วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 20:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 20:04
โพสต์: 25

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ คืออะไรครับ เห็นมีอยู่หลายกระทู้ ขอท่านผู้รู้ให้ความกระจ่างครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




Resize of aa032.jpg
Resize of aa032.jpg [ 89.82 KiB | เปิดดู 9678 ครั้ง ]
tongue
ผู้รู้ = จิต = นาม = ปัญญา

ผู้ถูกรู้ = รูป

ถ้าผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ หรือ นาม กับ รูป ยังแยกออกจากกันไม่ได้ ก็จะเป็นลักษณะจิตของปุถุชน คนธรรมดา

ถ้าผู้รูกับ ผู้ถูกรู้ หรือ นาม กับ รูป แยกออกจากกันได้ วิปัสสนาภาวนา จึงจะเกิดขึ้นและเจริญงอกงามต่อไป จนถึงที่สุด คือ มรรค ผล นิพพาน

ทำอย่างไร ถึงจะแยก ผู้รู้ ออกจาก สิ่งที่ถูกรู้ หรือ แยก รูป กับ นาม ออกจากกัน นี่คือประเด็นสำคัญ

รูป นาม จะแยกออกจากกันได้ เมื่อสติมีกำลัง สมาธิเกิดจนได้ที่ คือจิตตั้งมั่นควรแก่งาน

ที่ขณิกะสมาธิ = จิตตั้งมั่นเป็นพักๆ ครั้งละ นาที 2นาที หรือนานกว่านั้นอีกสักนิด รูป - นาม ก็จะแยกจากกัน เป็นพักๆ ปัญญาสามารถสังเกต พิจารณาสภาวธรรม ทั้งรูปและนามได้เป็นพักๆ

ที่อุปจาระสมาธิ = จิตตั้งมั่นได้ค่อนข้างนาน เป็นสิบนาทีขึ้นไปถึงนับเป็นชั่วโมง รูป - นาม จะแยกออกจากกันได้นานปัญญาสามารถสังเกต พิจารณาสภาวธรรม ทั้งรูปและนามได้ครั้งละนานๆ จนเห็นรอบของสภาวธรรมหรืออารมณ์แต่ละอารมณ์ได้ครบวงจร ผู้ปฏิบัติจะเกิดปัญญาวิปัสสนาครบองค์ คือเห็น เข้าใจ และซาบซึ้งใจ ในความเป็น อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา

ที่สุดจะเกิดความเห็นถูกต้อง ละวางความเห็นผิด จิตเบื่อหน่ายคลายจางวางและสลัดคืนความยึดถือในอัตตา ตัวตน จนสักกายทิฐิถูกทำลายไปหมดสิ้น เปลี่ยนโคตรจากปุถุชนเป็นอริยชน

:b27: :b27: :b27: :b8: :b8: :b8: :b20:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ดู ผู้ รู้
พระครูเกษมธรรมทัต (พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรํสี) :b8:
วัดมเหยงคณ์ จ. พระนครศรีอยุธยา

viewtopic.php?f=2&t=23330&st=0&sk=t&sd=a&start=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขาร... คือร่างกาย จิตใจ รูปธรรม นามธรรม ทั้งหมด ทั้งสิ้น
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ธรรมที่ถูกรู้...ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ธรรมที่เข้าไปรู้...ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

สติ...คือธรรมที่ระลึกรู้ทั้งผู้รู้ และผู้ถูกรู้ ระลึกรู้ว่าขณะนี้ทั้งผู้รู้และผู้ถูกรู้ กำลังอยู่ในสภาพยังไง.

ผู้รู้...ผมเข้าใจว่ามันคือตัวธรรมที่เรียกว่ามโนวิญญาณ หรือ วิญญาณขันธ์ นั่นเองครับ
ส่วนผู้ถูกรู้...ผมเข้าใจว่ามันคือตัวธรรมรมณ์ หรือสิ่งที่ทำให้ตัวผู้รู้เกิดมีขึ้นมาได้ นั่นเองครับ


ถ้าหากว่า ตัวผู้ถูกรู้ยังไม่เกิด ตัวผู้เข้าไปรู้ก็จะยังไม่เกิด
ตัวผู้เข้าไปรู้จะปรากฎขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อตัวผู้ถูกรู้ปรากฏมีขึ้น

ทั้งตัวผู้ถูกรู้และตัวผู้เข้าไปรู้ ล้วนสักแต่ว่าเป็นสังขารธรรมทั้งสิ้น
มีความไม่เที่ยง มีความแปรปรวน หาความจีรังยั่งยืนใดๆไม่ได้ทั้งนั้นครับ

ในกาลใด ทั้งตัวผู้ถูกรู้และตัวผู้เข้าไปรู้ ไม่ปรากฏ
ในกาลนั้น ผัสสะย่อมไม่มี
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี
เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี
เมื่อชาติไม่มี ชรา มรณะ โสกะปริเทวทุกข์โทมนัสอุปายาสะ ก็ย่อมไม่มี...


เมื่อเห็นความไม่เที่ยงของตัวผู้รู้และตัวผู้ถูกรู้ อยู่เนื่องๆ
ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความกำหนัด
เมื่อคลายความกำหนัด ย่อมสลัดคืน ละทิ้งปล่อยวางลง

ทุกข์ทั้งหลายอันมีสาเหตุมาจากตัวผู้รู้และตัวผู้ถูกรู้
จักถึงครารำงับดับลงไปโดยไม่เหลือ ก็ด้วยการไม่เข้าไปจับยึดถือมั่นว่า
ทั้งตัวผู้รู้และตัวผู้ถูกรู้นั้น เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา นั่นเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:
สังขาร... คือร่างกาย จิตใจ รูปธรรม นามธรรม ทั้งหมด ทั้งสิ้น
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ธรรมที่ถูกรู้...ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ธรรมที่เข้าไปรู้...ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

สติ...คือธรรมที่ระลึกรู้ทั้งผู้รู้ และผู้ถูกรู้ ระลึกรู้ว่าขณะนี้ทั้งผู้รู้และผู้ถูกรู้ กำลังอยู่ในสภาพยังไง.

ผู้รู้...ผมเข้าใจว่ามันคือตัวธรรมที่เรียกว่ามโนวิญญาณ หรือ วิญญาณขันธ์ นั่นเองครับ
ส่วนผู้ถูกรู้...ผมเข้าใจว่ามันคือตัวธรรมรมณ์ หรือสิ่งที่ทำให้ตัวผู้รู้เกิดมีขึ้นมาได้ นั่นเองครับ


ถ้าหากว่า ตัวผู้ถูกรู้ยังไม่เกิด ตัวผู้เข้าไปรู้ก็จะยังไม่เกิด
ตัวผู้เข้าไปรู้จะปรากฎขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อตัวผู้ถูกรู้ปรากฏมีขึ้น

ทั้งตัวผู้ถูกรู้และตัวผู้เข้าไปรู้ ล้วนสักแต่ว่าเป็นสังขารธรรมทั้งสิ้น
มีความไม่เที่ยง มีความแปรปรวน หาความจีรังยั่งยืนใดๆไม่ได้ทั้งนั้นครับ

ในกาลใด ทั้งตัวผู้ถูกรู้และตัวผู้เข้าไปรู้ ไม่ปรากฏ
ในกาลนั้น ผัสสะย่อมไม่มี
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี
เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี
เมื่อชาติไม่มี ชรา มรณะ โสกะปริเทวทุกข์โทมนัสอุปายาสะ ก็ย่อมไม่มี...


เมื่อเห็นความไม่เที่ยงของตัวผู้รู้และตัวผู้ถูกรู้ อยู่เนื่องๆ
ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความกำหนัด
เมื่อคลายความกำหนัด ย่อมสลัดคืน ละทิ้งปล่อยวางลง

ทุกข์ทั้งหลายอันมีสาเหตุมาจากตัวผู้รู้และตัวผู้ถูกรู้
จักถึงครารำงับดับลงไปโดยไม่เหลือ ก็ด้วยการไม่เข้าไปจับยึดถือมั่นว่า
ทั้งตัวผู้รู้และตัวผู้ถูกรู้นั้น เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา นั่นเองครับ


:b34:

แล้วผู้ซุกซ่อนคืออะไร...คะ :b12:

ธรรมที่ถูกรู้...ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ธรรมที่เข้าไปรู้...ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา


แค่นี้ก็เกินพอแล้วล่ะ...ท่าน...

ไม่เสียแรงที่ต้องเสียไป...จริง ๆ

เป็นไงท่าน สบายดี... :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 08 ส.ค. 2010, 14:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:06
โพสต์: 46

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:
ธรรมที่ถูกรู้...ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ธรรมที่เข้าไปรู้...ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

อ่านแล้ว มึนตึ๊บ ธรรมที่ถูกรู้ ธรรมที่เข้าไปรู้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นยังไง ขอรับท่าน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอ อนุโมทนาสาธุกับท่าน "กุหลาบสีชา"ที่ได้นำเอาธรรมบรรยาย ของท่านพระครู เกษมธรรมทัตหรือ อาจารย์ สุรศักดิ์ เขมรํสี
ดู ผู้ รู้ ได้ละเอียดและเข้าใจลึกซึ้งจริง
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


91One เขียน:
ผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ คืออะไรครับ เห็นมีอยู่หลายกระทู้ ขอท่านผู้รู้ให้ความกระจ่างครับ :b8:

โดยสำนวน อาจาริยวาท ในปัจจุบัน

จะเ็ป็นการแสดงธรรมโดย บุคคลธิษฐาน เอาว่า

ผู้รู้ คือสติ
ผู้ถูกรู้ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

ซึ่งไม่มีการแสดงหรือยืนยัน ว่า เป็นพุทธพจน์ เพราะเหตุว่า เป็นการแสดงธรรม ที่หากว่าพิจารณาไม่ดีจะนำไปสู่ สักกายทิฏฐิ ได้อย่างง่ายดาย

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะมีสิ่งที่ถูกรู้ จึงมีสิ่งที่เข้าไปรู้
หากไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่เข้าไปรู้ก็จักไม่มี

เพราะมีสิ่งที่เข้าไปรู้ จึงมีสิ่งที่ถูกรู้
หากสิ่งที่เข้าไปรู้ไม่มี สิ่งที่ถูกรู้ก็จักไม่มี

เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด


เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ


สิ่งใดมีการปรากฏเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา

ตัวผู้รู้ หรือวิชานาติ หรือวิญญาณ หรือมโน คือตัวเดียวกัน
เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยในการเกิด

วิญญาณ หรือมโน หรือตัวผู้รู้ อาศัยรูป อาศัยเวทนา อาศัยสัญญา อาศัยสังขาร
อย่างใดอย่างหนึ่งในการเกิด
วิญญาณ หรือมโน หรือตัวผู้รู้ จะไม่เวียนรู้ไปจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร อย่างใดอย่างหนึ่ง

ธรรมที่ถูกรู้...รูป เวทนา สัญญา สังขาร
ธรรมที่เข้าไปรู้...วิญญาณ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ...อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

วิญญาณหรือ มโน หรือตัวผู้รู้ ก็มีการเกิดดับ เป็นธรรมดา
เพราะวิญญาณดวงเก่าดับไป วิญญาณดวงใหม่จึงเกิดมีขึ้น...

สติและปัญญา ก็มีการเกิด-ดับเป็นธรรมดาเช่นกัน

ณ.ที่แห่งใด ไม่มีการปรากฏแห่งวิญญาณ
ณ.ที่แห่งนั้น การก้าวลงแห่งนามรูปย่อมไม่มี

ณ.ที่แห่งใด นามรูปไม่มีปรากฏ
ณ.ที่แห่งนั้น การเจริญแห่งสังขารย่อมไม่มี

ณ.ที่แห่งใด สังขารไม่มีปรากฏ
ณ.ที่แห่งนั้น การเกิดขึ้นแห่งภพย่อมไม่มี

ณ.ที่แห่งใด ภพไม่มีการปรากฏเกิดขึ้น
ณ.ที่แห่งนั้น ชาติ ชรา มรณะ ความโศกธุลีต่างๆทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 10 ส.ค. 2010, 07:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 12:27
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


91One เขียน:
ผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ คืออะไรครับ เห็นมีอยู่หลายกระทู้ ขอท่านผู้รู้ให้ความกระจ่างครับ :b8:

จันทร์เจ้าขาว่า (ว่าเองนะค่ะ)

ผู้รู้ คือ จิต จิตเป็นผู้รู้ เป็นธาตุรู้ ผู้คิดนึก ผู้ปรุงแต่ง
ผู้ถูกรู้ คือ ธรรมทั้งหลายทั้งมวล ทั้งโลกียธรรมและโลกุตรธรรม

สั้นๆ นะ ว่ายาวไม่ได้เดี๋ยวผิด อิอิ :b32: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:
เพราะมีสิ่งที่ถูกรู้ จึงมีสิ่งที่เข้าไปรู้
หากไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่เข้าไปรู้ก็จักไม่มี

เพราะมีสิ่งที่เข้าไปรู้ จึงมีสิ่งที่ถูกรู้
หากสิ่งที่เข้าไปรู้ไม่มี สิ่งที่ถูกรู้ก็จักไม่มี

เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด


เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ


สิ่งใดมีการปรากฏเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา

....

ณ.ที่แห่งใด ไม่มีการปรากฏแห่งวิญญาณ
ณ.ที่แห่งนั้น การก้าวลงแห่งนามรูปย่อมไม่มี

ณ.ที่แห่งใด นามรูปไม่มีปรากฏ
ณ.ที่แห่งนั้น การเจริญแห่งสังขารย่อมไม่มี

ณ.ที่แห่งใด สังขารไม่มีปรากฏ
ณ.ที่แห่งนั้น การเกิดขึ้นแห่งภพย่อมไม่มี

ณ.ที่แห่งใด ภพไม่มีการปรากฏเกิดขึ้น
ณ.ที่แห่งนั้น ชาติ ชรา มรณะ ความโศกธุลีต่างๆทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ


ณ. ที่แห่งใด ????? เล่า :b12:

ถามจริง ๆ ...
เพราะ คำสนทนาเช่นนี้ ได้ยิน ได้ฟังมามาก
แต่ผู้นำมากล่าว มักจำต่อ ๆ กันมากล่าว
จึงเป็นแต่ภาษากรวง ๆ :b8:

แต่เราเห็นท่าน ไม่เป็นเช่นนั้น...

อืมมม...
ท่านเห็นว่าอย่างไร
ณ ที่แห่งใด และ มันเกี่ยวเนื่องอะไรกับ
เหตุอันหาที่เริ่มต้น และที่สุดไม่ได้ รึเปล่า อย่างไร
เพราะ ณ วันหนึ่ง ปมนี้มันเข้ามาน่ะ
ท่านช่วยชี้แนะด้วย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผงธุลีดิน เขียน:
:b16:



ผง ผง เดี๋ยวเต่อะ

:b12:

ดูมาทำ....ยิ้ม...ลอยหน้าลอยตา...

:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 08 ส.ค. 2010, 20:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


91One เขียน:
ผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ คืออะไรครับ

คงต้องอ้างกลับไปที่ "กระบวนการรับรู้" กันก่อนครับ เพื่อที่จะแสดงตำแหน่งของ "ผู้รู้" และ "ผู้ถูกรู้" ได้ชัดเจนและเห็นภาพมากขึ้น

กระบวนการรับรู้ สรุปสั้นๆได้ดังนี้

สิ่งที่ถูกรู้ (อารมณ์/อายตนะภายนอก ๖) -> ผ่า่น -> ช่องทางรับรู้ (อายตนะภายใน ๖) -> ประกอบกับ -> ความรู้แจ้งในสิ่งที่ถูกรู้ (วิญญาณ ๖)

เมื่อครบทั้ง ๓ องค์ประกอบ จึงเรียกว่า เกิดการรับรู้ (ผัสสะ)
ถ้าไม่ครบองค์ ๓ กระบวนการรับรู้จะไม่เกิดขึ้น เช่น

ไม่มีเสียง (สัททารมณ์) แต่มีหู (โสตปสาทรูป) ก็จะไม่มีการรับรู้ได้ยิน (หรือรับรู้แต่ความเงียบ)
มีเสียง แต่ไม่มีหู ก็จะไม่มีการรับรู้ได้ยิน
มีเสียง มีหู แต่ไม่มีความใส่ใจจะรู้แจ้งในเสียงนั้น (โสตวิญญาณ) ก็จะไม่มีการรับรู้ได้ยิน

{ในด้านอภิธรรม จะแยกย่อยออกไปอีกถึงระดับความเข้มข้นของกระบวนการรับรู้นี้ เช่น ทางปัญจทวาร มีได้ ๔ คือตั้งแต่อติมหันตารมณ์ ซึ่งเกิดจิตในวิถี ๑๔ ดวง เรื่อยไปจนถึง อติปริตตารมณ์ คือ ไม่มีวิถีจิตเกิดขึ้นเลย ทางมโนทวาร มีได้ ๒ คือ วิภูตารมณ์ ซึ่งเกิดจิตในวิถี ๑๐ ดวง และอวิภูตารมณ์ ซึ่งเกิดจิตในวิถี ๘ ดวง ฯลฯ ซึ่งจะหาศึกษาได้จาก อภิธรรมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาคนะครับ}

ดังนั้น
"ผู้รู้" ในกระบวนการรับรู้ทางธรรมะคือ วิญญาณขันธ์ ซึ่งมีความหมายเดียวกับจิต แต่โดยมากใช้เรียกแทนจิตในด้านการรับรู้
"ผู้ถูกรู้" ในกระบวนการรับรู้ทางธรรมะคือ อารมณ์ต่างๆ (อายตนะภายนอก ๖) ที่เข้ามากระทบทางช่องทางการรับรู้ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖)

อย่างไรก็ตาม การแจกแจงเพื่อให้เข้าใจว่า อะไรเป็นผู้รู้ อะไรเป็นผู้ถูกรู้นั้น ถ้าจะให้ได้ประโยชน์ในทางปฏิบัติแล้ว ควรจะสาวต่อไปจากกระบวนการรับรู้ ซึ่งเป็นกระแสปกติตามธรรมชาติ จนถึงกระบวนการเสพเสวยโลก และกระบวนการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ (ปฏิจสมุปบาท) ด้วยครับ เพื่อให้เข้าใจเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) และรู้วิธีที่จะละเหตุแห่งทุกข์ด้วยครับ (สมุทัยให้ละ) จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

เจริญในธรรมครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 08 ส.ค. 2010, 23:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2010, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


....วิสุทธิปาละ....

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร