วันเวลาปัจจุบัน 13 ก.ย. 2025, 02:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
(สังขาร วิญญาณ)


เปิดพจนานุกรม ไม่เจอที่เป็นคำสนธิ

ค้นในพระสูตร เป็นสองคำแยก ไม่สนธิ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=138.0

ชีวิตประกอบด้วยขันธ์ 5 เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดอื่นอีกนอกเหนือจากขันธ์ 5 ไม่ว่าจะแฝงอยู่ในขันธ์ 5 หรืออยู่ต่างหากจากขันธ์ 5 ที่จะมาเป็นเจ้าของหรือควบคุมขันธ์ 5 ให้ชีวิตดำเนินไป ในการพิจารณาเรื่องชีวิต เมื่อยกเอาขันธ์ 5 ขึ้นเป็นตัวตั้งแล้ว ก็เป็นอันครบถ้วนเพียงพอ

ชีวิตหรือขันธ์ 5 เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตามกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท คือมีอยู่ในรูปกระแสแห่งปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยสืบต่อกัน ไม่มีส่วนใดในกระแสคงที่อยู่ได้ มีแต่การเกิดขึ้นแล้วสลายตัวไป พร้อมกับที่เป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นแล้วสลายตัวต่อๆไปอีก

ส่วนต่างๆสัมพันธ์กัน เนื่องอาศัยกัน เป็นปัจจัยแก่กัน จึงทำให้กระแสหรือกระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลและคุมเป็นรูปร่างต่อเนื่องกัน

ในภาวะเช่นนี้ ชีวิตจึงเป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ อยู่ในภาวะแห่งอนิจจตา ไม่เที่ยง ไม่คงที่ อนัตตา ไม่มีส่วนใดที่มีตัวตนแท้จริง และไม่อาจยึดถือเอาเป็นตัวตนได้ ทุกขตา ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัวอยู่ทุกขณะ และพร้อมที่จะก่อให้เกิดทุกข์ได้เสมอ ในกรณีที่มีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความไม่รู้

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การอธิบายชีวิตตามแนวขันธ์ ๕ ท่านมุ่งแสดงตัวสภาวะให้เห็นว่า ชีวิตมีองค์ประกอบอะไร มากกว่าจะแสดงกระบวนธรรมที่กำลังดำเนินอยู่ว่า ชีวิตเป็นไปอย่างไร
ดังนั้น คำอธิบายเรื่องสังขารในขันธ์ ๕ ตามปกติจึงพูดถึงแต่ในแง่เครื่องแต่งคุณภาพของจิต หรือ เครื่องปรุงของจิตว่ามีอะไรบ้าง แต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไร เป็นต้น
ส่วนการอธิบายในแง่กระบวนการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นขั้นออกโรงแสดง ท่านแยกไปกล่าวในหลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งชี้ให้เห็นว่าชีวิตเป็นไปอย่างไร
ดังนั้นในหลักปฏิจจสมุปบาทความหมายของสังขารจึงมีรูปร่างแบบปฏิบัติการ คือ จำแนกออกเป็น กายสังขาร คือการปรุงแต่งแสดงเจตน์จำนงออกทางกาย หรือเจตนาที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย
วจีสังขาร คือ การปรุงแต่งแสดงเจตน์จำนงทางวาจา หรือเจตนาที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย และจิตตสังขาร การปรุงแต่งแสดงเจตน์จำนงทางใจ หรือเจตนาที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขันธ์ ๕ ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ
พุทธศาสนามองเห็นสิ่งทั้งหลายในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกันเข้า ตัวตนแท้ๆของสิ่งทั้งหลายไม่มี เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไปให้หมดก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่
ตัวอย่างง่ายๆที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ รถ เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่ารถ*(สํ.ส.15/554/198)

แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกันจำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือ ตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า รถ สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆมาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธศาสนาจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆเหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธศาสนา มีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิตโดยเฉพาะในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกแยะเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆ แต่ในที่นี้จะแสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ (The Five Aggregates) พุทธศาสนาแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า สัตว์ บุคคล ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูปขันธ์ (Corporeality) ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกายและพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย
หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติการณ์ต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น


๒. เวทนาขันธ์ (Feeling หรือ Sensation) ได้แก่ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือ เฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ


๓. สัญญาขันธ์ (Perception) ได้แก่ ความกำหนดหมาย หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ (object) นั้นๆได้

๔. สังขารขันธ์ (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิตมีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกายวาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณขันธ์ (Consciousness) ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ
...
ข้อ 1. จัดเป็นรูปขันธ์ ๔. ข้อหลัง เป็นพวกนามขันธ์

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แบ่งอย่างกว้างๆว่า รูปกับนาม หรือรูปธรรมกับนามธรรม
แต่ตามแนวอภิธรรมนิยมแบ่งเป็น ๓ จิต เจตสิก และรูป

ถ้าเทียบกับขันธ์ ๕ จิต = วิญญาณขันธ์
เจตสิก = เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์
รูป = รูปขันธ์

บางคนบางกลุ่มเข้าใจผิดอีกว่า ในขันธ์ ๕ มีจิตซ่อนอยู่ต่างหากอีก

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อความเข้าใจธรรมะเบื้องต้นง่าย ต้องแบบนี้ ที่ยืนทั้งนุ่งผ้าไม่นุ่งผ้านั่นแหละเรียกว่า รูป หรือ รูปขันธ์ หรือเรียกว่า กาย หรือร่างกาย ที่ในสติปัฏฐาน

คำว่า รูปในที่นี่ กับคำว่า กาย ที่ในสติปัฏฐานอย่างเดียวกัน ยกมาให้ดู กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา...

กายเท่ากับรูปหรือรูปธรรม เวทนา... จิต... ธรรม...เป็นนามหรือนามธรรม ประเด็นนี้ก็มีผู้เข้าใจผิดแล้วนำไปอธิบายพร่าไป

รูปก็คือกาย กายก็คือรูป อย่างเดียวกัน แต่ถ้าพูดขยายออกไปอีกว่า ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ฯลฯ รูปในที่นี้มีความหมายกว้างกว่าเพราะหมายถึงสิ่งที่พึงเห็นด้วยจักษุ (ตา) ทั้งหมด

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามปกติ มนุษย์มีความโน้มเอียงที่จะยึดถืออยู่เสมอว่า ตัวตนที่แท้ของตนมีอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง บ้างก็ยึดเอาจิตเป็นตัวตน บ้างก็ยึดว่ามีสิ่งที่เป็นตัวตนอยู่ต่างหากแฝงซ้อนอยู่ในจิตนั้น ซึ่งเป็นเจ้าของ และเป็นตัวการที่คอยควบคุมบังคับบัญชากายและใจนั้นอีกชั้นหนึ่ง
การแสดงขันธ์ 5 มุ่งให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า สัตว์ บุคคล เป็นต้นนั้น เมื่อแยกออกไปแล้วก็จะพบแต่ส่วนประกอบ 5 ส่วนเหล่านี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นเหลืออยู่ที่จะมาเป็นตัวตนต่างหากได้ และแม้ขันธ์ 5 เหล่านั้นแต่ละอย่างก็มีอยู่เพียงในรูปที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยกันไม่เป็นอิสระ ไม่มีโดยตัวของมันเอง ดังนั้นขันธ์ 5 แต่ละอย่างๆ นั้นก็ไม่ใช่ตัวตนอีกเช่นกัน

รวมความว่า หลักขันธ์ 5 แสดงถึงความเป็น อนัตตา ให้เห็นว่าชีวิตเป็นการประชุมเข้าของส่วนประกอบต่างๆ หน่อยรวมของส่วนประกอบเหล่านี้ ก็ไม่ใช่ตัวตน ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั่นเอง ก็ไม่ใช่ตัวตน และสิ่งที่เป็นตัวตนอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านี้ก็ไม่มี * เมื่อมองเห็นเช่นนี้แล้วก็จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวตนได้

ความเป็น อนัตตานี้ จะเห็นได้ชัดต่อเมื่อเข้าใจกระบวนการของขันธ์ 5 ในวงจรปฏิจจสมุปบาท เมื่อเห็นขันธ์ 5 มีอยู่อย่างสัมพันธ์และอาศัยซึ่งกันและกัน ก็จะไม่เกิดความเห็นผิดว่าขาดสูญ ที่เรียกว่า อุจเฉททิฐิ และความเห็นผิดว่าเที่ยง เรียกว่า สัสสตทิฐิ

* ดู สํ.ข.17/4-5,32-33 ฯลฯ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนที่เป็นรูปธรรม หรือ รูปขันธ์ หรือกายเนี่ยนะ มองเห็นได้เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเห็นกันโต้งๆจะจะอยู่นั่น แต่ส่วนที่รู้เข้าใจยากที่สุด คือ สภาวะที่เป็นนามธรรม หรือ จิตวิญญาณ หากใครรู้เห็นเข้าใจอย่างถ่องแท้ ผู้นั้นก็เป็นพุทธะโดยคุณธรรม
มาศึกษาส่วนที่นามธรรมต่อไป (ทำความเข้าใจสภาพของเวทนาตรงเน้นสีแดง...)

เวทนา (ขันธ์) แปลว่า การเสวยอารมณ์ หรือการเสพรสของอารมณ์ คือ ความรู้สึกต่อสิ่งที่ถูกรับรู้ ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการรับรู้ เป็นความรู้สึกสุข สบาย ถูกใจ ชื่นใจ หรือทุกข์ บีบคั้น เจ็บปวด หรือไม่ก็เฉยๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง

เวทนามีความสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งมุ่งประสงค์ เสาะแสวง (หมายถึงสุขเวทนา) และเป็นสิ่งเกลียดกลัวเลี่ยงหนี (หมายถึงทุกขเวทนา) สำหรับสัตว์ทั้งหลาย เมื่อมีการรับรู้เกิดขึ้นแต่ละครั้ง เวทนาจะเป็นขั้วต่อ และ เป็นต้นทางแยกที่ชี้แนะหรือส่งแรงผลักดันแก่องค์ธรรมอื่นๆ ว่าจะดำเนินไปในทางใด อย่างไร เช่น ถ้ารับรู้อารมณ์ใดแล้วสุขสบาย ก็จะกำหนดหมายอารมณ์นั้นมากและในแง่หรือแนวทางที่จะสนองเวทนานั้น และคิดปรุงแต่งเพื่อให้ได้อารมณ์นั้นมาเสพเสวยต่อไปอีก ดังนี้เป็นต้น

(เวทนา แปลว่า การเสวยอารมณ์ หรือ การเสพรสอารมณ์ คือความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามานั้นโดยเป็น สุขสบาย ไม่สบาย หรือเฉยๆอย่างใดอย่างหนึ่ง)

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
อ้างคำพูด:
เวทนา สัญญา วิญญาณ ...>>> เวทนา สัญญา วิญญาณ(.>>> สังขาร วิญญาณ)


ต้องขอให้ยกพระสูตรมายืนยันอีกครั้งแล้วครับ

คุณ mes
เช่นนั้น คงต้องเขียนให้ถูกอักขระวิธี สินะ

เวทนา,สัญญา และวิญญาณ >>>> เวทนา,สัญญา และวิญญาณ
(ซี่งวิญญาณ >>> ปัญญา(สังขารขันธ์) และวิญญาณ ตามย่อหน้าก่อน ปรากฏในพระสูตร)

เมื่อนำวรรคทั้งสองในพระสูตรมา ร้อยเรียงกัน
ก็จะได้
เวทนา,สัญญา,สังขาร และวิญญาณ

คุณ mes ไปเปิด พจนานุกรม สังขาร วิญญาณ ทำไร :b32:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จะให้ละเอียดอีกก็ต้องเชื่อมโยงกับปฏิจจสมุปบาทด้วย

ข้อที่ควรทำความเข้าใจอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเวทนา เพื่อป้องกันความสับสนกับสังขาร คือ เวทนาเป็นกิจกรรมของจิตในขั้นรับ กล่าวคือเกี่ยวข้องกับผลที่อารมณ์มีต่อจิตเท่านั้น * (* เวทนา จัดอยู่ในจำพวกวิบาก ไม่ดีไม่ชั่วโดยลำพังตัวของมัน) ยังไม่ถึงขั้นที่เป็นฝ่ายจำนง หรือ กระทำต่ออารมณ์ ซึ่งเป็นกิจกรรมของสังขาร ดังนั้น คำว่า ชอบ ไม่ชอบ ชอบใจ ไม่ชอบใจ ตามปกติจะใช้เป็นคำแสดงกิจกรรมในหมวดสังขาร โดยเป็นอาการสืบเนื่องจากเวทนาอีกต่อหนึ่ง เพราะคำว่า ชอบ ไม่ชอบ ชอบใจ ไม่ชอบใจ แสดงถึงอาการจำนง หรือ กระทำตอบต่ออารมณ์ ดังจะเห็นได้ในลำดับกระบวนธรรม (พิจารณาตัวอย่าง ทางตา กับ ทางหู ) เช่น

-เห็นรูปที่น่าปรารถนาน่าใคร่ => เกิดความสุขสบาย => ก็ชอบใจ (ต่ออารมณ์นั้น)
(จักขุ+อิฏฐารมณ์+จักขุวิญญาณ) => (สุขเวทนา) ==>(สังขาร: ราคะ)

-ได้ยินเสียงที่ไม่น่าปรารถนาน่ารำคาญ=> เกิดความทุกข์ไม่สบาย=> ก็ไม่ชอบใจ (ต่ออารมณ์นั้น)
(โสตะ+อนิฏฐารมณ์+โสตวิญญาณ) ==> (ทุกขเวทนา) ====> (สังขาร: โทสะ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากความเห็นในตอนต้น
คุณ mes เห็นว่า จิตไม่เกิดดับ ที่เกิดดับคือ เจตตสิก อันได้แก่ เวทนา สัญญา และสังขาร

ถึงแม้ในพระสูตร จะถามแยกกันก่อนระหว่าง ปัญญา และวิญญาณ แล้วค่อยถาม เวทนา, สัญญา และวิญญาณ
ต่างก็ปรากฏความตรงกันว่า วิญญาณ และเจตตสิกธรรมนั้น เกิดปะปนกัน ไม่แยกกันในขณะ
คือเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นจิตดวงเดียวในแต่ละขณะ

เป็นการพิสุจน์ การเกิด ดับ พร้อมกันของจิต และเจตสิก ตามพระไตรปิฏก
คุณmes พิจารณาประเด็นนี้ ก่อน จะไปพิจารณาในประเด็นอื่น

ไม่ต้องก๊อปพุทธธรรมมาหรอกครับ :b32:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


นำเรื่องราวเกี่ยวกับเวทนาให้ดูเป็นตัวอย่าง ระหว่างผู้รู้กับผู้ไม่รู้ หรือ ระหว่างผู้ยึดมั่นกับผู้ไม่ยึดมั่น

“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนา (เฉยๆไม่ทุกข์ไม่สุข) บ้าง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่างระหว่างอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้กับบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้”

“ภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมเศร้าโศกคร่ำครวญ ร่ำไห้ รำพัน ตีอกร้องไห้ หลงใหลฟั่นเฟือนไป เขาย่อมเสวยเวทนาทั้ง ๒ อย่างคือ เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ”

“เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิงคนด้วยลูกศรดอกหนึ่งแล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ ๒ อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้นั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรทั้ง ๒ ดอก คือ ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ฉันใด บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ก็ฉันนั้น...ย่อมเสวยเวทนาทั้ง ๒ อย่าง คือ ทั้งทางกาย และทั้งทางใจ”

“อนึ่ง เพราะถูกทุกขเวทนานั้นกระทบเข้าแล้ว เขาย่อมเกิดความขัดใจ เมื่อเขามีความขัดใจ เพราะทุกขเวทนา ปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนาก็ย่อมนอนเนื่อง เขาถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ก็หันเข้าระเริงกับกามสุข* เพราะอะไร ? เพราะบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมไม่รู้ทางออกจากทุกขเวทนา นอกไปจากกามสุข และเมื่อเขาระเริงอยู่กับกามสุข ราคานุสัยเพราะสุขเวทนาย่อมนอนเนื่อง เขาย่อมไม่รู้เท่าทันความเกิดขึ้น ความสูญสลาย ข้อดี ข้อเสีย และทางออก ของเวทนานั้นตามที่มันเป็น เมื่อเขาไม่รู้ข้อดี ข้อเสีย และทางออกของเวทนานั้นตามที่มันเป็น อวิชชานุสัย เพราะอทุกขมสุขเวทนา (= อุเบกขาเวทนา) ย่อมนอนเนื่อง
ถ้าได้เสวยสุขเวทนา เขาก็เสวยอย่างถูกมัดตัว
ถ้าเสวยทุกขเวทนา เขาก็เสวยอย่างถูกมัดตัว
ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา เขาก็เสวยอย่างถูกมัดตัว
ภิกษุทั้งหลาย นี้แล เรียกว่าบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ผู้ประกอบด้วยชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เราเรียกว่าผู้ประกอบด้วยทุกข์”

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาฝ่ายตรงข้ามบ้าง

“ภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่คร่ำครวญ ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ตีอกร้องไห้ ไม่ หลงใหลฟั่นเฟือน เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียวไม่เสวยเวทนาทางใจ”

“เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศร แล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ ๒ ผิดไป เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้น ย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรดอกเดียวฉันใด อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ก็ฉันนั้น...ย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ”

“อนึ่ง เธอย่อมไม่มีความขัดใจ เพราะทุกขเวทนานั้น เมื่อไม่มีความขัดใจเพราะทุกขเวทนานั้น ปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนานั้น ย่อมไม่นอนเนื่อง เธอถูกทุกขเวทนากระทบ ก็ไม่หันเข้าระเริงกับกามสุข เพราะอะไร ? เพราะอริยสาวกผู้เรียนรู้แล้ว ย่อมรู้ทางออกจากทุกขเวทนา นอกจากกามสุขไปอีก เมื่อเธอไม่ระเริงอยู่กับกามสุข ราคานุสัยเพราะสุขเวทนานั้น ก็ไม่นอนเนื่อง เธอรู้เท่าทันความเกิดขึ้น ความสูญสลาย ข้อดี ข้อเสีย และทางออกของเวทนาเหล่านั้นตามที่มันเป็น เมื่อเธอรู้...ตามที่มันเป็น อวิชชานุสัย เพราะอทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่นอนเนื่อง
ถ้าเสวยสุขเวทนา เธอก็เสวยอย่างไม่ถูกมัดตัว
ถ้าเสวยทุกขเวทนา เธอก็เสวยอย่างไม่ถูกมัดตัว
ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา เธอก็เสวยอย่างไม่ถูกมัดตัว
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าอริยสาวก ผู้ได้เรียนรู้ ผู้ปราศจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เราเรียกว่าผู้ปราศจากทุกข์”

"ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่างระหว่างอริยสาวก ผู้ได้เรียนรู้ กับบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้"
(สํ.สฬ.18/369-372/527-260)

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
จากความเห็นในตอนต้น
คุณ mes เห็นว่า จิตไม่เกิดดับ ที่เกิดดับคือ เจตตสิก อันได้แก่ เวทนา สัญญา และสังขาร

ถึงแม้ในพระสูตร จะถามแยกกันก่อนระหว่าง ปัญญา และวิญญาณ แล้วค่อยถาม เวทนา, สัญญา และวิญญาณ
ต่างก็ปรากฏความตรงกันว่า วิญญาณ และเจตตสิกธรรมนั้น เกิดปะปนกัน ไม่แยกกันในขณะ
คือเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นจิตดวงเดียวในแต่ละขณะ


เป็นการพิสุจน์ การเกิด ดับ พร้อมกันของจิต และเจตสิก ตามพระไตรปิฏก
คุณmes พิจารณาประเด็นนี้ ก่อน จะไปพิจารณาในประเด็นอื่น

ไม่ต้องก๊อปพุทธธรรมมาหรอกครับ :b32:


อันนี้เป็นความเห็นของเช่นนั้น ไม่ใช่เทียบเคียงกับพระสูตร

พุทธธรรมผมก๊อปมาให้เป็นความรู้แก่ผู้ที่เข้ามาอ่าน



เช่นนั้นต้องยึดพระไตรปิฎกดังที่ตัวเองยืนยันครับจะไปคิดเองร้อยเรียงเองไม่ได้ ผมยืนยัน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร