วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 14:00
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วานผู้รู้ช่วยตอบทีครับ ขอบคุณมากครับ

1) คนเราควรพึ่งตนเอง พึ่งธรรม หรือ พึ่งสิ่งที่พึงพึ่ง10ประการ มีมิตรที่ดีเป็นต้น?
2) สิ่งต่างๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แม้แต่แนวทางที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?
3) สุขใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี หากเรามุ่งไปที่ความสงบ จิตจะไม่ดิ่งไปยังความเกียจคร้านหรือ?
4) ธรรมในโพชฌง8เป็นสายต่อเนื่องกัน เมื่อธรรมหนึ่งเกิดขึ้น ธรรมอีกอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นตาม ที่สงสัยคือเมื่อธรรมฝ่ายเกียจคร้านเกิดขึ้นเพราะความบริบูรณ์ของธรรมฝ่ายฟุ้งซ่าน เช่น “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ทั้งกายทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจเกิดปีติระงับได้ ในสมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารถนาแล้ว”สิ่งเช่นนี้เป็นไปได้หรือ ในเมื่อในอินทรีย์5 ได้อธิบายไว้ว่าเมื่อสมาธิกล้าจะกลายเป็นเกียจคร้าน เมื่อความเพียรกล้าจะกลายเป็นฟุ้งซ่าน ธรรมสองอย่างนี้สามารถเจริญข่มกันเอง เพื่อไม่ให้ตกลงไปในความเกียจคร้านหรือฟุ้งซ่านได้
5) “อย่าพอใจในกุศลธรรม” กับ “พอใจในสิ่งที่ตนมี” เราควรจะทำใจอย่างไรกันแน่เมื่อเห็นข้อความทั้งสองนี้
6) “มีสติแค่ตามดูสิ่งที่เป็นไป” หรือ “ต้องข่มใจไม่ทำในสิ่งผิด” ได้ยินมาว่ากิเลสบางอย่างละได้ด้วยการข่มใจใช่หรือไม่?
7) กามถอนได้ด้วยกามมีหรือไม่ เพราะไม่เคยสัมผัสกามจึงจินตนาการถึงความหอมหวาน แต่หากลองซักครั้งแล้วพบว่าก็ไม่ได้หวานซักเท่าไหร่ อย่างนี้จะเป็นคุณไปในทางหน่ายหรือไม่?
8) การมีภริยาดี ฝักใฝ่มีความเห็นไปในทางธรรมชักจูงเราไปในทางที่ดีแต่กลับมีกิจกามกับเรา เทียบกับ การอยู่สันโดษอย่างหลงผิดเพียงลำพัง ประกอบกิจกามลำพัง ไม่ข้องเกี่ยวกับกิจของคนคู่ แบบไหนจะดีกว่ากัน?
9) ผู้ปิดหูปิดตาตนเองไม่รับรู้สิ่งรอบข้างเพื่อความสงบระงับ แต่กลายเป็นผู้ล้าหลังตามข่าวสารบ้านเมือง จำถนนหนทางไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าถูกทางหรือ?
10) สติยิ่งมีมากยิ่งดี สติที่ว่าเจริญอย่างไร เวลาไหน?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


thadajirajaras เขียน:
1) คนเราควรพึ่งตนเอง พึ่งธรรม หรือ พึ่งสิ่งที่พึงพึ่ง10ประการ มีมิตรที่ดีเป็นต้น?


พระพุทธศาสนาสอนให้พึ่ง "ตนเอง"
ดังพุทธพจน์ที่ว่า "อัตตาหิ อัตโนนาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

คำว่าพึ่งตนเองนั้น มีทั้งความหมายกว้างขวางมาก

ถ้ากล่าวถึงกิจการงานทั่วไป ก็มีความหมายอย่างหนึ่ง

ถ้ากล่าวถึงการภาวนา
ก่อนจะพึ่งตนเองได้ ก้ต้องพึ่งพระรัตนตรัยก่อน
เปรียบเทียบพระรัตนตรัยเป็นคนบอกทางให้เรา
เขาบอกว่าถ้าไปทางนี้แล้วจะเจอของดี
เราก้ต้องอาศัยเชื่อก่อน แต่เมื่อได้เดินไปดูให้เห็นประจักษ์กับตนเองแล้ว
ก็เรียกได้ว่าไม่ต้องพึ่งพาศรัทธาอีกแล้ว แต่พึ่งตนเองได้
เพราะตนเองได้รู้ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง

thadajirajaras เขียน:
2) สิ่งต่างๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แม้แต่แนวทางที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?


ตรงนี้อันตราย
ต้องทำความเข้าใจคำว่า ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเสียก่อน
ไม่งั้นจะเป้นดังตัวอย่างนี้

มีคนหนึ่งเขาศึกษาพระพุทธเจ้าศาสนาไปสักพัก
เขาพบคำสอนว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
แม้แต่ความเป้นพ่อแม่ ก้คือสมมุติ
เขาก็เลยปฏิเสธพ่อแม่ ว่าความเป้นพ่อแม่ไม่มีจริง


การไม่ยึดมั่นถือมั่น เป้นคนละเรื่องกับการปฏิเสธ"ความจริง"
ความเป็นพ่อเป็นแม่ นั้นทนโท่อยู่แท้ๆ แต่หลงผิดว่า
การไม่ยึดมั่นถือมั่นคือการปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง

การไม่ยึดมั่นถือมั่นคือการอยู่กับความจริง ไม่ใช่การปฏิเสธความจริงว่ามันไม่มี

พระพุทธเจ้าบอกว่า "กายไม่ใช่เรา"
เป้นกิเลสข้อแรกที่ทรงสอนคือการทำลายสักกายทิฐิ
ถ้าพระพุทธเจ้าคิดแบบคุณ พระพุทธเจ้าคงจะปลงพระชนตัวเองไปแล้ว
เพราะคิดว่ากายไม่ใช่เรา งั้นต้องปฏิเสธกายนี้ กายนี้ไม่จริง
ต้องการหนีจากร่างกายที่ไม่ใช่เรา แต่พระองค์อยู่กับร่างกายถึง 45 ปี

เราเอาปืนไปยิงคนตาย แล้วเราบอกว่า "กายที่ยิงคุณนั้น ไม่ใช่ผม"
คู่กรณีเขาจะยอมไหม


อ้างคำพูด:
3) สุขใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี หากเรามุ่งไปที่ความสงบ จิตจะไม่ดิ่งไปยังความเกียจคร้านหรือ?

เพราะคูณเข้าใจว่าความสงบนั้น ไม่มีผลผลิต
แล้วมีค่านิยมว่า คำว่า"ใจสงบ" คงหมายถึงการนั่งหลับตา ไม่ทำงานทำการ

ใจสงบ ไม่ใช่ว่าไม่มีงานนะ มีงานสิ งานยิ่งใหญ่ด้วย
คุณคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนเทวดา สั่งสอนมนุษย์ ทั้งหลาย ด้วยการนั่งหลับตาไม่พูดไม่จางั้นหรือ
เปล่าเลย..

ท่านพูดด้วยใจที่สงบ สอนเทวดาและมนุษย์ด้วยใจที่สงบ

และเพราะพระองค์เป้นผุ้เชี่ยวชาญในความสงบนั่นแหละ
ท่านถึงพูดพระธรรมออกมาเพียงคราวเดียว โดยไม่มีผิด มีแก้ ไม่มีขาด ไม่มีเกิน
โลกนี้จะมีมนุษย์สักกี่คนที่พูดอะไรพูดครั้งเดียวแล้วยั่งยืนมาถึง 2500 ปี โดยไม่ต้องแก้
เราคนธรรดายังมีพูดผิดพูดถูก แม้ใจจะอยากพูดถูกแต่ปากมันก้พาผิด พูดผิดพูดถูก
พูดไม่ครบบ้าง พูดขาดเกินบ้าง ต้องมาแก้มาซ่อมอีกบ้าง
จะไปพูดอะไรที่ไหนก็ยังต้องมาเรียบเรียงกันก่อน ถึงจะพูด
แต่พระพุทธเจ้าพูดด้วยใจสงบ ด้วยสมาธิระดับพระพุทธเจ้า พูดทีเดียว รวดเดียว ครบถ้วน สง่างาม

นี่คืองานที่เกิดจากใจที่สงบ

thadajirajaras เขียน:
5) “อย่าพอใจในกุศลธรรม” กับ “พอใจในสิ่งที่ตนมี” เราควรจะทำใจอย่างไรกันแน่เมื่อเห็นข้อความทั้งสองนี้



คุณสังเกตุดีๆนะ
"อย่าพอใจในกุศล" และ "พอใจในสิ่งที่ตนมี"
เหมือนกันกับประโยคที่ว่า "รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ"
เมื่อขาดก้ต้องเติม เมื่อใดเกินก้ต้องเอาออก
เป้นการเดินทางสายกลางทั้งคู่ เพียงแต่คนละเงื่อนไขกัน



thadajirajaras เขียน:
6) “มีสติแค่ตามดูสิ่งที่เป็นไป” หรือ “ต้องข่มใจไม่ทำในสิ่งผิด” ได้ยินมาว่ากิเลสบางอย่างละได้ด้วยการข่มใจใช่หรือไม่?


คุณฟุ้งซ่านกับหลักการมากไปนะ
ให้ลงมือปฏิบัติ เอาของจริงมาเรียนรู้จะได้ไม่เสียเวลาสงสัย

สมมุติ
อย่างผมโกรธคุณ ถ้าผมกำลังจะไปตีคุณ นี่คือได้เวลาต้องข่ม ต้องห้าม ต้องดึง
ให้มันน้อยๆลงมา “ต้องข่มใจไม่ทำในสิ่งผิด”

แต่ถ้าผมโกรธแล้ว แต่ก็แค่ครุกรุ่นอยู่ในใจ ไม่ทำร้ายคุณตอบ ไม่เ่าว่าคุรตอบ
นี่แหละ ได้เวลาดูใจของตนตามจริงว่าโกรธมันหน้าตาอย่างนี้ มันเครียด มันเค้นอย่างนี้
ได้เวลา “มีสติแค่ตามดูสิ่งที่เป็นไป”


สรุป “ต้องข่มใจไม่ทำในสิ่งผิด” คือศีล
“มีสติแค่ตามดูสิ่งที่เป็นไป” เป็นการเจริญสมาธิภาวนา

ศีล สมาธิ ปัญญา เขียนแยกกัน เราก้นึกว่ามันแยกกัน
แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่แยกกันหรอก ศีลสมาธิปัญญา มันคืออันเดียวกัน

thadajirajaras เขียน:
7) กามถอนได้ด้วยกามมีหรือไม่ เพราะไม่เคยสัมผัสกามจึงจินตนาการถึงความหอมหวาน แต่หากลองซักครั้งแล้วพบว่าก็ไม่ได้หวานซักเท่าไหร่ อย่างนี้จะเป็นคุณไปในทางหน่ายหรือไม่?

ผมก็เห้นเด็กๆพูดแบบคูณนี่แหละ
แต่พอโดนกันแล้ว หาที่เลิกได้สักคนเดียวก็ไม่มีนะ
ยิ่งกว่ายาเสพติดชนิดไหนๆในโลกนี้อีก

ถ้ากามแก้ด้วยกามได้ พระพุทธเจ้าท่านคงจะบอกเอาไว้แล้วล่ะ
มันแก้ไม่ได้ดอก มันต้องแก้ด้วยธรรมะคู่ปรับ
เอาธรรมะข้อเดียวกันไปแก้ มันยิ่งสมามัคคีรวมพลังกันใหญ่
อย่างบางพวกกะว่าจะร่วมเพศให้มันเบื่อไปเลย จ้างให้มันก็ไม่เบื่อหรอกนะ
มันเบื่อเป็นขณะ พอหายเบื่อมันก็อยากอีก
ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใคบังคับบงการมันได้สักคนเลยนะ
จะไปสั่งมันว่า "ตอนนี้ห้ามกำเริบๆ นอนลงๆ" "ตอนนี้กำเริบๆได้ ลุกขึ้นๆ"
สั่งมันไำด้ไหมล่ะ



thadajirajaras เขียน:
8) การมีภริยาดี ฝักใฝ่มีความเห็นไปในทางธรรมชักจูงเราไปในทางที่ดีแต่กลับมีกิจกามกับเรา เทียบกับ การอยู่สันโดษอย่างหลงผิดเพียงลำพัง ประกอบกิจกามลำพัง ไม่ข้องเกี่ยวกับกิจของคนคู่ แบบไหนจะดีกว่ากัน?

คุณเข้าใจอะไรผิดแล้ว
ในพระไำตรปิฏก ผู้ที่เขาบรรลุพระโสดาบันตั้งหลายคน มีลูกดกจะตายไปนะ
เรื่องกามราคะ แม้แต่พระโสดาบัน สกิทาคามี ก็ยังแพ้มันอยู่นะ
ประเภทที่ไม่ยอมร่วมเพศกับเมียนี่มันเป้นการข่มใจเอาไว้เฉยๆ
การไม่ร่วมเพศกับเมียตน ไม่ได้เป็นเครื่องแสดงว่ามีธรรมะนะ
มันเป้นแค่ความสามารถในการข่มใจ
ดีไม่ดี บังเอิญภรรยาเขาไม่ชอบแต่งสวย เลยยิ่งเสริมความเบื่อ
แต่ขอโทษเถอะ ลองเจอคนสวยๆที่ถูกใจตัวเอง มาลองเต้นแก้ผ้าสองต่สองในที่ลับดุสิ
จะได้รู้กันไปว่าที่ว่าตัวเองดีน่ะ ดีจริงไหม

คำว่าละกามราคะของพระอนาคามี เป้นการไม่ปรุงตั้งแต่รูปเสียงกระทบผัสสะนู่น
ไม่ใช่จิตปรุงเสร้จสรรพจนเป้นอารมณ์แล้ว เสวยอารมณ์แล้ว นั่งเจี้ยวโด่
แล้วพอข่มเอาได้ก้ว่าข้าแน่ ข้าสู้กิเลสได้
ซึ่งไม่จริงนะ เสวยอารมณ์อยู่ขนาดนั้น จะบอกว่าสู้กิเลสได้ ไม่จริงหรอก
แพ้กิเลสเรียบร้อยแล้วต่ะหาก จิตถึงเสวยอารมณ์

thadajirajaras เขียน:
9) ผู้ปิดหูปิดตาตนเองไม่รับรู้สิ่งรอบข้างเพื่อความสงบระงับ แต่กลายเป็นผู้ล้าหลังตามข่าวสารบ้านเมือง จำถนนหนทางไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าถูกทางหรือ?

ฉลาดจะตายไปนะคุณ

คนเราแต่ละคน มันไม่เท่ากันหรอก
บางคนเขาดุแล้วไม่เครียดก็มี เพราะเขาฉลาดในอารมณ์ของเขา

ส่วนคนไหนฟังแล้วจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ฟัง ไม่ดู ก็นับว่าเป้นความฉลาด

สู้ไม่ได้ ก็ต้องถอยไปตั้งหลักก่อนสิ
คนฉลาดเขาทำอย่างนี้ดีแล้ว

ส่วนเรื่องล้าหลัง คุณก็พูดเกินไป
จำถนนไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าชั่วนี่นา ถนนที่ทำให้เครียดน่ะ ลืมได้ยิ่งดี

เรื่องบ้านเมืองตอนนี้น่ะ ผมเห็นคนรักชาติเต็มไปหมดเลย
แต่เอาอะไรไปรักชาติรู้ไหม
เอาโลภะ โทะสะ โมหะ วจีทุจริต จิตไร้สติ ไปรักชาติกันเต็มเลย

หาคนที่เอาเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภัยทาน ขันติ
ทมะ จาคะ สติ สัมประชัญญะ ..ไปรักชาตินะ ... ผมยังไม่เห็นสักคนเดียว

มีแต่อวดเขี้ยวอวดงาใส่กันฟ่อๆ
ดุจิตแต่ละคนที่ออกมารักบ้านเมืองสิ มันจิตสภาวะไหนล่ะ
แล้วที่รวมๆกันอยู่อย่างนี้ มันเมืองมนุษย์ หรือเมืองเปรต หรือเมืองเดรัจฉาน หรือเมืองนรก
พอๆกันทุกฝ่ายทุกสี ไม่ได้ดีกว่ากันเลย

คนไหนเฉยๆ ไม่ต้องไปยุ่งนะ ผมอนุโมทนามากๆเลย
อย่าไปแก้ไขคนอื่นเลย ตัวเองเอาให้รอดก่อนเถอะ ดีชั่วให้รู้ให้ชัดเสียก่อน
ดีชั่วไม่ชัดแก่ตน แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าที่ทำที่คิดที่พูดนั่นมันดีหรือชั่ว
เอาดีหรือเอาชั่วไปแก้ปัญหา

thadajirajaras เขียน:
10) สติยิ่งมีมากยิ่งดี สติที่ว่าเจริญอย่างไร เวลาไหน?

เวลากินกระทิงแดงครับ สติดี (ล้อเล่น)

สติที่ดีเลิศ คือสติที่เจริญในทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ถึงเรียกว่าดี เรียกว่าเลิศ เรียกว่ามาก


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 26 เม.ย. 2010, 16:38, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 14:00
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมธนา สาธุ

ขอบคุณมาสำหรับคำตอบครับ โดยเฉพาะข้อที่เกี่ยวข้องกับสติ และการข่มใจ

ผมเพิ่งอายุ20ปี ยังไม่มีแฟน ยังไม่ได้แต่งงาน มีใจใฝ่ทั้งทางธรรม และทางโลก จึงเป็นแค่จิตที่ดูสับสนอลมาล ยึดติดไปกับการพิจารณาหลักการ ตามที่เห็นได้ยินได้อ่านมา ยังมิได้ปฏิบัติให้เกิดผลอย่างถ่องแท้แต่อย่างใด อีกทั้งคงยังไม่รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง อีกทั้งแทบไม่เคยเข้าวัดเข้าวา แต่เป็นคนที่รักสงบ ตอนนี้คิดว่าจัดการกับความโกรธได้ในระดับหนึ่ง จึงไม่มีความคิดเห็นใดๆที่รุนแรงทางการเมือง แต่คิดว่าความโลภและความหลงยังกลุ้มรุมอยู่มากไม่น้อย และคิดว่าอยากจะพบเจอกับครูที่ดีในสักวันหนึ่งของชีวิต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร