วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 13:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2011, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ariyachon เขียน:
ดูท่าทางคุณ FLAM จะมีแฟนคลับซะล่ะ :b12:

:b32: :b32:

คุณอริยชนครับ ไม่ใช้แฟนคงแฟนคลับอะไรหรอกครับ
คุณเคยได้คำพูดประโยคนี้มั้ยครับ.....

ศัตรูของศัตรูคือมิตร :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2011, 18:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
พูดจาไม่สำรวมนี่ผิดข้อมุสาวาทา ลามก อนาจาร นี่ผิดข้อ กาเมสุมิจฉา เห็นมั้ยที่ว่ามีข้ออ้างเรื่องสุขภาพไม่ยอมรักษาศีล8 รักษาแค่ศีล5 นี่ขาดศีล5 ยังรักษาไม่ครบเลย ยังจะแอบอ้างตนว่าเป็นแม่ชีผู้วิเศษ แอบอ้างว่าตนมีอิธิฤทธิ ปาฏิหาริย์ หน้าไม่อาย หลอกลวงชาวโลก


ขออธิบายขยายความคุณทักษาเพิ่มเรื่องพูดจาไม่สำรวม ต้องหมายความไปจนถึงเจตนาไม่สมรวมด้วยครับเดี๋ยวคนอ่านไปตีความตรงๆจะเข้าใจแค่ผิวเผิน เพราะพระอริยะบางรูป ท่านก็พูดใช้คำตรงๆ เช่น ค๊วย HEE กู เมิง แต่เจตนาในใจท่านสำรวมครับ ไม่มีอารมณ์กาเม คล้อยตามไปด้วย แต่บางคนไปพูดคำเดียวกัน แต่เจตนาในใจไม่สำรวมครับ จิตมีอารมณ์คล้อยไปด้วยไฟ กาเม เช่นพูดไปจนแสดงออกทางใบหน้า ยิ้มหัวเราะ ทำตาเคลิ้ม ทำหน้าเป็น ออกมาทางสีหน้าด้วย

ยกตัวอย่าง บางคนพูด กู เมิง ด้วยอารมณ์โกรธต่อคนนั้น แต่บางคนพูด กู เมิง เหมือนกัน แต่ไม่มีอารมณ์ในใจโกรธอะไรเลย อย่างเช่นใช้คำพวกนี้ กับเพื่อนสนิทเรา ก็ไม่ได้พูดด้วยอารมณ์โกรธ แต่อย่างใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2011, 20:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณ ทักษา

ผมขอยกคำเทศนา ของหลวงตาบัว

ผู้กำกับ เขาว่าหลวงตาเทศน์ใช้วาจาหยาบคาย เอ่ยอวัยวะของเพศหญิง แล้วก็หลวงตาได้ขาดจากการเป็นสมณะแล้ว แล้วเขาก็อ้างในพระไตรปิฎก เรียกว่ามีพุทธวจนะ บทที่ ๒ (ว่าไงบทที่ ๒ ว่ามา หลวงตาเรียนน้อยๆ) ลูกศิษย์เขาก็บอกว่าแค่นี้ เพราะนายสมัครเขาไม่ได้บอกทั้งหมดว่าที่ว่าบทที่ ๒ เนี่ยว่ายังไง แต่ถ้าให้คาดเดาก็คิดว่าคำพูดหยาบคายนั่นแหละครับ

หลวงตา นั่นละพี่น้องทั้งหลายฟัง นี่เป็นภาษานายสมัครนะที่พูดอย่างนี้ ที่เราพูดนี่เป็นภาษาธรรม พูดได้ตามหลักความจริงตรงไปตรงมา **มีก็บอกว่า**มี โ***มีก็บอกว่าโ***มี แต่นายสมัครเขาว่า**มี ไม่ให้มี** ผู้หญิงไม่มี** ผู้ชายไม่ให้มีโ*** ไอ้นี้ลบล้างไปหมด แต่ภาษาธรรมว่า**มีบอกว่ามี โ***มีบอกว่ามี หำมีบอกว่ามี หนองกะปาดมีบอกว่ามีเข้าใจไหม เอ้า พิจารณาก็แล้วกัน คนหนึ่งพูดอย่างตรงไปตรงมาเรียกว่าภาษาธรรม คนหนึ่งปิดไว้ๆ เหมือนหนองกะปาดปิดหำเข้าใจไหม ฟังนะเราจะพูดนิทานหนองกะปาดให้ฟังมาประกอบกันนี้นะ หนองกะปาดน่ะ
อีตานั้นแกขายวัว แกเลี้ยงวัวฝูง พ่อค้าเขาก็ไปซื้อวัวกับแก ทางพ่อค้าเขาจะให้ตัวละ ๓ บาท เขาจะซื้อตัวละ ๓ บาท ไอ้ลูกค้านะ พ่อค้าก็ว่าจะเอา ๔ บาทๆ แกนั่งนั่งแบบนี้ ฟังให้ดีนะ ดู ออกนี้ออกทางทีวีเลย หลวงตาบัวพูดตามความจริง นั่งปล่อยหำซิไม่รู้ตัว ทีนี้พอเมียขึ้นมา กำลังต่อรองกันอยู่ เจ้าของจะเอา ๔ บาท ผู้ที่มาซื้อเขาจะให้เพียง ๓ บาท ทีนี้นั่งปล่อยหำ เมียขึ้นมามาเห็นหำผัวเลยอายเขา เลยขยิบตาใส่ผัว พอขยิบตาแล้วก็เข้าห้อง พอเห็นเมียขยิบตาใส่นึกว่าเมียให้ขึ้นราคา ทีแรกว่าจะเอา ๔ บาทๆ พอเห็นเมียขยิบตาใส่ ๕ บาทๆ เลย ๔ บาทไม่อยู่ เอา ๕ บาท เพราะเมียขยิบตาว่าให้ขึ้นราคา ความจริงเมียเตือนว่าอย่าปล่อยหำให้เขาดู พอออกมาเมียก็ว่า นี่ที่เขาให้ ๓ บาทนั้นก็ควรขายแล้ว แล้วทำไมจึงไม่ขายเสีย ก็เธอขยิบตาใส่ฉันนึกว่าให้ขึ้นราคาฉันก็ขึ้นราคา ไม่ขยิบยังไงก็ปล่อยหำให้เขาเห็นมันอายเขาจะตายไปว่างั้นนะ อู๊ย เสียดายเขาไปหมดแล้ว นี่นิทานปล่อยหำ มันปล่อยก็บอกว่าปล่อยเข้าใจไหม มันมีจริงๆ หนองกะปาด นิทานสด
นี่ละภาษาธรรมพี่น้องทั้งหลายฟังเสียนะ จะไม่ถือว่าอะไรหยาบอะไรไม่หยาบ โลกเขาถือกันอย่างนั้นอย่างนี้ มีก็บอกว่าไม่ให้มี เป็นอย่างนั้นเรื่องของโลก ถ้าธรรมแล้วตรงไปตรงมา นี่ภาษาของนายสมัครเป็นภาษาของนายสมัครของโลก ภาษาของหลวงตาบัวนี้เรียกว่าเป็นภาษาของธรรม พูดตามอรรถตามธรรมไปอย่างนี้เข้าใจหรือเปล่าล่ะ เอาละพอใจ พอใจกับคำพูดนายสมัคร แต่เราจะไม่ปฏิบัติตามนายสมัครนะ เราจะบอกว่ามีตามจริง หมามีหำเราก็บอกว่าหมามีหำเข้าใจไหม คนมีหำก็จะบอกว่ามีหำว่าอย่างนี้ตลอดไป ธรรมเปิดเผยตลอด ให้แก้ไขตามนั้นก็แล้วกัน
นี่ละพูดอยู่นี้ ออกนี้ได้เห็นได้ยินกันทั่วโลกนะ ที่กิริยาของหลวงตาบัวปล่อยหนองกะปาดเข้าใจไหม เขาก็ได้เห็นได้ยินได้ฟัง นี่เพราะอะไร เพราะเราไม่มีอะไรกับโลก เราพูดตามกิริยาของโลกต่างหาก เรื่องเหล่านี้ไม่มีในหัวใจของเราเข้าใจแล้วเหรอเราไม่มี กิริยาของโลกมันมียังไงก็แสดงตามโลก ธรรมสอนโลกก็เป็นอย่างนั้น
พูดกับโลกก็อย่างว่า ก็เราไม่มีอะไรพูดได้เฉย มันไม่มีอะไร เขาว่าอะไรเราก็เฉย พอพูดแล้วหายเงียบเลย พูดตามกิริยาของโลกให้ฟังเอานะพี่น้องทั้งหลาย มาฟังหลวงตาบัวจะได้ฟังหลายแบบนะ พี่น้องทั้งหลายมาวันนี้ขาดทุนหรือได้กำไร ได้ผลประโยชน์สมที่มาวัดป่าบ้านตาดไหม วันนี้เราพูดตามกิริยาของโลกเป็นยังไง เราพูดไปตามกิริยาของโลกเราพูดจริงๆ ส่วนใจเราแล้วไม่มีอะไรในโลกว่างั้นเลยพูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ละ เราไม่มี ใครจะตำหนิมา ยกโคตรมาก็เฉย ใครจะมาชมเท่าไรก็เฉยเหมือนกัน พอทุกอย่าง เราไม่เอาทั้งคำติคำชมเป็นส่วนเกินทั้งหมด ธรรมชาติที่พอแล้วนั้นเลิศเลอพอแล้ว ไม่จำเป็นจะเอาอะไรมารับอีก เอาละที่นี่จะให้พรนะ
----------------------------------------------------

ผมขอยก พระไตรปิฎก ขึ้นมา


พระบางรูป บรรลุธรรมะแล้ว แต่ท่านอาจพูดไม่เพราะ เป็นเพราะอุปนิสัยของท่าน อย่าคิดว่าท่าน
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๖. ปิลินทวัจฉสูตร

[๗๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระปิลินทวัจฉะย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำพูดว่าคนถ่อย ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ี่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระปิลินทวัจฉะย่อม ร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำพูดว่าคนถ่อย ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า ดูกรภิกษุ เธอจงไปเรียกปิลินทวัจฉภิกษุมาตามคำของเราว่า ดูกรอาวุโสวัจฉะ พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน


ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้วเข้าไปหาท่านพระปิลินทวัจฉะถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านปิลินทวัจฉะว่าดูกรอาวุโส พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระปิลินทวัจฉะรับคำภิกษุนั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระปิลินทวัจฉะว่า ดูกรปิลินทวัจฉะได้ยินว่า เธอย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำพูดว่าคนถ่อยจริงหรือ ท่านพระปิลินทวัจฉะ ทูลรับว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการถึงขันธ์อันมีในก่อนของท่าน พระปิลินทวัจฉะ แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่ายกโทษ(ตำหนิ)วัจฉภิกษุเลย วัจฉภิกษุย่อมไม่ด่าว่าเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย แต่เพราะวัจฉภิกษุเกิดในสกุลพราหมณ์ ๕๐๐ ชาติ โดยไม่เจือปนเลย คำพูดว่า คนถ่อยนั้นวัจฉภิกษุประพฤติมานาน เพราะเหตุนั้น วัจฉภิกษุนี้ย่อมร้องเรียก ภิกษุทั้งหลายด้วยคำพูดว่าคนถ่อย ฯ


ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

มายา(การหลอกลวง) มานะ(การเทียบและตนยกตน)( ย่อมไม่เป็นไปในผู้ใด ผู้ใดมีความโลภสิ้น
ไปแล้ว ไม่มีความยึดถือว่าเป็นของเรา ไม่มีความหวัง บรรเทา
ความโกรธได้แล้ว มีจิตเย็นแล้ว ผู้นั้นชื่อว่าเป็นพราหมณ์
ผู้นั้นชื่อว่าเป็นสมณะ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ ฯ
จบสูตรที่ ๖


ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๖. ปิลินทวัจฉสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0

ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=78


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2011, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทุกสิ่งไม่เที่ยง สักวันก็เหลือแต่กระดูก เหลือแต่เถ้าถ่าน
เรานั้นคือผู้ที่ยังรู้น้อย ขอผู้รู้และผู้บรรลุโปรดแนะนำ


แล้วเขียนมาทำบ้าอะไร...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2011, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มันตลก...

เขียนอย่าง...
คิดอย่าง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 23:17
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้เข้ามาอ่านกะทู้นี้แล้วรู้สึกใจหายนะ ไม่คิดญาติธรรมบางท่านจะพูดวาจาที่รุนแรงไป
ศาสนาพุทธ ประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ไม่มีพระพุทธเจ้า ศาสนาจะมีได้อย่างไร ไม่มีพระธรรม ศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร ไม่มีพระสงฆ์ ศาสนาจะดำเนินอยู่ได้อย่างไร
ญาติธรรมบางท่านไม่เคารพพระสงฆ์นั้นถูกต้องแล้วหรือ
ญาติธรรมทั้งหลาย การพูดจาบจ้วงผู้ดำรงศาสนาเพื่อศาสนาให้ดำรงอยู่ ถึงแม้ท่านจะปฎิบัติอย่างไร ก็ไม่ควรพูดในลักษณะที่ไม่ดี ไม่เคารพ ถึงจะเป็นสงฆ์หรืออริยะสงฆ์ก็ไม่ควรพูด
ถูกผิดใจใครต้องขออภัยด้วย

หากข้าพเจ้าได้กล่าวอะไรผิดต่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอพระองค์ท่านทั้งหลายอดโทษข้าพเจ้าตราบถึงพระนิพานด้วยเทอญ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 02:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทักษา เขียน
ถ้าหวังดี เจตนาดีจริง ก็ควรพูดดี แสดงออกดีด้วย จึงจะเรียกว่าดีสมบูรณ์ ไม่ใช่มาพูดลามกแล้วบอกว่ามีเจตนาดี ไม่ได้คิดอะไร อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ควร

อนุโมทนาครับ เห็นด้วยจริงๆ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 03:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เรียนคุณทักษา

เรื่อง อภิญญาจิต บางครั้ง
ปุถุชน ที่มีกิเลส นี่แหละครับ เก่งกว่าพระอริยะ

อย่าลืมว่า พระอริยะ มีสองจำพวก
จำพวกหนึ่ง มีอภิญญาด้วย บรรลุธรรมด้วย

อีกพวกหนึ่ง บรรลุธรรม แต่ไม่ได้อภิญญา

เช่นเดียวกัน ปุถุชน หลายคน ยังไม่บรรลุโสดาบันเลย(ยังไม่ได้ขั้นต้น ของอริยะบุคคล)
แต่มีอภิญญาจิต มีอิทธิฤทธิ์ ซะเหลือเกิน
ยกตัวอย่าง เช่น พระเทวทัต เป็นต้น
ทั้งแปลงร่าง ทั้งเหาะเหิน เดินอากาศ...................พระเทวทัต ทำได้หมด
แม้ห่มจีวร เป็นพระ แต่ยังไม่ได้โสดาบัน

คนที่มีฤทธิ์ กับคนที่ ไม่มีกิเลส ................เราควรยกย่อง นับถือใครกัน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ทุกสิ่งไม่เที่ยง สักวันก็เหลือแต่กระดูก เหลือแต่เถ้าถ่าน
เรานั้นคือผู้ที่ยังรู้น้อย ขอผู้รู้และผู้บรรลุโปรดแนะนำ


แล้วเขียนมาทำบ้าอะไร...

คุณกบนอกกะลาคร้าบ

คุณทักษาแกเขียนว่า ขอให้ผู้รู้และผู้บรรลุโปรดแนะนำ
คุณเข้าใจคำว่าผู้รู้มั้ยครับ ผู้รู้คือรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใครเข้าอยากรู้อะไร
ก็อ้างคำคนนั้นทีคนนี้ที แบบนี้เขาเรียก คนไม่รู้แต่ชอบทำเป็นรู้ครับ
ที่สำคัญอ้างในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่เชื่อไม่ศรัทธาเสียด้วย

ยิ่งผู้บรรลุยิ่งไปกันใหญ่ ใครล่ะผู้บรรลุ แล้วใครล่ะเชื่อว่าคนนั้นบรรลุ
คุณจขกทแกบรรลุแล้วหรือ ผมว่ายังอีกไกลมั้ง

คุณกบครับผมว่าคุณทำใจให้สบายๆ แล้วย้อนไปดูตัวเองว่า
ทำไมต้องเดือดร้อนกับการที่เขาออกมาวิจารณ์แม่ชีทีเอาแค่ศีลห้าศีลแปดไม่เอา
กับการที่คุณลงไปวิจารณ์พระที่ถือศีล227ข้อ
คุณว่าอย่างไหนมันเหมาะมันสมกว่ากัน

การวิจารณ์แม่ชีที่มีตัวตนจริงในคลิป แถมคลิปนั้นลูกศิษย์เป็นคนทำเอง
กับการไปด่าว่าพระด้วยการฟังความจากคนอื่น คุณว่าอย่างไหนสมควรทำ
และอย่างไหนไม่สมควรทำครับ

อีกเรื่องครับ เห็นตอนต้นกระทู้แสดงความเห็นเชิงสอนเรื่องการนินทาไว้
ถามหน่อย ที่สอนไว้น่ะ ให้ทำหรือไม่ไห้ทำครับ ผมว่าอย่างคุณนี่คงต้อง
แนะนำให้ทำหรือเห็นเรื่องนินทาชาวบ้าน เป็นเรื่องดีแน่ๆ แต่ก่อนก็เห็น
นินทาผมข้ามห้อง เดี๋ยวนี้พัฒนาไปไกล นินทาข้ามเวปกันเลยที่เดียว :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ทักษา เขียน:
พูดจาไม่สำรวมนี่ผิดข้อมุสาวาทา ลามก อนาจาร นี่ผิดข้อ กาเมสุมิจฉา เห็นมั้ยที่ว่ามีข้ออ้างเรื่องสุขภาพไม่ยอมรักษาศีล8 รักษาแค่ศีล5 นี่ขาดศีล5 ยังรักษาไม่ครบเลย ยังจะแอบอ้างตนว่าเป็นแม่ชีผู้วิเศษ แอบอ้างว่าตนมีอิธิฤทธิ ปาฏิหาริย์ หน้าไม่อาย หลอกลวงชาวโลก

ขออธิบายขยายความคุณทักษาเพิ่มเรื่องพูดจาไม่สำรวม ต้องหมายความไปจนถึงเจตนาไม่สมรวมด้วยครับเดี๋ยวคนอ่านไปตีความตรงๆจะเข้าใจแค่ผิวเผิน เพราะพระอริยะบางรูป ท่านก็พูดใช้คำตรงๆ เช่น ค๊วย HEE กู เมิง แต่เจตนาในใจท่านสำรวมครับ ไม่มีอารมณ์กาเม คล้อยตามไปด้วย แต่บางคนไปพูดคำเดียวกัน แต่เจตนาในใจไม่สำรวมครับ จิตมีอารมณ์คล้อยไปด้วยไฟ กาเม เช่นพูดไปจนแสดงออกทางใบหน้า ยิ้มหัวเราะ ทำตาเคลิ้ม ทำหน้าเป็น ออกมาทางสีหน้าด้วย
ยกตัวอย่าง บางคนพูด กู เมิง ด้วยอารมณ์โกรธต่อคนนั้น แต่บางคนพูด กู เมิง เหมือนกัน แต่ไม่มีอารมณ์ในใจโกรธอะไรเลย อย่างเช่นใช้คำพวกนี้ กับเพื่อนสนิทเรา ก็ไม่ได้พูดด้วยอารมณ์โกรธ แต่อย่างใด

คุณจขกทครับ ผมฟังคำพูดของคุณแล้ว ผมขอบอกเลยครับว่า
มันเป็นสูตรสำเร็จ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแก้ตัวครับ

ใช่ครับคำพูดก็เป็นแค่คำพูด เป็นสมมุติบัญญัติ ถ้าเราอยากรู้อยากตีความคำพูดนั้นๆ
เราต้องล่วงรู้ความในใจของคนที่กล่าวคำพูดนั้นๆ ซึ่งวิธีนี้มันเป็นไปได้ยาก
แต่ก็ไม่ใช่จะไม่สามารถรู้ได้นะครับ พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องเหตุปัจจัย
เรื่องเหตุและผลไว้

เราสามารถตีค่าหาความหมายของผลที่อยู่ตรงหน้า
ด้วยการกลับไปดูที่เหตุครับ ลองดูลองพิจารณาเหตุให้ดีๆ แล้วจะล่วงรู้ได้เลยครับ
ว่า ความในใจของผู้พูดเป็นอย่างไร

อย่างมีพระที่อายุมากแล้ว ออกมาพูดว่า " โคตรพ่อ โครตแม่มัน"(ขอโทษ)
เราดูกันขณะนั้นมันก็เป็นคำหยาบไม่เหมาะไม่สม
แต่ถ้าผู้พูดออกมาแก้ตัวมา พูดไปอย่างนั้นเองไม่ได้คิดอะไร
เราก็ต้องไปพิจารณาดูที่ต้นเหตุครับว่า มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระรูปนี้
กล่าวคำว่า"โคตรพ่อ โคตรแม่มัน"

สาเหตุที่พระท่านกล่าวคำนั้นออกมาก็เพราะ ลูกศิย์นำเรื่องของพระอีกสำนัก
ไปบอก ซึ่งวิธีการสอนมันแตกต่างกัน พอท่านได้ฟังคำพูดที่ขัดแย้งกับท่าน
ท่านจึงได้กล่าวคำนี้ออกมา

นี่ครับจะดูความในใจคนมันต้องดูกันตรงนี้
กิเลสมันเป็นสาเหตุหรือเหตุแห่งทุกข์
อยากรู้ใครมีกิเลสหรือไม่ อย่าไปดูที่ผลครับ
เราต้องไปดูที่เหตุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มันตลก...

เขียนอย่าง...
คิดอย่าง..


เขียนอย่างคิดอย่างยังไง ตลกตรงไหน ไม่เห็นมีตรงไหนตลก


ขอประทานโทษครับ

ท่านนั่นแหละครับ



ตัวตลก

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
ทักษา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มันตลก...
เขียนอย่าง...
คิดอย่าง..


เขียนอย่างคิดอย่างยังไง ตลกตรงไหน ไม่เห็นมีตรงไหนตลก


ขอประทานโทษครับ
ท่านนั่นแหละครับ

ตัวตลก

แต่ผมว่าของคุณเม็ตลกที่สุดครับ
ของคุณทักษา เขียนเองคิดเอง
แต่ของคุณเม็ด แอบไปหยิบธรรมคนอื่นมาโชว์พาว
พอเวลาโดนชาวบ้านเขาติติงก็โยนไปให้ท่านพุทธทาส

ตลกจริงๆครับ ตลกแบบนันสต็อปเลยครับ ก๊ากๆๆๆๆ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ระยะนี้อากาศแปรปรวน ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ :b1: :b25:


http://www.youtube.com/watch?v=0iMwlPLALf8

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 17:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบ คุณ โฮฮับ

หยาบไม่หยาบมันอยู่ที่กิเลสของคนจะไปปรุงแต่งมัน ผมยกคำสอนหลวงตาบัว เพราะท่านพูดมีเหตุผล และผมก็ยกพระไตรปิฎกเสริม คุณก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เอากิเลสนำทาง ถูไถไปเรื่อย

งั้นผมบอกว่า คำว่า ตลกเนี่ย คือคำหยาบสำหรับผม ? คุณจะว่าไง พอคนเขาพูดกันเยอะขึ้นว่ามันเป็นคำหยาบ จิตใจมันก็ปรุงแต่งคำไปอีก จากตลก อาจเป็น จำอวด ถ้าจำอวด จิตใจปรุงแต่งว่าเป็นคำหยาบอีก ก็จะปรุงไปใช้คำไหม่ว่า ขำขัน แล้วถ้าคนฟังเขาเอากิเลสฟังอีกว่ามันหยาบอีก ก็ปรุงแต่งไปอีกเรื่อยๆ

ผมถึงบอกไง ว่ามันอยู่ที่เจตนา เหมือนคำว่า HEE คนคิดคำนี้คนแรก ในตอนนั้นมันอาจไม่หยาบ แต่คนเอาใช้ด่าทอกัน จากนั้นก็กลายเป็นคนหยาบ แล้วก็เปลี่ยนจาก HEE เรียกไหม่เป็นอัยวะเพศหญิง แล้วถ้าคนบอกว่าหยาบอีก ก็ปรุงแต่งคำไปอีก ว่าเป็น ทวารเบาหญิง สรุปแล้วมันก็คือ คำเดียวกันหมด แล้วอยู่ที่ว่าคนนั้นจะใช้คำนี้ไปทางใหน

เหมือนคำว่าควายอะ หยาบมะ แต่พอคนเอาไปใช้ด่าคนอื่นมากๆเข้า ก็เหมือนโดนจิตวิทยาหมู่ว่าเป็นคำหยาบ แล้วก็ปรุงแต่งคำไปอีกตามกิเลสมันชอบ ว่าเป็นกระบือ แล้วพอกิเลสถูไถอีกว่าเป็นคำหยาบ ก็ปรุงแต่งเป็นคำไหม่ว่า ฉงน

มันถูไถไปเรื่อยๆจริงๆ เอากิเลสจับอย่างเดียวเลย เอาให้มันถูกใจกิเลสในตนให้ได้ ว่างั้น


ถ้ายังไม่เข้าใจอีก ก็ตามใจ ระวังกลายเป็น เถรใบลานเปล่า ธรรมะนะถ้ามองผิวเผิน เขาก็สำเร็จกันไปหมดแล้ว มันมีตื้นลึก หนาบาง บางคนจกลงไปได้แค่นี้ก็ว่า ธรรมะมีแค่นี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
ตอบ คุณ โฮฮับ
หยาบไม่หยาบมันอยู่ที่กิเลสของคนจะไปปรุงแต่งมัน ผมยกคำสอนหลวงตาบัว เพราะท่านพูดมีเหตุผล และผมก็ยกพระไตรปิฎกเสริม คุณก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เอากิเลสนำทาง ถูไถไปเรื่อย

งั้นผมบอกว่า คำว่า ตลกเนี่ย คือคำหยาบสำหรับผม ? คุณจะว่าไง พอคนเขาพูดกันเยอะขึ้นว่ามันเป็นคำหยาบ จิตใจมันก็ปรุงแต่งคำไปอีก จากตลก อาจเป็น จำอวด ถ้าจำอวด จิตใจปรุงแต่งว่าเป็นคำหยาบอีก ก็จะปรุงไปใช้คำไหม่ว่า ขำขัน แล้วถ้าคนฟังเขาเอากิเลสฟังอีกว่ามันหยาบอีก ก็ปรุงแต่งไปอีกเรื่อยๆ

ผมถึงบอกไง ว่ามันอยู่ที่เจตนา เหมือนคำว่า HEE คนคิดคำนี้คนแรก ในตอนนั้นมันอาจไม่หยาบ แต่คนเอาใช้ด่าทอกัน จากนั้นก็กลายเป็นคนหยาบ แล้วก็เปลี่ยนจาก HEE เรียกไหม่เป็นอัยวะเพศหญิง แล้วถ้าคนบอกว่าหยาบอีก ก็ปรุงแต่งคำไปอีก ว่าเป็น ทวารเบาหญิง สรุปแล้วมันก็คือ คำเดียวกันหมด แล้วอยู่ที่ว่าคนนั้นจะใช้คำนี้ไปทางใหน

เหมือนคำว่าควายอะ หยาบมะ แต่พอคนเอาไปใช้ด่าคนอื่นมากๆเข้า ก็เหมือนโดนจิตวิทยาหมู่ว่าเป็นคำหยาบ แล้วก็ปรุงแต่งคำไปอีกตามกิเลสมันชอบ ว่าเป็นกระบือ แล้วพอกิเลสถูไถอีกว่าเป็นคำหยาบ ก็ปรุงแต่งเป็นคำไหม่ว่า ฉงน

มันถูไถไปเรื่อยๆจริงๆ เอากิเลสจับอย่างเดียวเลย เอาให้มันถูกใจกิเลสในตนให้ได้ ว่างั้น

ถ้ายังไม่เข้าใจอีก ก็ตามใจ ระวังกลายเป็น เถรใบลานเปล่า ธรรมะนะถ้ามองผิวเผิน เขาก็สำเร็จกันไปหมดแล้ว มันมีตื้นลึก หนาบาง บางคนจกลงไปได้แค่นี้ก็ว่า ธรรมะมีแค่นี้

คุณจขกท คิดจะถกธรรมกรุณามีสติมีสมาธิให้มันอยู่กับเนื้อหาของคู่สนทนาหน่อย
ไม่อย่างงั้น การสนทนาจะออกมาในรูป"ไปไหนมาสามวาสองศอก"

จะค่อยๆอธิบายความให้เข้าใจนะ ผมถือเสียว่าปัญญาคนมีหลายระดับ
ถ้าเราคุยกับคนที่ระดับปัญญาน้อยเราก็ต้องมีความอดทนสูง

คุณจขกทเข้าใจคำว่า"สมมุติบัญญัติ"หรือเปล่า สมมุติบัญญัติเขามีขึ้นมาเพื่อ
ใช้เรียกชื่อสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติให้เราทั้งหลายเข้าใจตรงกัน

ส่วนเราจะดูว่า คำใดหยาบ คำใดไม่สำรวม เราต้องไปดูที่องค์ประกอบ
องค์ประกอบก็มี ผู้พูดเป็นใคร ผู้พูดอยู่ในสถานะใดและที่สำคัญต้องดูอาการ
แสดงออกทางกายและมูลเหตุของคำพูดนั้นๆ

อย่างคำว่าสำรวม ที่คุณทักษาแกบอกว่าแม่ชีไม่สำรวม มันถูกต้องร้อยเปอร์เซ็น
เพราะคนที่พูดอยู่ในสถานะ นักบวช
ถ้าคุณจขกทจะทำความเข้าใจ เรื่องความเหมาะสมกับสถานะที่ตัวเองดำรงอยู่
คุณจขกทก็จะเข้าใจถึงคำว่า สำรวม

ที่เข้าแยกแยะสถานะของคน มันมีหลักมีเกณท์ของมันครับ
สถานะของพระก็ต้องมีศีล227ข้อ ต้องมีความสำรวมและต้องเก็บอาการ
ทางกายไม่ให้แสดงออกจนมากเกินไป

ส่วนแม่ชีก็อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าพระ แต่ก็สูงกว่าฆราวาส
การพูดการจา อาจไม่ต้องระมัดระวังเท่ากับพระ แต่ก็ไม่ควรใช้คำ
ที่อยู่ในระดับเดียวหรือต่ำกว่าฆราวาส

คุณจขกทครับ แม้แต่คนธรรมดาระดับเดียวกันยังมีกฎเกณท์
ในการใช้ภาษาเลยครับ เอาง่ายๆสั้นๆคุณจขกทรู้จักคำว่าสมบัติผู้ดีมั้ยครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร