วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 17:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 37  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2011, 19:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


พราหมณสูตร

[๑๕] ดูกรอานนท์ สัมมาทิฏฐิอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด
มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุดมีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๑๖]
ดูกรอานนท์ สัมมาสังกัปปะอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะ
เป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๑๗]
ดูกรอานนท์ สัมมาวาจาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด
มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๑๘]
ดูกรอานนท์ สัมมากัมมันตะอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะ
เป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๑๙]
ดูกรอานนท์ สัมมาอาชีวะอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด
มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๒๐]
ดูกรอานนท์ สัมมาวายามะอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะ
เป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๒๑]
ดูกรอานนท์ สัมมาสติอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด
มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๒๒]
ดูกรอานนท์ สัมมาสมาธิอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด
มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๒๓]
ดูกรอานนท์ ข้อว่า ยานอันประเสริฐ เป็นชื่อของอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้เอง เรียกกัน
ว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง รถพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมบ้างนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้แล.

[๒๔]
อริยมรรคญาณนั้นมีธรรม คือ ศรัทธากับปัญญาเป็นเอก มีศรัทธา
เป็นทูบ
มีหิริเป็นงอน มีใจเป็นเชือกชัก มีสติเป็นสารถีผู้ควบคุม
รถนี้มีศีลเป็นเครื่องประดับ มีญาณเป็นเพลา มีความเพียรเป็นล้อ
มีอุเบกขากับสมาธิเป็นทูบ ความไม่อยากได้เป็นประทุน
กุลบุตรใดมีความไม่พยาบาท ความไม่เบียดเบียนและวิเวกเป็นอาวุธ
มีความอดทนเป็นเกราะหนัง กุลบุตรนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความเกษมจากโยคะ
พรหมยานอันยอดเยี่ยมนี้ เกิดแล้วในตนของบุคคลเหล่าใด
บุคคลเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์ ย่อมออกไปจากโลก
โดยความแน่ใจว่า มีชัยชนะโดยแท้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2011, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เราว่า อาจารย์เราเพี้ยนแล้วนะ

แต่คำตักเตือน คำแนะนำ คำชี้แจง คำสอน คำทุก ๆ คำที่อาจารย์พร่ำบอก
ล้วนไม่ได้มีอะไรที่ผิดเพี้ยนไปจาก คำสอนของพระพุทธองค์เลย

ได้พบอาจารย์ ชี้นำ ไปสู่สัจจะ
ก็ราวกับคำสอนของพระพุทธองค์ได้คืนชีพกลับมาอีกครั้ง

:b8: :b8: :b8:

ได้ลองเอาพระสูตรมานั่งอ่าน

แต่อ่านไปตรงไหน ก็เจอแต่คำสอนของอาจารย์

ก็เลยหยิบมาฝาก

:b20: :b20: :b20:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2011, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เราว่า อาจารย์เราเพี้ยนแล้วนะ

แต่คำตักเตือน คำแนะนำ คำชี้แจง คำสอน คำทุก ๆ คำที่อาจารย์พร่ำบอก
ล้วนไม่ได้มีอะไรที่ผิดเพี้ยนไปจาก คำสอนของพระพุทธองค์เลย

ได้พบอาจารย์ ชี้นำ ไปสู่สัจจะ
ก็ราวกับคำสอนของพระพุทธองค์ได้คืนชีพกลับมาอีกครั้ง

:b8: :b8: :b8:

ได้ลองเอาพระสูตรมานั่งอ่าน

แต่อ่านไปตรงไหน ก็เจอแต่คำสอนของอาจารย์

ก็เลยหยิบมาฝาก

:b20: :b20: :b20:

:b8: :b8: :b8:

ขอคาราวะขออนุโมทนา google ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 14:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 21:46
โพสต์: 373

ชื่อเล่น: ฮานะ ธรรมอาสา
อายุ: 28

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: ฮานะ คารวะ อนุโมทนา ศาสดา กูเกิ้ลลลลลลลลล

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Hana เขียน:
:b12: ฮานะ คารวะ อนุโมทนา ศาสดา กูเกิ้ลลลลลลลลล

ส่วนข้าน้อยขอแสดงความศรัทธาแด่ วิกิพีเดีย
ด้วยการบูชายันต์ ปาทังก้าทอดกรอบ พะยะครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


บุรุษผู้ตกอยู่ในหลุมคูถ เห็นสระน้ำเต็มเปี่ยม ไม่ไปหาสระนั้น
ข้อนั้นหาเป็นความผิดของสระไม่ ฉันใด

เมื่อสระ คืออมตะในการที่จะชำระล้างมลทิน คือกิเลสที่มีอยู่
เขาไม่ไปหาสระนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของสระไม่ฉันนั้นเหมือนกัน

คนผู้ถูกกิเลสกลุ้มรุม เมื่อทางหนีไปมีอยู่ ไม่หนีไปข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางไม่ ฉันใด
คนที่ถูกกิเลสกลุ้มรุม เมื่อมีทางปลอดภัยมีอยู่ ไม่ไปหาทางนั้น ข้อนั้นฉันใด
หาเป็นความผิดของทางที่ปลอดภัยไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน

คนที่เจ็บป่วย เมื่อหมอรักษาโรคมีอยู่ ไม่ยอมไปรักษาความเจ็บป่วยนั้น
ข้อนั้นหาเป็นความผิดของหมอไม่

ฉันใดคนผู้รับทุกข์ ถูกความเจ็บป่วยคือกิเลสเบียดเบียนแล้วไม่ไปหาอาจารย์นั้น
ข้อนั้นหาเป็นความผิดของอาจารย์ผู้แนะนำไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน

เมื่อทุกข์มีอยู่ ขึ้นชื่อว่าสุขก็ต้องมีฉันใด
เมื่อภพมีอยู่ แม้สภาพที่ปราศจากภพก็ควรปรารถนาฉันนั้น

เมื่อความร้อนมี่อยู่ ความเย็นอีกอย่างหนึ่งก็ต้องมีฉันใด
ไฟสามอย่างมีอยู่ พระนิพพานก็ควรปรารถนาได้เช่นนั้นเหมือนกัน

เมื่อสิ่งชั่วมีอยู่ แม้ความดีงามก็ต้องมีฉันใด
ความเกิดมีอยู่ แม้ความไม่เกิดก็ควรปรารถนาแนนั้นดังนี้

หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินยังไม่ขาดสายลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลานั้น
จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถึงกาลเวลานั้นพวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง
ไปอีกนานแสนนาน..................

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 21:46
โพสต์: 373

ชื่อเล่น: ฮานะ ธรรมอาสา
อายุ: 28

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินยังไม่ขาดสายลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลานั้น
จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถึงกาลเวลานั้นพวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง
ไปอีกนานแสนนาน..................


หนทางมีอยู่ แต่ผู้เดินหามีไม่
ตามรอยบาทาไป หลงทาง เอย

ฮานะ :b4:

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เห็นเงิน 500 บาทตกข้างทาง..แล้วความคิดมันไปทางไหน?...คิดหาทางคืนเจ้าของเขามั้ย

เห็นเงิน 5,000 บาทตกข้างทาง..แล้วความคิดมันไปทางไหน?......คิดหาทางคืนเจ้าของเขามั้ย..

เห็นเงิน 5,000,000 บาทตกข้างทาง..แล้วความคิดมันไปทางไหน?....ยังคิดหาทางคืนเจ้าของเขาอยู่เหมือนเดิมมั้ย...ดูใจซิ..ยิบ ๆ แยบ ๆ....หาว่าเป็นกรรมของเขาแต่มันบุญของเรารึเปล่า...คิดหาเหตุผลหาเรื่องเก็บใว้ใช้เองหรือเปล่า???.

ความคิดของอริยะ มาจากความจริงที่ว่า อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง หรือมาจากความจริง รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น อริยรระดับโสดาบัน เห็นเงินตก ยังมีความอยากได้อยู่ ยังก้มลงเก็บได้ (ถ้าเป็นพระก็ถึงปราชิก) สกิทาคามีมรรคมีเหลือความอยากเล็กน้อย คิดจะเอา คิดจะคืน หรือจะเดินผ่านไปเฉยๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น สกิทาคามีผลไม่อยากได้เลยเดินผ่านไปเฉยๆ ฯ

ถ้าเป็นปุถุชน เห็นเงินตก ก็เหมือนมีไฟลุกท่วมใจ

my-way เขียน:
เข้าถึงความจริงแห่งธรรม นั่นแล
ไม่ใช่ความจริงแห่งธรรมชาติ
ถึงความจริงแห่งธรรมชาติ เรียกได้สูงสุด ว่าตรัสรู้เท่านั่น

สัจจะธรรม คือ นิพพาน การเข้าถึงนิพพาน คือ การถึงความจริงแห่งธรรม แล้วธรรมก็ไม่ใช่ธรรมชาติ ... เออ .. แล้วตรัสรู้นี่ มันยังไงกันละครับ? ขอภาษาง่ายๆ ฟังเข้าใจง่ายๆ หน่อยนะครับ

eragon_joe เขียน:
ก็เป็นผู้ที่กำลังเพียรละอกุศลธรรม จนอกุศลกรรมไม่เกิด

นี่คือ นิพพานในความเข้าใจของท่าน ใช่รึเปล่า

นิพพาน คือ ไม่กลับมาเกิดอีก เหตุของการเกิด คือ อกุศลธรรม การเพียรละอกุศล ยังกุศลให้เกิด จึงเป็นวิธีการที่ตรง หรือการกระทำที่เหตุ ตรงตามเหตุปัจจัย .... ไม่มีทางอื่นใดนอกจากนี้ที่จะทำให้ถึงนิพพาน

อ้างคำพูด:
ความเห็น ความจริง อะไรของท่าน
วิชา อวิชา แง่มุมไหนของท่าน
ความเห็น ตรงกันข้ามกับ ความจริง

ความเห็น มีมูลฐานมาจาก ความพอใจ ไม่พอใจ และความหลง หรือ ความไม่รู้ ความหลงใหญ่ ภาษาธรรมเรียกว่า อวิชชา

ความจริง มีมูลฐานมาจาก ความจริงของโลกและชีวิต คือ ความรู้ในกฏธรรมชาติ ๒ กฏ หรือ วิชชา ส่งผลให้ดับ ความพอใจ ไม่พอใจ และความหลง ลงไปได้

การเจริญ สัมมาทิฐิ ไม่ได้ให้ไปสั่งตัวเองให้มีสัมมาทิฐิ เพราะเราสั่งตัวเองไม่ได้ เราสั่งจิตก็ไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ต้องไปกระทำที่เหตุของการมีสัมมาทิฐิ เหมือนชาวนาปลูกข้าว ชาวนาบังคับข้าวให้ออกรวงไม่ได้ฉันใด เราก็บังคับจิตให้เกิดสัมมาทิฐิไม่ได้ฉันนั้น ชาวนาบำรุงดูแลต้นข้าว ดูเรื่องน้ำ เรื่องปุ๋ย เราก็ต้องทำการสะสม วิชชา หรือ ความจริง ด้วยการ วิปัสสนา เพื่อให้เกิดสัมมาทิฐิ

Quote Tipitaka:
การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์
ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้
บริบูรณ์ ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์ การทำ
ไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะ
ที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อม
ยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์
สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์
ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์
อย่างนี้ ฯ

ตามที่ระพุทธองค์ได้แสดงธรรม การบรรลุธรรมในธรรมวินัยนี้ มีเป็นขั้นเป็นตอน เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ก้าวข้ามขั้นก็ไม่ได้ เหมือนมหาสมุทรที่ไม่ได้ลึกลงมาแต่ก่อนเลย หากแต่ค่อยๆ ลึกลงไปเป็นลำดับ

ความตอนนี้ แปลเป็นภาษาง่ายๆ ว่า ต้องได้พบผู้รู้ ได้ฟังความจริง เห็นด้วยตามนั้น (เกิดมีดวงตาเห็นธรรม เกิดมีวิชชาหรือปัญญา) เอาความจริงหรือปัญญามาตั้งไว้ มีสติไม่หลงลืม (ไม่ประมาท) รู้เห็นอะไรก็เห็นตามความจริง (วิปัสสนาภาวนา หรือ ฝึกยังกุศลให้เกิด) จะทำให้เกิดศีล ทำให้นิวรณ์ดับ จิตปกติสงบเป็นสมาธิ และทำให้รู้เห็นอะไรตามความเป็นจริงเป็นปกติวิสัย (สติปัฏฐาน) พาไปสู่ความหลุดพ้น (โพชฌงค์) ฯ

ดังนี้ วิชชา และ วิมุตติ ถึงจะบริบูรณ์

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 04 มิ.ย. 2011, 20:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 18:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
นิพพาน คือ ไม่กลับมาเกิดอีก เหตุของการเกิด คือ อกุศลธรรม การเพียรละอกุศล ยังกุศลให้เกิด จึงเป็นวิธีการที่ตรง หรือการกระทำที่เหตุ ตรงตามเหตุปัจจัย ....ไม่มีทางอื่นใดนอกจากนี้ที่จะทำให้ถึงนิพพาน

ความเห็น ตรงกันข้ามกับ ความจริง

ความเห็น มีมูลฐานมาจาก ความพอใจ ไม่พอใจ และความหลง หรือ ความไม่รู้ ความหลงใหญ่ ภาษาธรรมเรียกว่า อวิชชา

ความจริง มีมูลฐานมาจาก ความจริงของโลกและชีวิต คือ ความรู้ในกฏธรรมชาติ ๒ กฏ หรือ วิชชา ส่งผลให้ดับ ความพอใจ ไม่พอใจ และความหลง ลงไปได้


ขอพระสูตรมายืนยันในความเห็นที่ท่านแสดงแต่ละท่อนด้วยจ้า

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต โอริมสูตร

บรรดามนุษย์ทั้งหลาย เหล่าชนที่ไปถึงฝั่งโน้น มีประมาณ
น้อย ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้เลาะไปตามฝั่งทั้งนั้น ส่วนชน
เหล่าใดเป็นผู้ประพฤติตามธรรม ในธรรมอันพระตถาคต
ตรัสแล้วโดยชอบ ชนเหล่านั้นจักข้ามพ้นวัฏฏะอันเป็น
บ่วงมาร ที่ข้ามพ้นได้แสนยาก แล้วจักถึงฝั่งโน้น คือ
นิพพาน บัณฑิตละธรรมดำเสียแล้ว พึงยังธรรมขาวให้เจริญ
บัณฑิตละกามทั้งหลายแล้ว เป็นผู้ไม่มีกังวล ออกจาก
ความอาลัย อาศัยธรรมที่ไม่มีความอาลัย ปรารถนา
ความยินดียิ่งในวิเวกที่ยินดีได้แสนยาก บัณฑิตพึงยังตน
ให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมองจิตทั้งหลาย บัณฑิตเหล่าใด
อบรมจิตแล้วโดยชอบ ในองค์ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ทั้งหลาย
ไม่ถือมั่นแล้ว ยินดีในนิพพานเป็นที่สละความถือมั่น
บัณฑิตเหล่านั้น สิ้นอาสวะ มีความรุ่งเรือง ดับสนิท
แล้วในโลก ฯ


Quote Tipitaka:
พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค เวรัญชกัณฑ์ เรื่องเวรัญชพราหมณ์

ฯลฯ

ว. ท่านพระโคดมไม่ผุดเกิด.

ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่ผุดเกิดดังนี้ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะการนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดาเรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนไม่ผุดเกิด พราหมณ์ การนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.

ฯลฯ


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ เรื่องสุนีธะวัสสการะมหาอำมาตย์


ฯลฯ

ดูกรสีหะ อนึ่ง เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมไม่ผุดเกิด แสดงธรรมเพื่อความไม่ผุดเกิด และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกนั้น เป็นอย่างไร ดูกรสีหะ เพราะการนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนไม่ผุดเกิด ดูกรสีหะ การนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ ตถาคตละได้แล้วตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมไม่ผุดเกิด แสดงธรรมเพื่อความไม่ผุดเกิด และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ชื่อว่ากล่าวถูก.

ฯลฯ


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค ๒. มหานิทานสูตร (๑๕)
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... 455&Z=1887

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ๔. อัตถิราคสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... 697&Z=2779

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค


๙. โกฏฐิตสูตรที่ ๒

ว่าด้วยความหมายของอวิชชาและวิชชา

[๓๓๐] พระนครพาราณสี ท่านพระสารีบุตรนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ถามท่านพระมหาโกฏฐิตะว่า ดูกรท่านโกฏฐิตะ ที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้ อวิชชาเป็นไฉนหนอแลและบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่าไร? ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา ... แห่งสัญญา ... แห่งสังขาร ... แห่งวิญญาณ. ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.

[๓๓๑] เมื่อท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงได้ถามว่า ดูกรท่านโกฏฐิตะ ที่เรียกว่า วิชชา วิชชา ดังนี้ วิชชาเป็นไฉนหนอแล และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่าไร? ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษและอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา ... แห่งสัญญา ... แห่งสังขาร ... แห่งวิญญาณ. ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้เรียกว่า วิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.



... ที่เหลือแล้วจะค่อยๆ หามาให้อ่าน ไม่ค่อยจะได้เปิดพระไตรปิฏกมาปีกว่าๆ แล้ว คงต้องใช้เวลาหน่อย :b13:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ทวยตานุปัสสนาสูตรที่ ๑๒

ฯลฯ

อวิชชานั้นเอง เป็นคติของสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงชาติมรณะ
และสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่น
บ่อยๆ อวิชชา คือ ความหลงใหญ่นี้ เป็นความเที่ยงอยู่สิ้น
กาลนาน สัตว์ทั้งหลายผู้ไปด้วยวิชชาเท่านั้น ย่อมไม่ไปสู่
ภพใหม่ ฯ

ฯลฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามสบาย

:b1: :b1:

หยิบมาก็พยายามหยิบที่สนับสนุนกับความคิดของท่านหน่อยนะ
และก็ทำสีด้วย จะได้เห็นชัด ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 09:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ตามสบาย

:b1: :b1:

หยิบมาก็พยายามหยิบที่สนับสนุนกับความคิดของท่านหน่อยนะ
และก็ทำสีด้วย จะได้เห็นชัด ๆ


พวกสนับสนุนสังขาร ก็เป็นแบบนี้ แหละครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 09:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง

สัจจะธรรม คือ นิพพาน การเข้าถึงนิพพาน คือ การถึงความจริงแห่งธรรม แล้วธรรมก็ไม่ใช่ธรรมชาติ ... เออ .. แล้วตรัสรู้นี่ มันยังไงกันละครับ? ขอภาษาง่ายๆ ฟังเข้าใจง่ายๆ หน่อยนะครับ

ตอบ

ก็ถ้าได้ยิน แล้วไม่สักว่าได้ยิน อยากจะไปหาวิญญาณ ก็เมื่อไรจะตรัสรู้ ล่ะครับ

จะเอาภาษาง่ายๆ นี่ไงครับ บ๊อกๆๆๆ โฮ่งๆๆๆ

ไปหัดฟังซะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 37  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร