วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นในฐานะชาวพุทธว่าจะเข้าใจคำสอนที่เป็นความจริงได้อย่างไร...
:b16:
...สำหรับทัศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า...ชาวพุทธในยุคปัจจุบันปี๒๕๕๓...ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าทุกข์...
...โดยเฉพาะในความเป็นคนไทยที่เกิดมาก็ได้รับเครดิตว่านับถือศาสนาพุทธแต่ไม่เข้าใจทุกข์...
...เพราะเกิดมาแล้วไม่ได้ให้ความสำคัญว่าศาสนาพุทธที่ตนเองนับถือนั้นช่วยแก้ทุกข์ได้จริงๆ...
...การนำหลักพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนามาใช้มีน้อยมากเพราะไม่เข้าใจความจริง...
...จึงจำเป็นที่ชาวพุทธทุกคนต้องศึกษาความจริงที่ทรงแสดงให้เข้าใจสะสมปัญญาเพิ่มขึ้น...
...ด้วยความจำต่างกับความจริงของพระธรรมที่ทรงมีพระเมตตาแสดงแก่เทวดาและมนุษย์แล้วนั้น...
...ความเป็นอนัตตาคือความจริง จริงจริง เที่ยงตรง แม่นยำ เกิด-ดับไม่เหลืออะไรที่ย้อนกลับมาได้เลย...
:b20:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 12:41
โพสต์: 38

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วจับประเด็นไม่ถูกว่าเรื่องอะไร ไม่เข้าใจคำสอน? ไม่รู้จักทุกข์? อนัตตา? เอาแคบๆ หน่อยคร้าบ กว้างไปสรุปไม่ได้ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...แท้จริงแล้วการรู้ความจริงในพระธรรมที่ทรงแสดงในพระไตรปิฎก...
...มีพระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก พระสูตตันตปิฎก...
...การเข้าใจความจริงประเสริฐกว่าอะไรทั้งหมด...
...เพราะความจริงที่ทรงแสดงนั้นไม่เปลี่ยนไป...
...จะแสดงด้วยพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า...
...หรือแสดงด้วยผู้อื่นแสดงก็จริงทั้งสิ้น...
...แต่ต้องแสดงอย่างถูกต้องเท่านั้น...
...คือแสดงความจริงไม่ใช่ความจำ...
:b20:
...เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นความจริงของทุกๆสิ่ง...
...เกิดแล้ว....ดับแล้ว..เป็นอนัตตา...ไม่มีตัวตน...ไม่มีบุคคล...
...ไม่มีสิ่งของ...ไม่มีเรา...ไม่มีเขา...ไม่มีของใคร...ใดๆทั้งสิ้น...
...เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับนับไม่ถ้วนของจิตคิดปรุงแต่งตามความพอใจ...
...ที่จิตแต่ละดวงสร้างต่างๆกัน...แม้ขณะที่จิตหลายๆดวงจะเห็นสิ่งเดียวกัน...
...แต่การปรุงแต่งสร้างมโนภาพในความคิดก็มีหลากหลายตามกิเลสที่สะสมมาแล้ว...
...โดยเฉพาะสะสมโมหะ...ความหลงในตัวตนมีทุกรูปทุกนามของทุกดวงจิต...
:b22:
...เมื่อใดที่มองด้วยตายังเห็นตัวเราในกระจกแล้วเพลิดเพลินว่าสวย หล่อ เลิศ...
...ก็คือกิเลสความไม่รู้ความจริงของธรรมะที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า...
...ธรรมะ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะไม่รู้ว่าขณะเห็นไม่ใช่ความจริงที่ปรากฎ...
...เพราะความจริงก็คือมีความเกิดดับนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นไปแล้วดับแล้วไม่เหลืออะไรเลย...
...เช่นกระพริบตา1ครั้งภาพอันเก่าเกิดแล้ว-ดับแล้ว-ไม่เหลือของเก่าเกิดภาพใหม่สืบต่อแล้ว...
...และเกิดแต่ละทางคนละอย่างคือตามองเห็น หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น กายสัมผัส เป็นต้น...
:b13:
...สภาพที่เกิดเสมือนเกิดพร้อมกันทุกอย่างแล้วนั้น...จริงๆก็คือเกิดและดับทีละอย่างไม่พร้อมกัน...
...คือขณะเห็นไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน...ขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่ได้กลิ่น...ขณะที่สัมผัสก็ไม่ใช่ขณะเห็น...
...ความจริงจิตที่รวดเร็วนั้นก็คือเกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดหมดไปแล้วไม่เหลือสิ่งนั้นแล้วจึงเกิดอีกสิ่งหนึ่งต่อ...
...เพราะปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลสอันมีโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำแล้วด้วยการไม่รู้จึงถูกครอบงำแล้ว...
:b2:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 ก.ค. 2010, 10:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
...ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นในฐานะชาวพุทธว่าจะเข้าใจคำสอนที่เป็นความจริงได้อย่างไร...

พวกเรามนุษย์ทั้งหลายหรือสัตว์ทั้งหลายเกิดมา...ก็อยู่กับทุกข์ๆ ๆ ๆ ทั้งนั้น
....แต่ไม่รู้จักทุกข์...จึงพ้นทุกข์ไม่ได้....
ความรู้..ความเข้าใจ ในคำสอนอย่างเดียวลำพังนั้นอาจจะยังไม่พอ ไม่เห็นจริง
ต้องมีการปฏิบัติ ครั้นปฏิบัติแล้ว ผลของการปฏิบัตินั้นย่อมรู้ย่อมเห็น...เป็นมาเองโดยอัตโนมัติ...
ที่สำคัญเราต้องมีศรัทธา..มาก่อน....มีศรัทธาในพระรัตนตรัย คือ..
..........๑ ศรัทธาในพระพุทธเจ้าจริง
..........๒ ศรัทธาในพระธรรมจริง
..........๓ ศรัทธาในพระสงฆ์จริง
ถ้ายังไม่ศรัทธาจริง มันก็ยังไม่สามารถที่ ชะล้าง ขจัด ตัวปัญหา หรือความทุกข์ได้ ไม่กล้าหาญ ไม่พ้นกลัว ยังไม่กล้าเพิกถอนอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้

ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...การเข้าใจความจริงคือศึกษาความจริงของพระธรรมคำสอนให้เข้าใจจริง...
...เข้าใจอย่างไร...คือให้เข้าใจมั่นคงว่า...แม้ขณะนี้ที่เห็นตัวเรา คน วัตถุ สิ่งของ...
...เป็นความไม่รู้ความจริง...เป็นการเห็นผิดจากธรรมเพราะเห็นว่าเป็นสุขขัง เป็นนิจจัง เป็นอัตตา...


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 ก.ค. 2010, 10:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...การเข้าใจความจริงคือศึกษาความจริงของพระธรรมคำสอนให้เข้าใจจริง...
...เข้าใจอย่างไร...คือให้เข้าใจมั่นคงว่า...แม้ขณะนี้ที่เห็นตัวเรา คน วัตถุ สิ่งของ...
...เป็นความไม่รู้ความจริง...เป็นการเห็นผิดจากธรรมเพราะเห็นว่าเป็นสุขขัง เป็นนิจจัง เป็นอัตตา...
...เช่นเห็นสิ่งของแล้วชอบใจอยากได้ เห็นดาราสวย-หล่อแล้วกรี๊ดกร๊าด...รู้ไว้เถอะว่าขณะนั้น....
...เป็นกิเลสปิดบังความจริง...ทำให้มืดหลงปล่อยความคิดให้เพลิดเพลินทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
...เพราะความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วมาแสดงความจริงให้ได้รู้...
...ว่าธรรมคือธรรมชาติของทุกๆสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่สัตว์ สิ่งของ บุคคลที่คิดปรุงแต่ง...
:b48:
...เป็นแต่สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิด-ดับทุกขณะที่เห็นสืบต่ออย่างรวดเร็วกว่าสายตาปุถุชนจะเห็นได้ทัน...
...เมื่อใดที่คิดจะให้คือขณะจิตที่เป็นกุศลก็เกิดแค่ขณะที่ให้ขณะเดียว...ที่เหลือก็เพลิดเพลินทำสิ่งอื่น...
...คือเพลิดเพลินทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้รู้ว่าที่เพลินน่ะกิเลสหัวเราะเราทั้งวัน...
...เพราะความจริงก็คือมองเห็นปุ๊บก็คิดเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ทันที เพราะจิตจำทำหน้าที่เร็วกว่าธรรม...
...เพราะจำไว้แล้วว่ามีสมมติบัญญัติชื่อให้จดจำไว้แล้วมากมาย...ตามการสะสมของแต่ละดวงจิต...
...เอาความจริงง่ายๆว่าผู้ใหญ่ได้ยินเสียงช้างก็รู้ว่าช้างถึงจะยังไม่เห็นตัวช้างเพราะจำลักษณะช้างแม่น...
...เทียบกับเด็กที่เกิดใหม่...ได้ยินเสียงช้างเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงช้าง...เพราะยังไม่บันทึกการจำนั้น...
:b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 ก.ค. 2010, 11:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...การได้รู้ความจริงประเสริฐกว่าความรู้ใดๆที่ได้รู้มาทุกแขนงทุกวิชาในโลกนี้...
...พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ...
...สิ่งต่างๆที่เกิดผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร...
...เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย มีแต่ความว่างเปล่า แล้วเกิดเห็นสืบต่อ...
...เห็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ...เกิดได้ทีละอย่างเดียว...
...ทุกอย่างเกิดไม่พร้อมกันคือเห็นรูป ได้กลิ่น ได้ยินเสียง รู้สึกเย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง...
...เกิดเห็นหมดไปแล้วจนไม่เหลือการเห็นนั้นแล้วที่เรียกว่าเป็นอนิจจัง แล้วเกิดได้ยินต่อ...
...ซึ่งการได้ยินดับหมดแล้วจึงเกิดขณะจิตต่อไปได้...ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นพร้อมกันได้เลย...
...และที่ดับไปแล้วนี่หรือที่จะเอามายึดเป็นตัวเรา อย่างเห็นก็หมดไป จึงเกิดได้ยินได้ เป็นต้น...
...เพราะยึดสิ่งที่เกิดดับตลอดเวลาที่ไม่มีตัวตนนั้นที่เป็นแต่สภาพธรรมะแต่ละอย่างที่เกิด...
...ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็สภาพธรรมนั้นเกิดแล้วหมดแล้วไม่เหลืออะไรเลยและ...
...เป็นปัจจัยให้ขณะจิตต่อไปเกิดสืบต่อจนแทบไม่มีช่องว่างของการเกิด-ดับนั้นๆเลย...
...เพราะยึดถือสิ่งที่เกิดดับตลอดเวลาที่เป็นธรรมะว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงทุกข์...
...ก็ความจริงของธรรมที่อธิบายมาแล้วแต่ต้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา...
:b23:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเข้าใจของข้าพเจ้าคืออย่างนี้...
...ที่เห็นเป็นคนผ่านทางตาตัวเราคือการฉายภาพยนตร์ที่มีตัวละครต่างๆทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับเรา...
...คือฉายภาพให้ตัวเองดูการแสดงของสิ่งต่างๆที่พะรพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นสภาพธรรมให้ตนเองดู...
...โดยมีจิตตนเองเป็นนักแสดงที่รับรู้อารมณ์ของตัวแสดงต่างๆทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ...
...ก็จิตดวงนี้เองที่สร้างหนังให้ตนเองดูทุกวันตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับพักความคิดไปเท่านั้น...
...สำหรับคนที่หลับไม่สนิทคือฝันต่างกันไป...ก็คือไม่ได้พักความคิดแม้ขณะหลับก็คิดภาพได้ด้วย...
...พระองค์แสดงว่า...จิตแต่ละดวงอยู่ในโลกของความคิด...คิดคนเดียวด้วย...ตั้งแต่เกิดจนตาย...
...จิตท่องเที่ยวเพียงดวงเดียว...โดยมีองค์ประกอบของจิตแต่ละดวงที่มาท่องเที่ยวดวงเดียวเช่นกัน...
...คือจิตแต่ละดวงท่องเที่ยวดวงเดียวตั้งแต่เกิดจนตายทางตา ทางหู ทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ...
...แล้วก็จิตดวงนี้เองที่ท่องเที่ยวนี้ทำงาน 2 อย่างคือคิดดีกับคิดไม่ดี...ไม่มีคน สัตว์มารับการคิดนั้น...
...เช่นคิดโกรธคนที่ด่าเรา...คือจิตดวงนี้เองคิดไม่ดี...เกิดจิตดวงนี้โกรธแล้วดับแล้วเป็นสภาพธรรม...
...ที่ดับไปแล้วนั้น...เป็นกรรมไม่ดีที่จิตดวงนั้นกระทำและต้องไปรับผลของกรรมนั้นเอง...จะโกรธอีกไหม...
:b22:
:b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 ก.ค. 2010, 13:44, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ความละเอียดของพระธรรมแสดงถึงความละเอียดของจิตพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...
...ที่ทรงแสดงถึงขันธ์ห้าที่ประกอบด้วยธาตุสี่ดินน้ำลมไฟรวมตัวกันแล้วมีจิตเข้ามาครองขันธ์...
...ทำให้เกิดอุปาทานในขันธ์...เกิดเป็นรูปหนึ่ง...นามสี่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ...
...ยังแยกละเอียดถึงองค์ประกอบของธาตุสี่ในรูปคือกายนี้ว่ามีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น...
...รวมแล้วเป็น ๓๒ อาการที่แต่ละอย่างต่างอันต่างทำหน้าที่เช่นตาเห็น หูได้ยิน ลิ้นรับรส...
...สลับหน้าที่กันทำไม่ได้...เสมือนการเกิดอาการต่างๆทางร่างกายนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน...
...แต่ความจริงคือที่เห็นว่าเกิดพร้อมกันนั้นเป็นแต่ความคิดที่ปรุงแต่งต่ออย่างแนบเนียนหลอกจิต...
...ปกปิดความจริงของการเกิด-ดับที่เกิดได้เพียงลักษณะเดียว...ไม่มีการเกิดขึ้นพร้อมกันได้เลย...
:b16:
...ทรงแสดงว่าเกิดเห็นรูปทางตาดับไปไม่หลงเหลือการเห็นทางตาอีกเลยจึงเกิดการเห็นรูปอื่นๆได้...
...รูปที่เห็นได้แก่ รูปของบุคคล วัตถุ รูปของเสียง รูปของกลิ่น รูปของรส รูปของสัมผัส แต่ละอย่าง...
...มีรูปเพราะความคิดจำที่ปรุงแต่งของจิตแต่ละดวงที่ปรุงแต่งให้ชอบไม่ชอบแตกต่างกันออกไป...
...สภาพของใจที่เป็นประธานคือจิตล้วนๆไม่รู้อะไรเลย...แต่มีเจตสิกต่างๆเกิดขึ้นประกอบมากมาย...
...เพราะการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องไม่ใช่การท่องจำเหมือนวิชาการอื่นๆ...แต่ต้องเป็นผู้ละเอียด...
...ในการคิดไตร่ตรองให้เกิดความเห็นตรงต่อสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงเพื่อประโยชน์ในการละกิเลส...
...ใช้ชีวิตในปัจจุบันขณะให้ทุกข์น้อยลง...คือเมื่อจิตรู้ว่าไม่มีคน สัตว์มารับความโกรธ ดีใจ เสียใจ...
...จิตจึงละความเห็นผิด...ลดการติดข้องว่าเป็นสัตว์เลี่ยงของเรา เขาด่าเรา ก็จะละโลภะ โทสะ โมหะ...
...และประโยชน์ที่สำคัญคือได้สะสมปัญญาคือวิชชาเพื่อดับอวิชชาความไม่รู้ทุกขณะที่จิตนั้นเห็นตรง...
:b20:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...การทำความเห็นให้ตรงเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุสิบ...
...เพราะเห็นตรงตามความจริงที่ทรงแสดงจึงสามารถละได้...
...การบรรลุธรรมไม่ใช่สิ่งที่ง่าย...ต้องอาศัยการสะสมยาวนาน...
...พระพุทธเจ้าสมณโคดมก่อนได้รับพยากรณ์เมื่อ 4 อสงไขยนั้น...
...ได้สะสมและเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ...
...บำเพ็ญบารมีก่อนได้รับพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าถึง 16 อสงไขยเชียวแหละ...
...และได้พบพระพุทธเจ้ามามากกว่าห้าแสนพระองค์...ลองคิดถึงตัวเองว่าจะเข้าใจธรรมอย่างไร...
:b14:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=26751
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 ก.ค. 2010, 17:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
...การบรรลุธรรมไม่ใช่สิ่งที่ง่าย...ต้องอาศัยการสะสมยาวนาน...
...พระพุทธเจ้าสมณโคดมก่อนได้รับพยากรณ์เมื่อสี่อสงไขยนั้น...
...ได้สะสมและเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ...


กว่าจะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้าใช้เวลาสะสมยาวนานเป็นอสไขยๆๆๆๆ แล้วอย่างพวกเรานี้ คงไม่มีทางแน่

แบบนี้

ที่ว่า บรรลุธรรมๆ พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมอะไรขอรับ ถึงใช้เวลาสะสมยาวนานขนาดนั้นๆ :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอนนับดวงดาว บนท้องฟ้า
ยังดีกว่า ไปลอกบทความ เพ้อเจ้อ ของสำนักนี้ มาให้อ่าน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ด้วยความจำต่างกับความจริงของพระธรรมที่ทรงมีพระเมตตาแสดงแก่เทวดาและมนุษย์แล้วนั้น...
...ความเป็นอนัตตาคือความจริง จริงจริง เที่ยงตรง แม่นยำ เกิด-ดับไม่เหลืออะไรที่ย้อนกลับมาได้เลย

คือแสดงความจริงไม่ใช่ความจำ...

เมื่อใดที่มองด้วยตายังเห็นตัวเราในกระจกแล้วเพลิดเพลินว่าสวย หล่อ เลิศ...
...ก็คือกิเลสความไม่รู้ความจริงของธรรมะที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า...
...ธรรมะ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

การเข้าใจความจริงคือศึกษาความจริงของพระธรรมคำสอนให้เข้าใจจริง...
...เข้าใจอย่างไร...คือให้เข้าใจมั่นคงว่า...แม้ขณะนี้ที่เห็นตัวเรา คน วัตถุ สิ่งของ...
...เป็นความไม่รู้ความจริง...เป็นการเห็นผิดจากธรรมเพราะเห็นว่าเป็นสุขขัง เป็นนิจจัง เป็นอัตตา...

เพราะความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วมาแสดงความจริงให้ได้รู้...
...ว่าธรรมคือธรรมชาติของทุกๆสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่สัตว์ สิ่งของ บุคคลที่คิดปรุงแต่ง...
...เป็นแต่สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิด-ดับทุกขณะที่เห็นสืบต่ออย่างรวดเร็วกว่าสายตาปุถุชนจะเห็นได้ทัน.

...เพราะยึดถือสิ่งที่เกิดดับตลอดเวลาที่เป็นธรรมะว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงทุกข์...
...ก็ความจริงของธรรมที่อธิบายมาแล้วแต่ต้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา...

ความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเข้าใจของข้าพเจ้า :b29:

ความละเอียดของพระธรรมแสดงถึงความละเอียดของจิตพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...
...ที่ทรงแสดงถึงขันธ์ห้าที่ประกอบด้วยธาตุสี่ดินน้ำลมไฟรวมตัวกันแล้วมีจิตเข้ามาครองขันธ์... :b31:

ลองคิดถึงตัวเองว่าจะเข้าใจธรรมอย่างไร...


อ่านแล้ว ได้อะไรบ้าง .....
คิดเองเออเอง ว่าพระพุทธองค์ ตรัสสอนอย่างนี้ เอาความคิดตนเองยัดใส่ พระโอษฐ์ ของพระพุทธองค์
บาปนะท่าน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
กว่าจะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้าใช้เวลาสะสมยาวนานเป็นอสไขยๆๆๆๆ แล้วอย่างพวกเรานี้ คงไม่มีทางแน่แบบนี้

ที่ว่า บรรลุธรรมๆ พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมอะไรขอรับ ถึงใช้เวลาสะสมยาวนานขนาดนั้นๆ

:b8:
...เอาความจริง ณ บัดนาว...เดี๋ยวนี้เองว่า...ท่านกรัชกายเห็นการเกิด-ดับหรือเห็นมือตัวเองจิ้มดีด...
...ถ้ายังเห็นเป็นตัวเรา เป็นสิ่งของ เป็นโทรศัพท์ ก็คือเห็นไม่ตรงตามพระธรรมที่ทรงแสดงว่าอนัตตา...
...ก็ขณะที่เห็นของพระโสดาบันเห็นปุ๊บคือไม่ใช่ความคิดจำเป็นสภาพรู้ธรรมชาติของการเกิด-ดับทันที...
...ก็การศึกษาพระธรรมคือการพิจารณาโดยละเอียดจนสะสมเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นของจิตแต่ละดวง...
...แล้วการสะสมความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นนั้นเรียกว่าปัญญาดับความไม่รู้ขณะนั้นๆที่กำลังเข้าใจ...
...แต่เมื่อเผลอก็ลืมแล้วว่าเป็นสภาพธรรมเพราะยังเห็นความจริงที่ผิดคือเห็นคน สัตว์ สิ่งของ...
...เพราะมนุษย์มีความสามารถที่เลิศกว่าดิรัจฉานคือไม่ได้เกิดมาเพื่อกิน นอน ขับถ่าย สืบพันธุ์เท่านั้น...
...ด้วยรู้จักคิดใคร่ครวญไตร่ตรองตามเหตุผลจนกว่าเป็นความเข้าใจที่เห็นตรงตามสภาพธรรมนั้นเอง...
...ไม่ใช่เพื่อจดจำว่าพระธรรม๘๔๐๐๐มีอะไรบ้าง...ใครคุยกับใครเท่านั้น....ต้องรู้ขณะนี้ที่กำลังเข้าใจเพิ่มขึ้น...
:b17:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 ก.ค. 2010, 17:15, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b8:
...ขอบคุณคุณเช่นนั้นที่ร่วมแสดงความคิดเห็น...
...เพราะพระธรรมเป็นความละเอียดของจิตแต่ละดวงที่ทำความเข้าใจ...
...ต้องเป็นความเข้าใจว่าธรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่สภาพท่องจำได้...
...ก็ที่อธิบายแล้วว่าเกิดดับทุกขณะจิตและเกิดทีละอย่างไม่พร้อมกันเป็นความจริง...
...ที่จิตของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อจิตที่มีปัญญาสะสมมาพร้อมแล้ว...
...พอแสดงปุ๊บก็บรรลุธรรมแต่ละขั้นตามภูมิจิตภูมิธรรมที่จิตดวงเหล่านั้นที่ฟังแล้วได้บรรลุถึง...
...เพราะไม่ได้ทรงแสดงความเชื่อโดยที่ไม่ใช่ความจริง...ผู้ที่ไม่บรรลุคือจิตยังไม่รวดเร็วพอนั่นเอง...
:b1:
...ข้าพเจ้าได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอรหันต์คือหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน...
...จากความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นที่กล่าวมาข้างต้นนั้นแล้ว...จึงได้รู้และเข้าใจจริงๆว่า...
...พระอรหันต์ทรงแสดงความจริงตามสภาพที่เกิด-ดับของธรรมตามคำสอนจริงๆ...
...มีตอนหนึ่งที่หลวงตาแสดงว่าความรวดเร็วของจิตพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น...
...ถ้าเปรียบเทียบความจริงบนโลกมนุษย์ให้รู้ก็คือ...พระอรหันต์นั้งอยู่บนเครื่องบินที่บินเร็ว...
...และเห็นรถยนต์กำลังเคลื่อนที่ไปช้าๆ ผู้อยู่ในรถยนต์ก็คิดว่าเร็วแล้ว...
...แต่แท้จริงก็คือเครื่องบินเร็วกว่ารถยนต์...ฉันใดความรวดเร็วของการเห็นการเกิด-ดับก็คือกัน...
...เพราะจิตพระอรหันต์เร็วกว่าปุถุชนฉันนั้น...การรู้สภาพธรรมจึงต้องได้บรรลุธรรมทางเดียว...
:b20:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 ก.ค. 2010, 17:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร