วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 14:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 02:24
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อความที่ถอดคลิป-


ยุทธศาสตร์อิสลามยึดครองประเทศไทย

ถอดเทปบันทึกยุทธศาสตร์การดาวะฮฺในประเทศไทย

โดย อัล อัค อับดุลมะญีด

******

ที่จริงแล้ว เราเป็นศาสนาเดียวก็ว่าได้ ที่มีเรื่องการดาวะฮฺ ศาสนาอื่นเขาไม่ค่อยพูดเรื่องนี้ แต่เขาทำ ดาวะฮฺ เขาทำการเผยแพร่เหมือนกัน แต่เขาไม่มีหลักการพวกนี้ชัดเจน มีการพิสูจน์ทางวิชาการแล้วว่า ไม่มีหลักการพวกนี้ชัดเจนในศาสนาต่างๆ แต่มันมีชัดเจนในคำสอนอิสลามว่า อิสลามต้องการจะเอาคำสอนไปยังทุกชนทุกชาติในโลก ทั้งโลกทั้งหมด ไม่ได้เป็นศาสนาเฉพาะ

ฉะนั้น ด้วยแนวคิดดาวะฮฺ หมายถึง ความเป็นสากลของอิสลาม เพื่อให้อิสลามเป็นของทุกชน ทุกชาติ เป็นของมนุษย์ทั้งหมด

อันนี้เป็นแนวคิดดาวะฮฺ ซึ่งอธิบายแนวคิดดาวะฮฺให้ชัดเจนลงไป เมื่ออ่านหนังสือประวัติศาสตร์ เราจะเห็นคำๆ หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นแนวคิดดาวะฮฺที่ชัดเจนมาก เป็นคำของฝรั่ง

เขาใช้ คำว่า อิสลามมัยเซซั่น การเปลี่ยนมาสู่อิสลาม

เวลาประวัติศาสตร์พูดถึงการเผยแพร่อิสลามในอินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย ศัพท์ที่เขาใช้ เขาใช้คำว่า อิสลามมัยเซซั่น การเปลี่ยนคนให้มาเป็นอิสลาม เป็นคำศัพท์ที่มีความหมาย หมายถึงว่า ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยน ไม่ใช่แค่คุณเชื่อว่า มีพระเจ้า หรือมีพระเจ้าหนึ่งแค่นั้น แต่หมายถึง เป็นการต่อสู้ในเชิงโครงสร้าง



งานดะวะฮฺเป็นยุทธศาสตร์

เพราะฉะนั้น งานดะวะฮฺ เป็นงานยุทธศาสตร์ จึงเป็นงานที่ไม่ใช่แค่ไปเคาะบ้าน แล้วก็เชิญให้มาเข้าใจอัลเลาะห์ เป็นงานเชิงยุทธศาสตร์ เพราะเป็นการต่อสู้ ตั้งแต่สมัยอดัมมาแล้ว เป็นการต่อสู้กับฝ่ายมาร เป็นงานที่มีการวางแผน เป็นงานที่มีการศึกษา

ถ้าจำไม่ผิด ผมเคยอ่านหนังสือดาวะฮฺที่คนนิยมอ่านที่สุด อ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะเป็นภาษาอาหรับ

งานดาวะฮฺเป็นงานยุทธศาสตร์จริง แม้คนที่ไม่ใช้อิสลาม ก็จะต้องให้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงสร้างของการดาวะฮฺ นโยบายของท่านนบีที่มีต่อนะยาชี นโยบายที่มุสลิมมีต่อเผ่าอาหรับ ที่มิใช่มุสลิม เช่น เผ่าคริสเตียน อะไรต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ที่ดี อะไรทั้งหมด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโครงสร้างยุทธศาสตร์ เพื่อการเผยแพร่อิสลาม การทำสนธิสัญญาฮุไดบิยะ ที่สงบศึก และการดาวะฮฺก็เผยแพร่ไปได้กว้าง

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์

เพราะฉะนั้นเราต้องคิดถึงงานดาวะห์ใหม่ ไม่ใช่การฉาบฉวย เป็นเรื่องของการที่ต้องศึกษา เป็นเรื่องของการที่ต้องจัดการวิจัย ศึกษา ค้นคว้า



ดาวะฮฺในประเทศไทย

ผมอยากให้เข้าใจกว้างที่สุด มองเห็นทั้งหมดของการดาวะฮฺ ว่า คืออะไร เพื่อที่เราจะได้มากำหนดการ ดาวะฮฺของเราในประเทศไทย การดาวะฮฺของเราแคบลงมาแล้ว เราไม่ต้องไปรับผิดชอบการดาวะฮฺในแอฟริกา

เราต้องรับผิดชอบการดาวะฮฺในประเทศไทย

เราพูดภาษาไทยได้ บางคนคิดว่า เป็นปมด้อย ที่พูดภาษาไทยได้

จริงๆ แล้วมันยาก ภาษาไทยเนี่ย กว่าจะพูดได้ คนต่างประเทศมาเรียนภาษาไทย ใช้เวลานานกว่าภาษาอื่น แต่เราต้องรู้ภาษาไทย เรากำลังอยู่กับคนที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีจำนวนถึง ๖๐ ล้านคน มุสลิมในไทยไม่เยอะ ไม่ถึง ๑๐ ล้าน อย่างมากก็ ๔ ล้าน ๕ ล้านก็อาจจะไม่ถึง

ประเทศไทยเป็นเป้าหมายของเรา ในการดาวะฮฺ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สำคัญมาก

เพราะฉะนั้น ในการดาวะฮฺนี้ หลายสิ่งหลายอย่าง เราต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับประเทศไทย อย่าพยายามทำตัวให้แตกแยกมาก อย่าแปลกแยกเกินไปกับสังคมไทย เราทำงานดาวะฮฺ แต่บางที เราก็เริ่มต้นด้วยการสร้างช่องว่างระหว่างเชื้อชาติมากเกินไป

อย่างผมไม่มีเชื้อไทยอยู่เลยก็ว่าได้ มันมีหลายเชื้อชาติอยู่ในตัว แต่ว่าเชื้อไทยหาไม่เจอ แต่ผมก็ยินดีเป็นคนไทย เพราะเป็นความใกล้ชิด

ผมคิดว่า วิธีการวางความใกล้ชิดแบบนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เหมือนกับเวลาอิสลามไปเผยแพร่ในอียิปต์ ผู้หญิงที่ถูกอ้าง คือ ภรรยาคนหนึ่งชื่อมาริยะ อ้างความสัมพันธ์ กับอ้างความใกล้ชิดกัน

การดาวะฮฺเป็นการสร้างความใกล้ชิดกัน

เราอ้างความเป็นปาดีอาดัม ความเป็นลูกหลานของอาดัม นี่คืองานดาวะฮฺ อ้างความเป็นคนที่เท่ากัน ที่เหมือนกัน ความใกล้ชิดทางด้านของความเป็นมนุษย์

ประเทศไทยนี่ เราต้องสนใจงานดาวะฮฺทุกสนาม ไม่ใช่แค่ที่นี่ หรือ ภาคใต้ตอนบน

น่าจะมีหัวข้องานดาวะฮฺชาวเขา นี่คือสนามหนึ่งที่เราต้องสนใจ

เพราะเราต้องรับผิดชอบการดาวะห์ ของคนที่ใกล้เคียงกับเรา เราคงไม่ต้องไปรับผิดชอบที่มันไกล ๆ เช่น ไปรับผิดชอบ โน่น อเมริกาใต้ มันไกล การดาวะฮฺนี่ หลักการอย่างหนึ่ง คือ รับผิดชอบคนที่อยู่ใกล้ และ ก็คนที่สามารถสื่อสารกันได้ง่าย

การดาวะฮฺในประเทศไทย ดาวะฮฺชาวเขา ดาวะฮฺอีสาน อะไรทั้งหมดก็ต้องคิด รวมทั้งการจัดระบบของเราให้แข็งแกร่งและยุติธรรม เพื่อจะได้เป็นภาพที่ประทับใจ และเป็นภาพที่เป็นบวก ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาสู่ความสนใจอิสลาม



ชัยชนะพี้นฐานงานดาวะฮฺ

ฝากไว้สำหรับนักดาวะห์ ผมบอกแล้วงานดาวะฮฺ เป็นงานยุทธศาสตร์ แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่วางอยู่บนความเชื่อความศรัทธา นักดาวะฮฺเนี่ย เป็นการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่ใช่อิสลาม แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องเผชิญหน้าด้วยความเชื่อ ไม่เพียงแต่ยุทธศาสตร์อย่างเดียว เราต้องมีความเชื่อมั่นว่า เราชนะ เราต่อสู้บนพื้นฐานของชนะแล้ว เพราะเราถูกกำหนดด้วยชัยชนะ

เพราะฉะนั้น เราจะไม่ลุกลี้ลุกลน หรือว่า ลนลานเวลาเจอกับฝ่ายตรงข้าม เพราะความลนลานนี่ มันจะนำไปสู่ความหยาบคาย ความรุนแรง แต่สิ่งที่เราไม่ต้องการ คือ เรื่องไม่ดีต่าง ๆ

ฉะนั้น เราต้องสู้บนพื้นฐานของความนิ่ง มั่นใจว่า เราจะชนะ เพราะดาวะฮฺถูกกำหนดมาเพื่อชัยชนะ และประวัติศาสตร์ เราชนะมาตลอด และเราจะชนะต่อไปจนตราบวันสิ้นโลก

แม้บางครั้ง ฝ่ายตรงข้ามจะเข้ามามีบทบาทบ้าง แต่เราจะชนะ เราต้องต่อสู้บนพื้นฐานของความเชื่อ ที่ว่า เราชนะ แต่ปัญหาสำหรับเรา ก็คือ ไม่ใช่เรื่องชนะ เรื่องแพ้ เรื่องที่ว่า เรานี่ได้เข้ามามีบทบาทอย่างไร ในกระบวนการของชัยชนะนี้ เราได้รับรางวัลในฐานะของคนที่เข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อชัยชนะหรือเปล่า เราได้ทำอะไรบ้างกับกระบวนการนี้ ถ้าเราไม่เข้าร่วมกับขบวนการดาวะฮฺ อัลเลาะห์ก็จะเลือกคนใหม่

เพราะกระบวนการนี้จะยังคงมีอยู่จนถึงวันสิ้นโลก.
มีการปลอมตัวเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา แล้วทำตัวให้เสื่อมเสีย ทำให้พุทธศาสนิกชนเสื่อมศรัทธาในพระภิกษุสงฆ์



.... เรื่องนี้มหาเถระสมาคมรับทราบ สื่อมวลชนก็ทราบ แต่ไม่ออกข่าว


ถึงออกก็ออกแค่ว่า พระมั่วสีกา พระดื่มเหล้า พระดูหนังโป๊ ฯลฯจริงๆเป้นแผนทำลายแต่รัฐไม่เคยคิดปกป้องพระพุทธศาสนา

รูปภาพ
นั่งกินข้าว
รูปภาพ
ฟังอธิบาย
รูปภาพ
คิดดีไม่ดี
รูปภาพ
ขอพร
รูปภาพ
รูปภาพ
ละหมาด
ช่วยกันรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา



ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย



เหมือนดังเช่น อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน ฯลฯ





อย่านิ่งดูดาย กับเรื่องศาสนา และอย่าถือว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนพุทธศาสนาจากแผ่นดินไทยได้



คำว่านิ่งดูดาย เปลี่ยนศาสนามาหลายประเทศแล้ว






คงไม่ต้องรอให้เหมือน "สมัน"



ที่ต้องให้ตัวสุดท้ายถูกฆ่าตายเสียก่อน



จึงจะมาบรรจุไว้ให้เป็นสัตว์ป่าสงวน!!!

โพส โดย ภูชิชย์ สุรรัตน์ พุทธศาสนิกชนเต็มขั้น
ที่มา From: therd wong <therd_wong@hotmail.com>
ที่มา http://www.buddhakhun.org/main//index.p ... 8#msg11018


โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.....
ช่วยกันครับ เห็นแล้ว สะเทือนใจมาก มีมากจริง ๆ

เจอมากกว่านี้ครับ

1.ส่งต่อ forword mail ให้เยอะที่สุด ไม่ต้องรอใคร เริ่มที่เรา
2.ทำเท่าที่เราทำได้ แต่ทำให้ดีที่สุดครับ ช่วยต่ออายุพระพุทธศาสนา


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวอินเดียผู้หนึ่ง ซึ่งเกิดในวรรณะศูทรที่ยากจนที่สุดตระกูลหนึ่งของอินเดีย ได้ฟันฝ่าอุปสรรคทางชนชั้น

เรียนหนังสือจนจบปริญญาเอก

แล้วเหตุใดท่านจึงทิ้งศาสนาเดิมหันมานับถือพระพุทธศาสนา

เขาเห็นคุณเห็นค่าของพุทธศาสนาอย่างไร




ศาสนาพุทธสิ้นจากแผ่นดินอินเดียในราว พุทธศตวรรษที่ 17 (1,700 ปีหลังปรินิพาน) แต่กลับมา

รุ่งเรืองในดินแดนสุวรรณภูมิของเรา

ในประเทศอินเดียแทบไม่มีใครนับถือศาสนาพุทธหลงเหลืออยู่เลย

หลังจากนั้นในปี 2499 ก็มีบุรุษชาวอินเดียชื่อ ดร.อัมเบดการ์ นำศิษย์และผู้ที่เคารพในตัวท่าน ปฏิญาณตน

เข้าเป็นพุทธมามกะ ในคราวเดียวถึง 500,000 คน เป็นที่ตื่นตะลึงแก่สาธุชนชาวพุทธทั่วโลก

จนวันนี้ พ.ศ.นี้ มีลูกหลานและคนอินเดียที่นับถือท่าน ละศาสนาเดิมหันเข้านับถือศาสนาพุทธเพิ่มเป็น

กว่า 40 ล้านคน.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำปฏิญาณตนของ ดร.อัมเบดการ์ น่าให้แง่คิดแก่...?


ในการปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธ ๕ แสนคน เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ นั้น

มีพระภิกษุอยู่ในพิธี ร่วมเป็น สักขีพยาน ด้วย ๓ รูป คือ ท่านพระสังฆรัตนเถระ (Ven. M.

Sangharatana Thera) พระสัทธราติสสะเถระ (Ven. S. Saddratissa Thera)

และพระปัญญานันทะเถระ (Ven.Pannanand Thera) ในพิธีมีการประดับธงธรรมจักรและสายรุ้ง

อย่างงดงาม ในพิธีนั้น ผู้ปฏิญาณตนได้กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ และคำปฏิญญา ๒๒ ข้อ

ของท่านอัมเบดการ์

๑. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป

๒. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป

๓. ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป

๔. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป

๕. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า

๖. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป

๗.ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า

๘. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป

๙. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน

๑๐. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน

๑๑. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน

๑๒. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ โดยครบถ้วน

๑๓. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก

๑๔. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น

๑๕. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม

๑๖. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด

๑๗. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา

๑๘. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา

๑๙. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ

๒๐.ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง

๒๑. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง

๒๒. ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว ท่านได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู

แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 14:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT.jpg
TTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTTT.jpg [ 21.97 KiB | เปิดดู 5081 ครั้ง ]
ท่านธรรมปาละ


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 13:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



ดร.เอ็มเบดการ์ ได้นำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นหลักในการปฏิวัติระบบชนชั้นวรรณะ

ของสังคมอินเดีย

ดังที่ท่านประกาศไว้ตอนหนึ่งว่า

"ระบบวรรณะนั้นเป็นความบกพร่อง ใครเกิดมาในวรรณะเลวก็ต้องเลวอยู่ชั่วชาติ จะทำอย่างไรก็ไม่มีทางดี

ขึ้นมาได้ ข้อนี้จึงเป็นเรื่องฟังไม่ขึ้นอีกต่อไป

* พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญความเพียร ชัยชนะของแต่ละคนขึ้นอยู่กับความเพียร ยาจกก็สามารถยกตนขึ้น

เป็นมหาเศรษฐีได้ เพราะความเพียร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 13:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำแหน่งทางการเมือง เป็น รมต.กระทรวงยุติธรรม และได้เป็นผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ

หลังจากอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ




ดร.อัม เบดการ์ มีผลต่อความเคลื่อนไหวหลายอย่างในอินเดียขณะนั้น ท่านเป็นอธิศูทรคนแรก

ที่ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของอินเดีย หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราช

ได้เป็นผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญของอินเดีย

ท่านเป็นผู้ชี้แจงต่อที่ประชุมในสภา โดยการอนุมัติของ ดร.ราเชนทรประสาท ให้ชี้แจงอธิบาย

ต่อผู้ซักถาม ถึงบางข้อบางประเด็นในรัฐธรรมนูญ

หนังสือพิมพ์บางฉบับลงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า "ดร.อัม เบดการ์ ทำหน้าที่ชี้แจงอธิบาย เรื่องร่างรัฐธรรมนูญ

ต่อผู้ร่วมประชุม ประดุจพระอุบาลีเถรเจ้า วิสัชชนาข้อวินัยบัญญัติ ในที่ประชุมปฐมสังคายนา

ต่อพระสงฆ์ ๕๐๐ มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ฉะนั้น" และท่านเป็นผู้ต่อสู้เพื่อทำลาย ความอยุติธรรม

ที่คนในชาติเดียวกัน


จาก

http://krooair.blogspot.com/2009/08/blog-post_25.html


http://www.dmc.tv/print/latest_update/I ... etgar.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 14:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้านักประชาธิไตยและผู้ทำลายกำแพงแห่งชนชั้น ว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันด้วยคุณธรรมที่

ประพฤติ และเข้าถึง


เรื่องชนชั้นวรรณะ นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ในชมพูทวีป จึงมีพุทธพจน์ตรัสย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ

ดังตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เป็นคำสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้า กับ พราหมณ์ชื่อเอสุการี

คัดมาบางตอนดังนี้



พราหมณ์: ท่านพระโคดมผู้เจริญ พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติทรัพย์ไว้ ๔ อย่าง คือ

บัญญัติการภิกขาจารให้เป็นทรัพย์ประจำตัวของพราหมณ์...

บัญญัติธนูกับแล่งให้เป็นทรัพย์ประจำตัวของกษัตริย์...

บัญญัติกสิกรรม และ การเลี้ยงโคให้เป็นทรัพย์ประจำตัวของแพศย์...

บัญญัติเคียว และ ไม้คานให้เป็นทรัพย์ประจำตัวของศูทร...

พราหมณ์ทั้งหลาย บัญญัติทรัพย์ไว้ ๔ อย่าง ดังนี้

ท่านพระโคดมผู้เจริญ จะตรัสว่ากระไรในเรื่องนี้ ?


พระพุทธเจ้า: แน่ะพราหมณ์ ชาวโลกทั้งหลาย พร้อมใจกันอนุญาตข้อตกลงนี้ไว้แก่พราหมณ์ทั้งหลายว่า

(ขอพราหมณ์ทั้งหลาย) จงบัญญัติทรัพย์ไว้ ๔ ประการเหล่านี้เถิด ดังนี้ หรือ ?


พราหมณ์: มิใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม


พระพุทธเจ้า: แน่ะพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษยากไร้ ไม่มีอะไรเป็นของตน เป็นผู้ขัดสน

คนพวกหนึ่ง เอาก้อนเนื้อขึ้นแขวนให้แก่เขา ผู้ไม่มีความปรารถนาเลย โดยบอกว่า

นี่แน่ะพ่อมหาจำเริญ เธอกินเนื้อนี้เสีย และจ่ายเงินค่าเนื้อมา ดังนี้ฉันใด

พวกพราหมณ์ก็ฉันนั้น ย่อมบัญญัติทรัพย์ ๔ อย่างเหล่านี้ แก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น

โดยไม่ได้รับความยินยอม

นี่แน่ะพราหมณ์ เราย่อมบัญญัติอริยโลกุตรธรรม ว่าเป็นทรัพย์ประจำตัวของคนทุกคน ฯลฯ

แน่ะพราหมณ์ ท่านจะเห็นเป็นประการใด (สมมุติว่า) ขัตติยราช ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว รับสั่งให้บุรุษ

ชาติต่างๆ กัน ๑๐๐ คนมาประชุมกันว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย ในบรรดาท่านทั้งหลายนั้น ผู้ใดเกิดจาก

ตระกูลกษัตริย์

จากตระกูลพราหมณ์

จากตระกูลเจ้า ผู้นั้นจงเอาไม้สัก ไม่สาละ ไม้สน ไม้จันทร์ หรือไม้ทับทิม มาทำเป็นไม้สีไฟ จงก่อไฟ

ให้ความร้อนปรากฏ

มาเถิดท่านทั้งหลาย ในบรรดาท่านทั้งหลายนั้น ผู้ใดเกิดจากตระกูลจัณฑาล

จากตระกูลพราน

จากตระกูลช่างสาน

จากตระกูลช่างรถ

จากตระกูลคนเทขยะ ผู้นั้นจงเอาไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือไม่ละหุ่ง มาทำเป็นไม้สีไฟ

จงก่อไฟ ให้ความร้อนปรากฏ

นี่แน่ะพราหมณ์ ท่านเห็นเป็นประการใด ไฟที่คนผู้เกิดจากตระกูลกษัตริย์ จากตระกูลพราหมณ์

จากตระกูลเจ้า เอาไม้สัก ไม่สาละ ไม้สน ไม้จันทร์ หรือไม้ทับทิม มาทำเป็นไม้สีไฟก่อขึ้น

ให้มีความร้อนปรากฏ

ไฟนั้นเท่านั้นหรือ จึงจะมีเปลว มีสี มีแสง และสามารถใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไฟได้

ส่วนไฟ ที่คนผู้เกิดจากตระกูลจัณฑาล จากตระกูลพราน จากตระกูลช่างสาน จากตระกูลช่างรถ

จากตระกูลคนเทขยะ เอาไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือไม่ละหุ่ง มาทำเป็นไม้สีไฟ

ก่อขึ้น ให้มีความร้อนปรากฏ ไม่มีเปลว ไม่มีสี ไม่มีแสง ไม่สามารถใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไฟได้อย่างนั้น

หรือ ?

พราหมณ์: มิใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดมผู้เจริญ...ไฟทั้งหมดนั่นแหละมีเปลว มีสี มีแสง และไฟทั้งหมด

ใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไฟได้


พระพุทธเจ้า: ฉันนั้นเหมือนกันแล ท่านพราหมณ์ บุคคลแม้หากออกบวชเป็นอนาคาริกจากตระกูล

กษัตริย์ และเขาอาศัยธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้...มีสัมมาทิฐิ ก็ย่อมเป็นผู้ยังกุศลธรรม

ที่เป็นทางรอดพ้นให้สำเร็จได้

แม้หากออกบวชเป็นอนาคาริก จากตระกูลพราหมณ์ ...จากตระกูลแพศย์...จากตระกูลศูทร

และเขาอาศัยธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้...มีสัมมาทิฐิ ก็ย่อมเป็นผู้ยังกุศลธรรมที่เป็นทางรอดพ้น

ให้สำเร็จได้”

(เอสุการีสูตร ม.ม.13/665-670/614-622)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 15:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron