วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 18:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2011, 23:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
:b21:

แต่ยังงัย..ก็ยังอยากติดตามชมดูลุงกับหลาน..เขาคุยกันอยู่ดี..
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2011, 04:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หลานมึนโฮ ข้างต้น จขกท.เขาว่าเขาเข้าใจนะ แต่ปมมันอยู่ตรงนี้

อ้างคำพูด:
ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วอะไร คือ สิ่งที่ทำให้เราปฏิบัติศีล 5 หรือ ผิดศีล 5 อะไรที่ต้องมารับกรรม เวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ บอกว่าเราทุกข์ เพราะเรามัวแต่ยึดว่านี่ คือ ของเรา พ่อเรา แม่เรา ถ้าอย่างนั้นใครที่เราต้องทดแทนบุญคุณล่ะครับ


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น แล้วอไรที่ต้องรับกรรม เวียนตายเกิด ฯลฯ อย่างนั้นใครเราต้องทดแทนบุญคุณพ่อแม่ :b1:

หลานมึนโฮ เคลียร์ประเด็นนี้

พ่อใหญ่กรัชกาย ตอนอ่านกระทู้สงสัยไม่ได้สวมแว่นหรือไม่ก็ใส่แว่นกันแดดแทนแว่นสายตา
ลุงครับผมตอบ จขกทไปตั้งแต่มีมะโว้แล้ว นี่ครับ,,,,,
โฮฮับ เขียน:
phakawan15 เขียน:
คือผมนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในธรรมมะเท่าไหร่ครับ ที่ว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา กายเราไม่ใช่ของเราอันนี้ผมเข้าใจครับ แล้วบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าเป็นแบบนี้แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราปฏิบัติศีล 5 หรือ ผิดศีล 5 อะไรที่ต้องมารับกรรม เวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ บอกว่าเราทุกข์เพราะเรามัวแต่ยึดว่านี่คือของเรา พ่อเรา แม่เรา ถ้าอย่างนั้นใครที่เราต้องทดแทนบุญคุณล่ะครับ ขอให้ผู้รู้ช่วยแนะทางสว่างกับผมด้วยครับ ขอบคุณครับ :b8:

เรื่องการการยึดมั่นเป็นทุกข์คุณเข้าใจหมดแล้ว ผมจะอธิบาย แต่สิ่งที่คุณไม่เข้าใจนะครับ
คุณต้องรู้นะครับว่าธรรมชาติของจิตเมื่อไปรับรู้อะไรแล้วชอบเข้าไปยีดมั่นถือมั่น
และการยึดมั่นถือมั่น มันเป็นตัวการทำให้เกิดภพเกิดชาติ
เรื่องกรรมการกระทำอีกครับมันส่งผลไปชาติหน้าเหมือนกัน เพราะเราทำอะไรไปจิตจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่น
เหมือนกัน เหตุนี้เราจึงต้องเลือกทำแต่สิ่งที่ดีเป็นกุศล เพราะสิ่งนี้จะตามเราไปครับ

ที่นี้มาดูประเด็นสำคัญ ว่าทำไมเราวู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่ตัวเราเกิดจากการยึดมั่น
ตามที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นครับ มันเป็นธรรมชาติของจิต การที่จะให้จิตเลิกยึดมั่น
แค่รู้อย่างเดียวไม่ได้ครับ เราต้องปฏิบัติด้วย แล้วปฏิบัติอย่างไรก็ในเรื่องมรรคมีองค์แปด
การปฏิบัติไม่ใช่เรื่องง่ายอาจไม่สำเร็จในชาติเดียว
การถือศีลหมั่นทำความดี มันเป็นเรื่องของความไม่ประมาท เพราะถ้าเรายังปฏิบัติไม่ถึง
ระดับอรหันต์ เราย่อมต้องเกิดใหม่แน่ๆ
สรุปก็คือการป้องกันไม่ชาติหน้าค้องไปเกิดในอบายภูมิครับ มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
และการยึดมั่นถือมั่น

อ่านดูหรีอยังว่าผมตอบไปแล้ว มันถูกผิดหรือลุงไม่เห็นด้วยตรงไหนก็ว่ามาซิครับ
อย่าทำตัวเป็นเด็กพูดไม่รู้ฟังซิครับ

เอาบอกให้หน่อยไม่อยากเจอคนย้ำคิดย้ำทำ
ลุงอ่านคหผมดีๆนะว่าผมบอกว่าอะไร เป็นผู้กระทำในความเห็นผม
อะไรเป็นตัวไปยึดมั่นถือมั่น
แล้วลุงก็อย่าลืมนะว่าผมกำลังอธิบายความในส่วนที่ว่า
สมมุติให้จขกทฟังอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2011, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


phakawan15 เขียน:
ผมขอขอบคุณทุกท่านมากจริงๆครับ ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับ :b8: (ว่าแต่มันเปลี่ยนรูปกับชื่อที่ใช้ในบอร์ดยังไงอ่ะครับ)


ชื่อที่ใช้เปลี่ยนไม่ได้ค่ะ
นอกจากสมัครเข้ามาในชื่อใหม่

ส่วนรูป...ก็ไปที่ตั้งค่าส่วนตัวสมาชิก (ด้านบนซ้ายมือ)
คลิกที่ข้อมูลสมาชิก...ไปที่แก้ไขรูปประจำตัว
คิดว่าต่อจากนั้นคุณคงทำเองต่อไปได้นะค่ะ

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2011, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: เหตุอย่างนี้ เกิดขึ้นเป็นประจำที่ต้องมาทุ่มเถียงกัน จากคำถามทำนองนี้ บางคนอาจถามเพราะไม่รู้และอยากรู้จริงๆ แต่ส่วนใหญ่ไปอยากรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้(ไม่ใช่ทาง) หรือยังไม่ถึงเวลาที่ต้องรู้ หรือบางคนก็อาจถามแหย่ๆเข้ามาอย่างนั้นเอง ไม่ต้องการคำตอบจริงจัง แต่ต้องการวัดอะไรบางอย่างเช่นระดับสติปัญญา ระดับกิเลส หรือขนาดตัวตนของผู้ประกาศตนเป็นนักธรรมะปฏิบัติทั้งหลาย นั่งดูเราหาเหตุผลมาทุ่มเถียงกัน เพื่อความยอมรับ เพื่อปกป้องความคิดเห็นและอัตตาของตัวเอง

ท่านเจโตครับ ก่อนที่จะแสดงความเห็นผมว่าท่านต้อง เข้าใจถึงสถานะและสถานที่ ที่พวกเรา
กำลังแสดงออกกันอยู่นะครับ การจะพูดอะไรโดยการอาศัยช่วงจังหวะ เพื่อถือโอกาศเข้ามาประกาศตนเป็น
ผู้รอบรู้ทำสามารถทำได้ครับ แต่ต้องดูสถานที่ เวลาและบุคคลด้วย
ที่สำคัญต้องมาให้ความรู้ครับ ไม่ใช่มาว่ากล่าวคนที่กำลังให้ความรู้นะครับ

สิ่งที่ท่านพูดมามันดูเหมือนว่า พวกเรากำลังถกเถียงในเรื่องไม่ใช่เรื่อง
นั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน อย่าให้ผมต้องวิพากษ์ท่านเลยว่า อุปนิสัยแบบนี้เรียกว่าอะไร

ผมจะบอกอะไรให้ครับ คนที่มีหัวใจแห่งความเป็นครู
เขาให้โดยไม่มีข้อแม้ครับ ครูที่แท้เขาไม่เลือกศิษย์หรอกครับ
ยิ่งเป็นศิษย์ที่เกเรหรือปัญญาด้อยกว่าคนอื่น เรายิ่งต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ครูมีหน้าที่ทำคนให้ฉลาดและต้องพยายามสอนให้คนที่เกเรเป็นคนดีของสังคมครับ


ไอ้วิธีการที่ท่านเจโตบอกมา ผมว่ามันไม่ใช่วิสัยของคนเป็นครูเลยครับ
มันเป็นเรื่องของเจ้าของกิจการ กำลังคัดเลือกบุคคลเพื่อมาเป็นลูกจ้างครับ

เจโตวิมุติ เขียน:
: คำถามแรกของคนพึ่งเริ่มสนใจธรรมะ มาถามว่า อะไรคือเรา อะไรคือผู้รู้ -อะไรคือผู้ถูกรู้ มันน่าฉงน เป็นเราจะไม่ตอบ จะถามกลับไปว่า สนใจธรรมะจริงหรือ ถ้าสนใจจริง ต้องไปรู้จัก เรื่องทาน เรื่องศีลเสียก่อน ไปรู้เรื่อง อกุศลมูล กิเลส3หรือยัง ถ้ายังไม่รู้เลย อย่ามาถามปัญหาเรื่องอะไรคือเรา เรื่องตัวตน มันเป็นเรื่อง เกี่ยวกับจิต มันเป็นความรู้ขั้นสมาธิ วิปัสนา ซึ่งต้องรู้จริงมาเปิดตำราตอบกันไม่ได้ มันไม่ตรงกัน และมันก็จะเกิดอัตตาขึ้น อย่างที่เห็นกันอยู่ทุกครั้ง เมื่อมีคำถามแบบนี้
.....

มันมีภาษาธรรมที่มักจะใช้กัน ก็คือนานาจิตตังครับ
ท่านเจโตอาจมองว่า เด็กมาถามอะไรเลยเปลื่อย ถามเกินตัว ถามในสิ่งที่ยังไม่น่าถาม
แต่ผมอยากให้ท่านเจโตลองคิดในมุมกลับกันดูครับว่า....
ถ้าท่านบอกเด็กไปในทำนองนั้น เด็กอาจคิดไปว่า ครูไม่รู้จริง เลยแกล้งหาเหตุปฏิเสธ
หรือเด็กอาจกลัวคิดว่า ครูหาว่ามาแกล้งถามเล่นๆ อีกหน่อยก็คงไม่กล้าถาม
ผมว่านะครับ จะเป็นอะไรอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องบอกเด็กในแง่ดีไว้ก่อนครับ


อีกอย่างครับ ในห้องหรือเว็บนี้ไม่ใช่มีแต่จขกทเท่านั้นนะครับ ยังมีสมาชิกอีกมากมาย
มีระดับความรู้คละเคล้ากันไป ไม่รู้ท่านจะเข้าใจหรือเปล่า

แล้วที่ท่านมาบอกว่า มาถกเถียงกันเพื่อแสดงอัตตา
การถกเถียงกันโดยที่ต่างก็แสดงความเห็น
แสดงความรู้ที่ตัวมี ให้เหตุผลและแย้งเมื่อไม่เห็นด้วย นี่เป็นอันหนึ่งนะครับ

แล้วกับคนที่ชอบโพสความเห็นของตัวเอง เมื่อมีผู้มาโต้แย้ง ก็แสดงอาการไม่พอใจ
ถึงกับเอ่ยปากว่าไม่อยากคุยด้วย ออกอาการดูหมิ่นดูแคลน บุคคลที่มาแย้ง
ประเภทแย้งไม่เอา รับแต่สาธุ อนุโมทนาเท่านั้น
ท่านเจโตว่าอันไหนมันมีอัตตามากกว่ากันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2011, 20:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 20:08
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: เหตุอย่างนี้ เกิดขึ้นเป็นประจำที่ต้องมาทุ่มเถียงกัน จากคำถามทำนองนี้ บางคนอาจถามเพราะไม่รู้และอยากรู้จริงๆ แต่ส่วนใหญ่ไปอยากรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้(ไม่ใช่ทาง) หรือยังไม่ถึงเวลาที่ต้องรู้ หรือบางคนก็อาจถามแหย่ๆเข้ามาอย่างนั้นเอง ไม่ต้องการคำตอบจริงจัง แต่ต้องการวัดอะไรบางอย่างเช่นระดับสติปัญญา ระดับกิเลส หรือขนาดตัวตนของผู้ประกาศตนเป็นนักธรรมะปฏิบัติทั้งหลาย นั่งดูเราหาเหตุผลมาทุ่มเถียงกัน เพื่อความยอมรับ เพื่อปกป้องความคิดเห็นและอัตตาของตัวเอง
คำถามแรกของคนพึ่งเริ่มสนใจธรรมะ มาถามว่า อะไรคือเรา อะไรคือผู้รู้ -อะไรคือผู้ถูกรู้ มันน่าฉงน เป็นเราจะไม่ตอบ จะถามกลับไปว่า สนใจธรรมะจริงหรือ ถ้าสนใจจริง ต้องไปรู้จัก เรื่องทาน เรื่องศีลเสียก่อน ไปรู้เรื่อง อกุศลมูล กิเลส3หรือยัง ถ้ายังไม่รู้เลย อย่ามาถามปัญหาเรื่องอะไรคือเรา เรื่องตัวตน มันเป็นเรื่อง เกี่ยวกับจิต มันเป็นความรู้ขั้นสมาธิ วิปัสนา ซึ่งต้องรู้จริงมาเปิดตำราตอบกันไม่ได้ มันไม่ตรงกัน และมันก็จะเกิดอัตตาขึ้น อย่างที่เห็นกันอยู่ทุกครั้ง เมื่อมีคำถามแบบนี้
.....คำถามแบบนี้ ถ้าไปถามกับหลวงพ่อชา คำตอบของท่านคงทำให้หยุดปากพล่อย และเลิกเห็นธรรมะเป็นของเล่นไปอีกนาน.....เจโตวิมุติ


ต้องขอโทษจริงๆครับ ผมไม่มีเจตนาที่จะคิดนั่งดูคนเถียงกันเลยครับ แต่เพราะผมอยากรู้จริงๆครับ ถ้ามันเป็นเรื่องที่ยังไม่ควรรู้ผมขอโทษจริงๆครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2011, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในธรรมมะเท่าไหร่ครับ ที่ว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา กายเราไม่ใช่ของเราอันนี้ผมเข้าใจครับ แล้วบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าเป็นแบบนี้แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราปฏิบัติศีล 5 หรือ ผิดศีล 5 อะไรที่ต้องมารับกรรม เวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ บอกว่าเราทุกข์เพราะเรามัวแต่ยึดว่านี่คือของเรา พ่อเรา แม่เรา ถ้าอย่างนั้นใครที่เราต้องทดแทนบุญคุณล่ะครับ ขอให้ผู้รู้ช่วยแนะทางสว่างกับผมด้วยครับ


นำปัญหา จขกท. ไปตอบให้ที่นี่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?t ... 66#msg6266

หากยังมีประเด็นไม่เคลียร์ถามต่อได้ครับ คำถามนี้จะต้องค่อยๆสนทนาถามตอบกันสองคน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจจากคำถามคำตอบนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2011, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


phakawan15 เขียน:
คือผมนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในธรรมมะเท่าไหร่ครับ ที่ว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา กายเราไม่ใช่ของเราอันนี้ผมเข้าใจครับ แล้วบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าเป็นแบบนี้แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราปฏิบัติศีล 5 หรือ ผิดศีล 5 อะไรที่ต้องมารับกรรม เวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ บอกว่าเราทุกข์เพราะเรามัวแต่ยึดว่านี่คือของเรา พ่อเรา แม่เรา ถ้าอย่างนั้นใครที่เราต้องทดแทนบุญคุณล่ะครับ ขอให้ผู้รู้ช่วยแนะทางสว่างกับผมด้วยครับ ขอบคุณครับ :b8:


สวัสดี คุณPhakawan 15

ออกตัวไว้ก่อนนะครับ เราเป็นสหายธรรมกัน เว็ปนี้ ที่จะแสดงความเห็นเพื่อพิจารณากัน ตามอัธยาศัย

ขอแยกประเด็นก่อนนะครับ

1.เมื่อในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็น ของเรา... อะไรทำให้เราปฏิบัติศีลภาวนา
อะไรที่ต้องมารับกรรม เวียนว่ายตายเกิด
2.เมื่อในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็น ของเรา พ่อ แม่ ก็ไม่มี บุญคุณก็ไม่มี การทดแทนบุญคุณ แก่สิ่งที่ไม่มีของเรา ก็ไม่มี.

ความรู้ ความเข้าใจ ธรรมชาติของชีวิตของคุณ Phakawan 15 ในลักษณะแบบนี้ และนำมาตั้งเป็นประเด็นเพื่อไต่ถามเป็นธรรมดาของผู้ที่ต้องการความเห็นถูกต้อง ก็อนุโมทนากับคำถามครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2011, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Phakawan 15...ครับ
พระธรรมที่พระพุทธองค์ ทรงแสดง ก็เพื่อ ประโยชน์สุขในปัจจุบัน และประโยชน์สุขในกาลข้างหน้า
ประโยชน์สุขในปัจจุบัน ก็เช่น เพื่อความอยู่กันได้อย่างผาสุกในสังคม และความดับเย็นจากความเร่าร้อนอันเนื่องด้วยความยึดมั่นถือมัน และความถือตน ความเห็นผิดบางประการ

พระพุทธองค์ ทรงให้ความสำคัญ แก่ศีล ก็เพื่อให้มีความไม่เบียดเบียน ความเมตตา ความกรุณา และเป็นเครื่องอยู่อย่างผาสุกต่อกัน

สิ่งที่เรียกว่าโลก พระองค์ทรงแสดงว่า คือ ขันธ์ 5 สิ่งที่ปรากฏเป็นเราเป็นเขา ก็อาศัยการประกอบกันของขันธ์ 5
ขันธ์ 5 เราก็มี คนอื่นก็มี และต่างก็มีปฏิสัมพันธ์กัน หากยังไม่อาจถอนความยึดมั่นถือมั่น ความอาลัยอาวรณ์ต่อขันธ์ 5 ได้.

นั่นหมายความง่ายๆ ว่า หากคุณ Phakawan 15 ยังมีความอาลัยอาวรณ์ ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 แม้เพียงน้อยหนึ่ง คุณPhakawan 15 ก็ยังมีเชื้อแห่งการเกิด และต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นอยู่ดี

พ่อ แม่ ที่เกิดร่วมกัน คุณ Phakawan 15 ก็อาจจะเคยเป็นพ่อ เป็นแม่ของท่านเช่นกัน แต่ในชาตินี้ บุพพการีทั้งสองเป็นผู้ให้กำเนิด แก่คุณ Phakawan 15 จึงเป็นผู้ให้โอกาสแก่คุณ Phakawan 15 ในการทำกิจต่างๆ ในปัจจุบัน.

ในความเข้าใจ ระดับศีล แบบนี้ ย่อมทำให้มนุษย์ แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมเครื่องนำออกจากทุกข์ นะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2011, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Phakawan 15 ครับ

เรื่องที่ว่า ไม่ใช่เรา ไม่เป็นของเรา โลกไม่มีอะไรเป็นของเรา
หมายถึงการทำความรู้ถึงสภาพของขันธ์ 5 ที่ประกอบกัน ด้วยเหตุปัจจัยนานาประการครับ แต่เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาที่ต้องแก้ไข ต่างหากครับที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ โกลาหลขึ้นมา ระหว่างคุณ Phakawan 15 กับคนอื่นๆรอบตัวครับ.

ตัวนั้นคือความต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง จับต้องได้ เป็นไปในอำนาจ ควบคุมได้ ซึ่งเป็นต้นเค้าแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ครับ

ประโยชน์โลกหน้า หรือกาลต่อไป คือเพื่อความดับเย็น หรือการพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสามภพ หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีสุคติภพเป็นที่หมายครับ

เมื่อคุณ Phakawan 15 สำเร็จประโยชน์ ต่อสังคม และอยู่ร่วมอย่างผาสุกกับคนรอบตัว คุณ Phakawan 15 อาจจะต้องการสุขที่ถาวร เที่ยงแท้อย่างยิ่ง คุณ Phakawan 15 ก็อาจทำการศึกษาต่อ เพื่อดับความยึดมั่นถือมั่นอันนำไปสู่ ชาติชรามรณะ ครับ

นั่นคือ การไถ่ถอน การสลัดคืนซึ่งความอาลัยอาวรณ์ ว่าโลก นี้ เป็นเรา เป็นของเรา อยู่ในอำนาจเราเสีย ครับ
พูดง่าย แต่ต้องใช้ความอุตสาหะและความสงัดแห่งจิต ในการตามประกอบครับ

กิจแบบนี้ คือกิจที่ทำเพื่อพ้นจากโลก(คือขันธ์ 5) ครับ

หวังว่าคุณ Phakawan คงศึกษาธรรม เพื่อสำเร็จประโยชน์ แก่การอยู่ร่วมกันในโลก และการนำออกจากชาติ ชรา มรณะ อันเป็นส่วนเฉพาะของคุณ Phakawan 15 เท่านั้นนะครับ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2011, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


phakawan15 เขียน:
คือผมนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในธรรมมะเท่าไหร่ครับ ที่ว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา กายเราไม่ใช่ของเราอันนี้ผมเข้าใจครับ แล้วบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าเป็นแบบนี้แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราปฏิบัติศีล 5 หรือ ผิดศีล 5 อะไรที่ต้องมารับกรรม เวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ บอกว่าเราทุกข์เพราะเรามัวแต่ยึดว่านี่คือของเรา พ่อเรา แม่เรา ถ้าอย่างนั้นใครที่เราต้องทดแทนบุญคุณล่ะครับ ขอให้ผู้รู้ช่วยแนะทางสว่างกับผมด้วยครับ ขอบคุณครับ :b8:

:b1:
...ทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเป็นสภาพธรรมที่ปรากฎให้แต่ละคน(จิตแต่ละดวง)ทำกรรม....
...หยาบ-ละเอียดต่างกัน...แต่ละวันจิตแต่ละดวงทำอยู่ 2 อย่างคือคิดดีกับคิดไม่ดี..
...สภาพที่เจอในชีวิตประจำวันเป็นสภาพที่มีอยู่จริงตามสมมุติบัญญัติในภพภูมิมนุษย์...
...ปรากฎให้เห็นได้ 6 ทาง(ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ)ต่างอันต่างเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปทีละขณะ...
...มีแต่สภาพเกิด-ดับทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ...ขณะเห็นไม่ใช่ขณะได้ยิน...ขณะได้ยินก็ไม่ใช่ขณะได้กลิ่น...
...ขณะได้กลิ่นก็ไม่ใช่ขณะที่ลิ้มรส...ขณะลิ้มรสก็ไม่ใช่ขณะที่รับสัมผัส...ทุกสิ่งไม่เกิดพร้อมกัน...
...แต่สภาพที่เห็นเป็นองค์รวมเป็นสภาวะที่มีกิเลสปกปิดความจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา...
...ผู้สิ้นกิเลสคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอย่างละเอียดว่า...สภาพที่หมดกิเลส...
...เป็นสภาพจิตเห็นความจริงของสภาพเกิดดับแต่ละทาง(6 ทาง)ทีละขณะ...ไม่มีคน สัตว์ สิ่งของ...
...เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุธรรมตั้งแต่พระโสดาบันจึงเป็นผู้รู้สภาพความจริงของการเกิด-ดับจริงๆเพราะจิตเร็วขึ้น...
...คือรู้และดับกิเลสที่ปกปิดความจริงคือเข้าใจความจริงของธรรมชาติสมมุติบัญญัติได้ตามชั้นที่บรรลุธรรม...
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2011, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
phakawan15 เขียน:
คือผมนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในธรรมมะเท่าไหร่ครับ ที่ว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา กายเราไม่ใช่ของเราอันนี้ผมเข้าใจครับ แล้วบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าเป็นแบบนี้แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราปฏิบัติศีล 5 หรือ ผิดศีล 5 อะไรที่ต้องมารับกรรม เวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ บอกว่าเราทุกข์เพราะเรามัวแต่ยึดว่านี่คือของเรา พ่อเรา แม่เรา ถ้าอย่างนั้นใครที่เราต้องทดแทนบุญคุณล่ะครับ ขอให้ผู้รู้ช่วยแนะทางสว่างกับผมด้วยครับ ขอบคุณครับ :b8:

:b1:
...ทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเป็นสภาพธรรมที่ปรากฎให้แต่ละคน(จิตแต่ละดวง)ทำกรรม....
...หยาบ-ละเอียดต่างกัน...แต่ละวันจิตแต่ละดวงทำอยู่ 2 อย่างคือคิดดีกับคิดไม่ดี..
...สภาพที่เจอในชีวิตประจำวันเป็นสภาพที่มีอยู่จริงตามสมมุติบัญญัติในภพภูมิมนุษย์...
...ปรากฎให้เห็นได้ 6 ทาง(ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ)ต่างอันต่างเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปทีละขณะ...
...มีแต่สภาพเกิด-ดับทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ...ขณะเห็นไม่ใช่ขณะได้ยิน...ขณะได้ยินก็ไม่ใช่ขณะได้กลิ่น...
...ขณะได้กลิ่นก็ไม่ใช่ขณะที่ลิ้มรส...ขณะลิ้มรสก็ไม่ใช่ขณะที่รับสัมผัส...ทุกสิ่งไม่เกิดพร้อมกัน...
...แต่สภาพที่เห็นเป็นองค์รวมเป็นสภาวะที่มีกิเลสปกปิดความจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา...
...ผู้สิ้นกิเลสคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอย่างละเอียดว่า...สภาพที่หมดกิเลส...
...เป็นสภาพจิตเห็นความจริงของสภาพเกิดดับแต่ละทาง(6 ทาง)ทีละขณะ...ไม่มีคน สัตว์ สิ่งของ...
...เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุธรรมตั้งแต่พระโสดาบันจึงเป็นผู้รู้สภาพความจริงของการเกิด-ดับจริงๆเพราะจิตเร็วขึ้น...
...คือรู้และดับกิเลสที่ปกปิดความจริงคือเข้าใจความจริงของธรรมชาติสมมุติบัญญัติได้ตามชั้นที่บรรลุธรรม...
:b4: :b4:

:b16:
...สิ่งที่ทำให้เราปฏิบัติศีล5ก็เริ่มมาจากจิตทำกิจอยู่ 2 อย่างคือคิดดีกับคิดไม่ดี...
...เวลารักษาศีลเป็นเวลาที่คิดเป็นกุศล...เกิดสภาพธรรมที่เป็นกุศลธรรม...เกิดคุณธรรมความดี...
...ส่งผลให้เป็นกรรมดีที่สะสมเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป...ขณะที่ไม่รักษาศีลเป็นเวลาคิดที่เป็นอกุศล...
...เกิดสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรม...ขณะนั้นๆทำไม่ดีตลอดเวลา...มีเกิดขึ้นและก็หมดทั้ง6ทางไป...
...ทุกขณะที่เวลาผ่านไปแล้วสะสมอะไรไว้บ้างก็แยกแยะไม่ออกเพราะยังเข้าไม่ถึงสภาพเกิด-ดับแต่ละอย่าง...
...ก็ทุกขณะที่คิดเมื่อไม่เข้าใจว่าตลอดเวลาที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รับสัมผัส ได้เกิดการสะสมนอนเนื่องในจิตแล้ว...
...ไม่มีใครสามารถจะบังคับหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่สะสมนั้นได้เลย...นี่เป็นสภาพที่เรียกว่าเป็นอนัตตา...
...เช่นโกรธก็คิดโกรธ...ถ้าดับโกรธนั้นไม่ได้...ปล่อยให้โกรธข้ามวันข้ามคืน...คิดดูว่าอกุศลได้สะสมแล้วนับไม่ถ้วน...
...ก็การสะสมของจิตแต่ละดวงนั้น...จิตดวงนั้นเองเป็นผู้ที่จะไปรับวิบากกรรมที่เกิดขึ้น...ไม่มีจิตดวงอื่นรับแทนได้...
...ฉะนั้น...จึงต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจและต้องฟังสิ่งที่ถูกต้อง...จะลดกิเลสจึงทำยังไม่ได้ต้องละความเห็นผิดให้ได้ก่อน...
:b12:
:b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร