วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 22:38
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ

ผมเพิ่งสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกของบอร์ดนี้ได้ไม่นานครับ มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพื่อนครับ ตอนนี้ผมเรียนอยู่มหาลัยปี4แล้วครับ ตอนปี 1 ผมก็เป็นคนที่มีเพื่อนเยอะพอสมควร แต่พอผ่านชั้นปี 2 และ 3 มา เพื่อนสนิทของผมก็เริ่มที่จะไม่คุยกับผม ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแปลกไปจากเดิมที่เขากับผมเคยสนิทเฮฮาด้วยครับ ผมพยายามแก้ไขสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับตัวผมแล้ว พบว่าไม่มีอะไรดีขึ้น ผมจึงอยากทราบว่า ผมควรจะคิดแบบมีอุบายยังไงครับ เพื่อให้ผมปล่อยวางได้ครับ เวลาผมเห็นหน้าเพื่อนคนนั้นทุกครั้ง ผมจะรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที แต่ผมก็พยายามบอกตัวเองว่าทุกๆอย่างมันไม่แน่นอน จิตผมก็ยอมสงบลงสักครู่หนึ่ง แต่พอจิตมันคิดขึ้นมาอีกที ก็โกรธขึ้นมาอีกครับ ผมท้อใจมาก จึงอยากขอคำปรึกษาด้วยครับผม


ขอบคุณมากครับผม :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


thereal

อ้างคำพูด:
ผมจะรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที แต่ผมก็พยายามบอกตัวเองว่าทุกๆอย่างมันไม่แน่นอน จิตผมก็ยอมสงบลงสักครู่หนึ่ง แต่พอจิตมันคิดขึ้นมาอีกที ก็โกรธขึ้นมาอีกครับ ผมท้อใจมาก จึงอยากขอคำปรึกษาด้วยครับผม


คนส่วนมากเอาความสุขของตนไปขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก จึงมีแต่ความไม่สมหวัง...จึงต้องหาทางแก้ทุกข์ตลอดเวลา ความจริงในโลกก็อย่างที่คุณทราบอยู่ว่าไม่มีอะไรแน่นอน แต่การทราบเพียงเพราะฟังมา และไม่ยอมรับก็ไม่ช่วยให้ความทุกข์เบาบางลงไปได้ ..

หากมีศรัทธาเชื่อในความตรัสรู้ชอบของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรถือมั่น เพราะเป็นทุกข์ ไม่เที่ยงและไม่ใช่ใครหรือของใครแล้ว ก็ย่อมเป็นปัจจัยแก่ปัญญาในขั้นต้นที่จะเริ่มละวางการยึดถือในบุคคลทั้งหลายด้วยความชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง ... แต่หากบุญเก่าไม่มีพอ แม้ศรัทธาเช่นนี้ก็ไม่อาจเกิดได้เองโดยง่าย อย่่างไรก็ดี การที่คุณได้อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า มีบุญเก่ามาระดับหนึ่งแล้ว บัดนี้พึงเพิ่มพูนบุญใหม่ให้ยิ่งขึ้นไปเถิด เพื่อการเข้าถึงปัญญาขั้นสูงสืบไป..

พึงเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดกับเราทั้งหมด
ย่อมมาจาก"เหตุ"ทั้งสิ้น แม้การที่หมดเพื่อนไปจนทุกข์ใจนี้ก็เพราะมี"เหตุ"อันตนนั้นเคยทำมาแล้ว ..ศาสนาพุทธสอนเรื่อง"เหตุ"และผล จึงมิใช่ลัทธิมิจฉาทิฏฐิที่สอนว่าสิ่งทั้งปวงเกิดเพราะเทพบันดาลหรือมันนึกอยากเกิดก็เกิดแบบฟลุคหรือเกิดเองลอยๆโดยไม่ทีปี่มีขลุ่ยหรือเพราะความเฮงซวยของดวงอะไรๆสารพัดที่ปุถุชนจะนึกคิดคาดเดากันไป..

เมื่อเหตุมี ผลก็ย่อมตามมา เรียกว่ากรรมและผลของกรรมกรรมดีส่งผลให้เป็นสุข กรรมชั่วส่งผลให้เป็นทุกข์...ดังนั้นขณะนี้คุณกำลังทุกข์อยู่ก็พึงอนุมานได้ว่าเป็นผลจาก"เหตุเก่าที่เสีย"...เมื่อทำเหตุเสียไว้ผลเสียย่อมหวังได้ เเต่ผลจะเกิดได้ก็ต้องมีปัจจัยมากมายที่เหมาะสม ..จึงส่งผลได้ เขาไม่ได้ส่งผลตามใจของใครหรือตามคำร้องขอของใครๆเช่นกัน...

เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดได้จากเหตุปัจจัยมากมายประกอบกันอยู่ ถามว่าใครจะสามารถคาดหมายอะไรๆ หรือมีอำนาจเข้าไปจัดการสิ่งใดได้ละหรือ?? อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย ขนาดพระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมกว่าเทวดาพรหมมารและสรรพสัตว์ทั้งมวลยังช่วยคนชั่วอย่างพระเทวทัตไม่ได้เลยแล้วใครๆจะสามารถไปเสกบังคับใครให้มารักเราเป็นเพื่อนสนิทเราจนตายไปข้างหนึ่ง ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ...จึงเป็นเรื่องของการเสียเวลาและความรู้สึกที่จะยังยึดถือสิ่งที่ไม่แน่นอนว่าแน่นอนไม่แปรผัน..

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญการมีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้เป็นเอนกไม่เคยทรงตรัสให้เอาคนอื่นกระทั่งพ่อแม่เป็นที่พึ่งเลย..นั่นหมายถึงว่าเราจงเป็นคนที่"มีดี"ในตนจึงจะพึ่งตนเองได้ ..ในขั้นต้น เมื่อยังไม่มั่นใจในความดีของตน ท่านก็แนะนำให้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะก่อน..เพราะเมื่อมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะแล้วก็เท่ากับได้กัลยาณมิตร ย่อมเงี่ยโสตสดับพระธรรม อันเป็นปัจจัยแก่ปัญญาสามารถแยกแยะคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ต่างๆได้ .. ชีวิตย่อมได้ที่พึ่งที่แท้คือปัญญารู้ว่าจะแก้ไขปัญหาหรือทุกข์ทั้งหลายได้ด้วยความแยบคาย สามารถอยู่คนเดียวหรือกับใครๆได้อย่างอิสระไม่เป็นทาสทางใจของบุคคลหรือสิ่งภายนอกทั้งปวง...

จึงขอให้ปล่อยใจตนเองจากการเป็นทาสของคนอื่น รู้คุณค่าดีๆในตนไม่เอาความรู้สึกสุขทุกข์ไปอิงสิ่งนอกตัว เขาก็มาด้วยกรรมของเขา เราก็จักไปตามกรรมของเรา ชื่อว่าใครจะไปกับใครเมื่อคราต้องตายนั้นไม่มี เกิดและตายเป็นขณะที่ทุกคนต้องทำเพียงลำพัง แม้พ่อแม่พี่น้องญาติคนรักมาห้อมล้อมอยู่ก็ไม่มีใครเป็นเพื่อนได้จริงเลย... พึงทำความคุ้นเคยกับการอยู่กับตัวเองให้มากเถิด ย่อมเป็นคุณมหาศาลจริงๆ..

ขอให้พ้นทุกข์โดยเร็วพลันครับ


:b39: :b46: :b47: :b48: :b39:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2010, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทางโลกก็คุยกับเพื่อนให้เข้าใจค่ะว่าเหตุอะไรที่ทำให้เป็นแบบนี้ แก้ไขได้มั้ย เพราะยังไงซะมีมิตรภาพไว้ย่อมดีกว่าค่ะ

แต่ถ้าไม่ได้ก็มาทางธรรม ยึดอุเบกขาค่ะ เฉยแบบเข้าใจในเหตุและผลที่เกิดขึ้นค่ะ ยังไงก็ควรคุยกันให้รู้เรื่อง อย่าเอาความรู้สึกโกรธมาใส่ความคิดเพราะมันจะกลายเป็นอารมณ์ ซึ่งเมื่อมีอารมณ์แล้วสติจะหายไปค่ะ อีกอย่าง อภัยไว้ก่อน อย่าเอาความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นผลจากวิบากกรรมในอดีตทั้งนั้น น้องและเพื่อนคงเคยเป็นเพื่อนกันในอดีตชาติแต่มีเรื่องหักหลังกัน ในชาตินั้นเพื่อนน้องและตัวน้องต่างไม่ให้อภัยกัน นั่นเป็นเหตุที่แท้จริงค่ะ การจะแก้คือวางเฉยซะจะได้ไม่ติดเป็นวิบากกรรมต่อกันไปในอนาคตชาติ

กรรมกำหนดทุกสิ่งค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2010, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ขอยกย่อง ชมเชยครับ

คุณเป็นคนดี ที่น่ารักมาก ที่รู้ว่าตัวเองบกพร่อง อยากแก้ไข และแก้ไขโดยถูกวิธี
คือ การเข้าหาผู้รู้ ให้ช่วยแก้ไข แนะนำตัวเอง(สัปปุริสสังเสวะ)
ปัจจัยตัวนี้ ต่อไปจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในทุก ๆ เรื่อง ทุก ๆ อาชีพไป


พระพุทธเจ้าได้แสดงหลักธรรมอยู่หมวดหนึ่ง ชื่อว่า สังคหวัตถุ แปลว่า
หลักธรรมเป็นเครื่องผูกใจ ผูกไมตรี ยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน


มี 4 ประการ ได้แก่

ประการที่ 1 ทาน คือ การให้ การเสียสละ แบ่งปัน
ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก คนหมู่มากย่อมคบเขา (ททํ ปิโย โหติ ภชนฺติ นํ พหู)
ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ (ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ)
ผู้ไหว้ ย่อมได้รับการไหว้ตอบ
ยิ้มให้เขา เขาก็ยิ้มตอบ
เมตตาเขา เขาก็เมตตาตอบ
ฯลฯ
ให้เขาก่อนครับ

“อยากให้กระจกยิ้มให้ จงยิ้มให้กระจกก่อน”

ประการที่ 2 ปิยวาจา คือ มีคำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน สุภาพอ่อนโยน
เปล่งวาจางามยังประโยชน์ให้สำเร็จ (โมกฺโข กลฺยาณวาจา สาธุ)
ควรกล่าวแต่วาจาที่น่าพอใจ
อันมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก ฯลฯ
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ ฯลฯ

ประการที่ 3 อัตถจริยา ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์

“อย่าทำตัว ไม่เรียก ไม่ขาน ไม่วานไม่ช่วย” “ธุระไม่ใช่”
จงกุลี กุจอช่วยเหลือคนอื่น สังคมด้วยความจริงใจ

ประการที่ 4 สมานัตตตา วางตนให้เรียบง่ายเหมาะสมกับ วัย ความรู้ ฐานะ ตระกูล
ฯลฯ


หลักพระพุทธเจ้าครับ ลองพิจารณาดู

“ไม่แก้คนอื่น จงแก้ที่ตัวเอง”
ทุกอย่างมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า คิดดีแล้ว จะทำ จะพูด ก็จะออกมาดีครับ

อนุโมทนาด้วยครับ เป็นกำลังใจให้
:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2010, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


เป็นกำลังใจให้นะครับ สู้ๆครับ :b27:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2010, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เพื่อนทิ้งเรา เรื่องของเพื่อน

ส่วน เรื่องของเรา ใจเราอย่าทิ้งเพื่อน



เราดีกะเขา เราดีกะทุกคน ดีด้วยความจริงใจ คือหน้าที่ของเรา

ส่วนเขาจะดีกะเรา หรือไม่ มันเรื่องของเขา ใยต้องมุ่งหวัง

จงภูมิใจเถิด เราได้ทำในสิ่งที่เราควรทำแล้ว

:b42:

โอมฺ มณีปทฺเม หุมฺ

ขอปัญญาจงบังเกิดมี


:b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2010, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


หาเพื่อนใหม่ครับ :b12: :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2010, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...เพื่อนที่ดีที่สุด ไม่อยากให้เราลำบาก ไม่อยากให้เราทุกข์ใจ และรักเรามากที่สุด ก็ตัวเราเอง...
...อย่าไปแขวนชีวิตตนเองไว้กับชีวิตคนอื่น ปากท้องก็คนละอัน เขาหิวเขาไม่กินเขาก็ปวดท้องเขาเอง...
...เขาเฉยกับเราได้ เราก็นิ่งเสีย ทำให้เขารู้ว่ามีกัลยาณมิตรออกถมไปให้เราคบ ฉันไม่เห็นจะสนใจอ่ะ...
...ร้อนรนทุกข์ทน...ดิ้นรนให้ตัวเองไขว่คว้าสิ่งที่ไม่มี...ก็เมื่อเขาไม่สนเรา...เราก็อย่าไปสนมันเลย...
...ร้อนในใจตัวเองทำไม ทำให้มันเห็นว่า มันทิ้งเรา ไม่ใช่เราทิ้งมัน ช่างมันฉันไม่แคร์ ช่างหัวมัน... :b9: :b32:
:b13:
:b44: :b44:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 29 มี.ค. 2010, 11:39, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2010, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมักคิดเสมอว่าตอนผมนอนอยู่ในโรงศพ คงไม่มีใครมานอนเป็นเพื่อนผมแน่ ผมเลยอาศัยรูป นามเป็นเพื่อนคับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2010, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 22:38
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อัพเดทสถานการณ์ล่าสุดครับ

คือเวลาที่ผมเห็นหน้าเพื่อนคนนั้น พอรู้สึกโกรธขึ้นมา ผมก็จะบอกตัวเองว่า "เราโกรธแล้วนะ"และเสริมอีกว่า "เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกนะ ที่จะให้ทุกๆอย่างในโลกเป็นไปอย่างใจเรา", "ช่างมันเถอะ", "มันเป็นเช่นนั้นเอง" ฯลฯ แต่ผลก็คือ ความโกรธจะหายไปสักครู่ พอจิตมันคิดขึ้นมาอีก หรือได้ยิน/เห็นเพื่อนคนนั้น มันก็โกรธขึ้นมาอีกครับ..ท้อแท้มาก

แล้วไม่ใช่แค่นั้นครับ..ผมคิดว่าชาติที่แล้วผมคงทำกรรมไว้มากมายเหลือเกิน ตั้งแต่เด็กๆแล้วครับที่ผมโดนเพื่อนสนิททิ้งไม่พอ เพื่อนกลุ่มอื่นๆก็ไม่ชอบผมเช่นกัน พอเข้ามหาลัยแล้วก็เหมือนกัน ถ้าผมเกิดมีปัญหาขัดกับเพื่อนคนหนึ่ง พอเวลาผ่านๆไป เพื่อนของเพื่อนคนที่ผมขัดด้วยก็จะพาๆกันไม่ชอบหน้าผมไปด้วย ซึ่งในคณะของผม การทำงานเป็นกลุ่มถือเป็นสิ่งสำคัญ ทีนี้เวลาอาจารย์จะให้แบ่งกลุ่ม จะเป็นเวลาที่ผมเกลียดมาก เพราะผมรู้สึกเลยว่าผมเป็นเหมือน"ส่วนเกิน"ของพวกเขา ส่วนกลุ่มเพื่อนสนิท...ก็เริ่มที่จะห่างๆผมไป แม้ผมเข้าใจว่าทุกๆอย่างมันมีเหตุปัจจัย แต่ผมก็มั่นใจได้ว่าผมไม่เคยทำอะไรให้เพื่อนๆผมเดือดร้อน เว้นแต่เค้าจะไม่ชอบผมเพราะ "เหม็นหน้า"ผมก็เป็นได้ แต่ผมโชคร้ายตรงที่เพื่อนๆกว่าครึ่งพากันเหม็นหน้า

พี่ๆที่อุตส่าห์อ่านมาได้ถึงบรรทัดนี้ผมขอขอบคุณในความตั้งใจจริงของพี่ๆนะครับ ผมหมดหนทางจริงๆครับ ขอหนทางแสงสว่างให้แก่ผมทีเถิดครับ


ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2010, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


thereal:

อ้างคำพูด:
แม้ผมเข้าใจว่าทุกๆอย่างมันมีเหตุปัจจัย แต่ผมก็มั่นใจได้ว่าผมไม่เคยทำอะไรให้เพื่อนๆผมเดือดร้อน


ข้อความข้างบน ดูขัดแย้งกันอยู่...เมื่อรู้ว่าทุกๆอย่างมันมีเหตุปัจจัย ก็ต้องเข้าใจว่า แม้ในกรณีที่เกิดกับเราก็ย่อมมาจากเหตุปัจจัยเช่นกันมิใช่หรือ ? หรือเข้าใจว่าบางอย่างเกิดเองโดยไม่มีเหตุ? หากเป็นเช่นนั้นคงไม่พ้นทุกข์ไปได้ครับ... :b1:

มีอีกวิธีหนึ่งที่คุณลองพิจารณาดู คือตรวจดูตนเองว่ามีพฤติกรรมทางกายและวาจาที่เป็นทุจริตน่ารังเกียจไม่เป็นที่ปรารถนาของพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนหรือชาวบ้านอย่างใดบ้างหรือเปล่า เช่นฆ่าสัตว์ รังแกสัตว์ ขโมย/โกง หยิบฉวยของชาวบ้าน ลักลอบเล่นชู้ ข่มขืนคนอื่น ๆ พูดจาหลอกลวงโกหก แหกตา เสียดสี ด่าทอไปจนถึงเพ้อเจ้อเหลวไหลเชื่อไม่ได้ หรือเสพเหล้าเมายาสูบฝิ่นฯลฯ ประการใดอยู่บ้่างหรือไม่..(ไม่ต้องตอบมาในนี้ ให้ตอบตนเองพอครับ)..ถ้ามีอยู่ เรียกว่า กำลังสร้างเหตุใหม่เพื่อเป็นตัวนำร่องให้บาปเก่ามาส่งผลด้านต่างๆรวมถึงการถูกรังเกียจจากเพื่อนด้วย..จึงพึงเร่งปรับปรุงหลีกเลี่ยงเสีย

.. แต่หากสำรวจดูแล้ว ไม่มีอะไรที่ตนจะตำหนิตนเองได้เลย....ก็ให้ทราบว่าคุณเป็นคนดีมาก ขออนุโมทนาด้วย.. :b8: ..และขออย่าได้วิตกกังวลที่คนอื่นๆไม่อยากคบเพราะคนดีกับคนชั่ว คบกันไม่ได้เนื่องด้วย"ความต่างแห่งธาตุ" อยู่แล้ว...คุณพึงทราบว่าคุณมีของดีในตนเอง เป็นที่พึ่งของตนได้แน่นอน ส่วนความจำเป็นต้องทำงานกลุ่มก็ติดต่อกันเท่าที่จำเป็น ไม่พึงหวังฝากชีวิตไว้กับพวกเขา ..ทำตัวปกติ ไม่แสดงความโกรธใครๆ เพราะเมื่อใครโกรธเรา เราชอบใหมครับ? อยากอยู่ใกล้เขาใหมครับ?.. :b1:

แต่หากคุณยังอยากให้พวกเขายอมรับอยู่ ก็ลองทำใจกล้าเข้าไปขอร้องเขาให้ยอมรับคุณดูครับ บอกเขาว่านี้เป็นเรื่องสำคัญแก่การมีชีวิตของคุณ ชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับความกรุณาของเขาทั้งหลาย ขอร้องเขาให้สงสารเห็นใจด้วยเถิด.. นี่เป็นทางสุดท้ายที่คุณจะได้ทราบว่าทุกข์ที่มีอยู่จะได้รับการปลดปล่อยหรือเพิ่มปริมาณมากขึ้น ลองดูครับ..ในเมื่อเป็นอิสระไม่เป็น ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอ้อนวอนขอเขาครับ..

ขอให้โชคดีมีความสุขครับ ..

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 30 มี.ค. 2010, 22:44, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2010, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


thereal เขียน:
เวลาที่ผมเห็นหน้าเพื่อนคนนั้น พอรู้สึกโกรธขึ้นมา ผมก็จะบอกตัวเองว่า "เราโกรธแล้วนะ"และเสริมอีกว่า "เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกนะ ที่จะให้ทุกๆอย่างในโลกเป็นไปอย่างใจเรา", "ช่างมันเถอะ"



ผมขอออกความเห็นหน่อยนะ ถ้าไม่ถูกใจก็โหสิให้ด้วยละกัน
วิธีที่ท่านใช้อยู่นะ เขาเรียกว่าใช้ปัญญาแก้ปัญหา ซึ่งน่าจะเหมาะกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่นไปทำข้อสอบวิชาจิตวิทยาของฝรั่ง เพราะถ้าเอาปัญญามาแก้ปัญหาที่เป็นนามธรรมอย่างที่ท่านกำลังเผชิญนะ มันเอาไม่ค่อยอยู่เท่าไรหรอกคับ เช่น นึกเราโกรธแล้วนะ ......นึกทันมันก็มีสติขึ้นมาแวบหนึ่งก็ยังดี แต่มันก็โกรธไปแล้ว (ดีไม่ดีอาจจะแตะผ่าหมากไปแล้วก็ได้) และก็อาจจะโกรธอีก และก็อาจจะโกรธต่อไป

ผมขอแนะนำการเจริญสติรูปแบบที่สติต้องเกิดต่อเนื่อง ประกอบกับการเจริญเมตตาภาวนา รับรองแก้ได้แน่นอน
สติ เปรียบเหมือนกำแพง ใครเอาน้ำมาสาดมันก็กระเด็นออกโมด
เมตตา ภาวนา เปรียบเหมือนฟองน้ำก้อนใหญ่ มันจะสามารถรองรับอารมณ์ความโกรธได้เท่ากับระดับ สมาธิ และสติของเรา

ประมาณนี้คับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


thereal เขียน:
แม้ผมเข้าใจว่าทุกๆอย่างมันมีเหตุปัจจัย แต่ผมก็มั่นใจได้ว่าผมไม่เคยทำอะไรให้เพื่อนๆผมเดือดร้อน เว้นแต่เค้าจะไม่ชอบผมเพราะ "เหม็นหน้า"ผมก็เป็นได้ แต่ผมโชคร้ายตรงที่เพื่อนๆกว่าครึ่งพากันเหม็นหน้า

พี่ๆที่อุตส่าห์อ่านมาได้ถึงบรรทัดนี้ผมขอขอบคุณในความตั้งใจจริงของพี่ๆนะครับ ผมหมดหนทางจริงๆครับ ขอหนทางแสงสว่างให้แก่ผมทีเถิดครับ


ขอบคุณครับ


บางทีไม่ต้องทำเขาเดือดร้อนก็ทำให้เขาไม่อยากคบด้วยก็ได้....ท่านใช้คำว่า "เหม็นหน้า" ท่านก็ควรพิจารณาสีหน้า ท่าทางของท่านดูบ้าง รวมไปถึงการมีน้ำใจให้กับเพื่อน ก็เป็นสิ่งสำคัญ คนเราไม่มีใครอยากคบคนที่ไม่มีน้ำใจหรอกครับ ไม่ต้องรอให้เดือดร้อนก็ "เหม็นหน้า" ได้

:b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:

บางทีไม่ต้องทำเขาเดือดร้อนก็ทำให้เขาไม่อยากคบด้วยก็ได้....ท่านใช้คำว่า "เหม็นหน้า" ท่านก็ควรพิจารณาสีหน้า ท่าทางของท่านดูบ้าง รวมไปถึงการมีน้ำใจให้กับเพื่อน ก็เป็นสิ่งสำคัญ คนเราไม่มีใครอยากคบคนที่ไม่มีน้ำใจหรอกครับ ไม่ต้องรอให้เดือดร้อนก็ "เหม็นหน้า" ได้

:b8:


เออแฮะ ใช่ๆ
ที่เขาเรียกว่า "รู้สึกไม่ถูกโฉนด"

ไม่ชอบโดยไม่ทราบสาเหตุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 09:31
โพสต์: 292

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากแนะนำให้แผ่เมตตาค่ะ เวลาที่นึกถึงเขา ได้ยินเรื่องเขา หรือเห็นหน้าเขาแล้วตัวเองรู้สึกโกรธก็ให้แผ่เมตตาให้เขาแทน ยิ่งคิดมากยิ่งแผ่ให้มาก หมั่นแผ่เมตตาบ่อยๆทุกครั้งที่รู้สึกโกรธ อาจจะช่วยให้ความรู้สึกโกรธน้อยลงได้ค่ะ
ส่วนเรื่องของเพื่อนนั้น หลายๆท่านก็แนะนำหลากหลายวิธีที่ดีที่เหมาะสมแล้ว คุณคงต้องลองปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้นดู แต่ดิฉันเชื่อว่าสักวันคุณอาจจะเบื่อที่จะอยู่กับความรู้สึกอย่างนี้เอง บางทีการไม่นึกไม่คิด อยู่นิ่งๆอาจเป็นวิธีการที่ดีที่สุดก็ได้นะคะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร