วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 02:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2010, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

สิ่งภายนอกเป็นกิเลส แม้ผ้าผ่อนท่อนสะใบ ก็เป็นกิเลส แก้มันสะเลยแบบนั้น กิเลสจะได้ไม่เกาะตัว

พอได้ไหมขอรับ หรือมีวิธีอื่นที่เข้มข้นกว่านี้ :b10: :b14:

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=118.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




girl_med2.jpg
girl_med2.jpg [ 23.9 KiB | เปิดดู 3122 ครั้ง ]
2 คห.ก่อนหน้า ไม่ใช่พูดเล่นหรือพูดติดตลกนะขอรับ เป็นความรู้เข้าใจพุทธศาสนาทีเดียว

จะทำยังไงกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจดีขอรับ :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 14 ก.ค. 2010, 08:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b32:
...จะเป็นชีเปลือย...หรือว่าจะเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาที่รู้จักความพอดี...
...ก็ลองเลือกดู...ถ้าเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้ละกิเลสคือให้รู้จักพอใจในสิ่งที่มี...
...คือการรู้จักประหยัด...ก็จะรู้ว่าเหตุใดพระองค์เป็นถึงกษัตริย์ที่พรั่งพร้อมทุกอย่าง...
...ทั้รูปสมบัติความเป็นพระพุทธเจ้าหนึ่งเดียวในโลกที่เรียกว่ามหาปุริสลักษณะ 32 ประการ...
...และอนุพยัญชนะ 80 ประการที่เป็นลักษณะปลีกย่อยในพระวรกายที่เป็นเอกบุรุษ...
:b20:
...เมื่อตรัสรู้ความจริงเป็นผู้สิ้นกิเลส...ให้บังสกุลจีวรครองผ้าเพียง 3 ผืน/1ชุด...
...แล้วยังให้มีการสวดบทพิจารณาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เสนาสะนะไม่ใช่หรือท่านกรัชกาย...
...ไม่ได้สอนว่าแก้ผ้านิ...พิจารณาดูว่าทำถูกกาลเทศะไหม...ถ้าจะปล่อยร่างกายเปลือยเปล่า...
...เพราะธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ต้องมีเครื่องนุ่งห่มป้องกันร้อนหนาว มีที่อยูเพื่ออาศัยหลบแดดฝน...
...และป้องกันสัตว์ร้ายมาทำอันตรายหากไม่มีที่กำบัง...สัตว์อยู่ในป่าก็มีขนสัตว์ให้อบอุ่น...
...เวลาเจ็บป่วยสัตว์ที่อยู่ในป่าก็ไม่ได้กินยารักษาอะไร...มีป่าเป็นที่อยู่อาศัยไม่เหมือนคน...
:b12:
:b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
tongue
:b13:
...การสะสมการเพลิดเพลินทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไปในชีวิตประจำวันและเห็นคน สัตว์ สิ่งของ...

...ดูหนังดูละคร พอใจในการฟังเสียงเพลงที่ให้ความบันเทิงต่างๆนานา ล้วนแต่เป็นอกุศลกรรม...

...ที่เป็นการส่งเสริมกิเลสให้เพิ่มขึ้นและทำให้ติดข้องทุกขณะจิตที่ไม่เข้าใจว่าเป็นสภาพธรรม...

...หากคิดได้เมื่อใดว่า...ขณะเห็นนั้นคือกิเลส...เกิดเห็นแล้วเป็นปัจจัยที่ต้องทำให้ติดข้องต้องไปเกิด

อีก...


การสะสมการเพลิดเพลินทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไปในชีวิตประจำวันและเห็นคน สัตว์ สิ่งของ...

หากคิดได้เมื่อใดว่า...ขณะเห็นนั้นคือกิเลส...เกิดเห็นแล้วเป็นปัจจัยที่ต้องทำให้ติดข้องต้องไปเกิด

อีก...[/


จะทำยังไงกับตา หู จมูก เป็นต้นขอรับ :b10:

เอาไม้ทิ่มลูกตาสะให้บอด เพื่อจะไม่ต้องเห็นอะไรคนสัตว์ สิ่งของ... กิเลสจะไม่เข้าทางตา

เอาน้ำกรอกหูสะให้หูหนวก เพื่อจะไม่ได้ยินเสียง...กิเลสจะไม่เข้าทางหู

เอาสำลีอุดจมูกเพื่อจะให้ไม่ได้กลิ่น...เพื่อกิเลสจะไม่เข้าทางจมูก ฯลฯ

ทำแบบนี้ถูกไหมครับ หรือมีวิธีอื่นที่เข้มกว่านี้ขอรับ


ฟังความเห็นประเด็นตา หู จมูก ฯลฯ หน่อยขอรับ จะทำไงดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
จะทำยังไงกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจดีขอรับ

:b12:
...ก็บอกแล้วทางเดียวเท่านั้น...คือการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม...
...ที่เรียกว่าสติปัฏฐานสี่...เพราะเมื่อใดก็ตามมองผ่านตาแล้วไม่เห็นสภาพเกิด-ดับจริงๆ...
...ก็คือยังละมิจฉาทิฐิยังไม่ได้เพราะยังเห็นไม่ตรงความจริงที่ธรรมะเป็นอนัตตา...
...การฝึกละความเห็นผิดคือการพิจารณาสภาพเห็นให้เป็นสภาพธรรมฝ่ายกุศลหรืออกกุศลเท่านั้น...
...ถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็เป็นอกุศลเพราะป็นมือเรา เป็นนาฬิกา ข้าวของเครื่องใช้ เพราะยังไม่บรรลุธรรม...
:b1:
...คุณเช่นนั้น...1.สรุปว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาทุกข์เท่ากันเพราะเห็นเป็นมิจฉาทิฐิไม่ใช่สัมมาทิฐิ...
...ที่มีภาระเยอะมีสามี ลูกหลาน ญาติพี่น้อง วงศาคณาญาติ ก็สร้างบ่วงทุกข์ให้ตนเองดิ้นไม่หลุด...
...ก็เกิดมาแล้วตอนเกิดก็ไม่รู้ตัว-ตอนนอนหลับสนิทก็ไม่รู้ตัว-ตอนใกล้ตายก็ไม่มีสติรู้ตัว...
...พอร่างกายอันเดิมหมดสภาพตายลง...ก็ไม่เหลือความเป็นคนเก่าอีกเลยเพราะจิตสุดท้ายดับแล้ว...
...แต่ก็เกิดจิตใหม่เรียกว่าปฏิสนธิจิตทันที...จากความคิดที่เกิด-ดับที่สะสมในจิตไว้แล้วนั้นสืบต่อ...
:b16:
...ถึงจะยังไม่บรรลุธรรมก็จะรู้ได้ทันทีว่าต้องได้เกิดอีก...แต่เมื่อมีความเข้าใจธรรมที่เป็นสภาพที่ตรัสรู้จริงๆนั้น...
...เพราะเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ตัวเรา ตัวเขา ไม่ได้ทำความเข้าใจว่าเป็นธรรม ก็คือดับการเกิดไม่ได้...
...คือเห็นเป็นกิเลสก็คือทำบาปที่ทำให้มีเชื้อให้ได้ไปเกิดแล้วเกิดอีก...ก็ทั้งวันที่เห็นทำให้ติดข้อง...
...ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็จะไม่รู้วิธีการที่จะหยุดความเกิดได้เลย...จึงต้องท่องเที่ยวเกิด-ตายไปเรื่อยๆ...
:b6:
...นอกจากคนเราทุกข์เท่ากันไม่ว่าจะเป็นคนโสด คนมีครอบครัว จะจน จะรวย ก็เห็นเป็นมิจฉาทิฐิเหมือนกัน...
...แล้ว2.ทุกข์มีในโลกกับ3.ทุกข์ที่ไม่มีในโลกล่ะมีจริงไหม...ก็มีโมหะความหลงผิดเป็นเบื้องหน้าแล้วนิ...
...แม้ขณะเห็นเดี๋ยวนี้ก็ลืมแล้วว่าเป็นสภาพธรรมเท่านั้นคือกรรมที่จัดสรรมาให้เห็นคน สัตว สิ่งต่างๆ...
...ที่เห็นน่ะเป็นแต่ความคิดที่คิดเองเออเองอยู่คนเดียวตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับสนิทพักความคิด...
...ถ้าหลับแล้วฝัน...ก็คือความจำที่เอาไปคิดต่อ...ไม่เห็นด้วยตาแต่ก็คิดเห็นภาพไว้หมดแล้วเพราะจำ...
:b20:
...ลองพิจารณาสิ...ก็แต่ละคนสร้างภาระต่างๆให้ตัวเองติดข้องต้องการด้วยโลภะ โทสะ โมหะ...
...เกิดการสะสมโมหะไปเรื่อย...ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็ไม่มีใครที่จะรู้ความจริงนี้ได้เลย...
...ตอบข้อ2ก็ทุกข์มีในโลกเพราะฉากละครที่สร้างให้ตัวเองรับสภาพกรรมผูกพันตนเองให้ใส่ใจมาก...
...ยึดถือมาก...พอสามีตาย ภรรยาตาย ลูกตาย หมาตายก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความไม่รู้(อวิชชา)...
...เกิด-ดับไปแล้วก็ไม่รู้...แล้วบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ด้วย...ทุกข์จึงมีในโลก...ไม่มีใครบังคับบัญชาได้...
...ตอบข้อ3แล้วทุกข์ที่ไม่มีในโลกล่ะ...ก็อะไรๆของสิ่งต่างๆที่เกิดบนโลกนี้ล้วนแต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้น...
...แผ่นดินไหวมีคนตายตั้งมากมาย...ทำไมถึงไม่ทุกข์เสียใจร้องไห้ล่ะ...ก็เพราะไม่สนใจไม่ใส่ใจ...
...ก็ถ้าไม่ศึกษาคำสอนให้เข้าใจความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่ามีเหตุอย่างไรที่จะรู้เพิ่มเพื่อละโมหะ...
...ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแต่ไม่ศึกษาคำสอนให้เข้าใจเพิ่มขึ้น...หวังไม่ให้เกิดก็เป็นไปไม่ได้เลย...
...และสิ่งที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นก็คือคนเราเกิดมาทำไม...ถ้าเข้าใจว่าตายแล้วเกิดก็เกิดมาเพื่อศึกษาพระธรรม...
:b27:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 15 ก.ค. 2010, 17:23, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
การสะสมการเพลิดเพลินทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไปในชีวิตประจำวันและเห็นคน สัตว์ สิ่งของ...

จะทำยังไงกับตา หู จมูก เป็นต้นขอรับ

เอาไม้ทิ่มลูกตาสะให้บอด เพื่อจะไม่ต้องเห็นอะไรคนสัตว์ สิ่งของ... กิเลสจะไม่เข้าทางตา

เอาน้ำกรอกหูสะให้หูหนวก เพื่อจะไม่ได้ยินเสียง...กิเลสจะไม่เข้าทางหู

เอาสำลีอุดจมูกเพื่อจะให้ไม่ได้กลิ่น...เพื่อกิเลสจะไม่เข้าทางจมูก ฯลฯ

ทำแบบนี้ถูกไหมครับ หรือมีวิธีอื่นที่เข้มกว่านี้ขอรับ

:b6:
...ท่านกรัชกายเขียนง่าย...คิดง่าย...แต่คิดดูดีๆว่าตัวเองกล้าทำร้ายตัวเองรึเปล่า...
...ก็ถ้าไม่รักตัวเอง...แล้วสัตว์ประหลาดที่ไหนจะมารัก...เพราะต้องเห็นแก่ตัวก็ได้บ้างอ่ะนะ...
...ที่เป็นเห็นแก่ตัวเองที่ได้อัตภาพมนุษย์...เกิดมาพบพระพุทธศาสนาและกำลังเริ่มเข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น...
:b9: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 14 ก.ค. 2010, 10:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดี คุณRosarin
วิสัชนา ลักษณะนี้ จึงมีลักษณะของผู้ศึกษาธรรม

การแสดงความเห็นของท่าน อาจจะไม่รู้ว่า ท่านมีความเห็นอย่างหนึ่งไม่เที่ยง อย่างหนึ่งเที่ยง
เพราะท่านยังไม่ได้มีความเห็น หยั่งลงไปในอริยะสัจจธรรม

ท่านเพียงมีความเห็นตามอาจารย์ที่ท่าน ได้ฟัง ได้อ่าน คร่าวๆ
จึงเห็นว่า ไม่มีสัตว์บุคคลล อะไรเลย สรรพชีวิต มีเกิดดับ มีแต่จิตที่ท่องเที่ยวไปและเป็นที่สั่งสมกรรมเป็นไปตามกรรม เพราะท่านรู้ตามไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าเป็นสัจจะที่ประเสริฐ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย

ดังนั้นวิสัชนาที่ท่านแสดงมา จึงแสดงด้วยความเป็นมนุษย์
เมื่อ ท่านไม่เห็นสัตว์ บุคคล ท่านจะแสดงด้วยความเป็นมนุษย์ ได้อย่างไร?

ถ้าท่านเชื่อตาม มีเพียงจิต เกิดดับ กรรมจะสั่งสมในจิตดับได้อย่างไร?

ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอน เพื่อความพ้นทุกข์ ย่อมไม่ประกาศด้วยถ้อยคำที่ขัดแย้งกันอย่างนั้น.

เมื่อไม่เห็นสัตว์ บุคคล ก็ต้องไม่เห็นจิต ด้วย
เมื่อไม่เห็นจิตด้วย จิตก็ไม่ใช่ที่สั่งสมของกรรมเช่นกัน

"ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น
และตรัสความดับไปของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงมีวาทะเช่นนี้"

ท่านจงพิจารณาให้มากซึ่งอริยสัจจ์4
ไตรลักษณ์ ไม่ได้ตอบคำถามท่านได้ทุกอย่าง ท่านมนสิการธรรมใดๆ สภาพธรรมใดๆ อันเป็นปัจจุบัน
ไตรลักษณ์ ไม่ได้แสดงเหตุเกิดของธรรมนั้น ไม่ได้แสดงเหตุดับของธรรมนั้น

เพราะท่านไม่ได้หยั่งปัญญาของท่านลงสู่อริยสัจจธรรม ความรู้ท่านจึงหยุดนิ่งและเลื่อนลอยไปกับ จิต ไหลไปกับ สังขตธาตุ

คุณRosarin มีอยู่แต่ไม่มีโดยสัตว์ บุคคล จิตก็มีอยู่แต่ไม่มีโดย ความเป็นจิต
พระองค์ประกาศทุกขอริยสัจจ์ ไม่ใช่เพียงเพื่อเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่เพื่อประกาศความวิปัลลาส และ วัฏฏะ

พระองค์ประกาศ สมุทัยสัจจ์ มิใช่เพื่อ ให้เห็นเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด แต่เพื่อประกาศเหตุแห่งวัฏฏะ และ ปัจจัยของความไม่รู้

พระองค์ ประกาศ นิโรธ มิใช่ เพื่อ ความดับชั่วคราว ดับๆ ติดๆ แต่ทรงประกาศนิโรธ เพื่อความดับแห่งวัฏฏะ

พระองค์ทรงประกาศ อริยมรรค เพื่อประโยชน์ให้เราทั้งหลายไม่ต้องคิดทางอื่นใด เพื่อความดับแห่งวัฏฏะ แต่ให้เดินตาม รู้ตามเพื่อความสวัสดี

สิ่งที่ท่านได้ยินได้ฟังมา เป็นสิ่งมีประโยชน์ แต่ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอน .....

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 13:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
เมื่อ ท่านไม่เห็นสัตว์ บุคคล ท่านจะแสดงด้วยความเป็นมนุษย์ ได้อย่างไร?

ถ้าท่านเชื่อตาม มีเพียงจิต เกิดดับ กรรมจะสั่งสมในจิตดับได้อย่างไร?

ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอน เพื่อความพ้นทุกข์ ย่อมไม่ประกาศด้วยถ้อยคำที่ขัดแย้งกันอย่างนั้น.

เมื่อไม่เห็นสัตว์ บุคคล ก็ต้องไม่เห็นจิต ด้วย
เมื่อไม่เห็นจิตด้วย จิตก็ไม่ใช่ที่สั่งสมของกรรมเช่นกัน

:b12:
...ที่ข้าพเจ้าเขียนอธิบายเพียงสรุปให้พอเข้าใจได้เท่านั้นว่าสภาพตามจริงที่พระพุทธเจ้าพบคืออะไร...
...แต่ข้าพเจ้าไม่ได้สรุปเลยว่าที่มีชีวิตของคน สัตว์ สิ่งของไม่มีจริงในโลกมนุษย์...เช่นนั้นก็เข้าใจตื้นไป...
...เพราะพระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นสภาพจริงบนโลกมนุษย์ที่เกิดขึ้นจริงๆ...สอนสิ่งที่มีอยู่จริง...
...แต่นั่นน่ะเรียกว่าสภาพธรรม...ที่เป็นธรรมทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล...ซึ่งก็เป็นสภาพจริงจริงๆ...
...ไม่ได้บอกว่าเมื่อไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งของ ก็ไม่มีจิต...พระพุทธเจ้ากำลังบอกว่าจิตไม่เคยตาย...
...เพราะจิตเป็นนักท่องเที่ยวสูงๆต่ำๆ ไปสวมร่างสัตว์นรกบ้าง ไปสวมร่างเทวดาอินพรหมบ้าง...
...เพราะทุกอย่างเกิดจากจิตปรุงแต่งให้มีคน สัตว์ วัตถุ ตามสภาพภพภูมิมนุษย์ที่รู้สภาพเดียวกัน...
...ธรรมะต้องไตร่ตรองและคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดไม่ใช่ตีความว่าสิ่งที่ยังอธิบายไม่หมด...ไม่จริง...
:b11:
:b43: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่ข้าพเจ้าเขียนอธิบายเพียงสรุปให้พอเข้าใจได้เท่านั้นว่าสภาพตามจริงที่พระพุทธเจ้าพบคืออะไร...
พระพุทธเจ้ากำลังบอกว่าจิตไม่เคยตาย...
...เพราะจิตเป็นนักท่องเที่ยวสูงๆต่ำๆ ไปสวมร่างสัตว์นรกบ้าง ไปสวมร่างเทวดาอินพรหมบ้าง...


:b5: :b5:

เหนื่อยไปอีกหลายกัปป์ ...
เป็นสิ่งที่ท่านเข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์กล่าว....

ท่านคงต้องตอบอีกแล้วว่า กรรมสั่งสมที่จิตดับ อย่างไร?

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b13:
...ทุกอย่างมีจริงแต่เป็นสภาพธรรมะ...ที่เกิดดับนับไม่ถ้วนเป็นสภาพจริงที่จิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง...
...การสะสมการคิดดี/ไม่ดีนั่นแหละที่กลายเป็นกุศลกับอกุศลสะสมเป็นกรรมและส่งวิบากรรมให้เกิดสืบต่อ...
...ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเช่นนั้นยังเห็นว่าเป็นมือตัวเองจิ้มดีดแล้วก็ลืมว่าเป็นอกุศลธรรม...
...ก็อกุศลธรรมทั้งหลายที่ทุกคนเห็นว่าเป็นคน สัตว์ สิ่งของ มันเป็นอัตตา...
...ตรงข้ามกับธรรมเป็นอนัตตาโดยสิ้นเชิง...สิ่งที่ทำได้คือเริ่มเข้าใจขึ้น...
...ไม่ใช่ไปสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม กราบพระพุทธรูปเพราะเข้าใจว่าเป็นพระพุทธเจ้า...
...ไม่ได้ระลึกถึงพระปัญญธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ที่หาประมาณมิได้...
...โดยหารู้ความจริงไม่ว่าสิ่งที่พระองค์แสดงเลิศแบบกลับหน้ามือเป็นหลังมือ...คนแรกในโลก...
...ทุกครั้งที่มีการเกิดของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...ก็เกิดเพียงพระองค์เดียวในยุคนั้น...
...คุณเช่นนั้นคิดไว้หรือยังว่าจะเห็นเป็นมือตัวเองที่นั่งจิ้มดีดหน้าคอมฯไปอีกกี่ชาติดี...
:b22:
:b17: :b17:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 14 ก.ค. 2010, 14:37, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ แห่งทุกข์อริยสัจจ์ และทุกข์ ในไตรลักษณ์ ทุกข์ใดทุกข์มากกว่ากัน

กรรมสั่งสมที่จิตดับ อย่างไร?

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b14:
...ภวังค์จิตเกิดเพื่อดำรงสภาพภพชาติ...
...เป็นสภาพที่จิตไม่รับรู้อะไรเลย...
...เกิดเวลาใดบ้าง...จิตเมื่อแรกปฏิสนธิ...จิตขณะหลับสนิท...
...จิตขณะสุดท้ายก่อนตายเพื่อดับภพชาติที่เป็นจุติจิต...
...เวลาไปเกิดเป็นปฏิสนธิจิตมาจากจุติจิตของชาติก่อน...
...เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้ตัวว่าจิตวาระสุดท้ายเป็นกุศลหรืออกุศล...
...จิตเป็นสภาพไม่รู้ก็จะเกิดมีสภาพรู้เกิดตามคือเจตสิก...
...เพราะพระพุทธเจ้าแจกแจงธรรมอย่างละเอียดย่อยจนไม่มีตัวตนก็มีจิ เจ รุ นิ...
:b3:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 15 ก.ค. 2010, 17:28, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
ทุกข์ แห่งทุกข์อริยสัจจ์ และทุกข์ ในไตรลักษณ์ ทุกข์ใดทุกข์มากกว่ากัน

กรรมสั่งสมที่จิตดับ อย่างไร?

:b5:
...ตอบตามความคิดเข้าใจของจิตดวงนี้เองอ่ะนะ ถูก ผิด โปรดพิจารณาไตร่ตรองให้ละเอียดด้วย...
...ทุกข์ของปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ที่ทำให้ติดข้องต้องเกิดต่อไป...
...สำหรับทุกข์อริยสัจจ์...เป็นสภาพทุกข์ที่ลดความติดข้องเพื่อให้ถึงที่สุดของโลกคือการบรรลุธรรม...
...และทุกข์ในไตรลักษณ์...สภาพธรรมที่มีอวิชาครอบงำเกิดทุกขัง...สุขๆ ทุกข์ๆ ก็คือคุกขังคนบนโลก...
...ถ้าให้สรุปว่าอันไหนทุกข์กว่ากัน...มันก็ทุกข์เท่ากันขึ้นกับว่าปัญญาแก้ให้หลุดมีพอไหมเพราะต้องสะสม...
...เพราะบรรลุธรรมขั้นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีล้วนแต่ยังทุกข์เพราะต้องไปเกิดอีก...
...มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกที่ดับทุกข์หมดและไม่ต้องมาเกิดอีก...นิพพานทางเดียว...
...ปัญญาเจตสิกเท่านั้นที่สะสมเป็นวิชชาเพื่อใช้ในการดับอวิชชา...ความไม่รู้หมดทันทีขณะที่เข้าใจขึ้น...
:b23:
:b39: :b39:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 14 ก.ค. 2010, 15:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
กรรมสั่งสมที่จิตดับ อย่างไร?

:b12:
...ดับด้วยวิชชา...ทุกขณะที่เห็นสิ่งที่ปรากฎแล้ว...ความเข้าใจธรรมเท่านั้น...
:b20:
....ทำความเข้าใจจิตว่าขณะนี้กำลังเห็นรูป...ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ...
...จิตที่เป็นประธานไม่มีสภาพรู้ที่เห็นทางตาเพียงเห็นสีที่แตกต่างกัน...เห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของเพราะคิด...
...ทางหูเพียงได้ยินเสียงสูงๆต่ำเป็นต้น...จิตต้องฝืนการเพลิดเพลิน...ทำยากแต่ต้องฝึก...
...เพราะมีเจตสิกรู้เกิดขึ้นมากมายร่วมกับจิต ใจจึงนึกคิดต่อเกิดมโนภาพฉายให้เห็นการคิดนั้น...
...แล้วก็คิดอยู่คนเดียว...คิดสองอย่าง...คือคิดดีกับคิดไม่ดี...ที่เป็นกรรมสืบต่อ...
:b10:
...สร้างเรื่องราวต่างๆทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับตนเองไว้มากมาย...วุ่นวายกับการคิด...
...อยู่ในโลกของความคิดคนเดียวด้วย...ทั้งกลางวันกลางคืน...ยืน เดิน นั่ง นอน...
...หยุดคิดและไม่เหลือสภาพของคนๆนั้นในความคิดเมื่อหลับสนิทคือไม่รู้อะไรเลย...
...แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นเป็นแอร์ นาฬิกา ทีวี ตู้เย็น ภาพดาราที่ชอบใจบนฝาผนัง...
...ทุกอย่างที่เห็นเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นจริงๆและปรากฎให้เห็นได้จริงๆและปรากฎทีละอย่าง...
...ต่างอันต่างเกิด...ไม่มีอะไรเกิดพร้อมกัน...เห็นเป็นเห็น...ได้ยินเป็นได้ยิน...ไม่ปนกันเลย...
...ทุกสภาพที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...แต่เป็นสภาพธรรมที่จิตแต่ละดวงคิดว่ามันรวมเป็นกลุ่ม...
...พระพุทธเจ้าจึงเมตตาแสดงพระธรรมที่เป็นความจริงว่ากลุ่มที่แยกย่อยอย่างละเอียดไม่มีอะไรเลย...
:b22:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 14 ก.ค. 2010, 15:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้ถามว่า "กรรมสั่งสมที่จิต ดับอย่างไร"
แต่ถามว่า "กรรมสั่งสมที่จิตดับ อย่างไร"

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร