป็นไปตามใจของใครๆได้ อย่าว่าแต่เรื่องนอกตัวเลย ภายในตัวเราก็เถอะ ลองบังคับตาไม่ให้ดูหูไม่ให้ฟัง ใจไม่ให้คิดดู..ใครทำได้ช่วยบอกด้วยครับ จะได้รู้ว่ากล้าโกหกกันซึ่งหน้า..

เคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดเราจึงต้องพบเห็นเรื่องเหล่านี้..? มันมาได้อย่างไร ใครทำให้เกิด?.. :b48:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 18:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลธรรมของสังคมจะมั่นคงแท้จริง ก็ต่อเมื่อคนเข้าถึงสิ่งที่เป็นหลักประกันของศีลธรรม ๒ อย่าง ซึ่งทำให้มี

ศีลธรรมขึ้นมาเองโดยอัตโนวัติ คือ

จิตที่พ้น

และ

สุขที่ประณีต ซึ่งไม่ขึ้นต่ออามิส

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสุขตามนัยพุทธศาสนามี 10 ระดับ เว้นข้อที่ 1 เป็นความสุขที่ไม่อิงอามิส (นิรามิสสุข)

เป็นความสุขที่ประณีต

ข้อที่ 1 เป็นสามิสสุข คือ สุขที่อิงอามิส หรือความสุขที่ยังต้องอาศัยเหยื่อล่อ



ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต ท่านจำแนกความสุขออกไปทั้งโดยประเภท และโดยระดับเป็นคู่ๆ มากมาย

หลายคู่ เช่น สุขของคฤหัสถ์กับสุขของบรรพชิต กามสุขกับเนกขัมมสุข โลกียสุขกับโลกุตรสุข

สุขของพระอริยะกับสุขของปุถุชน เป็นต้น

แต่วิธีแบ่งที่เป็นลำดับขั้นชัดเจน ละเอียด และดูง่ายไม่ซับซ้อน น่าจะได้แก่วิธีแบ่งเป็น 10 ขั้น

หรือความสุข 10 ขั้น ซึ่งมีที่มาหลายแห่ง แบ่งดังนี้

(ม.ม. 13/100/96 ฯลฯ)


1. กามสุข - สุขเนื่องด้วยกาม ได้แก่ ความสุขโสมนัสที่เกิดขึ้นด้วยอาศัยกามคุณ 5

2. ปฐมฌานสุข - สุขเนื่องด้วยปฐมฌาน ซึ่งสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย ประกอบด้วย วิตก

วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา

3. ทุติยฌานสุข - สุขเนื่องด้วยทุติยฌาน ซึ่งประกอบด้วย ปีติ สุข และเอกัคคตา

4. ตติยฌานสุข - สุขเนื่องด้วยตติยฌาน ซึ่งประกอบด้วย สุข และเอกัคคตา

5. จตุตถฌานสุข - สุขเนื่องด้วยจตุตถฌาน ซึ่งประกอบด้วย อุเบกขา และเอกัคคตา

6. อากาสานัญจายตนสมาปัตติสุข- สุขเนื่องด้วยอากาสานัญจายตนสมาบัติ ซึ่งล่วงพ้นรูปสัญญาได้

โดยสิ้นเชิง ปฏิฆสัญญาล่วงลับไปหมด ไม่มนสิการนานัตตสัญญา นึกถึงแต่อวกาศอันอนันต์ เป็นอารมณ์

7. วิญญาณัญจายตนสมาปัตติสุข- สุขเนื่องด้วยวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ซึ่งคำนึงวิญญาณอันอนันต์

เป็นอารมณ์

8. อากิญจัญญายตนสมาปัตติสุข- สุขเนื่องด้วยอากิญจัญญายตนสมาบัติ ซึ่งคำนึงภาวะที่ไม่มีอะไรเลย

เป็นอารมณ์

9. เนวสัญญานาสัญญายตนสมาปัตติสุข- สุขเนื่องด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ อันถึงภาวะที่มี

สัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่

10. สัญญาเวทยิตนิโรธสมาปัตติสุข- สุขเนื่องด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ อันถึงภาวะที่ดับสัญญา

และเวทนาทั้งหมด

viewtopic.php?f=2&t=18652

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 19:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อยังมองภาพความสุขไม่อิงอามิสไม่ออก ก็มีตัวอย่าง(ตัดมา)สั้นๆเทียบเคียงต่อ

ไปนี้






กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผม ขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากาย

ขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่ากายหายไป คือ ไม่มีกาย เวลานี้รู้สึกว่า ความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ

มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด

โอ...ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่

บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิด

จากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"


จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจ

หยาบลมหายใจละเอียดว่า เป็นยังไง

ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปีติ คือปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้น

แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือ มีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"

จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมา

จากสภาวะนั้น

แต่หลังจากนั้นมาผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุดก็แค่ทำปีติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่ง

เท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้

จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปีติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 19:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลธรรมของสังคมจะมั่นคงแท้จริง ก็ต่อเมื่อคนเข้าถึงสิ่งที่เป็นหลักประกันของศีลธรรม ๒ อย่าง ซึ่งทำให้มีศีลธรรมขึ้นมาเองโดยอัตโนวัติ คือ
จิตที่พ้น
และ
สุขที่ประณีต ซึ่งไม่ขึ้นต่ออามิส



ผู้ที่มองเห็นไตรลักษณ์ รู้เท่าทันธรรมดา และมีนิรามิสสุขเป็นหลักประกัน แม้จะยังเสพกามสุข

ก็จะไม่มืดมัวถึงกับหมกมุ่นหลงใหล หรือ ถลำลึกจนเกิดโทษรุนแรง โดยเฉพาะจะไม่เกินเลยจนกลาย

เป็นเหตุแห่งการเบียดเบียนตนและผู้อื่น

และแม้เมื่อความสุขนั้นผันแปรไป ก็จะไม่ถูกความทุกข์ใหญ่ท่วมทับเอา

ยังคงดำรงสติอยู่ได้ มีความกระทบใจแต่น้อย เป็นผู้พร้อมที่จะเสวยความสุขในทุกระดับได้อย่างสมบูรณ์

เต็มอิ่มเต็มรสและคล่องใจ เพราะไม่มีความกังวลขุ่นข้องเป็นเงื่อนปม หรือ เป็นเครื่องกีดขวาง

ที่คอยรบกวนอยู่ภายใน และยิ่งกว่านั้น ทั้งที่สามารถเสวยความสุขทั้งหลายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

แต่ก็ไม่ติดในความสุขเหล่านั้น ไม่ว่าจะประณีต หรือ ดีวิเศษเพียงใด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 20:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีกสักตัวอย่างหนึ่ง พึงพิจารณาความเป็นอยู่จริงๆ ที่เน้นไว้

ส่วนที่ฝันๆข้ามไป เพราะยังต้องฝึกอบรมสติ เป็นต้น ต่ออีก



ด้วยภารกิจแม่บ้านลูกสอง และงานบ้านและอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวสามี (คนจีน) ทำให้หาเวลานั่งสมาธิ

ได้น้อยมาก จึงหันมานอนกำหนดยุบหนอ พองหนอแทน

แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังกำหนดไปได้ซักพักรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก แล้วมีความรู้สึกว่า

ร่างกายตนเองที่นอนหลับตาอยู่นั้นเกิดแบ่งน้ำหนักเป็น 2 ส่วน คือ

ส่วนหลัง ที่ติดที่นอนนั้น มันหนักมาก จนแทบจะทะลุไปในเตียงนอน และ ส่วนบน รู้สึกคล้ายโดนดูดขึ้น

ไปบนเพดาน และ แล้วเมื่อตนเองได้สติ ก็พยายามจะปลุกตัวเองให้ตื่น

แต่ปรากฏว่า กลับได้ยินเสียงตัวเองกำลังสวดมนต์บทพระพุทธคุณอยู่ จึงรีบสวดตาม (ยังงง

ทำไมตัวเองมีสองเสียง) แล้วก็พลันรู้สึกอีกว่า มองเห็นตัวเองใส่ชุดชีพราหมณ์ขาว ไปยืนกับลูกสาว

ที่เมืองหนึ่ง (งงๆ เหมือนกันทำไมลูกสาวคนโตจึงไปกับข้าพเจ้าด้วย) รู้สึกหิวน้ำมาก จึงเดินไปซื้อน้ำดื่ม

ลักษณะร้านที่ขายเป็นแผงๆ ต่อกันแต่เป็นแผงที่ก่อด้วยดินเหนียว ซึ่งมีคนขายน้อยคน คล้ายๆกับคนขาย

ที่นั่นทยอยปิดร้านไปแล้ว (ในภาพเข้าใจเช่นนั้น) จึงถามแม่ค้าว่าแผงน้ำว่า แผงที่ว่างขอไว้ขายของ

ได้ไหม (ในฝันยังงกอีกต่างหาก) จะมาขายของบ้าง แม่ค้าบอกไม่ขายให้ยังไงก็ไม่ขาย

ก็เลยงง ๆ แต่เดินออกมาพร้อมลูกสาว ซึ่งบ้านเมืองส่วนใหญ่ที่เห็นคล้ายบ้านเมืองฝรั่ง (ระบุได้ด้วยว่า

คล้ายบ้านชาวเนเธอร์แลนด์) มีต้นไม้สูง และ ตัวบ้านแต่ละหลังทาสีสดใสมาก แต่ไม่มีหิมะนะ

แต่ข้าพเจ้าต้องรีบกลับเพราะรถเที่ยวสุดท้ายกำลังมาแล้ว(ก็ไม่ทราบว่ารู้ได้ไงว่าจะต้องกลับ) และในขณะที่รอ

รถนั้น สายตามองไปเห็นห้องแถวธรรมดาอีกฟากถนนหลังหนึ่งไม่สวยเท่าอีกด้านที่เราเห็น เป็นห้องแถว

ทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียวติดกัน และสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็น คือ คุณย่า,คุณป้า 2 ท่านของข้าพเจ้า (ซึ่งเสียชีวิตไล่ๆ

กัน)กำลังนั่งทานข้าวและดูทีวีกันอยู่ ซึ่งพวกท่านไม่สนใจข้าพเจ้าเลย เหมือนกับไม่เห็นข้าพเจ้า

แต่ในความรู้สึกตอนนั้น รับรู้ว่าพวกท่านสบายดีตามอัตภาพและดีใจที่แม่ลูกเค้าอยู่บ้านเดียวกัน

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็รีบจูงลูกกลับ

และข้าพเจ้าก็รู้สึกทันทีว่า ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาทันที รู้สึกตื่นเต้นเมื่อลืมตา รู้สึกเหนื่อยบ้างเล็กน้อย

(เหมือนคนสะดุ้งตื่น) มองนาฬิกาพบว่า ตัวเองหลับไปเกือบชั่วโมงครึ่ง

เริ่มกำหนดยุบหนอพองหนอตอน ตี 1 กว่าๆ ตื่นมาเกือบตี 3

รบกวนท่านผู้รู้ช่วยบอกทีนะคะว่า สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึก และ สิ่งที่เห็นใช่ความฝัน หรือ คิดไปเอง

แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารับรู้ได้ คือ หลังจากที่ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติกรรมดีมาได้สักระยะ ไม่ว่าจะเป็นการงดทาน

เนื้อวัว(อันนี้งดมานานหลายสิบปีแล้ว) งดทานไก่,หมู (แบบเจเขี่ย) แต่ยังทานอาหารทะเลตัวเล็กๆอยู่

และการอภัยทาน เลิกโกรธคนอื่น ใครจะทำอะไรให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ หรือ พูดจาไม่ดีใส่เรา ก็ไม่ถือไม่โกรธ

ตั้งใจระลึกถือศีล ให้ได้ตลอดเวลา

หลังจากนั้น สิ่งที่สัมผัสได้ทันที คือ ใจเราเป็นสุขมาก

ใจเย็นมาก ไม่ตอบโต้อาการยั่วยุเหล่านั้น ไม่ร้อนใจ และ คิดอยากได้สิ่งใดที่เป็นวัตถุฟุ้งเฟ้อน้อยลงมาก

สามารถมองอะไรได้แบบต่อยอดมากขึ้น


อาจจะดูเหมือนมากไปสำหรับคนที่เพิ่งปฏิบัติได้ไม่นาน แต่ข้าพเจ้าขอเรียนว่าไม่คิดว่า ตัวเองจะได้สัมผัส

สุขเหล่านี้ ในขณะที่ตัวเองก็ยังอยู่ในสภาวะเดิม สิ่งแวดล้อมเดิมๆ ทุกอย่าง แต่จิตข้าพเจ้ามัน

เหมือนหลุดไปจากความทุกข์

และมองตนเองว่า เราสามารถอยู่ได้นี่นา ไม่ทุกข์แล้วนี่นา แค่อย่าไปโกรธเค้า
เพราะเรามีกรรมต้องอยู่

ที่นี่อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง


http://board.palungjit.com/f4/รบกวนท่านผู้รู้ไขข้อข้องใจ-ขอบพระคุณค่ะ-229701.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิได้น้อยมาก จึงหันมานอนกำหนดยุบหนอ พองหนอแทน


ทำความเข้าใจหน่อย ที่ว่า “นั่งสมาธิ” “นอน (สมาธิ)” ฯลฯ

บางทีเราพูดรวบรัดอย่างคนเข้าใจกัน จนเกิดการเข้าใจผิดแพร่ขยายออกไป

ต้องแยกท่านั่ง กับสมาธิ ท่านอน กับสมาธิ ออกจากกัน

อิริยาบถใหญ่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน นี้จัดเป็นรูปธรรมมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อว่าผู้นั้นกำลังนั่งอยู่

กำลังเดินอยู่ เป็นต้น

ส่วนสมาธิ เป็นนามธรรม นี่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นคนละส่วนกับท่านั่งท่านอน

นั่งก็คือนั่ง นอนคือนอน สมาธิก็สมาธิ ปัญญาก็ปัญญา เป็นต้น

ไม่แน่คนนั่งอาจะไม่มีสมาธิ คือ นั่งคิดฟุ้งซ่านเป็นต้นอยู่ ก็ได้

ไม่แน่เขากำลังนอนคิดเพ้อฝันอยู่ก็ได้

ในทางตรงข้าม เขากำลังเดินอยู่แต่มีสมาธิ เป็นต้น ก็ได้

การฝึกจิต หรือ จะเรียกว่าอบรมสติสัมปชัญญะเป็นต้น ฝึกได้ทำได้ทุกอิริยาบถ คือใช้อิริยาบถใหญ่น้อยฝึก

ได้หมด


อีกนิดหนึ่ง และในขณะนั้น ๆ ก็มิใช่มีแต่สมาธิตัวเดียวเท่านั้นที่เกิดขึ้น ยังมีสัมปยุตธรรมที่เกิดร่วมกับมัน

อีกตามสมควร เช่น สัมปชัญญะ (หรือปัญญา) มนสิการ เจตนา สัญญา วิริยะ ฉันทะ ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




9a8bf8e406.jpg
9a8bf8e406.jpg [ 80.87 KiB | เปิดดู 2685 ครั้ง ]
00008_7.jpg
00008_7.jpg [ 58.64 KiB | เปิดดู 2684 ครั้ง ]
ท่าน sriariya นึกถึงภาพเหล่านี้ได้ไหมขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 มี.ค. 2010, 09:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 13:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:34
โพสต์: 173

ชื่อเล่น: เจ้ก
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


เหอะๆๆๆ ก็ว่ากันไปครับตามจิตตะของแต่ล่ะคนครับ

อันไหนดีก็เลือกอ่านครับ จดจำแล้วจึงน้อมนำไปปฏิบัติ
อันไหนไม่ดีก็ขอให้ลืมๆไปเถอะ

อิอิ tongue smiley Onion_L

แต่ก็มาอ่านดูแล้วพึงได้รู้ว่า อันมนุษย์นั้นพึงควรจะแตกต่างกันนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ :b19: :b19:

.....................................................
จะขอเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า..เพื่อเติมเต็มธรรมที่ขาดหาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L
...คนไทยนิสัยง่ายๆ...ยุคโลกาภิวัฒน์...การสื่อสารอินเทอร์เน็ต...ก็รับมาง่ายดาย...
...ขี้เห่อว่าของนอกย่อมดีกว่าของไทย...ไม่มีจิตสำนึกชาตินิยม...ฝรั่งเขาย้อนยุคแล้ว...
...อยู่อย่างธรรมชาติ...ลองมาดูที่วัดป่าบ้านตาดสิคะ...พระสงฆ์ฝรั่งมีเยอะมากๆขอบอก...
Kiss
...วัฒนธรรมไทยของไทยดีๆมีอยู่...แต่สื่อมวลชนชอบเผยแพร่แต่สิ่งที่ทำให้ชาติไทยเราติดลบ...
wink
...คนในชาติและชาติอื่นเลยมองว่า...คนไทยนิสัยชักจะไม่ดี...ไม่น่าคบหาสมาคมทำนองนี้...
...สื่อที่ออกมาเป็นเพียงภาพบางส่วนขอผู้นำประเทศที่ขาดศีลธรรมและคุณธรรมอันดีในจิตใจ...
...เป็นตัวอย่างของผู้ใหญ่ที่แย่...ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีเพื่อให้คนรุ่นใหม่เขาอยากเลียนแบบ...แย่มาก...
Onion_R
...สมควรถูกแบน...และนำไปอบรมคุณธรรมจริยธรรมของผู้ใหญ่ที่ดีควรทำตัวอย่างไรในสังคม...
:b34: :b34: :b34: :b34: :b34:
Onion_no


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีศีล มีพรหมวิหาร แค่นี้สังคมก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้วค่ะ แต่อย่างงว่าค่ะ คนกิเลสหนาเลยยาก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร