วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 05:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 19:49
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: การไปกราบไหว้เทวดา และบริจาคทานในสถานที่กราบไหว้เพื่อเป็นค่าน้ำ ค่าไฟตามกำลังศรัทธา จะได้บุญเทียบเท่ากับ การไปทำบุญที่วัด(เฉพาะเรื่องการบริจาคทาน ไม่นับการฟังเทศน์และปฏิบัติธรรม) รึป่าวครับ โดยกำหนดให้ ผู้ที่ไปทำบุญทั้งสองที่มีเจตนาที่บริสุทธิ์ในการบริจาคทานเหมือนกัน :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 08:25
โพสต์: 326


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue เมื่อเจตนาดี และทานก็บริสุทธิ์ อานิสงน์ของบุญย่อมบังเกิดอยู่แล้วค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ :b8: :b8: :b8: tongue

.....................................................
สุดปลายฟ้า... เชื่อมั่นและสัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทานค่าน้ำไฟที่วัด กับทานค่าน้ำไฟที่ศาลเจ้า เท่ากันไหม

เพื่อความเข้าใจเบื้องต้น
เรามองอย่างนี้ว่า ทานประกอบด้วย
1. ส่วนของผู้ให้
2. สิ่งที่ให้
3. ผู้รับ


คำถามที่คุณถาม ถามว่าระหว่างผู้รับทั้งสอง คือศาลเจ้า กับวัด
ถ้าทานค่าน้ำไฟให้ แล้วบุญมันจะเท่ากันไหม
หรืออีกนัยย์หนึ่ง ถามว่า ผู้รับทานที่แตกต่างกัน ได้รับทานชนิดเดียวกัน ด้วยผู้ให้ที่เจตนาเดียวกัน
จะได้บุญเท่ากันไหม


พระพุทธเจ้าท่านว่ามันไม่เท่ากันนะ
แต่ไม่ได้แยกเป็นวัด หรือศาลเจ้า ท่านแยกเป็น "ระดับคุณธรรมของผู้รับ"

ทานที่ทำให้กับผู้ที่มีระดับศีลธรรมสูง จะมีผลมากกว่าทานที่ให้กับผู้ทุศีล หรือคุณธรรมต่ำกว่า
เช่น ให้ข้าวน้ำกับสัตว์ ย่อมมีผลน้อยกว่าการให้ข้าวน้ำมนุษย์
ให้ข้าวน้ำแก่มนุษย์ผู้มีศีล ย่อมมีผลมากกว่ามนุษยืที่ไม่มีศีล เป็นต้น
รายละเอียด
(ขอให้อ่านอาจารย์ปราณีต ก้องสมุทร เพิ่มเติมเอา http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html)

ถ้าในวัดเป็นพระทุศีลกันหมด มีศีลไม่ครบห้า ในขณะเดียวกันที่ศาลเจ้าคงจะมีผลมากกว่า เพราะเทวดามีศีล 5 ครบเป็นปกติ ซึ่งมากกว่าพระทุศีล 5

แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถไปรู้ว่าเทวดาอยู่ไหม พระรูปไหนทุศีล
เราจึงสุดปัญญาจะไปคอยคัดกรอง ว่าเอาอะไร ไม่เอาอะไร

ทีนี้ ปัญหาของคุณคือ คิดว่าถ้าลงทุนอันไหนได้ผลมากกว่า ก็มีแนวโน้มจะทำทานให้กับฝ่ายที่ให้บุญมากกว่า
ซึ่งที่จริงอย่างนี้ไม่ผิด แต่ไม่ถูกต้อง จะเป็นการปลูกฝังนิสัยเห็นแก่ตัวสืบไปเรื่อยๆ

พระพุทธเจ้าท่านสอนไปตามความเป็นจริงว่า ทานที่ทำกับคนดี มันมีผลมากกว่าทำกับคนชั่ว แต่ไม่ได้หมายความว่า "อันไหนน้อย อย่าไปทำ ทำอันที่ได้มากไว้ก่อน"

ตรงกันข้าม ท่านสอนสำทับไว้ว่าอย่าประมาทบุญว่าเล็กน้อย
อ้างคำพูด:
มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส น มตฺตํ อาคมิสฺสติ อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภปิ ปูรติ อาปูรติ ธีโร บุญฺญสฺส โถกํ โถกํปิ อาจินํ

ไม่ควรดูหมิ่นต่อบุญว่ามีประมาณน้อยจักไม่มีมาถึง
แม้หม้อน้ำย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาฉันใด
ผู้มีปัญญาสั่งสมบูญแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มได้ด้วยบุญ ฉันนั้น


หมายความว่า ถ้าจะให้ดี คุณอย่าไปลังเลสงสัยในการทำทานแก่ที่ทั้งสองอีก ไม่ต้องเปรียบเทียบ ตรงหน้าเรามีทานอะไรทำได้ไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น ก็ให้ตั้งใจทำ

เพราะในชีวิตจริง เวลาเราทำทาน
เราคงไม่สามารถแยกร่างเป้นสองคนไปทำทานในเวลาเดียวกันสองที่ได้
เราทำทานคนละเวลา คนละสถานที่ คนละกรรม คนละวาระกัน ไม่ต้องเอามาเปรียบกัน
ไม่ใช่ว่าถ้าเราเลือกอันหนึ่ง แล้วจะเสียอันหนึ่งไปแต่อย่างใด

เปรียบเหมือนเกษตรกรสองคน คนหนึ่งนั้น น้ำเล็กน้ำน้อย ฝนเล็กฝนน้อย ก็ไม่เกี่ยง
แต่อีกคน ฝนเล็กฝนน้อย ก็เกี่ยงว่าน้อย ไม่ใส่ใจกักไว้ รอจะกักแต่ฝนใหญ่
คำถามคือว่า สองคนนี้ ใครจะกักน้ำได้มากกว่ากัน

วันนี้เวลานี้อยากไปนี่ ก้ตั้งใจทำที่นี่ ก็เพราะศรัทธามันแรงกว่า เราก็ไปทำที่ที่ศรัทธาแรงกว่า
วันต่อมา ศรัทธาก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวเราก้ไปศรัทธาตรงโน้นมากว่าที่เดิม เราก็ไปทำได้เลย
เวลานั้น เราชอบตรงไหนก็ไปตรงนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 19:49
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนากับคำตอบครับ
จริงๆ ผมก็ไม่ได้เกี่ยงหรอกนะครับว่าทำที่ไหนได้บุญเยอะกว่ากัน เพราะที่ที่ผมอยู่มันเอื้อให้ไปทำบุญที่ศาลเจ้ามากกว่า ที่วัด การที่ผมไปทำบุญกราบไหว้เทวดาบ่อยๆ เข้า ก็กลัวใจตัวเองว่าจะกลายเป็นงมงายเชื่อเรื่องผีสางเทวดาไป ก็เลยแค่อยากจะรู้ว่า การทำบุญกับเทวดา มันจะได้บุญเหมือนกับการทำบุญที่วัดไม๊ หรือเป็นเพียงความเชื่อที่งมงายครับ (คือผมเชื่อในพระพุทธศาสนานะครับ แต่ไมรู้จะเชื่อเรื่องผีสางเทวดาดีไม๊ เลยลังเลว่าการไปทำบุญแบบนี้ จะยังได้บุญอยู่หรือเปล่า ??)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญในบวรพระพุทธศาสนาได้บุญมากที่สุดแล้วครับ
พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลกที่ไม่มีนาบุญอื่นใดยิ่งกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


BENZiNE เขียน:
อนุโมทนากับคำตอบครับ
จริงๆ ผมก็ไม่ได้เกี่ยงหรอกนะครับว่าทำที่ไหนได้บุญเยอะกว่ากัน เพราะที่ที่ผมอยู่มันเอื้อให้ไปทำบุญที่ศาลเจ้ามากกว่า ที่วัด การที่ผมไปทำบุญกราบไหว้เทวดาบ่อยๆ เข้า ก็กลัวใจตัวเองว่าจะกลายเป็นงมงายเชื่อเรื่องผีสางเทวดาไป ก็เลยแค่อยากจะรู้ว่า การทำบุญกับเทวดา มันจะได้บุญเหมือนกับการทำบุญที่วัดไม๊ หรือเป็นเพียงความเชื่อที่งมงายครับ (คือผมเชื่อในพระพุทธศาสนานะครับ แต่ไมรู้จะเชื่อเรื่องผีสางเทวดาดีไม๊ เลยลังเลว่าการไปทำบุญแบบนี้ จะยังได้บุญอยู่หรือเปล่า ??)


หากคุณจะมีความเชื่อ และความเคารพในเทวดาก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล คงห้ามกันไม่ได้
แต่อยากให้ระลึกไว้ว่าเราควรเคารพเทวดาในคุณธรรมที่เขามี เช่นมีศีลมีธรรมเหนือกว่ามนุษย์ทั่วๆไป ไม่ใช่ในอำนาจหรืออิทธิฤทธิ์ที่เขามี
แต่ก็อย่าให้จบที่แค่นั้น พึงระลึกอยู่เสมอว่าเราก็ควรจะพัฒนาตนให้มีคุณธรรมให้มีศีลธรรมยิ่งๆขึ้นไป
สิ่งใดที่บกพร่องเราก็แก้ไข สิ่งใดที่ดีเราก็รักษาไว้
ด้วยความคิดแบบนี้ทั้งเราทั้งเทวดาก็จะอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพในคุณธรรมของกันและกัน และเกื้อหนุนกันให้ต่างฝ่ายต่างพัฒนาตนในทางที่เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป

แนะนำให้อ่าน
http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/553


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2011, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเอาเกณฑ์พระไตรปิฏกฉบับเถรวาทที่เราใช้กันอยู่
ต้องบอกว่า เทวดา มีจริง และเรื่องของเทวดานั้น มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเยอะแยะเต็มไปหมด
เช่นพระพุทธเจ้าเสด็จสวรรค์โปรดพระมารดาทีึ่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าตอบปัญหาเทวดาทุกคืนในเวลาเที่ยงคืน พระพุทธเจ้าแบ่งภพภูมิเป็น 31 ภพภูมิ เป็นส่วนของเทวดาครึ่งค่อน

ดังนั้น เรื่องเทวดาต้องมีจริง ตามเกณฑ์ดังกล่าว


แต่ว่า ถ้าจะบอกว่าเทพเอ เทพบี เทพซี มีจริงมั๊ย อันนี้คนละเรื่องกัน มันเป็นความเชื่อที่แตกต่างกันไปตามพื้นฐานวัฒนธรรม อาจจะมีจริงหรือไม่เราไม่ทราบ

ดังนั้น การกราบไหว้เทวดา เอ บี ซี ดี เป็นเรื่องเฉพาะบุคลจะนับถือ
แต่การกราบไหว้เทวดา(รวมๆ) เป็นเรื่องควรกระทำ
การเชื่อว่ามีเทวดาอยู่ เป็นสัมมาทิฐิ

ไหว้เทวดาแล้วได้อะไร
เวลามีหมาตัวหนึ่งเข้ามาหาเราด้วยอาการเกรี้ยวกราด ไม่เคารพ ไม่เป็นมิตร
หรือเข้ามาด้วยอาการเฉยๆ เราจะรู้สึกกับหมาตัวนี้อย่างไร

ในขณะเดียวกัน ถ้ามีหมาเข้ามาหาเราด้วยอาการเคารพ อาการน่ารัก
ถ้าเรามีขนมนมือ เราคงอยากจะแบ่งให้มัน ถ้าวันหลังเห็นมันไม่มีอะไรจะกินแล้วเราพอจะช่วยได้ เราก้คงจะหาอาหารให้มันกิน

ฉันใดฉันนั้น ผู้มีจิตละเอียดกว่ามนุษย์มีมาก มีจริง
เทวดามีหลายชั้น
ประเภทยังมีรักมีชังอยู่ ก็มีมาก

เวลาทำบุญ นอกจากจะอุทิศให้ผู้ต่ำกว่าเราแล้ว ก็อย่าลืมอุทิศให้ผู้สูงกว่าเราด้วย

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ทำบุญกับพระที่วัด สุดท้ายก็ต้องอุทิศให้เทวดา อยู่ดี
เลยได้สองต่อ
เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


BENZiNE เขียน:
:b44: การไปกราบไหว้เทวดา และบริจาคทานในสถานที่กราบไหว้เพื่อเป็นค่าน้ำ ค่าไฟตามกำลังศรัทธา จะได้บุญเทียบเท่ากับ การไปทำบุญที่วัด(เฉพาะเรื่องการบริจาคทาน ไม่นับการฟังเทศน์และปฏิบัติธรรม) รึป่าวครับ โดยกำหนดให้ ผู้ที่ไปทำบุญทั้งสองที่มีเจตนาที่บริสุทธิ์ในการบริจาคทานเหมือนกัน :b44:

ในพุทธศาสนา เหล่าพุทธศาสนิกชนต้องทำความเข้าใจกับเรื่อง
การทำบุญทำทานให้ดีนะครับ เราต้องรู้ก่อนว่าบุญคืออะไร แล้วการทำอะไร
เพื่อต้องการสิ่งตอบแทนเขาเรียกว่าบุญมั้ย
อย่างไรเรียกกิเลสตัณหา อย่างไรเรียกการละการเสียสละ
และที่สำคัญอย่างยิ่ง เราต้องรู้ครับว่า ผู้ที่ได้รับการให้จากเรา เขาเอาสิ่งที่ได้รับ
ไปก่อให้เกิดปัจจัยสี่เพื่อการดำรงค์ชีวิตหรือไม่ หรือเอาไปก่อให้เกิดกิเลสอกุศลพอกพูนขึ้น

เราต้องดูใจเราก่อนครับว่า ทำบุญแต่ละครั้งทำไมเราต้องเลือกทำ
ทำไมเราต้องทำบุญตามกระแส ทำไมเราต้องทำกับสิ่งที่เราชอบ
ทำไมเราต้องเดินหนีพวกจรจัดแต่งตัวสกปรกที่เข้ามาขอเงินกินข้าว
ทำไมเราถึงใส่บาตรกับพระที่มีของล้นย่าม

จขกทมั่นดูและพิจารณาแล้วจะเห็นเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 06:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอื่นๆได้ชี้แจงเรื่องการทำทานเป็นอย่างดีแล้วครับ

ผมจะขออนุญาติแนะนำให้คุณ BENZiNE ตั้งข้อสังเกตการทำทานดังนี้ครับ

1. สิ่งของที่บริจาค (วัตถุทาน) ในที่นี้คือเงินบริจาคค่าน้ำค่าไฟ มีประโยชน์อย่างไร
2. ผู้รับในกรณีต่างๆ เช่น วัด, ศาลเจ้า, พระ และ เทวดา จะได้รับประโยชน์จากเงินบริจาคอย่างไร
3. ตัวท่านเอง ตั้งใจไว้อย่างไรในการบริจาคทานนั้น คือท่านทำทานเพื่ออะไร ท่านทำเพราะอยากได้อะไรหรือเปล่า ท่านทำเพราะจะบูชาอะไรหรือเปล่า ท่านเจตนาจะช่วยเหลือผู้รับด้วยการให้ของนั้นหรือเปล่า etc.

เพราะการให้ของแก่คนที่ใช้ของนั้นไม่ได้ ย่อมเกิดประโยชน์ไม่เท่ากับให้ของนั้นที่ผู้รับใช้ที่ประโยชน์ได้ใช่ไหมครับ

เพราะการให้เพื่อหวังผลตอบแทน ย่อมบริสุทธิ์น้อยกว่าการให้เพื่อช่วยเหลือไม่หวังผลใช่ไหมครับ

นอกจากนี้การให้ของแก่ผู้รับที่ใช้ประโยชน์จากของนั้นได้ ย่อมเกิดประโยชน์มากกว่า ถ้าผู้รับนั้นเอาของนั้นไปใช้ในทางที่ดี เมื่อเทียบกับผู้รับที่เอาของนั้นไปใช้ในทางที่ผิดใช่ไหมครับ

แต่อย่างไรเสีย ขึ้นชื่อว่าทำทานแล้ว ย่อมเกิดบุญเกิดประโยชน์แน่นอนครับ จะเกิดอย่างไร เกิดแค่ไหนเท่านั้นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ ผิดถูกหรือหากอ่านแล้วเป็นที่ขัดเคืองใจอย่างไรต้องขออภัยด้วยครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร