วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 03:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


gingglebell เขียน:
บ้านเราเปิดกิจการร้านอาหารค่ะประเภทเนื้อย่าง การค้าขายเนื้อสัตว์นั้นเป็นอาชีพต้องห้าม 5 อย่างของพระพุทธเจ้าที่ไม่ควรทำด้วยใช่ไหมค่ะ เราอยากจะทำบุญใส่บาตรให้กับวิญญาณของสัตว์เหล่านั้น เราควรจะพูดอย่างไรค่ะเวลาที่เรากรวดน้ำรึว่าเวลาที่เราทำบุญให้กับเค้า


สวัสดีครับ คุณ ginglebell
ทางบ้านเปิดกิจการ ร้านอาหาร เป็นอาชีพสุจริต แต่ไม่ใช่อาชีพบริสุทธิ์ มีวัตถุ คือเนื้อเป็นสินค้า ก็ไม่เป็นไรครับ

เช่นนั้น ก็อนุโมทนาครับ ที่ยังรู้ว่า เป็นอาชีพที่ยังเศร้าหมองอยู่

เมื่อคุณรู้อยู่ ว่าเป็นสิ่งเศร้าหมอง แต่เพราะว่ายังต้องอยู่ในโลกียโลก ก็ประกอบอาชีพสุจริตได้ก็ประกอบต่อไปเถอะครับ ตราบใดที่ยังแสวงหาอาชีพอื่นไม่ได้ แต่วิบากต่างๆ ก็ยังต้องยอมรับนะครับ ว่าหนีไม่พ้นเช่นกัน

คุณทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศล และแผ่เมตตา ให้พวกเค้าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คุณทำได้ ก็มีบทสวดมนต์อุทิศส่วนกุศล ตอนทำวัตรเช้า ตอนทำวัตรเย็น ก็ตั้งใจขอให้เป็นจริงดังที่อุทิศ หาซื้อได้ตามร้านขายหนังสือทั่วๆ ไปครับ....

ทำใจให้สบาย... ไม่ต้องกังวลมาก...ทำกุศลให้มากขึ้นในสิ่งที่คุณเลือกได้ โดยไม่ก่อความเดือดร้อนใจในภายหลัง... ก็ยังดีกว่าที่ไม่ทำอะไรเลย จริงไม๊ครับ!!

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ถ้ากรรมที่ต้องชดใช้มีจริง ผมว่ามันแก้ไม่ได้หรอกครับ
กับการที่จะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ มันแลกกันได้หรือครับ


เห็นด้วยเลยครับ ว่ามันเป็นการ "ปลอบใจตนเอง"
เพื่อทุเลาความรู้สึกผิดบาปของตน

ความเชื่อเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ในลักษณะที่ว่า
ถ้าเราได้เคยทำละเมิดต่อเขา ต่อมาสำนึกผิด
ก็ได้ส่งเครื่องกำนัลบรรณาการให้เขา เพื่อเป็นการชดเชย หรือยอมความ
ด้วยหวังว่าจะให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นได้ผ่อนผันโทษทัณฑ์ หรือถึงขั้นยกเลิกโทษให้

ผมคิดว่าความเชื่อทำนองนี้ เป็นเรื่องที่ "น่าเป็นห่วง"
เป็นมะเร็งของศาสนาพุทธ ที่ทำให้ผู้คนพากันประมาทในอกุศล
แล้วก็ค่อยหาอามิสบูชาต่างๆมาไหว้มาทานไปให้ในภายหลัง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเออ-ออ-ไปเองเสียด้วยซ้ำไปว่า
ทำอันนี้ให้เขา แล้วเขาจะพอใจ
เอาอันโน้นส่งไปให้แล้วเขาจะยกโทษ
พูดเอง เออเอง หลอกตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบก้ยังไม่วายที่จะหลอกตัวเองว่าเขาพอใจแล้ว
ก้ไม่ทราบว่ารู้ได้อย่างไร ว่าเจ้ากรรมนายเวรได้ยอมรับยอมความแล้ว

ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมีจริง
แล้วเราล่ะ เป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร ใครเป็นหนี้เราอยู่
นึกยังไงก็นึกไม่ออก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จันทร์ ณ ฟ้า เขียน:
อ้างคำพูด:
คนที่กินเนื้อสัตว์ แล้วฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารสำหรับตนเอง
ผมว่ายังบาปน้อยกว่า คนที่ขายอาหารที่มาจากสัตว์เสียอีก
ลองดูนะครับอีกคนทำเพื่อการอยู่รอดของชีวิต
อีกคนทำเพื่อผลประโยชน์ เพื่อการเพิ่มพูนของทรัพย์สิน


ยังไม่ใช่ผู้รู้ แต่เท่าที่ศึกษาคำสอนของผู้รู้นั้นทราบว่า
ข้อมูลกรรมที่บันทึกในจิตของคนที่ลงมือฆ่าสัตว์นั้นเอง
กับคนที่ไม่ได้ฆ่า ความรุนแรงหนักแน่นต่างกันมากค่ะ

ความเห็นที่จะเพิ่มเติมคงมีเพียงเท่านี้
:b8:

มูลกรรมที่บันทึก ความรุนแรงเขาไม่ได้ดูจากการกระทำครับ
เขาดูจาก จิตที่ไปบงการสั่งงานให้กายกระทำครับ
และดูว่าจิตไปยึดติดกับการกระทำนั้นเพียงไร

เรามาดูครับว่า จิตของสองคน คนหนึ่งทำไปเพราะโลภะ
คือต้องการเกินความจำเป็นของรรมชาติ

ส่วนอีกคนทำไปเพราะ ความต้องการเพื่อให้กายคงสภาพและปลดเปลื้องความหิว
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สัตว์โลกย่อมเป็นเหมือนกันทุกคน มันเป็นธรรมชาติ

แล้วลองคิดดูนะครับ การกระทำที่ผิดจากธรรมชาติกับการกระทำที่เกิดจากธรรมชาติ
จิตของใครจะไปยึดมั่นถือมั่นให้เกิดภพมากกว่ากันครับ

ความหมายของศีลคือการเป็นอยู่อย่างปกติสุขนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 20:44
โพสต์: 341

ที่อยู่: ภาคตระวันออก

 ข้อมูลส่วนตัว




6-1.jpg
6-1.jpg [ 41.35 KiB | เปิดดู 2738 ครั้ง ]
เรียนท่านสมาชิกอาชีพที่ท่านประกอบสัมาอาชีพนั้นก็ทราบกันอยู่ว่าประกอบสัมมาชีพเพื่อเลี้ยงชีพ
เลี่ยงครอบครัวเพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้ในโลกของมนุษย์ครับหากท่านกัลญาณมิตรไม่ค่อยสบายใจในการเลี้ยงชีพข้าพเจ้าขออนุญาตชี้ทางออกง่ายครับ....เพียงเดือนหนึ่งๆท่านทำบุญอุทิศกุศลให้กับสัตว์ทั้งหลายที่ท่านเอาเขามาจำหน่ายแค่นี้ผมก็หวังว่า..หรือหากท่านมีเวลาเจริญจิตภาวนาแล้วอุทิศกุศลให้แก่
สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกๆชีวิต....ท่านก็จะมีความสุขทั้งทางดลกและทางธรรมครับ...บุญคือความสุข..
:b8: :b8: :b8: :b8:

:b8: :b8: เทพบุตร :b8: :b8:

.....................................................
การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ท้งปวง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2010, 04:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ถ้ากรรมที่ต้องชดใช้มีจริง ผมว่ามันแก้ไม่ได้หรอกครับ
กับการที่จะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ มันแลกกันได้หรือครับ


เห็นด้วยเลยครับ ว่ามันเป็นการ "ปลอบใจตนเอง"
เพื่อทุเลาความรู้สึกผิดบาปของตน

ความเชื่อเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ในลักษณะที่ว่า
ถ้าเราได้เคยทำละเมิดต่อเขา ต่อมาสำนึกผิด
ก็ได้ส่งเครื่องกำนัลบรรณาการให้เขา เพื่อเป็นการชดเชย หรือยอมความ
ด้วยหวังว่าจะให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นได้ผ่อนผันโทษทัณฑ์ หรือถึงขั้นยกเลิกโทษให้

ใช่ครับ มันก็เหมือนกรณีจขกทครับ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า บาป บุญ มันเกิด
เพราะจิตของเราไปยึดในสิ่งที่ได้กระทำลงไป เพื่อยึดเอาไว้มากๆก็เกิดความกลัว
ที่นี้ก็เริ่มหาทางให้ตัวเองรอดพ้น จากสิ่งที่คิดว่าจะได้รับ ทีนี้เริ่มหาหนทางที่จะให้
ไม่ต้องรับกรรมนั้น โดยเข้าใจผิดๆว่า ทำบุญให้แล้วก็จะได้หายกันไป
มันน่าเศร้าใจแทนบรรดาสัตว์เหล่านั้นมั้ยล่ะครับ
สิ่งที่ทำนี้มันเป็นกรรมอกุศลซ้ำซ้อน เปรียบในทางโลกก็คือการติดสินบน
หรือประเภท เอาเงินฟาดหัวมันไปให้เรื่องมันจบๆ อยากให้เรื่องจบ แต่ตัวเอง
ไม่จบ กลับยังไปกระทำกรรมใหม่ในลักษณะเดิม แบบนี้เรียกต่างกรรมต่างวาระครับ

เรื่องบุญ บาป กรรมดี กรรมไม่ดี ทางศาสนาพุทธเข้าแยกออกจากกันครับ
เรื่องที่จะมา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลนั้น ท่านมีหลักให้ว่า การทำบุญก็เพื่อให้จิตใจ
รู้จักเสียสละและปล่อยวางทรัพย์สินเงินทอง และสิ่งสำคัญต้องไม่หวังผลตอบแทน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2010, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ถ้ากรรมที่ต้องชดใช้มีจริง ผมว่ามันแก้ไม่ได้หรอกครับ
กับการที่จะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ มันแลกกันได้หรือครับ


ผมคิดว่าความเชื่อทำนองนี้ เป็นเรื่องที่ "น่าเป็นห่วง"
เป็นมะเร็งของศาสนาพุทธ ที่ทำให้ผู้คนพากันประมาทในอกุศล
แล้วก็ค่อยหาอามิสบูชาต่างๆมาไหว้มาทานไปให้ในภายหลัง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเออ-ออ-ไปเองเสียด้วยซ้ำไปว่า
ทำอันนี้ให้เขา แล้วเขาจะพอใจ
เอาอันโน้นส่งไปให้แล้วเขาจะยกโทษ
พูดเอง เออเอง หลอกตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบก้ยังไม่วายที่จะหลอกตัวเองว่าเขาพอใจแล้ว
ก้ไม่ทราบว่ารู้ได้อย่างไร ว่าเจ้ากรรมนายเวรได้ยอมรับยอมความแล้ว

ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมีจริง
แล้วเราล่ะ เป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร ใครเป็นหนี้เราอยู่
นึกยังไงก็นึกไม่ออก

ผมพูดได้คำเดียวว่าตกเป็นเหยื่อครับ มันไม่มีอะไรมากหรอกครับ
มันก็แค่กิจกรรมของกลุ่มอกุศลที่เห็นอกุศลเป็นกุศล โมหะเต็มรูปแบบ
สิ่งนี้มันแสดงให้เห็นว่า ยังไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนา เล่นเอานิสัยทางโลก
มาปนกับทางธรรมให้ยุ่งไปหมด

และยิ่งยุ่งไปกว่านั้นคือ ผู้ที่เอาผ้าขาวมาห่ม แล้วอวดอุตริมาสอนธรรมโดย
เอาเรื่องแก้กรรมมาเป็นตัวชูโรง ผมว่ามันจะไปกันใหญ่แล้ว ยึดวัดเป็นสำนัก
แก้กรรม แทนที่พุทธศาสนิกชน จะเข้าวัดเพื่อทำบุญและฟังคำสั่งสอนของพระภิกษุ
แต่ดันกลับไปหาบุคคลอื่นที่ไม่ใช่พระ เพื่อแก้กรรม

ผมว่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ในทัศนคติผม มันก็ตัวเรานั้นแหล่ะ
เป็นเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง จิตเราตัวเรา ทำดีทำชั่ว กุศล อกุศล
จิตเราเป็นผู้สั่งและผู้รับครับ ถ้าจะแก้กรรมต้องแก้ที่ตัวเราครับ

มันก็เหมือนตอนที่ องคุลีมาลวิ่งไล่ตามพระพุทธเจ้า แล้วตะโกนให้หยุด
พระพุทธเจ้าตรัสตอบไปว่าเราหยุดแล้วเจ้าสิ ยังไม่หยุด
ประโยคนี้ขออธิบายสั้นๆให้จขกทฟังหน่อยนะครับ
ความหมายก็ไม่มีอะไรมาก แค่เลิกสร้างกรรมที่เป็นอกุศลใหม่
อย่าเอาใจไปยึดติดกับกรรมเก่าที่ได้สร้างมา มันเป็นอดีตไปแล้ว
เน้นครับกรรมแก้ไม่ได้ แต่เราหยุดมันได้และเลือกที่จะไม่เอาหรือรับมันได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2010, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


gingglebell เขียน:
บ้านเราเปิดกิจการร้านอาหารค่ะประเภทเนื้อย่าง การค้าขายเนื้อสัตว์นั้นเป็นอาชีพต้องห้าม 5 อย่างของพระพุทธเจ้าที่ไม่ควรทำด้วยใช่ไหมค่ะ เราอยากจะทำบุญใส่บาตรให้กับวิญญาณของสัตว์เหล่านั้น เราควรจะพูดอย่างไรค่ะเวลาที่เรากรวดน้ำรึว่าเวลาที่เราทำบุญให้กับเค้า

การทำลายชีวิตผู้อื่นนั้น เป็นการตัดโอกาส ตัดประโยชน์ที่สัตว์เหล่านั้นควรจะได้จะมีไปเสีย
การทำบุญช่วยชีวิตหรือปล่อยชีวิตสัตว์ที่เราเคยทำลายมา เช่น : ปลา ไก่ วัว และ ฯลฯ น่าจะดี
ถึงจะทดแทนกันไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำ หมั่นทำบ่อยๆ มากบ้างน้อยบ้างตามโอกาส

อาจจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น อาจช่วยให้สบายใจขึ้น :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย นิดหนึ่ง เมื่อ 18 ก.ค. 2010, 08:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2010, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 23:07
โพสต์: 21

แนวปฏิบัติ: เจริญสติภาวนา
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: การประกอบอาชีพทีจำเป็น จะทำให้ต้องผิดศิล ถ้ารู้ว่าผิดก็ทำบุญให้และอโหสิกรรมไป
ไม่ต้องคิดมากจนทำให้จิตใจต้องเศร้าหมองครับ มีเวลาก็รักษาศิลปฎิบัตืธรรมบ้างมีตั้งหลายวิธี
มากเลยครับ ผมว่าน่าจะช่วยให้การดำเนินชีวิตได้อย่างปกติดีขึ้นครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร