วันเวลาปัจจุบัน 24 ก.ค. 2025, 06:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยสัจจ์ แบบซื่อบื้อๆนะสิท่าน

อ่านๆมานึกว่าเป็นรู้ ที่พ้นความเกิด
ที่ไหนได้ขลุกๆมันอยู่ กับความว่าทั้งหลาย
จะรู้อะไร รู้ให้มันขาดๆหน่อยท่าน ไม่ใช่จำเอาความว่าทั้งหลาย
มาคิดเอง เออเอง มาแยกนู่นแยกนี่ แยกซะหลงไปหมด
แบบนี้ไม่ได้เรื่อง

ขอบคุณครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 20:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สงสัย..ท่านสุธีร์กำลังอยู่ในอรูปฌาณ..มั้ง..คุณวลัยพร

ฌาณอะไรน่า..ที่ดับสัญญาได้..คือได้ยินแต่ไม่รู้เรื่อง..(ไม่รู้ว่ามีในโลกนี้รึเปล่านะ.. :b32: :b32: )

อุแม่เจ้า..แรงนะครับคุณผงฯ :b32: :b32: อริยสัจจ์ แบบซื่อบื้อๆ..
ยอม..ๆ.. :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=159
จบนะครับ

ปล.
จิตไม่ออกไปรับรู้ขันธ์ 5 ก็เป็นหิน เป็นปูนซิครับ
จิตมันรับรู้แต่ปราศจากการยึดมั่นว่าขันธ์นั้นเป็นของกู หรือไม่ใช่ของกู ของใคร หรือไม่ใช่ของใคร
จึงไม่ไปติดกับการเกิดดับของที่ไม่เที่ยงต่างหากครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจว่าเป็นความปรารถนาดี ของท่านสุธี

นักปฏิบัติภาวนาส่วนใหญ่เมื่อปฏิบัติไปถึงช่วงหนึ่ง ก็จะเกิดอาการทางจิตแบบท่านสุธีนี้

ผมเองนั้นก็เคยเป็น
อยากหาคำภาวนาเอง อยากมีเอกลักษณ์แบบฉบับของตนเอง
ด้วยเข้าใจว่า แนวทางของตนเองที่ค้นพบนั้น ง่ายต่อการเข้าถึง
คำอธิบายกำจัดความหมายของธรรม ตามแบบของตนเองนั้น น่าจะง่ายต่อท่านอื่นๆที่จะได้เข้าถึง

เราจะเห็นว่า ลำพังแค่เพียงอานาปานสติ อย่างเดียว
ยังมีคำบริกรรมที่หลากหลาย มีการปฏิบัติที่ไม่ซ้ำแบบกันมากมาย
การเจริญสติปัฏฐานสี่ก็เช่นกัน มีการอธิบายหลายรูปแบบมากมาย
ทั้งที่อานาปานสติ สติปัฏฐาน๔ นั้น
พระพุทธเจ้า ทรงอธิบายไว้อย่างละเอียดครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

นิกายต่างๆเกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร
ทั้งๆที่ต่างก็ศึกษาเล่าเรียนจากพระไตรปิฏกเล่มเดียวกัน

หลวงพ่อนี้ บอกให้บริกรรมแบบนี้
หลวงตานั้น บอกให้ท่องแบบนี้
หลวงพ่อโน้น บอกว่าไม่ต้องบริกรรมอะไรทั้งสิ้น
ฯลฯ

เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะอะไร ???

เพราะไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าบอกนั้นเอง ใช่ไหม
ท่านบอกว่าคำของตถาคต อย่าเพิ่ม อย่าเติม อย่าดัดแปลง
คำของตถาคตล้วนเกี่ยวเนื่องด้วยสูญญตาเป็นส่วนใหญ่
หากใครจะกล่าวอ้างคำใดๆของตถาคต ที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยสูญญตา
ก็อย่าไปเงี่ยหูฟัง. :b45:

สัญโญชน์มีทั้งหมดสิบข้อ อย่าพึงประมาทในสังขารทั้งปวง
ตราบใดที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามพ้นธรณีประตูพระนิพพานไปได้
ก็อย่าพึงประมาทครับ
สักกายะทิฏฐิ ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่เป็นอัตตาตัวตน
ความเห็น สติ ปัญญา อุเบกขาใดๆ หรือแม้กระทั้งนิพพาน
อย่าพึงยึดมั่นถือมั่นว่า นั่นคือเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวเราของเรา :b45:


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 16 ก.ย. 2010, 13:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2010, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า...

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็น

พระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มี

ประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้วหลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดย

ชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจ ยังเสวยสุขแลทุกข์อยู่

เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอ

ยังตั้งอยู่นั่นเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ

ความสิ้นไปแห่งโมหะของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑


เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)


พระอรหันต์ ไม่มี โทมนัส อีกต่อไป จะเห็นว่าพระอรหันต์มิได้ดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
พระอรหันต์ ยังหิวข้าวอยู่
พระอรหันต์ ยังเจ็บอยู่เมื่อโดนหนามตำ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บวชเพื่อพ้นทุกข์ ข้าพเจ้าบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2552 ณพัทสีมาวัดอรัญญิกาวาส อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เมื่อเวลา 09.50 น. เหตุดลบันดาลใจที่ให้บวชเพราะความทุกข์บีบคั้นจิตใจและเห็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่น่ายินดีอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้ฉายาว่า ปะสันโน หลังจากบวชแล้ว ข้าพเจ้าได้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดกับข้อวัตรปฏิบัติต่างๆตามรอยครูบาอาจารย์โดยหวังเพื่อจะพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง และมีความปรารถนาจะต้องรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้าภายในชาตินี้ให้ได้ แม้ตัวตายก็ขอยอมเอาร่างกายชีวิตจิตใจเป็นเดิมพันไม่เสียดายอาลัยอาวรณ์กับสิ่งใดๆทั้งสิ้น ข้อปฏิบัติคือฉันอาหารมื้อเดียวเป็นวัตร ทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นเป็นวัตร เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเป็นวัตรบทบริกรรมภาวนาครั้งแรกข้าพเจ้าใช้คำภาวนาคือพุทโธ ตามรอยครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยพร่ำสอนมาแต่ใหนแต่ไรภาวนาเรื่อยไปทำให้จิตใจสงบบ้างไม่สงบบ้าง บางทีทำให้จิตใจฟุ้งซ่านจิตใจไปอยู่กับสิ่งภายนอกหมด บางครั้งก็ทำให้ข้าพเจ้าหงุดหงิดรำคราญใจกับตนเองคิดว่าทางนี้ไม่น่าเป็นผลเสียแล้ว น่าจะมีวิธีหรือทางอื่นที่จะทำให้จิตใจสงบเร็วกว่านี้และไวกว่านี้อย่างน้อยก็ตัดความฟุ้งซ่านภายในจิตใจก็ยังดี ข้าพเจ้าคิดไม่ออกไม่รู้จะหาทางออกให้กับตนเองอย่างไรดี จนกระทั่งมีวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักท่าน พระอาจารย์สุธีร์ คุณธีโร ท่านได้แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้วิธีการปฏิบัติจิตภาวนาทางสายใหม่ก็คือมหาสติปัฏฐานสี่นั่นเองที่ให้ผลเร็วกว่าและตรงกว่า โดยท่านบอกว่าต้องปฏิบัติจิตด้วยความจริงใจมีความพียรทุกอิริยาบทใช้สติปัญญากำหนดรู้จิตให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใดจะยืน,เดิน,นั่ง,นอน,เหลียวซ้ายแลขวา,การขบการฉัน,การถ่ายหนัก,ถ่ายเบา,ก็ให้มีสติระลึกรู้อยู่กับผู้รู้ก็คือจิตนี่เอง การปฏิบัติทางจิตได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ท่านพระอาจารย์สุธีร์ท่านได้แนะนำให้รู้จักผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ สิ่งถูกรู้คือสิ่งที่เกิด-ดับ แต่ท่านพระอาจารย์สุธีร์ ให้มีสติรู้อยู่กับผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ ข้าพเจ้าเจริญสติรู้อยู่กับผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับได้ประมาณสองอาทิตย์กว่าๆ คืนวันที่ข้าพเจ้าได้ความสว่างกระจ่างแจ้งประจักรแก่จิตใจก็มาถึงในคืนวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลาประมาณตีสองกว่าๆ มีความรู้สึกว่าตัวเองมีผู้รู้คอยเป็นภาระให้ต้องดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา รู้สึกอึดอัดรำคราญจิตใจ ทันใดนั้น ข้าพเจ้าไม่ลังเลใจที่จะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญเข้าทำการประหัตประหารกับตัวกิเลสอันมีอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ความยึดมั่นถือมั่นในตน โดยมีตัวมหาสติมหาปัญญาเข้าคลี่คลายสถานะการณ์ทะลุทะลวงอย่างเด็ดเดี่ยวอาจหาญเจาะเข้าไปที่อายตนะ๖และขันธ์๕ ได้ความว่า เหตุทุกอย่างเกิดขึ้นที่จิตดับลงที่จิต เท่านั้นยังไม่พอตัวมหาสติ,มหาปัญญาไม่ไว้วางใจเข้าทะลุทะลวงสติปัฏฐาน๔ คือกาย,เวทนา,จิต,ธรรม, อย่างอาจหาญแกล้วกล้าไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้นจนคลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่างจึงสงบ ฝ่ายกิเลสศิโรราบหั่นแหลกแตกกระจายหายซากไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิงอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ได้สูญสลายหายสิ้นไปจากจิตใจไม่มีเหลือเรียกว่า กิเลสดับไปจากจิตใจแบบไม่มีเชื้อเหลือ เพราะกิเลสไม่สามารถทนทานต่อธรรมมาวุธคืออาวุธอันทันสมัยได้แก่มหาสติ,มหาปัญญา, ซึ่งเป็นอาวุธที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้กับนักรบผู้กล้าตายในสมรภูมิรบ เพื่อรบกับข้าศึกคือกิเลสและหมู่มาร กิเลสทั้งหลายเมื่อถูกทำลายด้วยตปะธรรมคือธรรมของพระพุทธเจ้า การงานทางด้านจิตภาวนาเพื่อที่ถอดถอนกิเลสประเภทต่างๆได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เสร็จภารกิจของนักรบผู้กล้าที่ได้ชื่อได้นามว่า สากยะบุตรพุทธชิโนรสอย่างแท้จริง ไม่มีการเสกสรรปั้นแต่งแต่อย่างใดแต่เป็นความจริงล้วนๆ ผู้ที่สนใจต้องการปฏิบัติจิตให้ถึงความพ้นทุกข์สามารถปฏิบัติกันได้ด้วยกันทุกคน ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดๆทั้งสิ้นเพราะกิเลสมีอยู่ที่จิตที่ใจด้วยกันทุกคนการปฏิบัติก็ปฏิบัติที่จิตที่ใจนั่นเอง ขอให้มีความตั้งใจจริงกับธรรมของพระพุทธเจ้า และจะเห็นพุทธะที่แท้จริงซึ่งพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า โยธัมมัง ปัสสะติ โสมัง ปัสสะติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ได้ความสรุปว่าเหตุทุกอย่างกิดขึ้นที่จิตดับลงที่จิต จิตไปยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นเราเป็นของๆเรา ความเกิด,ความแก่,ความเจ็บ,ความตาย,เขาก็เป็นของเขามาแต่ไหนแต่ไร ทุกอย่างเข้าสู่สถานะการณ์ปรกติ กายก็สักแต่ว่ากาย,เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา,จิตก็สักแต่ว่าจิต,ธรรมก็สักแต่ว่าธรรม,ทุกอย่างเป็นอยู่แล้วตามปรกติไม่มีใครเป็นเจ้าของไม่ขัดไม่แย้งกัน ดังน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอนไม่ซึมซาบเข้าหากันฉันนั้น ไม่มีเราไม่มีเขา สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มีในจิตในใจอีกต่อไป ทุกอย่างได้ประจักรแจ้งแก่จิตแก่ใจข้าพเจ้าตอนนี้เอง อวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ได้สูญสลายหายซากไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิง จบแล้ว พอแล้ว เห็นความจริงชัดเจนแจ่มแจ้งกับจิตใจ พระพุทธเจ้าได้ปรากฏตรงนี้เองหมดความสงสัยเรื่องภพเรื่องชาติเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดโดยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน รู้สักแต่ว่ารู้ รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีที่มาและไม่มีที่ไป ได้ธรรมบทหนึ่งว่า สัพเพ สังขารา อะนิจจา สัพเพธัมมา อะนัตตา และได้รวมลงสู่ไตรลักษณ์คือ อะนิจจัง,ทุกขัง,อะนัตตา,และจิตก็ได้กลายมาเป็นจิตดวงใหม่ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะไม่มีอุปปาทานนั่นเอง ข้าพเจ้าไม่อาจกลั้นปิติไว้ในจิตในใจได้ มันได้ทะลักไหลล้นเป็นสายธารน้ำตาให้กับความโง่เหง่าเต่าตุ่นของตนเองและสัตว์โลกทั้งหลายที่พากันหลงเวียนเกิดเวียนตายหาที่สิ้นสุดยุติลงไม่ได้เกินที่จะพรรณนาอธิบายอย่างไม่อายต่อหน้าฟ้าดิน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียวที่จิตที่ใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง บุญคุณพระคุณของพระพุทธเจ้าเกินสุดที่จะพรรณนาเกินสุดที่จะเอื้อนเอ่ย พระคุณของบิดามารดาหาที่สุดจะเปรียบเปรยและยากที่จะทดแทนพระคุณได้และยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือได้ ทุกสิ่งทุกอย่างยืนยันด้วยจิตด้วยใจตนเองเป็น สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติจิตภาวนาจะพึงรู้เองเห็นเองอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ปัจจัตตัง รู้เฉพราะผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงเท่านั้น ส่วนผู้ที่ปฏิบัติจิตแบบปลอมๆก็เจอแต่ของปลอมที่กิเลสมันเสกสรรให้บรรลุธรรมก็บรรลุธรรมแบบปลอมๆ นิพพานก็นิพพานแบบปลอมๆ พ้นทุกข์ก็พ้นทุกข์แบบปลอมๆ แล้วก็พากันอวดอ้างว่าเป็นนิพพานของจริงเหมือนพวกมืดบอดด้วยปัญญาญาณเห็นกิเลสเป็นธรรม เห็นธรรมเป็นกิเลส เห็นตะกั่วเป็นทองคำทั้งแท่ง ส่วนผู้ที่ท่านแจ่มแจ้งรู้พระนิพพานด้วยใจแล้ว ท่านได้แต่สงสารและเวทนาแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มันต้องขึ้นอยู่กับสัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคนด้วย ขอขอบพระคุณท่านพระอาจารย์สุธีร์ คุณธีโร พระมหาบัณฑิตของข้าพเจ้าที่คอยชี้แนะแนวทางให้กับนักรบผู้กล้าตายในสมรภูมิรบกับข้าศึกคือกิเลสและหมู่มาร ได้ทำการประหัตประหารจอมกษัตริย์วัฏฏะจักร อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ได้สำเร็จลงได้เกินสุดที่จะบรรยาย พระคุณบุญคุณของครูบาอาจารย์ศิษย์ขอนอบน้อมด้วยจิตด้วยใจไว้หนือเกล้าด้วยชีวิตจิตใจ ที่ยากที่จะพรรณนาจนหาที่สุดไม่ได้ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ลาก่อนและลาขาดภพชาติภพภูมิ อันเป็นสถานที่เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย,ของสัตว์โลกผู้มืดบอดทั้งหลาย ขีณาชาติ ความเกิดได้สิ้นสุดยุติลงในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนี้นี่เอง อะกุปปา เม วิมุตติ ความหลุดพ้นนี้ไม่มีกำเริ่บอีกแล้วตลอดอนันตกาล อะกาลิโก พระทองดี ปะสันโน วัดอรัญญิกาวาส


แก้ไขล่าสุดโดย suthee เมื่อ 01 ต.ค. 2010, 21:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บวชเพื่อพ้นทุกข์ ข้าพเจ้าบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2552 ณพัทสีมาวัดอรัญญิกาวาส อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เมื่อเวลา 09.50 น. เหตุดลบันดาลใจที่ให้บวชเพราะความทุกข์บีบคั้นจิตใจและเห็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่น่ายินดีอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้ฉายาว่า ปะสันโน หลังจากบวชแล้ว ข้าพเจ้าได้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดกับข้อวัตรปฏิบัติต่างๆตามรอยครูบาอาจารย์โดยหวังเพื่อจะพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง และมีความปรารถนาจะต้องรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้าภายในชาตินี้ให้ได้ แม้ตัวตายก็ขอยอมเอาร่างกายชีวิตจิตใจเป็นเดิมพันไม่เสียดายอาลัยอาวรณ์กับสิ่งใดๆทั้งสิ้น ข้อปฏิบัติคือฉันอาหารมื้อเดียวเป็นวัตร ทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นเป็นวัตร เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเป็นวัตรบทบริกรรมภาวนาครั้งแรกข้าพเจ้าใช้คำภาวนาคือพุทโธ ตามรอยครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยพร่ำสอนมาแต่ใหนแต่ไรภาวนาเรื่อยไปทำให้จิตใจสงบบ้างไม่สงบบ้าง บางทีทำให้จิตใจฟุ้งซ่านจิตใจไปอยู่กับสิ่งภายนอกหมด บางครั้งก็ทำให้ข้าพเจ้าหงุดหงิดรำคราญใจกับตนเองคิดว่าทางนี้ไม่น่าเป็นผลเสียแล้ว น่าจะมีวิธีหรือทางอื่นที่จะทำให้จิตใจสงบเร็วกว่านี้และไวกว่านี้อย่างน้อยก็ตัดความฟุ้งซ่านภายในจิตใจก็ยังดี ข้าพเจ้าคิดไม่ออกไม่รู้จะหาทางออกให้กับตนเองอย่างไรดี จนกระทั่งมีวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักท่าน พระอาจารย์สุธีร์ คุณธีโร ท่านได้แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้วิธีการปฏิบัติจิตภาวนาทางสายใหม่ก็คือมหาสติปัฏฐานสี่นั่นเองที่ให้ผลเร็วกว่าและตรงกว่า โดยท่านบอกว่าต้องปฏิบัติจิตด้วยความจริงใจมีความพียรทุกอิริยาบทใช้สติปัญญากำหนดรู้จิตให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใดจะยืน,เดิน,นั่ง,นอน,เหลียวซ้ายแลขวา,การขบการฉัน,การถ่ายหนัก,ถ่ายเบา,ก็ให้มีสติระลึกรู้อยู่กับผู้รู้ก็คือจิตนี่เอง การปฏิบัติทางจิตได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ท่านพระอาจารย์สุธีร์ท่านได้แนะนำให้รู้จักผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ สิ่งถูกรู้คือสิ่งที่เกิด-ดับ แต่ท่านพระอาจารย์สุธีร์ ให้มีสติรู้อยู่กับผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ ข้าพเจ้าเจริญสติรู้อยู่กับผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับได้ประมาณสองอาทิตย์กว่าๆ คืนวันที่ข้าพเจ้าได้ความสว่างกระจ่างแจ้งประจักรแก่จิตใจก็มาถึงในคืนวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลาประมาณตีสองกว่าๆ มีความรู้สึกว่าตัวเองมีผู้รู้คอยเป็นภาระให้ต้องดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา รู้สึกอึดอัดรำคราญจิตใจ ทันใดนั้น ข้าพเจ้าไม่ลังเลใจที่จะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญเข้าทำการประหัตประหารกับตัวกิเลสอันมีอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ความยึดมั่นถือมั่นในตน โดยมีตัวมหาสติมหาปัญญาเข้าคลี่คลายสถานะการณ์ทะลุทะลวงอย่างเด็ดเดี่ยวอาจหาญเจาะเข้าไปที่อายตนะ๖และขันธ์๕ ได้ความว่า เหตุทุกอย่างเกิดขึ้นที่จิตดับลงที่จิต เท่านั้นยังไม่พอตัวมหาสติ,มหาปัญญาไม่ไว้วางใจเข้าทะลุทะลวงสติปัฏฐาน๔ คือกาย,เวทนา,จิต,ธรรม, อย่างอาจหาญแกล้วกล้าไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้นจนคลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่างจึงสงบ ฝ่ายกิเลสศิโรราบหั่นแหลกแตกกระจายหายซากไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิงอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ได้สูญสลายหายสิ้นไปจากจิตใจไม่มีเหลือเรียกว่า กิเลสดับไปจากจิตใจแบบไม่มีเชื้อเหลือ เพราะกิเลสไม่สามารถทนทานต่อธรรมมาวุธคืออาวุธอันทันสมัยได้แก่มหาสติ,มหาปัญญา, ซึ่งเป็นอาวุธที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้กับนักรบผู้กล้าตายในสมรภูมิรบ เพื่อรบกับข้าศึกคือกิเลสและหมู่มาร กิเลสทั้งหลายเมื่อถูกทำลายด้วยตปะธรรมคือธรรมของพระพุทธเจ้า การงานทางด้านจิตภาวนาเพื่อที่ถอดถอนกิเลสประเภทต่างๆได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เสร็จภารกิจของนักรบผู้กล้าที่ได้ชื่อได้นามว่า สากยะบุตรพุทธชิโนรสอย่างแท้จริง ไม่มีการเสกสรรปั้นแต่งแต่อย่างใดแต่เป็นความจริงล้วนๆ ผู้ที่สนใจต้องการปฏิบัติจิตให้ถึงความพ้นทุกข์สามารถปฏิบัติกันได้ด้วยกันทุกคน ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดๆทั้งสิ้นเพราะกิเลสมีอยู่ที่จิตที่ใจด้วยกันทุกคนการปฏิบัติก็ปฏิบัติที่จิตที่ใจนั่นเอง ขอให้มีความตั้งใจจริงกับธรรมของพระพุทธเจ้า และจะเห็นพุทธะที่แท้จริงซึ่งพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า โยธัมมัง ปัสสะติ โสมัง ปัสสะติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ได้ความสรุปว่าเหตุทุกอย่างกิดขึ้นที่จิตดับลงที่จิต จิตไปยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นเราเป็นของๆเรา ความเกิด,ความแก่,ความเจ็บ,ความตาย,เขาก็เป็นของเขามาแต่ไหนแต่ไร ทุกอย่างเข้าสู่สถานะการณ์ปรกติ กายก็สักแต่ว่ากาย,เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา,จิตก็สักแต่ว่าจิต,ธรรมก็สักแต่ว่าธรรม,ทุกอย่างเป็นอยู่แล้วตามปรกติไม่มีใครเป็นเจ้าของไม่ขัดไม่แย้งกัน ดังน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอนไม่ซึมซาบเข้าหากันฉันนั้น ไม่มีเราไม่มีเขา สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มีในจิตในใจอีกต่อไป ทุกอย่างได้ประจักรแจ้งแก่จิตแก่ใจข้าพเจ้าตอนนี้เอง อวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ได้สูญสลายหายซากไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิง จบแล้ว พอแล้ว เห็นความจริงชัดเจนแจ่มแจ้งกับจิตใจ พระพุทธเจ้าได้ปรากฏตรงนี้เองหมดความสงสัยเรื่องภพเรื่องชาติเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดโดยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน รู้สักแต่ว่ารู้ รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีที่มาและไม่มีที่ไป ได้ธรรมบทหนึ่งว่า สัพเพ สังขารา อะนิจจา สัพเพธัมมา อะนัตตา และได้รวมลงสู่ไตรลักษณ์คือ อะนิจจัง,ทุกขัง,อะนัตตา,และจิตก็ได้กลายมาเป็นจิตดวงใหม่ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะไม่มีอุปปาทานนั่นเอง ข้าพเจ้าไม่อาจกลั้นปิติไว้ในจิตในใจได้ มันได้ทะลักไหลล้นเป็นสายธารน้ำตาให้กับความโง่เหง่าเต่าตุ่นของตนเองและสัตว์โลกทั้งหลายที่พากันหลงเวียนเกิดเวียนตายหาที่สิ้นสุดยุติลงไม่ได้เกินที่จะพรรณนาอธิบายอย่างไม่อายต่อหน้าฟ้าดิน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียวที่จิตที่ใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง บุญคุณพระคุณของพระพุทธเจ้าเกินสุดที่จะพรรณนาเกินสุดที่จะเอื้อนเอ่ย พระคุณของบิดามารดาหาที่สุดจะเปรียบเปรยและยากที่จะทดแทนพระคุณได้และยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือได้ ทุกสิ่งทุกอย่างยืนยันด้วยจิตด้วยใจตนเองเป็น สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติจิตภาวนาจะพึงรู้เองเห็นเองอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ปัจจัตตัง รู้เฉพราะผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงเท่านั้น ส่วนผู้ที่ปฏิบัติจิตแบบปลอมๆก็เจอแต่ของปลอมที่กิเลสมันเสกสรรให้บรรลุธรรมก็บรรลุธรรมแบบปลอมๆ นิพพานก็นิพพานแบบปลอมๆ พ้นทุกข์ก็พ้นทุกข์แบบปลอมๆ แล้วก็พากันอวดอ้างว่าเป็นนิพพานของจริงเหมือนพวกมืดบอดด้วยปัญญาญาณเห็นกิเลสเป็นธรรม เห็นธรรมเป็นกิเลส เห็นตะกั่วเป็นทองคำทั้งแท่ง ส่วนผู้ที่ท่านแจ่มแจ้งรู้พระนิพพานด้วยใจแล้ว ท่านได้แต่สงสารและเวทนาแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มันต้องขึ้นอยู่กับสัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคนด้วย ขอขอบพระคุณท่านพระอาจารย์สุธีร์ คุณธีโร พระมหาบัณฑิตของข้าพเจ้าที่คอยชี้แนะแนวทางให้กับนักรบผู้กล้าตายในสมรภูมิรบกับข้าศึกคือกิเลสและหมู่มาร ได้ทำการประหัตประหารจอมกษัตริย์วัฏฏะจักร อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ได้สำเร็จลงได้เกินสุดที่จะบรรยาย พระคุณบุญคุณของครูบาอาจารย์ศิษย์ขอนอบน้อมด้วยจิตด้วยใจไว้หนือเกล้าด้วยชีวิตจิตใจ ที่ยากที่จะพรรณนาจนหาที่สุดไม่ได้ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ลาก่อนและลาขาดภพชาติภพภูมิ อันเป็นสถานที่เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย,ของสัตว์โลกผู้มืดบอดทั้งหลาย ขีณาชาติ ความเกิดได้สิ้นสุดยุติลงในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนี้นี่เอง อะกุปปา เม วิมุตติ ความหลุดพ้นนี้ไม่มีกำเริ่บอีกแล้วตลอดอนันตกาล อะกาลิโก พระทองดี ปะสันโน วัดอรัญญิกาวาส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 22:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโมทนา..ในกุศลจิตที่ปรารถณาความพ้นทุกข์.. :b8: :b8: :b8:

แม้..พ้นทุกข์แล้ว..ก็สาธุ..

แล้ว..ทำไม่จึงใคร่ให้ผู้อื่นรู้ด้วยว่า..เราเองพ้นทุกข์แล้ว??

จะรู้อยู่คนเดียว..กับ..รู้กันหลาย ๆ คน..มันแตกต่างกันไหม???

แค่..เข้ามาในนี้แล้ว..ก็บอก ๆ ๆ..ในสิ่งที่เราอยากบอก..อยากเล่า..มันเจือด้วยอวิชชา..ทั้งนั้น

เคยได้ยิน..อรหันต์นกหวีด..ของหลวงตาฯไหมครับ..?
.................
กลางป่า..กลางเขา..คืนหนึ่ง..ท่านหนึ่งเป่านกหวีด..เพื่อนพระก็ตกใจมาหากันทั้งกลางคืน..มากันหมด..ท่านว่าท่านสำเร็จแล้ว..แต่ไม่รู้จะบอกเพื่อน ๆ ยังงัย..พอดีมีนกหวีด..ก็เลยเป่าเรียกเพื่อนว่างั้นเถอะ..เพื่อน ๆ ฟังเสร็จก็สังสัย..แล้วก็กลับไปที่ภาวนาของตนเองตามเดิม.. :b10: :b10:

คืนต่อมา..เวลาเดิม..ท่านนั้นก็เป่านกหวีด..อีก..เพื่อน ๆ สงสัยก็มาหากันอีก..ถามไปว่าเป่าทำไม?..ท่านนั้นก็บอกว่า..ที่เป่าก็เพราะอยากจะบอกว่า..ยังไม่สำเร็จ.. :b12: :b12:
.....................

ใครจะว่าพระนกหวีดบ้า..แต่ผมว่าอย่างน้อย..พระท่านนี้ก็ยังมีใจยุติธรรม..นะ..รู้ว่ายังไม่สำเร็จ..ก็ยังอุตส่าบอกเพื่อน ๆ ไปตามจริง..

ว่าแต่ว่า..สมัยนั้นมี..อรหันต์นกหวีด..แล้วสมัยนี้..จะมีอรหันต์แบบไหนกันบ้างนะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกเราหลายคนคงได้อ่านหนังสือของคุณลุงหวีด บัวเผื่อน แล้ว และอาจทราบมานานแล้วถึงคุณธรรมของท่าน ผู้เป็นวิสุทธิบุคคล ในเพศฆราวาส และเป็นหนึ่งในพยานบุคคล ที่พิสูจน์ว่า ฆราวาสที่สิ้นกิเลสแล้ว แม้ไม่ได้บวช ก็สามารถทรงสังขารไว้ได้เกิน 7 วัน

เมื่อวานหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ นำเรื่องราวบางส่วนจากหนังสือ "จิตที่พ้นจากทุกข์" ของคุณลุงหวีดไปลงเผยแพร่ด้วย ขออนุโมทนากับทุกคนที่มีส่วนร่วมในการพิมพ์หนังสือนี้เผยแพร่ครับ



หวีด บัวเผื่อน...จิตที่พ้นทุกข์
• 26 กันยายน 2553 เวลา 18:30 น. |
• เปิดอ่าน 112 |
• ความคิดเห็น 1
หวีด บัวเผื่อน หรือที่ผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ลุงหวีดได้เขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติขึ้นเล่มหนึ่งใช้ชื่อ ว่า “จิตที่พ้นจากทุกข์”.....
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์
ตอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แข็งแรงอยู่ หลังฉันแล้วท่านมักจะเทศน์อบรมฆราวาสและตอบปัญหาธรรมที่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย มีจดหมายไปกราบเรียนถาม เช้าวันที่ 4 พ.ย. 2546 ท่านตอบจดหมายหน้าเดียว ซึ่งถามมาเพียงข้อเดียวว่า
“กระผมได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว กระผมจิตว่างอยู่หลายปี ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งหลายจนจิตว่างไปหมด เหลือแต่ผู้รู้ แต่ก็ยังมาติดผู้รู้อีก เมื่อพิจารณาผู้รู้อย่างจริงจัง ก็เหมือนมีสปริงดีดผู้รู้นั้นกระเด็นหายไปทันที เหลือแต่ผู้รู้ที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกำหนด ในขณะนั้นสมมติทั้งสามแดนโลกธาตุปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า ที่กระผมเข้าใจว่าธาตุผู้รู้นี้ไม่ดับไม่สูญ เป็นรู้ที่อยู่ในรู้ตลอดชั่วนิรันดรใช่ไหมครับ แม้สังขารนี้จะดับไปแล้วก็ตาม ขอความกรุณาหลวงตาช่วยตอบกระผมด้วยครับ”
ผู้อ่านจดหมายกราบเรียนท่านว่า ผู้ถามนามว่า นายหวีด บัวเผื่อน มา จาก อ.เมือง จ.จันทบุรี
หลวงตามหาบัวตอบว่า “ถ้าธรรมดาแล้วปัญหาเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็หมดปัญหาไปในตัว ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ที่ถามนั้นเขาก็มีความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นด้วย สำหรับคนผู้ถามปัญหาเราก็เชื่อเขาแล้วว่าเขาไม่มีปัญหา...อันนี้เราให้ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นสมบัติของคุณเอง รับรองคุณเองก็แล้วกัน”
บางถ้อยคำในการตอบคำถามครั้งนั้นมี ว่า “ที่เขาเล่ามานี้ไม่มีที่ต้องติ หมดปัญหาไป”
“นี่คือผลแห่งการปฏิบัติ นิยมไหมว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เพศหญิง เพศชาย กิเลสกับธรรมไม่มีเพศ จิตผูกได้ด้วยกันทั้งนั้น แก้ได้ด้วยกัน นี่ผลแห่งการแก้ การบำเพ็ญ จะเป็นฆราวาสก็ตามก็เป็นอย่างให้เห็นอยู่นี้แหละ นี่เป็นอยู่ที่จิต ผู้ปฏิบัติต่อจิตเป็นอย่างนี้ และผู้ไม่เป็นอย่างงั้นก็ค่อยเป็นมาโดยลำดับ ขอให้ได้รับการบำรุงรักษาเถอะ จะค่อยเป็นค่อยไปของมันอยู่นั้นละ” (อ่านเทศน์อบรมฆราวาส วันที่ 4 พ.ย. 2546 เรื่องพื้นฐานแห่งความสำเร็จในธรรมที่ http://www.luangta.com หรือ ที่http://www.luangta.c...D=2432&CatID=0)
หลายปีต่อมา หวีด บัวเผื่อน หรือที่ผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ลุงหวีดได้เขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติขึ้นเล่มหนึ่งใช้ชื่อ ว่า “จิตที่พ้นจากทุกข์”
การปฏิบัติของคุณลุงหวีดเริ่มต้นจากการมีสติสัมปชัญญะ

ท่านว่าถึงจะออกมาจากการภาวนาแล้วก็ “ต้องมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองจิตใจ ของตนอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ให้ปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเผลอสติ (การลืมตัว) ก็พยายามทำความรู้สึกหรือรู้ตัวทั่วพร้อมกันใหม่ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาโดยมีความเพียรเป็นหลักไม่ท้อถอยอ่อนแอ ไม่ไหลไปตามอารมณ์...”
แรกๆ ก็ทำไม่ได้แต่อาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น ให้จงได้ จึงมีมานะพยายามที่จะเอาชนะใจของตนเอง
ด้วยวิธีนี้ “จึงสามารถครองสติไว้ได้ยาวนานขึ้นจากนาที เป็นสองสามนาที เป็นสิบนาที เป็นครึ่งชั่วโมง เป็นชั่วโมง เป็นวันโดยใช้เวลาไม่นานปีนัก”
ที่ทำได้เพราะท่านมุ่งมั่นโดยตั้ง ปฏิญาณไว้กับตนเองว่า ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะต้องมีสติอยู่ด้วย แต่ถ้าขาดจากสติสัมปชัญญะเสียแล้ว ก็ขออย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย เพราะถ้าเราเอาชนะตนเองไม่ได้แล้วจะเอาชนะสิ่งอื่นๆ ได้อย่างไร...คนเราถ้าอยู่อย่างขาดสติสัมปชัญญะแล้วก็เหมือนกับเรือที่ขาด หางเสือ
ท่านคอยเตือนตัวเอง คอยควบคุมให้มีสติคุ้มครองจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
“ให้จิตเป็นปกติ คือ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นธาตุแห่งอารมณ์ดีหรือชั่วทั้งหลาย พยายามไม่พูดในจิต ไม่คิดในใจ เมื่อตาเห็นรูปให้สักแต่ว่าเห็น เช่น เห็นป้ายโฆษณาก็ไม่อ่านในใจ มีสติอยู่กับสมาธิให้จิตเป็นอุเบกขา วางเฉยอยู่อย่างเบาๆ ไม่เดือดร้อนในสิ่งที่มากระทบใดๆ ทั้งสิ้น
วันหนึ่งๆ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา หากเผลอตัวไหลไปตามอารมณ์นั้นๆ เมื่อรู้ตัวก็หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง หยุดแสวงหา ให้จิตใจอยู่อย่างสบาย ไม่กังวล หยุดโกรธ หยุดโลภ หยุดปรารถนา”
ผลของการปฏิบัติเช่นว่า ในที่สุด จิตของก็เป็นสมาธิขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
กล่าวคือ ภายในจิตใจไม่มีสังขารความคิดหรืออารมณ์ดีชั่วใดๆ มาก่อกวนเลย...บางครั้งจะคิดเรื่องการงานบ้าง แต่จิตกลับนิ่งเฉยเสีย ไม่ออกทำงานเลย ติดว่างอยู่อย่างนั้น ถึงกับต้องบังคับให้จิตออกมาคิดเรื่องอื่นๆ บ้าง ไม่เช่นนั้นจิตจะหยุดนิ่งเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา...”
ท่านว่าตอนนั้นนอนใจคิดว่าที่เป็น อยู่ถูกต้องแล้ว ไม่รู้ว่า นี่คือการติดสมาธิ ผลคือ ติดความว่างอยู่ถึง 2 ปีเต็มๆ
แม้จะส่งผลเช่นนั้น แต่คุณลุงก็ยืนยันว่า “อย่างไรก็ดี การปฏิบัติให้จิตเป็นสมาธินั้นเป็นทางเดินเบื้องต้นที่ถูกต้อง ท่านให้ชี่อว่า สมถกรรมฐาน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติ”
ท่านว่า การปฏิบัติต้องมีความเพียรเป็นหลัก ทุ่มเทกันด้วยชีวิตจิตใจไม่ท้อถอย ปฏิบัติดังนี้แล้ว จิตจะเกิดความชุ่มชื้นสงบเย็น ความภาคภูมิใจและความปีติสุขอย่างบอกไม่ถูก
จากสมถะก็เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน คือ การพิจารณากายที่ยาววาหนาคืบนี้ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง
ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะ “จิตที่ติดอยู่สมาธิจะเพลินอยู่ในสมาธิ ยากจะออกมาพิจารณาจึงต้องบังคับจิตให้ออกมาทำงานทางด้านปัญญาบ้าง โดยต้องฝืนและบังคับซึ่งก็ไม่เป็นผลนักในตอนแรก แต่ก็จำเป็นต้องออกมาพิจารณาดังที่กล่าวมาแล้ว...”
ท่านแก้โดย ลองเอากรรไกรตัดผมตัวเองออกมาพิจารณาดู ตัดเล็บที่ปลายนิ้วทั้งสิบออกมาวางไว้กับพื้นแล้วพิจารณาดู
“พิจารณาวนเวียนไปวนเวียนมา ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเราไปได้...หากเราลอกหนังที่ปิดบังอยู่นี้ออกมาเพื่อ เปิดเผยความจริง เหมือนเราลอกหนังเป็ดหนังไก่หรือหนังกบก็คงจะเห็นเนื้อแดงๆ เลือดไหลซึม ไม่แตกต่างอะไรกับพวกซากศพ ผีเปรต...”
ความรู้นี้แจกแจงลงไปเป็นธาตุ 4 ค่อยๆ เห็นความจริงขึ้นว่า “...กาย คือกาย จิตคือจิต ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่เป็นความไม่รู้ของจิตเองที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไปยึดถือร่างกายเป็นเรา...”
ท่านพิจารณาจนนับครั้งไม่ถ้วน “จนบางครั้งจิตเป็นคนที่เดินไปเดินมานี้เป็นกระดูกที่ไม่มีเนื้อหนังหุ้ม อยู่ เห็นเพียงกระดูกเปล่าๆ ที่เดินไปเดินมาจึงสรุปได้ว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกันไม่ปะปนกัน กายเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวของจิตเท่านั้น จิตก็เริ่มยอมรับตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ...”
ท่านว่า เมื่อถึงการพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ ไปติดอยู่ที่การพิจารณาเวทนาอยู่นานมาก แม้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสไว้ว่า เวทนาก็ไม่ใช่เรา แต่พิจารณาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมรับ เพราะรู้สึกอยู่กับตัวว่า ความปวดเมื่อยจากการทำสมาธินั้น “เราเป็นผู้ปวดเมื่อยทุกครั้งไป” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยังคิดว่า “เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา เป็นเนื้อเดียวกันหมด”
บัดที่จะทะลุขึ้นนี้ไปได้จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นดังนี้
“วันหนึ่งขณะที่จิตกำลังสงสัยอยู่ พิจารณาใคร่ครวญวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบ เพื่อหาความจริงว่าเวทนาเป็นเราหรือไม่ ขณะนั้นเอง คล้ายกับเกิดนิมิตขึ้นในจิต เห็นเวทนาได้ลอยออกจากจิตของข้าพเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เวทนานี้ขาดออกจากจิตโดยสิ้นเชิง รู้สึกชัดเจนมาก เหมือนเราเอามีดไปฟันต้นกล้วยขาดกระเด็นออกจากกัน เวทนาเป็นสักแต่ว่าเวทนา เวทนานั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเวทนา เพราะเวทนา ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ เวทนาจึงเป็นเพียงขันธ์ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นคนละส่วนกันกับธาตุรู้หรือจิต...”
คุณลุงจึงเปรียบเทียบไว้ว่า ธาตุรู้หรือจิตเป็น กระจก เวลาเวทนาเกิดขึ้น กระจกจะไปเจ็บได้อย่างไร เพราะธาตุรู้หรือจิตเป็นเพียงผู้เห็น แต่ไม่ใช่ผู้เจ็บ กระจกกับเวทนามันคนละอัน
ท่านว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เจ็บ จิตไม่ใช่ผู้เจ็บ ความเจ็บมันมาจากสัญญาจำได้ ถ้าเราเป็นกระจก หากเวทนา เหมือนเม็ดพริกขี้หนู เม็ดพริกขี้หนูไม่รู้เลยว่าตัวเองเผ็ด เพราะไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจ และไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครเผ็ด ความเจ็บความปวด ก็ไม่มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกัน จึงไม่สามารถทำให้ใครเจ็บปวดได้
“หากไม่เข้าใจความจริงนี้ความเจ็บความปวดนั้นก็จะเป็นเรา คือเราเจ็บ โดยไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่หากเข้าใจความจริงนี้แล้ว เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง อาการเจ็บก็เป็นเพียงอาการและความจริงอันหนึ่ง และธาตุรู้หรือจิตก็เป็นผู้รู้ซึ่งเป็นความจริงอีกอันหนึ่งเช่นกัน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าความเจ็บความปวดเราเป็นของเราแต่อย่างใด”
สัญญา ก็ไม่แตกต่างจากเวทนา
สัญญาก็เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจเหมือนกัน เป็นของตาย คือ เกิดๆ ดับๆ แล้วจะ ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกัน สิ่งที่ติดตาติดใจ ก็คงจำได้นานหน่อยถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ติดใจก็ดับเร็วลืมเร็ว
สัญญาจึงไม่ใช่เราเหมือนกับเวทนานั่นเอง
สังขาร ความคิดความปรุงแต่ง ก็เป็นอาการและความจริงของตนอีกอันหนึ่งเช่นกัน คือคิดแล้วดับไป ปรุงแล้วดับไป
ปัญหาของคุณลุงในข้อนี้ก็คงเหมือน กับนักปฏิบัติทั่วไปที่เข้าวัดแล้วบางทีก็อดตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์อยู่ใน ใจ แม้จะห้ามไม่ให้คิดแล้วบางทียิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อนำปัญหานี้ไปปรึกษาครูบาอาจารย์ ท่านก็ได้แก้ไขปัญหาด้วยประโยคเดียว
ทันทีที่ครูบาอาจารย์ตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกโยม เพียงแต่โยมอย่าไปคิดว่าสังขารความคิดเป็นโยมก็แล้วกัน” คุณลุงว่า “ความรู้สึกของข้าพเจ้าในขณะนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอกโล่งไปหมด เข้าใจได้ในทันทีว่า สังขารความคิด มีอาการและความจริงเช่นนี้ บังคับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งถูกรู้ เป็นคนละอันกับจิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์อยู่อย่างนั้น”
เรื่องของวิญญาณ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้รับการสัมผัส ใจสัมผัสอารมณ์ เมื่อมีการกระทบกันทางอายตนะทั้ง 6 ดังกล่าวข้างต้น อาการของวิญญาณก็จะรับทราบการกระทบนั้นเป็นครั้งๆ เป็นเรื่องๆ ไป กระทบครั้งหนึ่งรับทราบครั้งหนึ่งแล้วก็ดับไป รับทราบแล้วดับ รับทราบแล้วดับ ไม่ใช่ธาตุรู้หรือจิต เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า “ขันธ์ 5 ทั้งหมดมิใช่เรามิใช่ของเรา เป็นเพียงอาการของจิต มีธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ขันธ์ 5 เป็นเพียงสิ่งถูกรู้ และเราเป็นผู้รู้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น”
เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเราของเรา ปัญหาสำคัญตามมาคือ แล้วเราคืออะไรล่ะ?
คุณลุงว่าค้นอยู่นาน ที่สุดเมื่อถามครูบาอาจารย์ก็ได้คำตอบว่า “เราคือความรู้สึกหรือธาตุรู้”
“ธาตุรู้นี้ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปที่ เราเรียนมาจากหนังสือไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น และสัมผัสด้วยกาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งถูกรู้ทั้งหมด จึงไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้นี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว เท่านั้นในสามแดนโลกธาตุนี้ สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดไม่ใช่ธาตุรู้ แม้แต่อารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยใจของเรานี้ ก็ยังไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เท่านั้น นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจำ เป็นจะต้องพิจารณาให้เห็นธาตุรู้นี้ให้ได้ เพราะธาตุรู้นี้แหละคือเรา ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ ที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นเรา
ธาตุรู้หรือจิตนี้ เราเกิดมานับอสงไขยไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุนี้มาก่อนเลย ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ หนอนไม่เห็นอาจม”
“จากนั้นมาข้าพเจ้าจึงพยายามอยู่กับ ธาตุรู้ ถึงแม้ในตอนแรกจะขาดๆ หายๆ อยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีสองนาทีก็หายไป เมื่อได้สติก็พยายามดึงกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ ในที่สุดด้วยความเพียรอย่างยิ่งของข้าพเจ้าทำให้สามารถอยู่กับผู้รู้ได้มาก ขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ได้ครบ 100% และสามารถอยู่กับธาตุรู้ได้อย่างอัตโนมัติ
ท่านว่า ติดอยู่กับผู้รู้เป็นเวลาสองปีเต็มๆ ในที่สุดพระอาจารย์ของคุณลุงก็มาเทศน์โปรดให้ปล่อยธาตุรู้
“โยมจะจับไว้ทำไมกันปล่อยไปเสียนะ โยม ไม่มีสิ่งใดที่จะหนักเท่ารู้อีกแล้ว โยมจะจับไว้ทำไมกัน”
พอว่า “ผมปล่อยไม่เป็นหรอกครับอาจารย์ ปล่อยไม่ได้ ไม่รู้จะปล่อยอย่างไร” พระอาจารย์ก็หยิบหนังสือขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมา “ปล่อยอย่างนี้แหละโยม ปล่อยได้ไหม”
แม้ครูบาอาจารย์จะช่วยโปรดหลายหนมา ที่บ้านถึง 7 ครั้ง ไปกราบที่สำนัก 3-4 หนก็ไม่ได้ผล เพราะปรารภกับตัวเองว่า “ธาตุรู้นี้เป็นชีวิตจิตใจแล้วเราจะปล่อยวางได้อย่างไร”
ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2536 ขณะที่คุณลุงเตรียมตัวออกจากสำนักพระอาจารย์กลับบ้านในเวลา 4 โมงเย็น โดย “คิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่าชาตินี้คงไม่มีวาสนาที่จะสามารถปล่อยรู้ได้ ทันใดนั้นอาจารย์ได้กล่าวขึ้นว่า “โยม เวลามีสิ่งกระทบโยมก็ปล่อยรู้แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่ในขณะที่ไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตุรู้อีก เอาอย่างนี้ได้มั้ยโยม เมื่อมีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย เวลานี้โยมเปรียบเหมือนหนอนคืบ เมื่อมาจับที่หัวก็ปล่อยหาง เมื่อจับหางก็ปล่อยหัว ให้โยมปล่อยทั้งสองอย่างไปเลยได้มั้ย”
“เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าถึงกับตะลึง สะดุ้งขึ้นในใจและขณะเดียวกันนั้น ทั้งธาตุรู้และสิ่งถูกรู้เหมือนมีพลังหนึ่งมาสะบัดอย่างรุนแรงธาตุรู้ และสิ่งถูกรู้นั้นกระเด็นออกไปทันที และเกิดธาตุรู้อีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นรู้ภายใน คือตัวที่มองธาตุรู้ตัวแรกและสิ่งถูกรู้ที่กระเด็นออกไป ปรากฏเป็นรู้ปัจจุบันขึ้นมาทันที เป็นธาตุรู้ที่ไม่ต้องประคองไม่ต้องจับ ไม่ต้องกำหนด
“ธาตุรู้นี้ไม่มีหาย ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ธาตุรู้ตัวใหม่นี้เป็นอิสรเสรี โดยที่ไม่มีเราเป็นเจ้าของเหมือนแต่ก่อน เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นปัจจุบันธรรม เป็นกลางๆ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย ไม่กินเนื้อที่ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทั้งสิ้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนมาก สมมติที่ฝังจมอยู่ในจิต คือธาตุรู้ตัวแรกนั้นดับไป ภพชาติทั้งหลายที่ติดแน่นอยู่ในจิตนานแสนนานได้ดับลงพร้อมกันในขณะนั้น อวิชชาดับไปโดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งประกาศชัยชนะเหนือกิเลสทั้งหลาย อย่างขาวสะอาด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีกิเลสที่จะก่อกวนอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับตัวเป็นธรรมพร้อมกันหมดทั้งภายในและภายนอก
“ความเป็นกลาง ความสะอาด ความบริสุทธิ์นั้น ก็หมายถึงจิตดวงนี้เอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือ จิตดวงนี้ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ซึ่งก็คือ การเห็นจิตที่บริสุทธิ์ ณ ปัจจุบันนั่นเอง
“จิตที่บริสุทธิ์จึงเป็นจิตที่อยู่ นอกเหตุเหนือผล เหนือสมมติ เหนือบัญญัติ เหนือเกิด เรียกว่า เป็นวิมุตติ หมดภาระ หมดสิ้นการงาน หมดคำพูด จึงหยุดแล้วปล่อยคำว่าหยุดลงเสียด้วย สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ไม่มีธรรมใดที่ไม่เป็นโมฆะ’ นั่นหมายความว่า สมมติทั้งหลายที่เคยติดแน่นในจิตเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสมมตินั้นแล้ว สมมติก็เป็นโมฆะหรือหมดความหมายไป”
คุณลุงหวีด บัวเผื่อน เพิ่งละสังขารไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีพิธีประชุมเพลิง ณ วัดเขากระแจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี ทิ้ง “จิตที่พ้นจากทุกข์” ไว้เป็นหลักไมล์และป้ายบอกทางให้แก่ผู้ปรารถนาจะพ้นทุกข์ไว้ข้างหลังได้ ศึกษา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 23:01
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณค่ะ จะจำเอาไว้ใช้เตือนสติตัวเองตลอดเวลาค่ะ smiley

.....................................................
ชวนเพื่อน ๆ มา ดูหนัง ดูหนังฟรี ดูหนังใหม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 23:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:

หวีด บัวเผื่อน หรือที่ผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ลุงหวีดได้เขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติขึ้นเล่มหนึ่งใช้ชื่อ ว่า “จิตที่พ้นจากทุกข์”.....
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์
ตอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แข็งแรงอยู่ หลังฉันแล้วท่านมักจะเทศน์อบรมฆราวาสและตอบปัญหาธรรมที่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย มีจดหมายไปกราบเรียนถาม เช้าวันที่ 4 พ.ย. 2546 ท่านตอบจดหมายหน้าเดียว ซึ่งถามมาเพียงข้อเดียวว่า


ก็ลองทำอย่างเขาดูซิ..
ที่นี้..ไม่มี..คนอย่างหลวงตา..นี้นา..

กล้าจริง..ต้องไปโน้น..หลวงปู่..หลวงตา..ก็ยังอยู่นี้..ผู้ที่รู้แจ้งย่อมยังศรัทธาให้สำเร็จตามแรงบุญแรงกรรม

มาทำอะไรที่นี้??.. :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


จิต อาศัยจิตเกิดขึ้น กระทบกับจิต การประชุมพร้อมของ3สิ่งนี้จึงเกิด ผัสสะ

อิอิ................. ปริศนาธรรม

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมมุติว่า มีห่อของอยู่ห่อหนึ่ง ห่อด้วยผ้าสีสวยงาม วางไว้ในตู้กระจก ที่ปิดใส่กุญแจไว้ มีชายผู้หนึ่ง เชื่ออย่างสนิทใจว่าในห่อนั้นมีของมีค่า เขาอยากได้ ใจจดจ่ออยู่ แต่ยังเอาไม่ได้ เขาพะวักพะวงวุ่นวายอยู่กับการที่จะเอาของนั้น เสียเวลาเสียการเสียงาน

ต่อมา มีคนที่เขานับถือมาบอกว่า ในห่อนั้นไม่มีของมีค่าอะไร ไม่น่าเอาและการที่เขาอยากได้ อยากเอา วุ่นวายอยู่นั้นไม่ดีเลยทำให้เกิดความเสียหายมาก
ใจหนึ่ง เขาอยากจะเชื่อคำบอกของคนที่นับถือและเขาก็เห็นด้วยว่า การพะวงอยู่นั้นไม่ดี มีโทษมาก

แต่ลึกลงไปก็ยังเชื่อว่า คงต้องมีของมีค่าเป็นแน่เมื่อยังเชื่ออยู่ เขาก็ยังอยากได้ ยังเยื่อใย ยังตัดใจไม่ลงแต่เขาพยายามข่มใจเชื่อตามคนที่เขานับถือ และแสดงในคนอื่นๆ เห็นว่าเขาเชื่อตามเห็นตามคำของคนที่เขานับถือนั้นแล้ว เขาจึงแสดงอาการว่าเขาไม่อยากได้ เขาไม่ต้องการเอาของห่อนั้น

สำหรับคนผู้นี้ ถึงเขาจะยืนตะโกน นั่งตะโกนอย่างไรๆว่า ฉันไม่เอาๆ ใจของเขาก็คงผูกพันเกาะเกี่ยวอยู่กับห่อของนั้นอยู่นั่นเอง และบางทีเพื่อแสดงตัวให้คนอื่นเห็นว่า เขาไม่ต้องการของนั้น เขาไม่อยากได้ เขาจะไม่เอาของนั้น เขาอาจแสดงกิริยาอาการที่แปลกๆ ที่เกินสมควร อันนับได้ว่ามากไป กลายเป็นพฤติกรรมวิปริตไปก็ได้

นี่เป็นตอนที่หนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อมา ชายผู้นั้น มีโอกาสได้เห็นของที่อยู่ในห่อ และปรากฏว่าเป็นเพียงเศษผ้าเศษขยะจริงตามคำของคนที่เขานับถือเคยพูดไว้ ไม่มีอะไรมีค่าควรเอา เมื่อรู้แน่ประจักษ์กับตัวอย่างนี้แล้ว เขาจะหมดความอยากได้ทันที ใจจะไม่เกาะเกี่ยว ไม่คิดจะเอาอีกต่อไป

คราวนี้ ถึงเขาจะพยายามบังคับใจของเขาให้อยากได้ ข่มฝืนให้อยากเอาถึงจะเอาเชือกผูกตัวติดกับของนั้น หรือ หยิบของนั้นขึ้นมา ร้องตะโกนว่าฉันอยากได้ ฉันจะเอา ใจก็จะไม่ยอมเอา ต่อจากนี้ไปใจของเขาจะไม่มาวกเวียนติดข้องอยู่กับห่อของนั้นอีก ใจของเขาจะเปิดโล่งออกไป พร้อมที่จะมองจะคิดจะทำการอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่สืบไป

นี้เป็นตอนที่สอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเทียบเคียงในตอนที่หนึ่ง

เปรียบได้กับพฤติกรรมของปุถุชน ผู้ยังมีความอยาก และความยึดอยู่ด้วยตัณหาอุปาทาน เขาได้รับคำสั่งสอนทางธรรมว่า สิ่งทั้งหลายที่อยากได้มั่นหมายยึดเอานั้น มีสภาวะแท้จริง ที่ไม่น่าอยากไม่น่ายึด และความอยากความยึดถือก็มีโทษมากมาย เขาเห็นด้วย โดยเหตุผลว่า ความอยากได้และความถือมั่นไว้มีโทษมากและก็อยากจะเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่อยากได้ล้วนมีสภาวะ ซึ่งไม่น่าฝันใฝ่ใคร่เอา แต่ก็ยังไม่มองเห็นเช่นนั้น ลึกลงไปในใจก็ยังมีความอยากความยึดอยู่นั่นเอง แต่เพราะอยากจะเชื่อ อยากจะปฏิบัติตามหรือ อยากแสดงให้เห็นว่า ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำทางธรรมนั้น เขาจึงแสดงออกต่างๆ กระทำการต่างๆ ให้เห็นว่า เขาไม่อยากได้ไม่ยึดติด ไม่คิดจะเอาสิ่งทั้งหลายที่น่าใคร่น่าพึงใจเหล่านั้น

ในกรณีนี้ ความไม่อยากได้ไม่อยากเอา หรือไม่ยึดติดของเขา มิใช่ของแท้จริงที่เป็นไปเองตามธรรมดาธรรมชาติ เป็นเพียงสัญญาแห่งความไม่ยึดมั่น ที่เขาเอามายึดถือไว้ เขาเข้าใจความหมายของความไม่ยึดมั่นนั้นอย่างไร ก็พยายามปฏิบัติ หรือทำการต่างๆไปตามนั้น ความไม่ยึดมั่นของเขา จึงเป็นเพียงความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น และการกระทำของเขาก็เป็นการกระทำด้วยความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น
การกระทำเช่นนี้ ย่อมมีโทษ คือ อาจกลายเป็นการกระทำอย่างเสแสร้ง หลอกตนเองหรือเกินเลยของจริงไม่สมเหตุผล อาจถึงกับเป็นพฤติกรรมวิปริตไปก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร