วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 02:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ธ.ค. 2010, 18:17
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีว่าได้อ่านหนังสือเรื่อง ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น ของ ท.พ.สม สุจิรา มาน่ะค่ะ แล้วมีเรื่องเกี่ยวกับมิติที่4 ที่เกี่ยวกับเวลา ก็เลยอยากลองถามเพื่อนๆดูว่า มีใครเคยสัมผัสได้บ้างมั้ยคะ ? :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ว่าแต่..เจ้ามติที่4..นี้มันเป็นยังงัยหึ??
:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอีกคนหนึ่งก็เห็นด้วย เพราะพระพุทธองค์จะเน้นเกี่ยวกับเรื่องสุข ทุกข์ของมนุษย์ โดยทรงเน้นเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ครับ

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 16:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b8:

ว่าแต่..เจ้ามติที่4..นี้มันเป็นยังงัยหึ??
:b9: :b9: :b9:


อ่านคำถามนี้แล้วนึกถึงท่านมู... เงียบไปอีกแล้ว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sandsunshine เขียน:
พอดีว่าได้อ่านหนังสือเรื่อง ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น ของ ท.พ.สม สุจิรา มาน่ะค่ะ แล้วมีเรื่องเกี่ยวกับมิติที่4 ที่เกี่ยวกับเวลา ก็เลยอยากลองถามเพื่อนๆดูว่า มีใครเคยสัมผัสได้บ้างมั้ยคะ ? :b41:

krit_2112_tt เขียน:
ผมอีกคนหนึ่งก็เห็นด้วย เพราะพระพุทธองค์จะเน้นเกี่ยวกับเรื่องสุข ทุกข์ของมนุษย์ โดยทรงเน้นเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ครับ

คุณkrit_2112ครับ เรื่องที่จขกทเขาถามเขา เจาะจงจะถามสมาชิกที่รู้หรือเคยสัมผัสเรื่องนี้มาครับ
เขาไม่ได้จะถามพระพุทธเจ้า ผมว่าถ้าผู้ใดไม่มีความรู้หรือเคยเจอเรื่องนี้มา ก็ควรจะอยู่เฉยๆ
ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะแสดงความเห็นออกไปแบบคุณครับ อะไรกันครับให้ความกระจ่างกับเขาไม่ได้แล้วยัง
ไปต่อว่าสั่งสอนเขาอีก แบบนี้ชาวบ้านเขาเรียกว่า ไปไหนมาสามวาสองศอก
แต่ถ้าเป็นสำนวนการเมืองเขาเรียก แถครับ

สรุปเรื่องนี้คุณหรือจขกท ใครกันแน่ครับที่ไม่รู้เรื่องครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


จากคำถามของคุณ....sandsunshine

sandsunshine เขียน:
พอดีว่าได้อ่านหนังสือเรื่อง ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น ของ ท.พ.สม สุจิรา มาน่ะค่ะ แล้วมีเรื่องเกี่ยวกับมิติที่4 ที่เกี่ยวกับเวลา ก็เลยอยากลองถามเพื่อนๆดูว่า มีใครเคยสัมผัสได้บ้างมั้ยคะ ? :b41:


คำตอบของผม Krit_2112 นั้นเป็นคำตอบแบบข้อคิดเตือนใจเพื่อให้รู้ว่า จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา ได้แก่ วิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ไม่ใช่ติดกันอยู่ที่ฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้น แม้จะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้นแล้ว ถ้าไม่ขวนขวายเพื่อความสิ้นกิเลสก็ยังถือว่ายังหลงทางอยู่และฤทธิ์เดชเหล่า นี้เป็นสิ่งเสื่อมได้ ต้องคอยระวังกันอยู่เสมอ เป็ยเพีบงผลพลอยได้ของการเจริญสมาธิเพื่อเป็นบาทฐานไปสู่ปัญญาและไปสู่ วิมุตติความหลุดพ้นต่อไป ถ้าได้ปัญญาและวิมุตติแล้ว อภิญญาประเภทหูทิพย์ ตาทิพย์และฤทธิ์เดชต่างๆ ก็จะมีประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกผู้ที่ยังกระด้างอวดดี มีทิฏฐิมานะแรงกล้า....ครับคุณ....โฮฮับ

แต่ถ้า....ยังใคร่อยากรู้อีกต้องอ่านคำถามนี้ของคุณ....กบนอกกะลา ครับ

eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b8:

ว่าแต่..เจ้ามติที่4..นี้มันเป็นยังงัยหึ??
:b9: :b9: :b9:


อ่านคำถามนี้แล้วนึกถึงท่านมู... เงียบไปอีกแล้ว...


มิติที่ ๔ แนวคิดทางคณิตศาสตร์
ใน วิชาคณิตศาสตร์ , มิติที่สี่หรือมิติ ("4D") พื้นที่สี่เป็นแนวคิดที่เป็นนามธรรมมาโดย generalizing กฎของพื้นที่สามมิติ . It has been studied by mathematicians and philosophers for almost two hundred years, both for its own interest and for the insights it offered into mathematics and related fields. จะได้รับการศึกษาโดยนักคณิตศาสตร์และนักปรัชญามาเกือบสองร้อยปีทั้งเพื่อผล ประโยชน์ของตนเองและสำหรับข้อมูลเชิงลึกที่จะนำเสนอในวิชาคณิตศาสตร์และสาขา ที่เกี่ยวข้อง

Algebraically it is generated by applying the rules of vectors and coordinate geometry to a space with four dimensions. Algebraically มันถูกสร้างขึ้นโดยใช้กฎของ เวกเตอร์ และ เรขาคณิตประสานงาน ไปยังพื้นที่ที่มีสี่มิติ In particular a vector with four elements (a 4- tuple ) can be used to represent a position in four-dimensional space. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวกเตอร์ ที่มีสี่องค์ประกอบ (4 -- tuple ) สามารถนำมาใช้ในการแทนตำแหน่งที่ว่างในมิติที่สี่ The space is a Euclidean space , so has a metric and norm , and so all directions are treated as the same: the additional dimension is indistinguishable from the other three. พื้นที่เป็น พื้นที่แบบยุคลิด เพื่อให้มี ตัวชี้วัด และ เกณฑ์ปกติ และเพื่อให้ทุกทิศทางเดียวกันจะถือว่าเป็น : มิติเพิ่มเติมคือความแตกต่างจากอีกสาม

The fourth dimension in this space was sometimes interpreted as time , but this is no longer done in modern physics . มิติที่สี่ในพื้นที่นี้ถูกตีความเป็นบางครั้ง เวลา แต่นี้ไม่ทำอีกต่อไปในทันสมัย ฟิสิกส์ . In the last century spacetime was developed, which unifies space and time but with a different metric so the time dimension is treated differently from the three spatial dimensions. ในช่วงศตวรรษที่ Spacetime ได้รับการพัฒนาซึ่งเป็นหนึ่งเดียว ที่ว่าง และเวลาที่แตกต่างกัน แต่มี ตัวชี้วัด เพื่อมิติเวลาจะถือว่าแตกต่างจากสามมิติเชิงพื้นที่ The resulting space is a Minkowski space which has different properties from this space. [ clarification needed ] พื้นที่ส่งผลให้เป็น พื้นที่ Minkowski ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างจากพื้นที่นี้.

มิติที่ ๔ เกี่ยวกับเวลา
มิติ ชั่วคราวเป็นเวลามิติของ Time is often referred to as the " fourth dimension " for this reason, but that is not to imply that it is a spatial dimension. เวลาเป็นมักจะหมายถึง" มิติที่สี่ "ด้วยเหตุผลนี้ แต่ที่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นมิติเชิงพื้นที่ A temporal dimension is one way to measure physical change. มิติชั่วคราวเป็นวิธีหนึ่งในการวัดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ It is perceived differently from the three spatial dimensions in that there is only one of it, and that we cannot move freely in time but subjectively move in one direction . มันเป็นที่รับรู้แตกต่างจากพื้นที่ในสามมิติที่มีเพียงหนึ่งในนั้นและที่เรา ไม่สามารถย้ายได้อย่างอิสระในเวลา แต่อย่างอยู่ในใจไป ในทิศทางเดียว .

The equations used in physics to model reality do not treat time in the same way that humans commonly perceive it. สมการที่ใช้ในฟิสิกส์เพื่อรูปแบบความเป็นจริงไม่ได้รักษาเวลาในลักษณะเดียว กับที่คนทั่วไปรับรู้ว่า The equations of classical mechanics are symmetric with respect to time , and equations of quantum mechanics are typically symmetric if both time and other quantities (such as charge and parity ) are reversed. สมการของ กลศาสตร์คลาสสิก เป็น สมมาตรที่เกี่ยวกับเวลา และสมการของกลศาสตร์ควอนตัมตามปกติจะสมมาตรถ้าทั้งเวลาและปริมาณอื่น ๆ (เช่น ค่าใช้จ่าย และ ความเท่าเทียมกัน ) จะกลับ In these models, the perception of time flowing in one direction is an artifact of the laws of thermodynamics (we perceive time as flowing in the direction of increasing entropy ). ในรูปแบบเหล่านี้ทิศทางการรับรู้การไหลในเวลาหนึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ของ กฎหมายของอุณหพลศาสตร์ (เรารับรู้เวลาที่ไหลในทิศทางที่เพิ่มขึ้นของ เอนโทรปี )

The best-known treatment of time as a dimension is Poincaré and Einstein 's special relativity (and extended to general relativity ), which treats perceived space and time as components of a four-dimensional manifold , known as spacetime , and in the special, flat case as Minkowski space . ที่รู้จักกันรักษาที่ดีที่สุดของเวลาเป็นมิติที่เป็น Poincaré และ Einstein 's ความสัมพันธ์พิเศษ (และขยาย ความสัมพันธ์ทั่วไป ) ซึ่งถือว่าการรับรู้พื้นที่และเวลาที่เป็นองค์ประกอบของมิติสี่ หลายต่อ หรือที่เรียกว่า Spacetime และในพิเศษ, กรณีแบนเป็น พื้นที่ Minkowski .

มิติที่ ๔ แนวคิดทางฟิสิกส์ของไอน์สไตน์
เกริ่น ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักคำว่ามิติที่ 4 โดยทั่วกันนี้ ทุกคนมักจะนึกว่าธรรมชาติรอบตัวของเรามีอยู่ 3 มิติ และเวลาเป็นอีกมิติที่เคลื่อนที่ของมันไปโดยไม่ส่งผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับ มิติที่เหลือทั้งสาม(กว้าง-ยาว-สูง) เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับแนวคิด ของมิติ 3+1 นี้ตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์เริ่มเจาะลึกกลศาสตร์แบบนิวตัน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ศตวรรษที่ 19 เราเริ่มพบว่ามีปรากฎการณ์ธรรมชาติหลายอย่าง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับแสง ซึ่งไม่สอดคล้องกับกลศาสตร์ดั้งเดิมครับ ไม่มีใครแก้ปัญหาได้จริงๆจนถึงปี 1905 ที่ไอน์สไตน์ได้ค้นพบทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษขึ้นมา ทฤษฏีนั้นได้อธิบายว่า มิติทั้งสามและมิติของเวลาไม่ได้ใช่แยกกันต่างหาก แต่กลับสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น

ตัวอย่างครับ เมื่อ ก่อนเราิคิดว่า ไม่ว่าเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วขนาดไหนก็ตาม เวลาที่เดินไปสำหรับเราและที่อื่นก็เหมือนเดิมแต่ทฤษฏีสัมพัทธภาพบอกว่าไม่ ใช่(ทดสอบแล้ว) ยิ่งเราเคลื่อนที่เร็ว เวลาที่เราจะยิ่งเดินช้าลงเรื่อยๆ

ไม่ ใช่เพียงแค่นั้น ปี 1915 ไอน์สไตน์ประกาศทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปที่สลับซับซ้อนกว่ามากออกมา ตัวทฤษฏีอธิบายถึงความสัมพัทธ์ที่แน่นแฟ้นมากระหว่างมวลสารในสามมิติและมิติ เวลา ซึ่งได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงของมวลสารโดยตรง ตรง นี้เองที่คำว่า กาล-อวกาศ 4 มิติ (4D space-time) ถูกนำมาใช้อธิบายเรขาคณิตของกรอบอ้างอิงที่ซับซ้อนซึ่งรวมวัตถุสามมิติเข้า กับมิติของเวลาครับ ดัังนั้นแล้ว มิติที่ 4 ก็อยู่รอบๆัตัวเรานี่เองครับ มันคือมิติของเวลาที่มีความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับวัตถุสามมิติที่วางตัว อยู่ นอกจากนี้ เมื่อเราพบว่ามิติเวลามีอยู่สองชนิดอีกต่างหาก คือเวลาปกติและเวลาจินตภาพ จักรวาล สี่มิติที่ทฤษฏีของไอน์สไตน์ได้ทำนายไว้นี่เองได้เิปิดโอกาสให้เราอธิบาย ปรากฎการณ์แปลกๆในจักรวาลมากมายตั้งแต่หลุมดำไปจนถึงการข้ามมิติ

ที่ นี้ขออ้างถึงทฤษฏีสัมพันธภาพของไอสไตน์ "ทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพย่อมมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน" และการที่เวลาบิดเบือนไป ก็เป็นเพราะขาดความสมดุลระหว่างตัวมันเอง หากมีวัตถุใดๆอยู่ในสภาวะแวดล้อมเช่นนั้น วัตถุนั้นก็จะอันตรธานหายไปราวกับสาบสูญไร้ซึ่งชีวิต แต่เมื่อเวลากลับมาอยู่ในสภาวะสมดุลแล้ว วัตถุนั้นก็จะกลับมาปรากฏให้เห็นดังกับภาพมายา ทั้งที่สิ่งนั้นอยู่ที่เดิม นอกจากนี้เวลาและความเร็วมีความสัมพันธ์กันอย่างน่าทึ่ง
1."เวลาที่อยู่ในวัตถุความเร็วสูง จะสั้นกว่าเวลาที่อยู่ในวัตถุความเร็วต่ำ" ก็เหมือนกับการที่เรานั่งเครื่องบินและรถตุ๊กๆ (ลองจินตนาการดูว่านาฬิกาที่เราสวมใส่ขณะนั้นจะเป็นอย่างไรเมื่อถึงที่หมาย)
2.ความเร็วแสงคือความเร็วสูงสุดที่มนุษย์ค้นพบ และถ้าวัตถุใดเคลื่อนที่ถึงจุดนั้น อัตราเร็วย่อมจะมีค่าเป็น 0 ด้วย แต่ทฤษฏีนี้ยังไม่ค่อยมีคนยอมรับกันนัก ซึ่งหากเรานั่งยานพาหนะที่มีความเร็ว 120000 ไมล์/วินาที แล้ววนรอบโลก 1 รอบ เมื่อกลับลงมาที่จุดเดิมจะพบว่าเวลาบนโลกกินผ่านไปแล้ว 10 ปี

จักรวาล ของเราช่างมหัศจรรย์จริงๆเนอะ....หลายท่านคงอาจสงสัยกับคำถามที่ว่า โลกเราสามารถค้นพบมิติที่ 4 ได้จริงหรือไม่ ปัญหาเหล่านี้ยังเป็นจุดสำคัญที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาคำตอบมานาน นับหลายศตวรรษ บางท่านอาจจะได้ยินข่าวมาบ้างแล้วเกี่ยวกับการสร้างหลุมดำเมื่อเดือนก่อน โดยนักวิทยาศาสตร์มีความคาดหวังว่าหากการทดลองนี้ประสบผลสำเร็จ คงจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์อย่างมหาศาล ไหนจะเป็นการค้นพบความลับของห้วงจักรวาล และยังเป็นหลักฐานอ้างอิงได้ว่าโลกเราสามารถพัฒนาเทียบเท่ากับมนุษย์ยุค อวกาศได้อีกด้วย ...

ปล.ยัง มีมิติมากกว่านี้ครับ อยู่ในทฤษฏี เรายังยืนยันไม่ได้ว่าจริงหรือไม่ เพราะคาดว่ามันมีขนาดเล็กมากจนไม่กระทบอะไรกับเราเลย แต่มิติที่ ๔ ก็เป็นของจริงครับผมไม่เถียงไอน์สไตน์หรอกครับ แค่ผมอยากตอบคำถามของคุณ....กบนอกกะลา และผมต้องขอชมคุณ....กบนอกกะลาด้วยว่าคุณคือคนที่มีความประเสริฐของความรู้ และความประพฤติดีคนหนึ่งครับ เพราะความรู้ดีและความประพฤติดีนั้นเป็นสาระสำคัญของคนครับ

ส่วนคุณ....โฮฮับ

โฮฮับ เขียน:
sandsunshine เขียน:
พอดีว่าได้อ่านหนังสือเรื่อง ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น ของ ท.พ.สม สุจิรา มาน่ะค่ะ แล้วมีเรื่องเกี่ยวกับมิติที่4 ที่เกี่ยวกับเวลา ก็เลยอยากลองถามเพื่อนๆดูว่า มีใครเคยสัมผัสได้บ้างมั้ยคะ ? :b41:

krit_2112_tt เขียน:
ผมอีกคนหนึ่งก็เห็นด้วย เพราะพระพุทธองค์จะเน้นเกี่ยวกับเรื่องสุข ทุกข์ของมนุษย์ โดยทรงเน้นเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ครับ

คุณkrit_2112ครับ เรื่องที่จขกทเขาถามเขา เจาะจงจะถามสมาชิกที่รู้หรือเคยสัมผัสเรื่องนี้มาครับ
เขาไม่ได้จะถามพระพุทธเจ้า ผมว่าถ้าผู้ใดไม่มีความรู้หรือเคยเจอเรื่องนี้มา ก็ควรจะอยู่เฉยๆ
ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะแสดงความเห็นออกไปแบบคุณครับ อะไรกันครับให้ความกระจ่างกับเขาไม่ได้แล้วยัง
ไปต่อว่าสั่งสอนเขาอีก แบบนี้ชาวบ้านเขาเรียกว่า ไปไหนมาสามวาสองศอก
แต่ถ้าเป็นสำนวนการเมืองเขาเรียก แถครับ

สรุปเรื่องนี้คุณหรือจขกท ใครกันแน่ครับที่ไม่รู้เรื่องครับ


ผม แค่ตอบตามทรรศนะของผม ส่วนใครจะเห็นต่าง ก็ถือว่าทฤษฎีหรือทรรศนะต่างกัน ผมไม่ได้ให้มาเชื่อผมครับ อันนี้ผมไม่เคยวิตกครับ เพราะทุกคำถามหรือคำตอบ ต้องมีการถูกกล่าววิพาก วิจารณ์กันอยู่แล้ว ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลครับ

แต่ผมขอเตือนสติของคุณ....โฮฮับ ด้วยความเคารพสักนิดนะคุณ

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "สัตว์ทั้งหลายถูกทิฏฐิต่างๆ ดังกล่าวมาคล้องไว้ หมกอยู่ในทิฎฐิแล้วนั้นเหมือนปลาติดข่าย ไม่อาจดิ้นให้หลุดออกไปได้ พวกเขาพอใจ ติดใจในผัสสะแห่งอายตนะต่างๆ คือ ต่ หู จมูก ลิ้น กายและใจ มีความทะยานอยาก มีความยึดมั่นหรือติดใจ ซึ่งเป็นเหตุให้ทุกข์โทมนัสเป็นอันมาก"

แล้วคุณ....โฮฮับเองก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ผม (ดูจากระดับ) น่าจะยั้งคิดในคำพูดจาถากถาง ค่อนแคะผู้อื่น เป็นต้น น่าจะเป็นผู้อยู่เฉยๆ หรือค่อยๆ ตักเตือนรุ่นน้อง เสียมากกว่า จริงไหมครับ คุณ....โฮฮับไม่น่าเล่าเรียนธรรมเพียงเพื่อยกตนข่มผู้อื่น เพียงเพื่อกล่าวแก้วาทะของผู้อื่น (เอาชนะผู้อื่นด้วยการโต้เถียง) คุณสมควรไตร่ตรองเนื้อความแ่ห่งธรรมด้วยปัญญา คุณทำอย่างนี้มิได้รับประโยชน์แห่งการเรียนธรรมศึกษาธรรมหรอกครับ อย่างนี้แต่เพียงเป็นไปเพื่อให้โทษและทุกข์แก่คนอื่นเขา

ถ้าคุณ....โฮฮับคิดได้น่าจะลองทำอย่างนี้ดีไหม คือ เล่าเรียนธรรมด้วยดี ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมด้วยปัญญา หากคุณทำได้เช่นนี้ คุณและผู้อื่น รวมถึงตัวผมก็ย่อมได้รับประโยชน์แห่งการเล่าเรียนธรรม และเป็นไปเพื่อความสุข

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 22:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ..คุณ krit_2112_tt..ที่อุตส่าห์แปลมาให้อ่าน..

แต่..อ่านแปลแล้วเง็ง .. :b23: ..นิด ๆ
:b9: :b9:

วัตถุ..(กว้าง x ยาว x สูง ) ..ไม่เที่ยง..พอเข้าใจ

แต่..เวลา..ที่เคยคิดว่า..เวลาย่อมผ่านไปด้วยขนาดที่เท่ากัน..ยังไม่เท่ากันอีกรึนี้
งั้น..เวลา..ของมด..ของแมลง..ของช้างม้าวัวควาย..ของคน..ของเต่า..คงไม่เท่ากันซินะ..

เวลา..ที่ว่าแน่..ก็ยังไม่เที่ยง..เน๊าะ :b7: :b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องขอโทษคุณ....กบนอกกะลาด้วยครับ ผมไปสืบค้นมาจากวิชาการ.คอม ครับ ลำพังผมความรู้ไม่ถึงครับ ต้องขอโทษด้วยอีกครั้งครับ ผมหวังว่าคุณ....กบนอกกะลาคงให้อภัยกันได้นะครับ และผมขอให้ความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสมบูรณ์พูนผลจงบังเกิดแก่คุณ....กบนอกกะลา ตลอดทุกราตรีกาล....ครับ

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2010, 00:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

เจตนาดี..ก็เป็นกุศลแล้วละครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2010, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


krit_2112_tt เขียน:
ผมแค่ตอบตามทรรศนะของผม ส่วนใครจะเห็นต่าง ก็ถือว่าทฤษฎีหรือทรรศนะต่างกัน ผมไม่ได้ให้มาเชื่อผมครับ อันนี้ผมไม่เคยวิตกครับ เพราะทุกคำถามหรือคำตอบ ต้องมีการถูกกล่าววิพาก วิจารณ์กันอยู่แล้ว ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลครับ
แต่ผมขอเตือนสติของคุณ....โฮฮับ ด้วยความเคารพสักนิดนะคุณ

คุณว่า คุณตอบตามทรรศนะของคุณ ผมก็ตอบไปตามทรรศนะของผมครับ
แล้วคำตอบของผมมันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและเกี่ยวข้องกับกระทู้ และที่สำคัญที่สุดคือ..
คำนึงถึง สิ่งที่จขกทต้องการจะสื่อครับ

แต่ความเห็นของคุณและสมาชิกบางคนมันไม่ใช่สิ่งที่จขกทเขาถามครับ
ผมก็ไม่ทราบนะว่าพวกคุณจะอ้างถึงพระพุทธเจ้าทำไม
เหตุใดไม่ให้ความกระจ่างในสื่งที่จขกทข้องใจเสียก่อน แล้วจึงนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปิดท้ายครับ แบบนี้จะว่าผมวิพากคุณก็ยอมล่ะครับว่า เอาพระนามของพระพุทธเจ้ามาอวดภูมิธรรมครับ


krit_2112_tt เขียน:
แล้วคุณ....โฮฮับเองก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ผม (ดูจากระดับ) น่าจะยั้งคิดในคำพูดจาถากถาง ค่อนแคะผู้อื่น เป็นต้น น่าจะเป็นผู้อยู่เฉยๆ หรือค่อยๆ ตักเตือนรุ่นน้อง เสียมากกว่า จริงไหมครับ คุณ....โฮฮับไม่น่าเล่าเรียนธรรมเพียงเพื่อยกตนข่มผู้อื่น เพียงเพื่อกล่าวแก้วาทะของผู้อื่น (เอาชนะผู้อื่นด้วยการโต้เถียง) คุณสมควรไตร่ตรองเนื้อความแ่ห่งธรรมด้วยปัญญา คุณทำอย่างนี้มิได้รับประโยชน์แห่งการเรียนธรรมศึกษาธรรมหรอกครับ อย่างนี้แต่เพียงเป็นไปเพื่อให้โทษและทุกข์แก่คนอื่นเขา

อ้าวทำไมเอาสิ่งที่คุณทำแต่แรกมาโยนให้ผมครับ ผมว่าคุณต้องมั่นมองตัวเองให้มากกว่านี้นะครับ
คุณนี่มองแต่การกระทำของคนอื่น แล้วนำมาสรุปกับจิตตัวเอง

ไอ้ที่คุณว่า พูดจาถากถาง ค่อนแคะมันเป็นตัวคุณล้วนๆเลยครับ แล้วเหตุที่ผมต้องลง
มาแสดงความเห็นก็เพราะ ผมเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง กับการที่คุณไปยกตนข่มเจ้าของกระทู้ครับ

แล้ววิธีการแสดงความเห็นของผม ใครจะดูว่าถากถางมันก็ก็ถากถาง
ใครจะดูว่ามีเหตุผลมันก็มีเหตุผลครับ มันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
และสิ่งสำคัญมันขึ้นอยู่กับปัญญาด้วยครับ

คนมีปัญญาเขาเลือกดูแต่เนื้อหาสาระความสำคัญของกระทู้ ที่ทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง
เขาไม่ดูสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์แล้วเอามาทำให้ใจตัวเองร้อนรุ่ม แล้วนำมาแสดงการตอบโต้
แบบขาดสติไร้เหตุผล ที่ผมว่านี้เพราะ สิ่งที่คุณแสดงอยู่มันเป็นสิ่งที่คุณก่อหรือทำแต่เริ่มต้นครับ

อีกเรื่องที่บอกรุ่นพี่รุ่นน้องผมเห็นคุณบอกว่า ดูที่ระดับ ไอ้ระดับที่ว่ามันอะไรครับ
แต่ถ้าจะดูระดับ ซีเนียร์ จูเนียร์ในเว็บนี้ คุณเป็นรุ่นพี่ผมนะ คุณสมัคร3กพ ส่วนผมสมัคร13กพครับ
เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนอย่างไร การแสดงความเห็นมีเหตมีผลมั้ย
ยึดเอาสิ่งที่อยู่เป็นหลักฐานมาแสดงหรือไม่ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วผมจึงทนไม่ได้กับ
อาการวางมาดวางฟอร์มข่มจขกทครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2010, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ krit_21128ครับ คุณนี่ไม่อยู่กับร่องกับรอยเลยนะครับ
ตัวเองก็สอนจขกทอยู่ว่า อย่าถามหรืออยากรู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ตอบ แต่พอโดนสะกิดใจหน่อยเดียว
ลืมหมดสิ่งที่ตัวเองบอกชาวบ้านไว้ ถามจริงครับคุณไปเอาเนื้อหาเรื่องที่เกี่ยวกับมิติที่ว่า
มาโพสให้เปลื้องหน้าบอร์ดทำไมครับ ก็คุณบอกเองว่า อย่าถาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2011, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เคยสำผัสมิติที่4 ครับ แต่พิจารณาว่าหากมีแล้วคงจะไม่สามารถหนีพ้นหลักของพระไตรลักษณ์ได้เช่นกัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 22:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่เคยสำผัสมิติที่4 ครับ แต่พิจารณาว่าหากมีแล้วคงจะไม่สามารถหนีพ้นหลักของพระไตรลักษณ์ได้เช่นกัน

:b41: ไม่แน่ใจว่ามิติที่4 จะเกี่ยวเนื่อ่งไปถึง โลกสวรรค์ โลกนรก และโลกของมนุษย์หรือป่าว เพราะคนที่ถ้ามีปัญญาทางโลกมากจนเป็นอัจฉริยะแล้วรู้ยังไงก้รู้แค่เพียงไม่เกินโลกธาตุเท่านั้น แต่โลกอื่นหรือโลกหลังความตายจะไม่รู้เลย
ยิ่งภพภูมิอื่นยิ่งสืบหาเหตุผลไปไม่ถึง ยิ่งถ้าจักรวาลธาตุแล้วละก้อไม่สามารถจะหาตัวมาคำนวณได้เลยเป็นอินฟิลนิตี้
อยู่เหนือภูมิความรู้ของมนุษย์อันเป็นเพียงโลกียะ รู้เกินกว่านี้ก้หาอะไรมาพิสูจนไม่ได้แล้ว :b40:

อ้างคำพูด:
ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น
ผมเคยอ่านบทนำและบทแรกของผู้เขียนผู้นี้ ซึ่งเอาตำราของไอสไตน์มาวิเคราะห์แล้วเปรียบเทียบเพื่อโยงมาเข้ากับดับทุกข์ของทางศาสนาพุทธ พอโยงกันไปโยงกันมันเข้ากันได้
พอดี ถ้าอ่านจากเพียงในกท.นี้ที่มีผู้รู้มาตอบอาจดูเหมือนเข้าใจยากไปนิด แต่ถ้าไปเริ่มอ่านตั้งแต่แรกเลยของหนังสือ
เล่มนี้จะไม่ยากเกินภูมิปัญญาของคนอ่านซึ่งใครก้สามารถอ่านและเข้าใจตามผู้เขียนได้ทันที

ที่จขกท.ถามมาใครเคยสัมผัสบ้างมิติที่4 เท่าที่จขกท.เป็นเรื่องของอำนาจพลังจิตด้วย คนที่จะสัมผัสหรือเหนได้ต้องเข้าถึงอำนาจชนิดนี้ด้วย แต่สำหรับผมไม่มีหรอก และไม่เคยสัมผัสด้วย แต่จะสามารถเหนได้จากแขกรับเชิญเช่นในรายการที่สำคัญในช่องต่างๆที่รู้อะไรล่วงหน้าได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2011, 00:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


แล้วเจ้าของกระทู้เคยมีประสบการณ์ด้านนี้บ้างหรือเปล่า?
ถ้ามีเล่าสู่กันฟังเพื่อประดับความรู้สักเล็กน้อยได้ไหมค่ะ?

อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร