วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 06:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทำไมคนเราต้องไปนิพพาน..นะหรอครับ :b16:

ง่าย ๆ ..ความรู้สึก..มันก็คล้าย..กับ

หากมือคุณ..ติดขี้..คุณจะรีบไปล้างมือ..ทันทีไหม???

ปัญหา..คือ..ทำยังงัยเราถึงจะรู้ว่า..สิ่งที่มันติดมือเราอยู่นี้..มันเป็นขี้..เป็นของเน่าเหม็น..เป็นสิ่งน่ารังเกียจ grin

ทุกข์..มันก็เหมือน..ขี้..มันติดตัวเราตั้งแต่เกิด

ว่าแต่..เราเห็นทุกข์..เป็น..ทุกข์..แล้วหรือยัง??


แหม คุณกบนี่ก็สรรหามาเปรียบเปรยนะครับ :b32: :b32: :b32: เข้าใจง่ายเลยทีเดียว

ที่น่ากลัวก็คือ คนสักกี่คนที่จะทราบว่า อุนจิได้ติดมือติดตัวพวกเขาอยู่

มิหนำซ้ำ ยังวิ่งหาอุนจิมาโป๊ะตัวให้พอกหนาขึ้นๆจนยากในการชะล้าง

เราจะติดเรทไหมครับเนี่ย :b32: แต่ไม่เป็นไรมังครับ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติ :b32:




กบนอกกะลา เขียน:
หาก..ยังเห็นว่าโลกนี้..ก็พอมีสุขอยู่บ้าง..นี้เป็นอาการของ..การเห็นทุกข์..ยังไม่จริง

ทุกข์นอกตัว..ทุกข์ของคนอื่น..ไม่ต้องไปหา..

ทุกข์ของตัวเอง..คือ..ทุกข์ที่ทำให้เราอยากออกจากทุกข์..นี้ต้องหาให้เจอ..พิจารณาใคร่ครวญ..จนเห็นจริงในทุกข์


ใช่เลยครับ ต้องเห็นว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

จึงจะเรียกว่าเห็นทุกข์อย่างรู้แจ้ง แต่ก็ไม่ได้ให้มองโลกในแง่ร้ายหรอกนะครับ คนที่เห็นทุกข์จะเห็นเช่นนั้นจริงๆ

มิใช่ความทุกข์ระทมอกตรมขมขื่นหรอกนะครับ แต่เป็นทุกข์อันเกิดจากความไม่สามารถอยู่คงทนได้

ความไม่ใช่ตัวตนของทุกสิ่งทั้งปวง ที่จะนำมาซึ่งตัณหา

และเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าให้หาทุกข์ เพื่อที่จะเห็นทุกข์ในกายใจของเรานี่แหละ

ถ้าพิจารณาเห็นว่าสภาวะในกายใจเรานี้ล้วนแล้วไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน

มันก็จะคลายความยึดมั่นถือมั่นเลิกหลงไปเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b8:
...พระพุทธศาสนา...เป็นศาสนาเดียวในโลกที่สอนให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด...
...ต้นเหตุมาจากจิตหมุนเวียนสร้างภพชาติไม่มีวันสิ้นสุด...ผู้ที่ปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธ...
...จะสามารถทำจิตให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เรียกว่า...การบรรลุธรรม 4 ขั้น...
...ธรรมที่บรรลุแล้วจะไม่ลดขั้นลงมา...จาก1.พระโสดาบัน2.พระสกิทาคามี3.พระอนาคามี...
...และ4.พระอรหันต์...การเข้าสู่นิพพานก็คือการที่จิตเป็นอิสระไม่หมุนเวียนเกิดแล้วตายอีกต่อไป...
...ซึ่งเริ่มจากจิตหลุดพ้นตอนยังมีร่างกายครองอยู่...เมื่อร่างกายหมดสภาพตายลงก็เข้าสู่พระนิพพาน...
:b27:
:b16: :b16:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณทุกท่านที่ตอบ และให้การตอบรับอย่างดีคะ

ตอนนี้เรากำลังไล่อ่าน และพอที่จะสรุปได้ดังนี้

aswakos เขียน:
:b8: :b8: :b8:
คำว่านิพพาน แปลว่า เย็นใจ สบายใจ ก็ได้

" นิพพุตา นูน สา มาตา นิพพุโต นูน โส ปิตา นิพพุตา นูน สา นารี ยัสสายัง อีทิโส ปติ "
ผู้ชายแบบนี้ ใครเป็นแม่ สบายใจแน่นอน ใครเป็นพ่อ สบายใจแน่นอน
เป็นสามีหญิงใด หญิงนั้น สบายใจแน่นอน


การหลุดพ้นทุกข์ เป็นเรื่อง ๆ การดับได้เป็นเรื่อง ๆ เรียก ตทังคนิพพาน (ตทังค แปลว่า เรื่องนั้น ๆ)
หรือ นิพพานโดยอ้อมได้ ปฏิบัติได้ตรงไหน เข้าใจตรงไหน ก็สบายใจในเรื่องนั้น ๆ

.............................
"เหมือนเราเดินขึ้นเขาสูงชั้น เราเดินถึงตรงไหน ให้เรามีความสบายในการเดิน สุขสบายในการพัก
ทุกๆ ร่มเงาของต้นไม้ที่เราพัก ทุก ๆ ย่างก้าวที่เราก้าวไป ให้เรามีความสุขกับการก้าวย่าง
เพราะทุกก้าวย่างที่เราก้าวผ่านไป คือความสำเร็จที่เราได้ทำลงไปแล้ว
และเราก็ใกล้ที่จะถึงยอดเขาเข้าไปอีกหนึ่งก้าว"

ขอเป็นกำลังใจให้ครับ อนุโมทนาด้วย

อัศวโฆษ
:b8: :b8: :b8:

ขอบพระคุณมากคะ นิพพานแปลว่าความเย็นใจ สบายใจ จริงๆด้วย แต่ว่าเรายังไม่เข้าใจว่า หากว่าเย็นกาย สบายใจจริง ทำไมถึงยังหลุดพ้นจากกิเลสแล้วไปนิพพานที่เป็นของจริงไม่ได้น่ะคะ
แต่ก็ขอบคุณมากๆคะ เพราะท่านทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่านิพพานจริงๆ

ชาติสยาม เขียน:
ปฏิบัติธรรมให้ทำด้วยความรักที่จะทำนะ
อย่าไปปฏิบัติโดยคิดถึงแต่ผล ว่าเมื่อไหร่จะถึงมรรคผลนิพพานสักที

อยากในเหตุ เป้นฉันทะ
อยากในผล เป้นตันหา


แต่อีกคน ทุกวันเวลาที่เขาตื่นมาตอนเช้า
เขาจะไม่ได้ไปย้ำคิดย้ำคิดกับว่าเมื่อไหร่มะม่วงจะออก
เขาจะผูกความคิดเอาแต่สาเหตุที่มะม่วงออกผล
สาเหตุที่มะม่วงจะออกผลก้คือ การรดน้ำ พรวนดิน และการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง และระยะเวลาที่เหมาะสม
ทุกวันเขาก็รดน้ำพรวนดินอย่างมีความสุข เพราะรู้ว่าได้ทำทุกอย่างอย่างถูกต้องแล้ว
ใจก็อยู่กับปัจจุบัน เต็มที่มั่นคงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ไปพะว้าพะวงกับอดีตอนาคต

ผมคิดว่าปัญหาของคุณคือการไม่แน่ใจในความรู้ของตนว่าถูกต้องไหม
ที่ทำอยู่นี่ ใช้ได้ไหม ถ้าใช้ได้ ทำไมถึงยังไม่ออกผล
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าคุณควรจะกลับไปหาปริยัติ ไปทำภาคทฤษฏีให้มันแน่นกว่านี้
จะได้มีกำลังใจทำ มีศรัทธาในตนเอง มีศรัทธาวิริยะในการที่จะเจริญจิตภาวนา

ผมคิดว่าคุณลองศึกษาหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เอาคนเดียวก่อน เอาให้เป็นแฟนพันธุ์แท้ไปเลย
แล้วอะไรๆคงจะดีขึ้นนะ ลองดู ไม่เสียหลายหรอก

นั้นสินะคะ เพราะว่าหวังผล ก็เลยคิดว่าเมื่อไหรจะได้เสียที
แต่ความรู้สึกของเราในขณะปฎิบัตินั้นก็คือ เราทำเพื่อพระนิพพาน แต่เหตุใดถึงยังไม่ไปสักที เราไม่เข้าใจว่าที่เราทำอยู่มันคืออะไรกันแน่ ผ่านมาจะครึ่งปีแล้ว ถึงแม้ว่าตัวเราจะมีการพัฒนาที่ดีขึ้น แต่บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ก็เลยท้อใจอยู่หน่อยน่ะคะ บางทีเราก็สงสัยนะว่าถ้าเราเกิดปล่อยวางกับโลกได้จริงๆและหันมาใช้ชีวิตทางโลกแทน มันก็ไม่ใช่เป้าหมายของเราน่ะสิ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากจริงๆนะคะ
แล้ว ให้ปฎิบัติด้วยความรัก ที่จะทำ มันมีความหมายยังไงเหรอคะ?

พงพัน เขียน:
ก็เพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารนี้ไงครับ
ที่เกิดมาแล้วต้อง แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์
ความหลงทำให้ไม่รู้ว่า การเกิดมานี้มีแต่กองทุกข์
บางคนไม่รู้หรือไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าตายแล้วต้องเกิดอีก ตราบใดที่ยังไม่เห็นนิพพาน
ผู้ที่เจอความทุกข์ใดก็แล้วแต่มาหนักๆ จะเข้าใจได้อย่างง่ายดายกว่าว่าทำไมต้องไปนิพพาน

ยังไงก็อย่าเพิ่งท้อครับ สิ่งที่คุณหวังนี้เป็นเป้าหมายที่แท้จริง
ที่ทุกดวงจิตในทั้งสามแดนโลกธาตุที่เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นี้จะต้องไปให้ถึง
เพราะนอกจากพระนิพพานแล้ว จะไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้และเป็นแก่นสารเลย

สู้ต่อไปครับ :b4: :b4: :b4:

ถูกอย่างที่คุณกล่าวมาน่ะคะ แต่สำหรับผู้ที่ยังมองเห็นไม่ชัดนั้น เรื่องที่คุณกล่าวออกมาช่างมองเห็นตามความเป็นจริงได้ยากเช่นกัน เพราะไม่ได้อยู่ใกล้ตัว แต่เราจะพยายามเข้าใจคะ ขอบคุณคะ

สู้เว้ย!! เขียน:


ยินดีค่ะ ที่ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงกับเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน ขอตอบเรื่องหันมาปฎิบัติก่อนนะคะ จริงๆแล้วที่เราหันมาปฎิบัติธรรมก็เพราะเรารู้สึกว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ค่ะ ลองคิดดูสิคะ ว่าเราต้องผ่านความทุกข์อะไรมาบ้าง ตอนเรียนโดนครูตีก็[color=#BF00BF]อาย
เพื่อน ไม่ขยันก็กลัวสอบตก อกหักก็เสียใจหนัก
ทำงานก็เหน็ดเหนื่อยท้อ กับการหาเลี้ยงชีพสู้ชีวิต เดี๋ยวก็จะแก่ เจ็บ แล้วก็ตายแน่นอน รูปธรรมก็เห็นชัดเจนว่าชีวิตมีแต่พลัดพรากสูญเสียเช่นนี้ ส่วนนามธรรมก็บอบช้ำกับความรู้สึกขึ้นๆลงๆ ความอยาก ความกระวนกระวายใจตลอดเวลาคุณ จขกท. ลองสังเกตดูสิคะ เอาแค่ว่าเราอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำก็ทุกข์แล้ว ใจมันจะดิ้นรนหาอะไรมาทำเพื่อให้เพลิดเพลิน ไม่ทำก็ไม่ได้
เหล่านี้เป็นสาเหตุที่เราอยากหาทางหลุดไปจากวงจรอุบาทว์นี้ค่ะ

สำหรับนิพพานแท้จริงมีประโยชน์อย่างไร เนื่องจากเราก็ยังไม่เคยไปนิพพาน แต่ทราบว่าหัวใจหลักของคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านสอนแค่เรื่องสาเหตุของทุกข์ วิธีการดับทุกข์ และการออกจากทุกข์ และเราก็ได้ทดลองนำมาปฎิบัติ จนถึงตอนนี้แม้ว่าเราจะยังเป็นแค่ลูกไก่ ยังไม่แข็งแกร่งทั้งสติและปัญญาเพราะเริ่มต้นมายังไม่ถึงปี แต่เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า ความรู้ความเข้าใจใน ในเรื่องของทุกข์ มีมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องอ่านตำราใดๆ เพราะแต่ก่อนอ่านไปก็ไม่เข้าใจ แต่พอมาเห็นด้วยตนเองแล้ว เมือเกิดความทุกข์ใจขึ้นเพราะความไม่พอใจ หรืออะไรก็ตามแต่ เราเริ่มที่จะปล่อยมันได้ทีละขณะ และเริ่มเห็นว่าเราเลือกที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ แค่นี้จิตใจก็มีเรี่ยวมีแรงไม่บอบช้ำขึ้นอักโขเลยค่ะ นี่เป็นกำลังใจให้เราเห็นว่า ขนาดเราเป็นคนธรรมดา ที่ยังไม่ได้เก่งอะไร ก็สามารถปลดทุกข์ทางใจได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเราเพียรพยายามต่อไปเรื่อยๆ จนบรรลุเป้าหมายของพระพุทธศาสนาหรือพระนิพพานจริง มันจะเป็นอิสระขนาดไหน หมดภาระขนาดไหน

ขอบคุณคุณสู้เว้ยมากเลยคะ ทำให้เราเริ่มมองเห็นตามความเป็นจริงได้หน่อยๆ สรุปก็คือนิพพานก็คือ การไม่ไปใส่ใจกับทุกข์ และเข้าใจในทุกข์นั้นๆจึงเกิดความปล่อยวาง สินะคะ
ไม่ต้องไปสนใจฝั่ง ก็สามารถที่จะไปถึงฝั่งได้อยู่ดี ประมาณนั้นหรือเปล่า

พงพัน เขียน:

คุณ จขกท. คะ งั้นเราขอถามกลับบ้างนะคะ คุณอยากไปนิพพานเพื่ออะไร ....
นิพพานคือการพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ลองมองกลับเข้าไปที่ใจคุณตอนนี้นะคะ
คุณปฎิบัติเพื่อไปนิพพาน ความทุกข์จากความอยากที่ดิ้นรนเผาอยู่ในใจคุณขณะนี้
คุณลองทำความเข้าใจมันสิคะ นั่นละค่ะตัวการที่ทำให้พวกเราต้องวนเวียนเกิดตายอยู่ทุกวันนี้
คุณแก้โจทย์ข้อนี้ได้เมื่อไร คุณจะเริ่มเข้าใจประโยชน์ของนิพพานและจะใกล้นิพพานได้ในตอนนั้น โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือประสบการณ์ของคนอื่น ที่ช่วยตอบให้คุณได้เพียงครั้งคราว แล้วความลังเลสงสัยก็จะทำงานขึ้นใหม่เพราะคุณยังไม่ได้รู้จักมันด้วยตนเอง
อ้อ ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ที่ตอนนี้คุณโชคดี ได้รู้จักกับตัวตัญหาแล้ว และกำลังรู้สึกทุกข์กับฤทธิ์ของมัน เพราะนั่นหมายถึงคุณเห็นเป้าหมายแล้วค่ะ ...อย่าปล่อยให้มันครอบงำ และหลอกคุณเลยค่ะ
จงอดทนดูมัน ว่ามันอยากแบบไหน ดิ้นรนยังไง และเปลี่ยนไปเช่นไร หากคุณยอมมันและละทิ้งเส้นทางนี้ คุณจะต้องผจญกับมันไปอีกชั่วกัลป์ชั่วกัลป์ แบบนั้นเอาไหมคะ
....................
สำหรับคำถามที่ว่าควรปฎิบัติอย่างไรนั้น พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกของท่านชี้ทางให้ชัดเจนแล้วค่ะ
เจริญสติปัฎฐาน 4 เป็นคำตอบสุดท้ายค่ะ ....สู้เว้ย!!! [/color]

ขอบคุณมากคะ สำหรับกำลังใจ :b16:
อยากไปนิพพานเพราะรู้ว่าโลกนี้มันทุกข์ แต่ปฎิบัติไปถึงจุดๆหนึ่ง กลับมองเห็นทุกข์ไม่ชัดซะอย่างนั้น เพราะใจมันเริ่มเฉยๆกับหลายอย่าง ก็เลยสงสัยว่าเส้นทางต่อไปจะเป็นยังไงละ... ทำนองนี้น่ะคะ แต่ก็ขอบคุณมากคะ

taktay เขียน:
เพราะฉะนั้น....ถ้าจะหวังนิพพานตอนนี้...ก็เหมือนกับ
เรายิงธนู....แต่ตั้งเป้าไกล...จนมองไม่เห็น...มันย่อม
ไม่มีทางที่จะถูกเป้าได้แน่ๆ...ก็จะทำให้เราท้อ...ขาด
กำลังใจ...แล้วพาลจะเลิกเสีย....สู้เรามองดูเป้าหมาย
ที่ใกล้ๆตัว...คือการดับทุกข์...ที่เราผจญอยู่ทุกข์วันนี้
ให้ลดน้อยถอยลงให้มากที่สุด...สร้างสมคุณงามความดี
ให้มากที่สุด...ขจัดกิเลส...ตัณหาที่มีอยู่ให้เบาบางที่สุด
เป้าหมายแค่นี้เราพอจะมองเห็น...และสามารถยิงได้ถูกเป้า
ได้ไม่ยาก...ก็จะทำให้เรามีกำลังใจ...ไม่เบื่อ..ไม่ท้อ
มีกำลังพอที่จะค่อยๆ..เดินทางไปเรื่อยๆ....จนกว่าจะ
ถึงจุดหมายอันไกลโพ้น.....นี่คือความคิดของเรานะ :b48:


"ไม่ใช่คนเราต้องไปนิพพาน แต่ควรปรารถนานิพพาน"

ถ้าทุกข์ที่ตั้งเป้าในขณะนั้นหายไปแล้ว ต่อไปจะเอาเป้าหมายอะไรต่อล่ะคะ จึงจะยิงได้ถูกเป้าต่อไป

กบนอกกะลา เขียน:

หากมือคุณ..ติดขี้..คุณจะรีบไปล้างมือ..ทันทีไหม???

ปัญหา..คือ..ทำยังงัยเราถึงจะรู้ว่า..สิ่งที่มันติดมือเราอยู่นี้..มันเป็นขี้..เป็นของเน่าเหม็น..เป็นสิ่งน่ารังเกียจ grin

ทุกข์..มันก็เหมือน..ขี้..มันติดตัวเราตั้งแต่เกิด

ว่าแต่..เราเห็นทุกข์..เป็น..ทุกข์..แล้วหรือยัง??

หาก..ยังเห็นว่าโลกนี้..ก็พอมีสุขอยู่บ้าง..นี้เป็นอาการของ..การเห็นทุกข์..ยังไม่จริง

ทุกข์นอกตัว..ทุกข์ของคนอื่น..ไม่ต้องไปหา..

ทุกข์ของตัวเอง..คือ..ทุกข์ที่ทำให้เราอยากออกจากทุกข์..นี้ต้องหาให้เจอ..พิจารณาใคร่ครวญ..จนเห็นจริงในทุกข์

ลองพิจารณาดู

เคยถาม..ตัวเราเองไหม??..ว่าทำไมเราต้องกิน..หากไม่กินจะได้ไหม??..เพราะต้องกินใช่มั้ย..จึงต้องขวนขวายหาเลี้ยงชีพ...จะมีอาชีพได้..ก็ต้องร่ำเรียน..สิ่งเหล่านี้มันสนุกนักหรอ??

พอมีอาชีพ..ก็ต้องรักษา..ใครเขาดุเขาด่า..ก็ต้องอดทน..หากไม่อดทนก็ต้องกลับไปทนอด..ทั้งอดทนและทนอด..ไม่เห็นอะไรจะไปสนุกสักอย่าง

มีที่ไหนบ้างที่ไม่ต้องหาอยู่หากิน...เทวดา..พรหมณ์..เป็นงัย..ดี ดี..ดี...
แต่มีปัญหา..เวลาหมดบุญ..จะเป็นยังงัย??..ไม่พ้นเวียนไหว้ตายเกิด..กันอีก..

cry

ดี..ดี..แต่ยังดีไม่ที่สุด..

ไม่ดี..ไม่ดี..ไม่เอา..ไม่เอา mellow ..

จะเอา..ไอ้ที่..มันดีที่สุด Lips

นิพพาน..เป็นงัย??..ทำยังงัย..นิพพาน??

ก็ลองทำดู..มรรค 8 ข้อ...เท่านั้นเอง s007

กลิ่นขี้ ลอยมาเลยคะ :b2: อะ... ไม่ใช่คะ ล้อเล่น :b16: :b16: :b16:
อย่างที่คุณกบนอกกะลา กล่าวไว้สรุปได้ว่า กำจัดทุกข์ในปัจจุบันให้ได้ก่อน ซึ่งทุกข์ในปัจจุบันนั้นมาได้หลายรูปแบบ และหลากหลาย ให้เข้าใจในทุกข์ทุกรูปแบบและทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ สินะคะ จึงจะปล่อยวางอันมีความหมายว่าเป็นนิพพานแท้จริงได้ ใช่ไหมคะ ขอบคุณคะ

yodchaw เขียน:
นิพพานอยู่แล้ว

โดย... หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จังหวัดเลย

ไม่ใช่การคอยติด การคอยหลุดอยู่แล้ว นั่นแหละ “ไม่อยู่แล้ว” มันก็ไม่ของมันเอง ไม่วุ่นวายไปเอง ไม่ยุ่งของมันไปเอง ไม่หลงจริง ไม่หลงเท็จไปเสียเอง ก็คือไม่อยู่แล้ว จะใช่ ไม่ใช่ ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปค้นหา อะไร เป็นอะไร ก็ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปถามหา มันก็ไม่เป็นเหตุ เป็นผลของมันอีก จบเลย ไม่ใช่เป็นการคอยติด คอยหลุดอะไร ไม่ใช่ จบเลย ไม่ต้องไปคอยปรับปรุง คอยเปลี่ยนแปลง ไปแก้ไขแบบไหน อย่างไร ไม่ต้อง เพราะฉะนั้นที่มีกายธาตุ จิตธาตุ มีแบบไม่ยึดติดอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ยึด มันไม่ติด อยู่แล้ว

ขอเชิญศึกษาธรรมปฏิบัติ และดาวน์โหลดธรรมะ
โดย หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
วัดร่มโพธิธรรม บ้านหลัก 160 ต.หนองหิน อ.หนองหิน จ.เลย

http://www.rombodhidharma.com/ หรือที่บอร์ดสนทนาทั่วไป
ขอให้มีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ

ขอบคุณคุณ yodchaw มากคะที่นำคำสอบของหลวงพ่อมาให้อ่านกัน สรุปได้ว่า เมื่อใดที่เราเลิกปรุงแต่งเมื่อนั้นเราจะได้เห็นนิพพาน
เราจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่เราเดินจงกรมอยู่นั้น ทุกอย่างสงบมากแล้วเหมือนเห็นพระนิพพานอยู่ตรงหน้าของเราเลย คือมันไม่กังวลไม่ทุกข์อะไรเลย สงบมากเหมือนจะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง แต่เรารู้สึกแบบนั้นได้แค่แวปเดียวเท่านั้น แล้วก็ไม่เจออีก... บางทีถ้าเราจำความรู้สึกแบบนั้นได้แล้วทำใจให้รู้สึกแบบนั้นบ่อยๆก็คงจะดีสินะคะ
ขอบคุณคะ

หลับอยุ่ เขียน:
จากหัวกระทู้ทำไมคนเราต้องไปนิพพานคะ?
จะไม่ไปก็ได้ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ ในภพ3 ต่อไป มีสวรรค์ พรหมโลก นรก นรกอเวจี โลกันต์ ๆลๆ เลือกเอาดูว่าตายจากชาตินี้แล้วจะไปอยู่ไหนดี :b1:

ขอไปสวรรค์ กับพรหมโลกคะ :b12:
แต่จริงๆแล้วก็ไม่ดีกว่า เราจะเพียรมองโลกตามความเป็นจริงให้ได้มากที่สุดคะ

tonnk เขียน:
ที่คุณคิดนี่ คือว่ามันติดสุข
ถ้าเราไม่รู้จักกิเลส แล้วดับกิเลส
เราก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในไตรภพนี้ตลอดกาล

ถูกของคุณ tonnk เลยคะ ที่ว่าติดสุข เพราะว่าเรากังวลอยู่ หลังจากที่พิจารณาปล่อยวางไปได้หลายๆอย่างแล้ว มันมีความเฉยเข้ามาแทนที่ แล้วก็คิดว่าต้องเจออะไรอีกกันนะ จึงจะไปถึงฝั่งได้อย่างแท้จริง แต่ดังที่หลายๆคนได้ตอบมาแล้ว เราเริ่มเข้าใจมากขึ้น ขอบคุณคะ

คนเกือบหลงทาง เขียน:
ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ

ความจริงแล้วคำถามข้อนี้ถ้าจะให้ผมตอบให้ มันก็ดูจะคล้ายๆกับการบอกเฉลยข้อสอบ
ซึ่งดูจะผิดหลักอริยสัจ ๔(ในความคิดเห็นของผมนะครับ) เหมือนกับมีคนบอกว่าในน้ำแก้วนี้มี ยาพิษ
ถามว่าจริงๆเรารู้หรือไม่ว่าน้ำแก้วนี้มียาพิษ ดังนั้นในการที่เราต้องการไปนิพพานเราต้องรู้ว่าทำไม
เราถึงอยากไปนิพพาน ฟังดูงงๆเนอะ
เหมือนกับว่าเราจะวิเคราะห์หาสารสำคัญในพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อเอดส์
ทำไมเราถึงต้องหา เพราะว่ายาที่ใช้กันอยุ่ในปัจจุบันมันเอาไม่อยู่
เหมือนกัน การที่เราควานหานิพพานก็เหมือนกันครับ เราต้องรู้ก่อนว่าทำไมเราถึงอยากไปนิพพาน
บางคนบอกว่าเพราะมันทุกข์ เราก็เลยติดปากกันมาว่าโลกนี้มีทุกข์มาก แต่ทุกข์ยังไงรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง
ดังนั้นในการบำเพ็ญเข้าสู่นิพพานเราต้องรู้ว่าเราทำเพราะอะไร หรือพูดง่ายๆว่า ประจักษ์โดยปัญญาของตนว่าเหตุใดเราจึงเข้าสู่กระแสนิพพาน อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ เหมือนกับการไปดับไฟ หากไม่รู้ต้นเหตุของเพลิง ไฟมันก็ไม่ดับ ฝากให้คิดด้วยนะครับ ผิดพลาดประการใดกระผมต้องขออโหสิกรรมด้วยครับ ขอบคุณครับ

คำตอบของคุณ เราอ่านแล้วค่อนข้างงง จริงๆ
สรุปจากสิ่งที่คุณอยากจะกล่าวได้ว่า เพราะได้รับการฟังต่อๆกันมาว่าโลกนี้นั้นทุกข์ นิพพานนั้นเป็นสุข ก็เลยอยากไปนิพพาน แต่ทางที่ดีแล้ว เราควรที่จะรู้ว่าอะไรในโลกที่ทุกข์บ้าง ทำนองนี้สินะคะ
การรู้ว่าอะไรในโลกที่ทุกข์บ้าง ก็คือ ตัวกิเลสต่างๆได้แก่ ราคะ โมหะ โทสะ
หากเรารู้จักกิเลสเหล่านั้นโดนเที่ยงแท้แล้ว ถือว่าเราได้เข้าใจในทุกข์นั้นๆเที่ยงแท้แล้ว เราก็จะปล่อยวางในความทุกข์เหล่าๆนั้นได้
ทำนองนี้สินะคะ...

หลวงจีนงมงาย เขียน:
ผู้ที่ปรารถนาจะไปนิพพาน เพียงแค่เริ่มดำริก็มีความสบายใจ

เพียงแค่เริ่มถือศีล ๕ เราก็มีความสุขใจเท่าที่คุณแห่งศีล ๕ มี

ศีลเป็นเกราะ เป็นอาภรณ์ เครื่องประดับอันประเสริฐ

เพียงแค่เริ่มให้ทาน ความโลภ ความเห็นแก่ตัวก็ค่อย ๆ ลดละไป

เพียงแค่เริ่มปฏิบัติสมาธิ จิตสะอาด สว่าง สงบ ราคะ โทสะ โมหะ ก็เบาบางไป

แค่กิเลสสงบระงับชั่วคราว ก็สงบ เบา สบาย

ยังไม่ต้องทันถึงนิพพานเลย แค่สมาธิเล็กน้อย ก็ทำให้ลืมความทุกข์ทั้งปวงได้

ผู้ที่เข้าถึงแค่ปฐมฌาน บรรลุนิพพานชั่วคราว (ตทังคนิพพาน) ยังลืมความสุขในโลกียะ

ยังพิจารณาไม่เห็นว่า ขั้นตอนไหนเป็นทุกข์

ยังมองไม่เห็นว่าขั้นตอนไหน ทำให้เกิดทุกข์

ถึงแม้ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” นิพพานเป็นบรมสุข

แต่หนทางก่อนจะถึงนิพพาน ก็มีความสุขเหมือนกัน

........

โอม มณี ปทฺเม หุมฺ

ขอปัญญาจงบังเกิดมี

หลวงจีนงมงาย


. :b42: :b42: :b42: .

เราขอนิพพาน ที่เป็นนิพพานแท้ๆ ไม่ใช่นิพพานที่เกิดจากสมาธิน่ะคะ เพราะนิพพานที่เกิดจากสมาธินั้นไม่ยั่งยืน ไม่ถาวร ไม่สามารถข้ามฝั่งแห่งภพชาติได้

Supareak Mulpong เขียน:
ว่าด้วยเหวคือความเกิด

[๑๗๒๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายมาเถิด เราจักเข้าไปยังยอดเขากั้นเขตแดนเพื่อพักกลางวัน ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เสด็จเข้าไปยังยอดเขากั้นเขตแดน ภิกษุรูปหนึ่งได้เห็นเหวใหญ่บนยอดเขากั้นเขตแดน ครั้นแล้วได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหวนี้ใหญ่ เหวนี้ใหญ่แท้ๆ เหวอื่นที่ใหญ่กว่า และน่ากลัวกว่าเหวนี้มีอยู่หรือ พระเจ้าข้า? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า เหวอื่นที่ใหญ่กว่าและน่ากลัวกว่าเหวนี้มีอยู่.

ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหวอื่นที่ใหญ่กว่าและน่ากลัวกว่าเหวนี้เป็นไฉน?

[๑๗๒๙] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ... เพื่อความแก่ ... เพื่อความตาย ... เพื่อความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจ ยินดีแล้ว ย่อม ปรุงแต่งสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิดบ้าง ... และความคับแค้นใจบ้าง ครั้นปรุงแต่ง แล้ว ย่อมตกลงสู่เหวคือความเกิดบ้าง ... และความคับแค้นใจบ้าง เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความ ร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส ความคับแค้นใจ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์.

[๑๗๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมไม่ยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ... และความคับแค้นใจ ไม่ยินดีแล้วย่อมไม่ปรุงแต่งสังขารทั้งหลายซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ... และความคับแค้นใจ ครั้นไม่ปรุงแต่ง แล้ว ย่อมไม่ตกลงสู่เหวคือความเกิดบ้าง ... และความคับแค้นใจบ้าง เรากล่าวว่า สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมพ้นจากความเกิด ... และความคับแค้นใจย่อมพ้นจากทุกข์

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

การเกิดใหม่ของภพชาตินั้นถือเป็นการเริ่มต้นใหม่และมีความทุกข์เกิดขึ้นอีกครั้ง ขอบคุณคะ

Rosarin เขียน:
tongue
:b8:
...พระพุทธศาสนา...เป็นศาสนาเดียวในโลกที่สอนให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด...
...ต้นเหตุมาจากจิตหมุนเวียนสร้างภพชาติไม่มีวันสิ้นสุด...ผู้ที่ปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธ...
...จะสามารถทำจิตให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เรียกว่า...การบรรลุธรรม 4 ขั้น...
...ธรรมที่บรรลุแล้วจะไม่ลดขั้นลงมา...จาก1.พระโสดาบัน2.พระสกิทาคามี3.พระอนาคามี...
...และ4.พระอรหันต์...การเข้าสู่นิพพานก็คือการที่จิตเป็นอิสระไม่หมุนเวียนเกิดแล้วตายอีกต่อไป...
...ซึ่งเริ่มจากจิตหลุดพ้นตอนยังมีร่างกายครองอยู่...เมื่อร่างกายหมดสภาพตายลงก็เข้าสู่พระนิพพาน...
:b27:
:b16: :b16:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:

อันนี้เราทราบดีแล้วคะ ขอบคุณคะ

------------------------------------------------------------------

สรุปจากที่ได้อ่านของทุกๆท่านมา


มองที่ปัจจุบัน อย่าเอาจิตไปเกี่ยวข้อง หากเอาไปเกี่ยวข้องแล้วให้รู้ว่า นี่ทุกข์ นี่สุข หรือ นี่เฉยๆ
ให้รู้ว่าตัวเรารู้สึกอย่างไร ให้รู้ว่าความรู้สึกนั้นสามารถเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปได้ตลอดเวลา

เพียงแค่เราไม่ปรุงแต่งในปัจจุบัน เพียงแค่เราไม่ทุกข์หรือสุขในการดำรงชีวิตประจำวัน
มองเห็นทุกอย่างเป็นเพียงละคร
เข้าใจในทุกข์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเห็นพระนิพพานได้อย่างแท้จริง
แม้ว่าอาจใช้เวลาอยู่บ้าง แต่ก็จะได้เห็น

ผิดถูกประการใด ก็ขอคำแนะนำมา ณ ที่นี่

ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมกันนำเสนอความรู้ให้ข้าพเจ้า
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย
ส่วนคำถามที่ถามในระหว่างแทรกคอมเม้นต์ไว้ ถ้าช่วยตอบด้วยจะดีมากๆคะ

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

ขออนุโมทนา :b42: :b42: :b42:

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อ สลัดออกและดับ ซึ่งทุกข์ทั้งปวง

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งใจจะเขียนประมาณนั้นแหละครับ

สรุปใหม่
ผมอยากให้เจ้าของกระทู้ลองพิจารณาเองอย่าว่าตามคนอื่นว่าอย่างนั้น อย่างนี้มันทุกข์
แต่ให้เราได้ใช้ปัญญาของเรามาพิจารณา แล้วเจ้าของกระทู้จะเข้าใจเองว่าทำไมถึงอยากไปนิพพาน?
ที่ผมบอกว่าไม่อยากเฉลยข้อสอบเพราะปัญญาของเราจะเกิดโดยไม่เต็มขั้น(ในความคิดเห็นของผมนะ)
อาจจะเรียกได้ว่าสัมมาทิฏฐิที่มีมิจฉาทิฏฐิแทรก
แถม!ความเป็นพหูสูตเกิดจาก
๑.สุตา ฟัง ๒.ธตา จำได้ ๓.วจสา ปริจิตฺตา พูดออกมาได้ ๔.มนสานุเปกขิตา ๕.ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา

๑.รู้ว่าทำไมถึงต้องไป
๒.รู้ว่าทางไหนที่เป็นไปเพื่อนิพพาน
๓.เดินตามเส้นทางนั้น
๔.ประสบความสำเร็จ

หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ คราวนี้ :b32:

ผิดพลาดประการใดต้องขออโหสิกรรมด้วยครับขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 07:54
โพสต์: 17

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกอย่าง
อายุ: 40
ที่อยู่: ปากเกร็ด+(สุโขทัย)

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องมองโลกให้เห็นก่อนครับ(โลกธรรม)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏ

เมื่อจะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่า การดับอวิชชา ตัณหา อุปาทานนั่นแหละ คือ นิพพาน



เมื่อปฏิบัติธรรมถูกวิธี ดับอวิชชาเป็นต้นได้ นิพพานก็ดูเหมือนไม่ยาก

แต่มันยากตรงที่การปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสภายในจิตใจ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน นี่ซี่ :b1:

อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกขอริยสัจ สมุทัยอริยสัจ นิโรธอริยสัจ มรรคอริยสัจ

สมุทัย ได้แก่ ตัณหา นิโรธได้แก่นิพพาน มรรคข้อปฏิบัติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝ่ายก่อทุกข์ เมื่อเสวยเวทนาแล้ว ตัณหาเกิดขึ้น ก็เพราะไม่รู้เท่าทันสภาพความจริงของสิ่งที่ตนเสพเสวย

นั้นว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเข้าไปยึดถือเอาเป็นของตนได้จริง ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมี

คุณมีโทษอย่างไร เป็นต้น และทำการรับรู้ด้วยอวิชชา ที่เรียกว่า อวิชชาสัมผัส -

( ดู สํ.ข.17/94/58; 174/117) เวทนาที่เกิดจากอวิชชาสัมผัสนี้ จึงเป็นเหตุให้เกิดตัณหา


ส่วนในฝ่ายดับทุกข์ เมื่อเสวยเวทนาแล้ว ไม่เกิดตัณหา ก็เพราะมีความรู้เท่าทันสภาวะสังขารของสิ่ง

ทั้งหลายที่เสพเสวย คือ มีวิชชารองเป็นพื้นอยู่ จึงทำการับรู้ชนิดที่ไม่ประกอบด้วยอวิชชา

เมื่อไม่มีอวิชชาสัมผัส เวทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่นำไปสู่ตัณหา

ดังนั้น ที่ว่าตัณหาดับ จึงบ่งถึงอวิชชาดับอยู่ในตัว

เหมือนอย่างที่พระพระพุทธเจ้าแสดงในคำจำกัดความอย่างสั้นของอริยสัจข้อที่ ๒ และ ๓ ว่า ตัณหาเป็นเหตุ

เกิดแห่งทุกข์ และดับทุกข์ได้ด้วยการดับตัณหา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เริ่มต้นอย่างน้อย ๆ ลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อกำจัดกิเลสนิวรณ์เป็นต้นได้บ้างแล้ว ก็พอมองเห็นแสงสว่าง

ที่ปลายอุโมงค์ เพราะกิเลสยังปกคลุมจิตอยู่จึงมองไม่เห็นแสงแห่งธรรม อุปมาก็เหมือนกระจกเงาที่ธุลี

บดบังอยู่ จึงมองไม่เห็นใบหน้าของตน ฉะนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 08 มี.ค. 2010, 17:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


น่าจะมีจัดทัวร์ ไปนิพพาน แบบเช้าไปเย็นกลับ จะได้บอกถูกว่านิพพานดีอย่างไร
แต่คนที่ตอบคำถามอยู่นี่ยังไม่เคยมีใครได้ไปสักคนเดียว

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนสามารถเข้าสู่ภาวะนิพพานได้ชั่วขณะค่ะ...คือฝึกการมีสติสัมปชัญญะอยู่กับตัว..
...คือฝึกจิตให้คิดแต่กุศล...ละชั่ว ทำดี และทำจิตใจให้ผ่องใส...จิตวางเฉยและปล่อยวางสุข-ทุกข์...
...แม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน...แต่จิตใจไม่รู้สึกทุกข์ไปตามการรับรู้คือรู้แล้วปล่อยวาง...
...มีสติสัมปชัญญะทุกขณะจิต...เป็นภาวะที่จิตไม่สับสนวุ่นวาย...ปล่อยวางและว่างจากการคิดอกุศล...
:b6:
...ก็คือการทำจิตใจให้ละกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ชั่วขณะ...ทำได้ทั้งวันก็เข้าสู่ภาวะนิพพานทั้งวัน...
:b20:
...พระอรหันต์...ท่านปฏิบัติจนสามารถดับกิเลสโลภ โกรธ หลงที่มีในจิตใจตนเองได้ตลอดเวลา...
...จิตใจไม่คิดอกุศล ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจผ่องใสเป็นอัตโนมัติ...รู้เท่าทันจนปล่อยวางเกิดจิตว่างๆ...
...ด้วยการเดินทางสายกลางมัชฌิมาปฏิปทา...ยึดหลักโอวาทปาติโมกข์ อริยสัจ๔และอริยมรรค๘...
...อยากรู้ต้องฝึกปฏิบัติให้จิตรู้สึกเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ทำอะไรก็ให้รู้สติอยู่กะปัจจุบัน(ละอดีตอนาคตค่ะ)...
:b1: :b27: :b16:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 09 มี.ค. 2010, 15:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เราเป็นบุคคลหนึ่งที่ปฏิบัติธรรมบ้าง อะไรบ้าง
โดยมีจุดมุ่งหมายที่พระ นิพพานมาโดยตลอด
ซึ่งเมื่อปฎิบัติไปได้พักหนึ่ง ความสงสัยมันเริ่มๆเข้ามา
แล้วก็สงสยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังปฎิบัติไปเพื่อ อะไรกันนะ... ทำไมไม่เห้นจะถึงฝั่งเสียที
เราเริ่มรู้สึกท้อขึ้นมาหน่อยๆ บางทีจุดมุ่งหมายที่เราเคยคิดไว้มันเริ่มลางเลือนเสียจนเรามองเห็นปลายทาง ที่ต้องการได้ยากเหลือเกิน


จุฬาภินันท์ก็ขอมีจุดหมายที่พระนิพพานค่ะ ถึงได้นะคะ สัตว์นรกก็ถึงได้ ที่ต้องใช้มากๆคือเพียรพยามค่ะ

เพียรถือศีล เพียรทำสมาธิ(สมถะก็พอค่ะ อาณาปนาสติน่ะค่ะ) เพียรเพื่อให้รู้ว่าทางที่จะไปสู่พระนิพพานได้คือทางไหนค่ะ

พระนิพพานเป็นสภาวะสุขเหนือสุขค่ะ เหนือกงจักรแห่งสัจธรรม สามเงื่อนไขของการเข้าสู่พระนิพพานคือ
- สะสมบุญได้เข้าถึงสัมมาสัมโพธิญาณ นานมากแต่เพียรบริสุทธิ์เข้าไว้ค่ะ (ในหลวงทรงสอนผ่านพระมหาชนกค่ะ)
- ตัดกรรมได้กับทุกผู้ทุกตน
- วางกิเลสได้ทั้งหมด ไม่ใช่ตัดกิเลสนะคะ

พระองค์ที่เข้าสู่พระนิพพานล่าสุดคือสมเด็จโตค่ะ พระองค์ต่อไปคือในหลวงของเราค่ะ (ผู้รู้บอกมาน่ะค่ะ) เป็นไปตามลำดับขั้นค่ะ - โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ พระนิพพาน

มนุษย์ทำได้สะดวกที่สุดค่ะ เพราะฉะนั้นทำดีเข้าไว้เพื่อให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ในทุกชาติก่อนค่ะ จุฬาภินันท์เพียรปฏิบัติแบบพอดีๆตามแต่สภาวะของร่างกายและใจค่ะ เป้าหมายแรกคือขอเป็นคนในยุคของพระศรีอริยเมตตรัยน่ะค่ะ


อ้างคำพูด:
สิ่งที่ติดขัดในใจของเรานั้น เริ่มมา จาก การที่เราคิดว่า โลกใบนี้มันก็ยังดีนะ ถึงแม้ว่าอาจจะมีเรื่องขัดแย้งทางความคิด หรือการกระทำอยู่บ้าง อาจจะมีเรื่องอะไรวุ่นวายอยู่บ้าง แต่มันก็ยังดี เพราะเพียงแค่เราคิดอะไรดีๆ โลกก็สามารถดีได้ ทำไมเราปฎิบัติแล้วถึงไม่ เบื่อในโลกสักที เราเบื่อที่เราต้องทำไปเหมือนไร้ปลายทางมากกว่า ตอนนี้ เราก็เริ่มไม่เข้าใจสักเท่าไหร


อย่างที่บอกค่ะ เป็นคนน่ะดีที่สุดแล้วค่ะ ดียิ่งกว่าการเป็นเทวดาซะอีกเพราะเราเพียรได้ไงคะ

การจะปฏิบัติให้ได้ก็ต้องอย่าท้อ อย่าสงสัยเลยค่ะ มันอยู่ที่บุญที่ทำมาแต่ชาติก่อนๆด้วย ชาตินี้ทำบุญไว้มากๆชาติหน้าได้เป็นมนุษย์ก็ทำต่อค่ะ อธิษฐานไว้ก็ได้ค่ะ คำอธิษฐานด้วยจิตที่เป็นสมาธิศักดิ์สิทธิ์ค่ะ

บุญที่สูงที่สุดคือปฏิบัตินั่นแหละค่ะ ศีล สมาธิ แล้วปัญญาจะเกิดค่ะ อย่าท้อถ้ามันยังไม่เกิด ย้ำค่ะ เพียรอันบริสุทธิ์เท่านั้นจะทำให้ถึงฝั่งฝันได้ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 02:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ถ้าทุกข์ที่ตั้งเป้าในขณะนั้นหายไปแล้ว ต่อไปจะเอาเป้าหมายอะไรต่อล่ะคะ
จึงจะยิงได้ถูกเป้าต่อไป


ถ้าปฏิบัติจริงๆแล้ว ทุกข์ไม่มีวันหายไปได้หมด
ตรงกันข้าม กลับจะมองเห็นทุกข์เพิ่มมากขึ้น ในทุกๆที ไม่ว่าอดีต
ปัจจุบัน หรืออนาคต ทั้งเรา ทั้งเขา ทุกข์ทั้งนั้น หันไปดูรอบๆตัวก็ใช่ทั้งนั้น
ทุกข์เรื่องนี้หมดไป เรื่องใหม่ก็เข้ามาแทนที...เราก็ต้องเรียนรู้เหตุแห่งทุกข์
เพื่อหาทางดับทุกข์อันใหม่อีก...เมื่อเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆก็จะเข้าใจว่าไม่มีหนทาง
ใดที่จะดับทุกข์ให้หมดไปได้ ตราบเท่าที่เรายังต้องเกิด มีชาติ มีภพอยู่
ถ้าไม่อยากทุกข์อีก ก็ต้องไม่เกิด เมื่อไม่อยากเกิดก็คือต้องหาทาง"นิพพาน"
นี่คือความเข้าใจของเราในตอนนี้นะ...

การที่เราจะปีนเขาที่ทั้งสูง ทั้งชัน ถ้าเราเงยหน้ามองดูยอดเขา...
ที่สูงเสียดฟ้า...เราอาจจะท้อ...สู้ค่อยๆไต่ไปทีละนิด...เกาะหินไป
ที่ละก้อน...แบบหนักแน่นและมั่นคง...นานๆก็เงยหน้ามองเป้าหมาย
สักครั้งหนึ่ง...เพื่อให้แน่ใจว่าเรามาไม่ผิดทาง....ถึงแม้จะเหนื่อยหน่อย
แต่ก็ทำให้เราท้อ...น้อยลงไปมากกว่าตั้งหน้าตั้งตาแหงนคอมองยอดเขา
แล้วไม่ลงมือปีนป่ายสักที...ก็เพราะว่ามัน สูงเกินไป....เราคิดอย่างนี้แหละ

อนุโมทนา...เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:

ถ้าปฏิบัติจริงๆแล้ว ทุกข์ไม่มีวันหายไปได้หมด
ตรงกันข้าม กลับจะมองเห็นทุกข์เพิ่มมากขึ้น ในทุกๆที ไม่ว่าอดีต
ปัจจุบัน หรืออนาคต ทั้งเรา ทั้งเขา ทุกข์ทั้งนั้น หันไปดูรอบๆตัวก็ใช่ทั้งนั้น
ทุกข์เรื่องนี้หมดไป เรื่องใหม่ก็เข้ามาแทนที...เราก็ต้องเรียนรู้เหตุแห่งทุกข์
เพื่อหาทางดับทุกข์อันใหม่อีก...เมื่อเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆก็จะเข้าใจว่าไม่มีหนทาง
ใดที่จะดับทุกข์ให้หมดไปได้


:b8: :b8: :b8:
สาธุ สาธุ สาธุ

ทุกข์ไม่สามารถดับไปจากกายใจได้ ตราบใดที่ยังมีกายใจอยู่
แต่จิตที่หลุดพ้นแล้วสามารถพ้นจากทุกข์ของกายใจได้
และเมื่อสิ้นกายใจนี้แล้วก็ไม่ต้องเกิดมาเจอทุกข์อีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 03:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"...ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปหนึ่ง
พึงมีโครงกระดูก ร่างกระดูก กองกระดูกใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละ
ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้
และกระดูกที่ได้กองรวมไว้แล้วไม่พึงกระจัดกระจายไป
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้..."

...ดูกรภิกษุ เหมือนอย่างว่าภูเขาหินลูกใหญ่ยาวโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง สูงโยชน์หนึ่ง ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงอาผ้าแคว้นกาสีมาแล้วปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ปีต่อครั้ง ภูเขาหินลูกใหญ่นั้นพึงถึงการหมดสิ้นไปเพราะความพยายามนี้ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงสิ้นสุดไป กัปนานอย่างนี้แล บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่กัปหนึ่ง มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้
...ดูกรภิกษุ เหมือนอย่างว่านครที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง สูงโยชน์หนึ่ง เต็มด้วยเมล็ดผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ๆ ออกจากนครนั้นโดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้นพึงสิ้นไปหมดไปเพราะความพยายามนี้ (เวลาที่ใช้ในกาลนี้) ยังเร็วกว่า ส่วนเวลากัปหนึ่งยังไม่สิ้นสุดไป กัปนานอย่างนี้แล...

“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออก
ความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ”

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมัน
พวกเธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจ
บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะตนของตนเองไว้ในอำนาจได้
สามารถเอาชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด อย่าเป็นผู้แพ้เลย ”

อนุโมทนาครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร