วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29 ... 37  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Onion_L มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญสำหรับคุณซุปพะเลิก คำพูดต่อไปนี้ต้องรีบถอนหรือชี้แจงนะครับ มิฉะนั้น สิ่งดีๆที่คุณทำไว้ทั้งหมดจะกลายเป็น สูญ ไปทันที เมื่อท่านผู้รู้จริงมาพบเห็น

ต่อเมื่อตั้งอยู่ที่โสดาปัตติผลแล้ว ก็ยังมีโสดาบันบุคคลกลับไปกินเหล้า แต่มีส่วนน้อย เป็นพวกเข้าเกียร์ว่าง ไม่วิปัสสนาต่อ โสดาบันบุคคลที่ยังมุ่งนิพพาน ก็ยังวิปัสสนาต่อด้วยความเพียร อุปสรรคใดๆ ที่ขวางมรรคผลนิพพาน เราก็จะเลี่ยงด้วยปัญญา
:b34:

โสดาบันบุคคล มีความไม่ล่วงศีล ทั้ง 5 ข้อ เป็นปกติ

ศีลข้อห้า ตามบาลีแล้วท่านมิได้ห้ามเฉพาะเรื่อง เหล้า เบียร์ ไวน์ สาโท อุ กระแช่ น้ำตาลเมา อันได้แก่เมรัยทั้งหลายท่านก็ห้าม
มัชชะ ของเมาทั้งหลาย นับไปได้ตั้งแต่ กาแฟ บุหรี่ ฝิ่น เฮโรอีน มอร์ฟิน กัญชา กระท่อม ยาไอซ์ ยาดี กาว ล้วนทำให้ประสาทผิดเพี้ยน เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทได้ทั้งสิ้น

พระโสดาบันท่านไม่อาลัยใยดีกับ รส ที่เป็นอันตรายและผิดศีลอย่างนี้แล้วนะครับ

Onion_L
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณSupareak เอาสติไปตัดเสียก่อน จึงได้อุเบกขา
เป็นอุเบกขาที่เกิดจากโลกุตระปัญญา หรืออุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ ที่ตัดไม่ใช่สติ แต่เป็นสติปัญญา
อนัตตาธรรม เขียน:
โสดาบันบุคคล มีความไม่ล่วงศีล ทั้ง 5 ข้อ เป็นปกติ

ศีลข้อห้า ตามบาลีแล้วท่านมิได้ห้ามเฉพาะเรื่อง เหล้า เบียร์ ไวน์ สาโท อุ กระแช่ น้ำตาลเมา อันได้แก่เมรัยทั้งหลายท่านก็ห้าม
มัชชะ ของเมาทั้งหลาย นับไปได้ตั้งแต่ กาแฟ บุหรี่ ฝิ่น เฮโรอีน มอร์ฟิน กัญชา กระท่อม ยาไอซ์ ยาดี กาว ล้วนทำให้ประสาทผิดเพี้ยน เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทได้ทั้งสิ้น

พระโสดาบันท่านไม่อาลัยใยดีกับ รส ที่เป็นอันตรายและผิดศีลอย่างนี้แล้วนะครับ

Onion_L
:b12:
มีแต่อรหันต์เท่านั้นแหละครับที่ศีลบริสุทธิ์ และก็เพราะมีอรหันต์ไปกินเหล้า พระพุทธงค์ถึงประกาศพระวินัยห้ามภิกษุกินเหล้า

โสดาบันบุคคล ยังมีโลภะ โทสะ โมหะ ครบ แต่ถ้าเป็นพระโสดาบัน ต้องอยู่ในวินัย ๒๒๗ ข้อ มันต่างกันมาก ก็ โลภะ โทสะ โมหะ นั่นแหละ ที่ทำให้คนคิดผิด พูดผิด ทำผิด ประกอบอาชีพผิด ฯ

การที่มีการสร้างภาพอันสวยหรูของโสดาบันว่า มีศีลบริสุทธ์ ไม่ผิดเลย เป็นเพราะไม่มีโสดาบันจริงๆ มาพันกว่าปีแล้ว มีแต่พวกฤาษีที่ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะถ้าศีลพร่อง ฌานก็เสื่อม

ศีลของโสดาบัน หรือ ศีลในมรรค ๘ เกิดจาดปัญญาสัมมาทิฐิ การผิดศีลยังเป็นไปได้ แต่ปกติจะพยายามเลี่ยงเพราะทิฐิเห็นว่ามันเป็นภัยเวร ถ้าโสดาบันค้าขาย ไม่ปูดปดเลย รับรองว่าแจ้ง โสดาบันเจอหน้าผู้หญิงสวนกว่าเมีย โดนราคะลากไปชั่ววินาทีก็ลืมชื่อเมียแล้ว เป็นมโนกรรม ฯ

โสดาบันยังมีความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความคิด เป็นปกติ โสดาบันต่างจากปุถุชนคือ กำหนดรู้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ จึงไม่เอามันเป็นสาระ ไม่ติดตาติดใจอาลัยอาวรในสิ่งเหล่านั้น เพราะได้กำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญาแล้ว

ปัญญาจองโสดาบัน ยังไม่มั่นคง ระดับของศีลจะพัฒนาขึ้นตามกำลังของปัญญา เพราะฉะนั้น ผู้ที่กล่าวว่า โสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ หรือ ไม่ผิดศีลเลย ... ฟันธงได้เลยว่ายังไม่ใช่พุทธ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 20:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


s006 s006
อย่าลืมคำถามของผมนะครับ.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 20:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาธรรม เขียน:
Onion_L มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญสำหรับคุณซุปพะเลิก คำพูดต่อไปนี้ต้องรีบถอนหรือชี้แจงนะครับ มิฉะนั้น สิ่งดีๆที่คุณทำไว้ทั้งหมดจะกลายเป็น สูญ ไปทันที เมื่อท่านผู้รู้จริงมาพบเห็น

ต่อเมื่อตั้งอยู่ที่โสดาปัตติผลแล้ว ก็ยังมีโสดาบันบุคคลกลับไปกินเหล้า แต่มีส่วนน้อย เป็นพวกเข้าเกียร์ว่าง ไม่วิปัสสนาต่อ โสดาบันบุคคลที่ยังมุ่งนิพพาน ก็ยังวิปัสสนาต่อด้วยความเพียร อุปสรรคใดๆ ที่ขวางมรรคผลนิพพาน เราก็จะเลี่ยงด้วยปัญญา
:b34:


ก็ตัวเองจะได้กินเหล้าได้งัย?? :b12:
กินเหล้าได้แต่โสดาก็จะยังอยู่... :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
โสดาบันบุคคล มีความไม่ล่วงศีล ทั้ง 5 ข้อ เป็นปกติ

ถูกต้องแล้วคราบบบ... :b16: :b16:

อ้างคำพูด:
มัชชะ ของเมาทั้งหลาย นับไปได้ตั้งแต่ กาแฟ บุหรี่ ฝิ่น เฮโรอีน มอร์ฟิน กัญชา กระท่อม ยาไอซ์ ยาดี กาว ล้วนทำให้ประสาทผิดเพี้ยน เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทได้ทั้งสิ้น

[/b]
Onion_L
:b12:


หลวงปู่มั่น..ยังคงสูบยาเส้น.อยู่
หลวงตาบัว...ยังฉันหมากอยู่

หากพาอรหันต์ไปรักษากายด้วยการฉีดมอร์ฟีน..มาก ๆ ...ร่างกายท่านก็จะแสดงอาการติดมอร์ฟีนได้เหมือนกัน...

มันเป็นเรื่องของร่างกาย..เรื่องของขันธ์มันติด...แต่ใจท่านไม่ได้ติด..นี้อรหันต์นะ

อ้างคำพูด:
พระโสดาบันท่านไม่อาลัยใยดีกับ รส ที่เป็นอันตรายและผิดศีลอย่างนี้แล้วนะครับ

ดู..ดี ๆ ..นะ..โสดาบันยังละ..กามราคะไม่ได้เด้อ...

กามราคะ...คือความพอใจในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส.ฯลฯ...

ส่วนผิดศีล...ถ้าท่านรู้ท่านไม่ทำผิดแน่ ๆ

ส่วนที่ท่านซุปฯ ว่าศีลบริสุทธิ์..มีแต่อรหันต์นั้น...ท่านซุปฯ จะเอาความใวของสติมาแยกความบริสุทธิ์ของศีล..ไม่ได้..หลงไปแล้ว...มันคนละประเด็นกัน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
s006 s006
อย่าลืมคำถามของผมนะครับ.....
ยงมีไม่ได้ตอบคำถามอะไรอีกหรือครับ?


ศีล หรือ สีละ แปลว่า ปกติ หรือ คำสมัยใหม่เรียก พฤติกรรม หรือการแสดงออกทางกายวาจาใจ

พฤติกรรมของเรามีความคิดเป็นเหตุปัจจัย ความคิดมีความเห็นเป็นเหตุปจจัย ความเห็นของคนเรามี ๒ ปัจจัย คือ มีอวิชชา และ วิชชา เป็นเหตุปัจจัย

อวิชชา ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ความพอใจไม่พอใจและความหลง

วิชชา ประกอบด้วย อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือ สภาพที่ไม่มีความพอใจไม่พอใจและความหลง

เพราะฉะนั้น ถ้ายังประกอบด้วย อวิชชาหลงเหลืออยู่ ถึงจะอ่อนกำลังลง ถ้ามันทำงาน มันก็ทำให้เห็นผิด คิดผิด ทำผิดได้ เป็นปกติ เพียงแต่กำลังน้อย หรือโอกาสเกิดน้อยลง

มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่สิ้นโลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่มีศีลที่บริสุทธิ์

ความเห็นของคนเรา ได้มาจากการเรียนรู้ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ รู้ผิดก็เห็นผิด รู้ถูกก็เห็นถูก โสดาบันยังมีทั้งคู่

สัมมาทิฐิ มี ๒ ระดับ คือ โลกียะ กับ โลกุตระ หรือ สัมมาทิฐิที่ยังมีอาสาวะ และสัมมาทิฐิที่เป็นอนาสวะ

สัมมาทิฐิที่ยังมีอาสาวะคือ ความรู้เรื่องบุญบาปฯ ส่งผลทำให้เกิดพฤติกรรมที่ดีได้ระดับหนึ่ง เฉพาะตอนที่ระลึกถึงบุญบาปฯ ได้ หรือเรียกว่า การถือศีล ... บ้างถือตามๆ กัน บ้างถือเพราะกลัว บ้างถือเพราะบุญ ฯ

สัมมาทิฐิที่เป็นอนาสวะ คือ ความรู้จักสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ฯ ความรู้แบบนี้ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ซึ่งคือการลด โลภะ โทสะ โมหะ ได้โดยตรง ทำให้ มีศีล ขึ้นมาได้

วิปัสสนา ทำให้เกิด อโลภะ อโทสะ อโมหะ ในจิตปัจจุบัน ดับโลภะ โทสะ โมหะ ในจิตปัจจุบัน ชวนะจิตจะจำอโลภะ อโทสะ อโมหะ ย้ำลงไปในสัญญา ๗ ชวนะ แทนที่จะเก็บโลภะ โทสะ โมหะ

อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือ วิชชา ที่ ชวนะจิตเสพ จะเป็นฐานทำให้ทิฐิของผู้วิปัสสนา ค่อยๆ เปลี่ยนจาก มิฉาทิฐิ เป็น สัมมาทิฐิ และมั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ

ความเห็นผิดมีหลายประการ ความเห็นผิดของโสดาบันที่ดับไป คือ สักกายะทิฐิ ๒๐ คือ เห็นว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง ฯ วิจิกิจฉาที่ดับไปคือ ไม่สงสัยแล้วว่า วิปัสสนา ดับทุกข์ได้จริงหรือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากความเห็นที่เกิดขึ้นใหม่จึงเกิดขึ้น ที่เรียกว่า ศีลพตปรามารสดับ

การศึกษาธรรมชาติ ถ้ายิดกฏธรรมชาติ ๒ กฏเป็นหลัก เราจะไม่ออกจากครรลองคลองทำ ไม่เอาสิ่งที่เพียงแต่ได้ยินได้ฟังมา ไม่เอาคำเขาว่า หันมาเอาคำพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ฯ เกิดแต่เหตุปัจจัย ฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 22:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
s006 s006
อย่าลืมคำถามของผมนะครับ.....
ยงมีไม่ได้ตอบคำถามอะไรอีกหรือครับ?



เรื่อง...ระหว่าง..งัย..ลืมแล้วรึ?? :b16: :b16:

ครั้งแรก..ท่านบอกว่า..ไม่มีระหว่างคั้น

มาครั้งหลัง..ท่านว่า..จิตเกิดดับ 17 ดวง..ก่อน..ก็แสดงว่ามีระหว่าง

ตกลงท่านจะเอายังงัยแน่ :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิตในอติมหันตารมณ์วิถี

อติมหันตารมณ์วิถี เป็นวิถีจิตที่เกิดทางปัญจทวาร มีถึง ๑๗ ขณะจิต ตาม ลำดับดังต่อไปนี้

ขณะที่ ๑ อตีตภวังค เป็นภวังคจิตดวงแรกที่กระทบกับอารมณ์ใหม่ หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อารมณ์ใหม่มากระทบกับภวังคจิตดวงใด ภวังคจิตดวงนั้นได้ชื่อ ว่า อตีตภวังค

ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ภวังคจิตมี กรรมอารมณ์ หรือกรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นอารมณ์ที่ได้มาจากภพก่อน ซึ่งขอ สมมติเรียกว่าอารมณ์เก่า อตีตภวังคก็คงมีอารมณ์เก่า ยังไม่ได้รับอารมณ์ใหม่ เป็น แต่เพียงอารมณ์ใหม่มากระทบเท่านั้นเอง ดังนั้น จิตดวงนี้จึงยังไม่เรียกว่า วิถีจิต

ขณะที่ ๒ ภวังคจลนะ เป็นภวังคจิตที่ไหวตัว เพราะเหตุที่มีอารมณ์ใหม่ มากระทบ แต่ยังคงเป็นภวังคจิตที่มีอารมณ์เก่าอยู่ จึงยังไม่เรียกว่าวิถีจิตเหมือนกัน

ขณะที่ ๓ ภวังคุปัจเฉทะ เป็นภวังคจิตที่ตัดกระแสภวังค คือ ปล่อยอารมณ์ เก่า วางอารมณ์เก่า เพื่อรับอารมณ์ใหม่ที่มากระทบนั้นต่อไป ภวังคุปัจเฉทะนี้ ก็ยัง คงเป็นภวังคจิตที่มีอารมณ์เก่าอยู่ จึงยังไม่เรียกว่าวิถีจิตเช่นเดียวกัน

อตีตภวังค ภวังคจลนะ และ ภวังคุปัจเฉทะ ทั้ง ๓ ขณะ ที่กล่าวมานี้ ได้แก่ ภวังคจิตดวงเดียวกัน ดวงใดดวงหนึ่งในจำนวนภวังคจิต ๑๕ ดวง (เว้นอรูป วิปากจิต ๔)

ขณะที่ ๔ ปัญจทวาราวัชชนะ เป็นกิริยาจิตก็เกิดขึ้น เพื่อพิจารณาอารมณ์ ใหม่ที่มากระทบนั้น ว่าเป็นอารมณ์ที่มาทางทวารไหน จะได้เป็นปัจจัยให้สัญญาณแก่ วิญญาณจิตทางทวารนั้น

ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้เป็นปฐมวิถีจิต คือ เป็นจิตดวงแรกที่ขึ้นวิถี หรือที่นับ เป็นวิถี เพราะจิตดวงนี้ได้รับอารมณ์ใหม่แล้ว และจิตดวงต่อ ๆ ไป ก็รับอารมณ์ ใหม่ และนับเป็นวิถีจิต จนกว่าจะสุดวิถี คือ กลับเป็นภวังคไปตามเดิม

ขณะที่ ๕ ปัญจวิญญาณ ก็เกิดขึ้นตามควรแก่อารมณ์ คือ
เป็นรูปารมณ์ จักขุวิญญาณก็เกิดขึ้น เห็นรูปนั้น
เป็นสัททารมณ์ โสตวิญญาณก็เกิดขึ้น ได้ยินเสียงนั้น
เป็นคันธารมณ์ ฆานวิญญาณก็เกิดขึ้น รู้กลิ่นนั้น
เป็นรสารมณ์ ชิวหาวิญญาณก็เกิดขึ้น รู้รสนั้น
เป็นโผฏฐัพพารมณ์ กายวิญญาณก็เกิดขึ้น รู้สึกในสัมผัสนั้น

ขณะที่ ๖ สัมปฏิจฉันนะ ก็เกิดขึ้นรับอารมณ์จากปัญจวิญญาณเสนอต่อไป ยังสันตีรณะ

ขณะที่ ๗ สันตีรณะ เกิดขึ้นไต่สวนอารมณ์นั้น ว่าดีหรือไม่ประการใด

ขณะที่ ๘ โวฏฐัพพนะ คือ มโนทวาราวัชชนจิต ที่ทำหน้าที่ โวฏฐัพพนกิจ ทางปัญจทวารนี้ก็เกิดขึ้น ตัดสินและกำหนดให้เป็นไป กุสล หรือ อกุสล หรือกิริยา ตามควรแก่ มนสิการ และบุคคล

ขณะที่ ๙ ถึงขณะที่ ๑๕ รวม ๗ ขณะ เป็น ชวนจิต ทั้ง ๗ ขณะ เกิดขึ้น เสพอารมณ์นั้นเป็นกุสล อกุสล กิริยา ตามที่โวฏฐัพพนะได้ตัดสินและกำหนดมานั้น แล้ว

เสพให้เป็นกุสลก็เป็นกุสลทั้ง ๗ ขณะ ให้เป็นอกุสลหรือกิริยาอย่างใดก็เป็น อย่างนั้นแต่อย่างเดียวตลอดทั้ง ๗ ขณะ

ชวนจิตที่เกิดได้ในวิถีนี้ ได้เฉพาะกามชวนจิต ๒๙ ดวงเท่านั้น

ขณะที่ ๑๖ และ ๑๗ ตทาลัมพนะ ก็เกิดขึ้นยึดหน่วงอารมณ์ที่เหลือจาก ชวนะนั้นอีก ๒ ขณะ

เป็นอันครบ ๑๗ ขณะจิต เป็นอันสิ้นสุดวิถี และสิ้นอายุของอารมณ์ใหม่นั้น ด้วยพอดี แล้วก็กลับเป็นภวังคจิต รับอารมณ์ต่อไปตามเดิม


ผัสสะเกิดขณะจิตที่ ๔ และ ๕ การตัดสินใต่สวนอารมณ์เกิดที่ขณะที่ ๖ หรือเวทนาตัณหาอุปทาน เกิดที่ สันตีรณะ และส่งต่อให้ โวฏฐัพพนะ ก่อนใช้ชวนจิตบันทึกย้ำลงไปในจิต

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 23:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผัสสะเกิด..ก่อนจะเกิดเวทนา...มีช่องพอจะหักเลี้ยวทัน..ว่างั้นเถอะ...อันนี้เห็นด้วย..แต่จะเป็นดวงจิตทึ่เท่าไร..ชื่ออะไร..อันนี้ไม่รู้เพราะมันไม่ได้ติดป้ายเอาใว้

มาที่..เวทนาเกิด

พอเวทนาเกิด..ท่านซุปฯ..ก็ว่า..ตัณหาอุปาทานก็เกิดพร้อมเลย...อันนี้ไม่เห็นด้วย

1. เพราะ..บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผลเสมอ

ถ้าเกิดพร้อม...ทำไมไม่เขียนลงไปเลยว่า..

ผัสสะมี..เวทนาตัณหาแล อุปาทาน..จึงมี

ก็เพราะมันไม่ได้เกิดพร้อม..นะซิ :b16:

2. เคยมีครูบาอาจารย์เก่า ๆ เทศน์ว่าบางท่านก็ตัดตรงนั้น..บางองค์ก็ตัดตรงนี้..แต่อ่อ..ลืมไปว่าท่านซุปฯไม่เชื่ออาจารย์องค์อื่น :b7:

3. ตัวเองก็เคยพบร่องรอยเหล่านี้อยู่บ้าง..จาง ๆ ..นี้ขนาดสติไม่เอาถ่านนะเนี้ย....อ่อ..เดียวท่านซุปฯก็จะว่า..อวิชชาซ้อนอวิชชาอีกและนะ..เฮ่อ :b7:

เอางี้..ไม่ต้องเชื่อ..แต่ให้ไปลองดู...ท่านซุปฯ..ไปลองสังเกตดูนะ

แต่ก่อนจะไปสังเกต..ท่านซุปฯ..ต้องรู้จักว่าอะไรเรียกตัณหา..ตัณหามีกับอาการอย่างใด...อะไรคืออุปาทาน..อุปาทานมีอาการอย่างใด

บอกตรงนี้มาก่อน..จะได้คุยต่อรู้เรื่องกัน..เผื่อผมจะได้รู้เรื่องด้วย :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2011, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เวทนา ตัณหา อุปทาน มันเกิดต่อเนื่องกันตามเหตุปัจจัย

เหมือนการเกิดผัสสะ เมื่อเกิดอายตนะภายนอกมาประทบสัมผัส ก็เกิดวิญญานมารับรู้อารมณ์ ห้ามไม่ได้

เวทนา ก็คือ จิตที่ประกอบด้วยความพอใจไม่พอใจและความหลง ผลที่ออกมาคือ ความรู้สึกทุกข์ สุข หรือเฉยๆ อำนาจของความพอใจไม่พอใจและความหลง ก็จะทำให้เกิดความเพลิดเพลิน ความเพลิดเพลินจะทำให้เกิดการยึดติด เกิดการปรุงแต่ง

เพราะฉะนั้น ตัณหาจะดับไปไม่ได้เลย ถ้ายังมีเวทนาเกิดอยู่

การกดข่มด้วยสมถะ ต่างจากการประหารด้วยปัญญา การใช้ปัญญาคือเอาความจริงไปรับผัสสะ รับแล้วก็จบกันตรงนั้น สมถะ คือ การนึกถึงอารมณ์ใดอารมณหนึ่งไว้ โดยเฉพาะอารมณ์ในมโนทวาร หรือแม้แต่การติดตามอริยาบทของร่างกาย เพื่อละผัสสะหนึ่ง ไปอีกผัสสะหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิด อุเบกขาเวทนา ... ศีลสังวร ก็ยังเป็นสมถะ

เนื่องจากการใช้สมถะกดข่ม ต้องมีวสี ในระยะแรกๆ ยังไม่ชำนาญ เสียงด่าเข้าหู เวทนามันนำหน้าไปก่อนแล้ว พอเอาสมถะตาม มันก็ระงับได้ ดูเหมือนไม่เกิดตัณหาตามมา แต่จริงๆ มันไม่ใช่อารมณ์เดียวกัน ตัณหามันเกิดที่เสียง อุเบกขามันเกิดในสมาธิ แบบนี้เรียกว่า หลบทุกข์ ไม่ใช่ดับทุกข์

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2011, 00:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทฤษฎีจะว่าอย่างไร...งดใว้ก่อน

เอาตรงนี้ก่อน..
กบนอกกะลา เขียน:
แต่ก่อนจะไปสังเกต..ท่านซุปฯ..ต้องรู้จักว่าอะไรเรียกตัณหา..ตัณหามีกับอาการอย่างใด...อะไรคืออุปาทาน..อุปาทานมีอาการอย่างใด

บอกตรงนี้มาก่อน..จะได้คุยต่อรู้เรื่องกัน..เผื่อผมจะได้รู้เรื่องด้วย :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 26 มิ.ย. 2011, 00:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2011, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แต่ก่อนจะไปสังเกต..ท่านซุปฯ..ต้องรู้จักว่าอะไรเรียกตัณหา..ตัณหามีกับอาการอย่างใด...อะไรคืออุปาทาน..อุปาทานมีอาการอย่างใด

บอกตรงนี้มาก่อน..จะได้คุยต่อรู้เรื่องกัน..เผื่อผมจะได้รู้เรื่องด้วย :b1: :b1:


s006 s006

เวทนา ก็คือ จิตที่ประกอบด้วยความพอใจไม่พอใจและความหลง ผลที่ออกมาคือ ความรู้สึกทุกข์ สุข หรือเฉยๆ อำนาจของความพอใจไม่พอใจและความหลง ก็จะทำให้เกิดความเพลิดเพลิน (ตัณหา) ความเพลิดเพลินจะทำให้เกิดการยึดติด (อุปทาน) เกิดการปรุงแต่ง (สังขาร)

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2011, 00:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เวทนา..คือสุข..ทุกข์

ถ้าสุขเวทนา...ก็เกิดอาการอยากได้มา...ตัณหาเริ่มตรงที่..อยากได้มา
ถ้าทุกข์เวทนา..ก็เกิดอาการไม่อยากมี...ตัณหาเริ่มตรงที่..ไม่อยากได้มา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2011, 00:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


มันก็คือ อาการเพลิดเพลินในอารมณ์ทั้งคู่ หรือ หลงอารมณ์ มีด้านบวก ลบ กับตรงกลาง

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2011, 00:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าเวทนา..สัญญา..สังขาร..มันเกิดดับไปเรื่อยเปือยของมัน...มันเป็นเรื่องของขันธ์5

กิเลสไม่ใช่ขันธ์...ขันธ์ไม่ได้เป็นกิเลส..

แต่กิเลสมันขี่ขันธ์เหมือนคนขับรถเลียวซ้ายเลี้ยวขวาพาไปจุดหมายแต่เครื่องยนต์คือขันธ์ทำงานหมุนล้ออย่างเดียวไม่รู้อิโน่อิเน่

ตัณหามันเป็นกิเลส...เลี้ยวเสร็จก็ปล่อยให้ขันธ์ทำงานต่อไป..พอถึงจุด ๆ หนึ่งมันก็กระตุ้นที..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2011, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลสตัณหามันก็ยังนอนเนื่องในจิตนั่นแหละ ไม่ได้หายไปใหน รอเหตุปัจจัยพร้อมให้ออกฤทธิ์เท่านั้นเอง ดับเวทนาได้เมื่อใหร่ กิเลสตัณหามันก็โผล่ออกมาไม่ได้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29 ... 37  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร