แต่น่าเสียดาย...ที่มีเพียงผู้ที่ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง..เพียงองค์เดียว..ในช่วงหนึ่ง ๆ เท่านั้น

เราจึงขนานนามว่าบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า...ผู้รู้แจ้งโลก...ไม่ต้องขึ้นเขาไปถามใคร..ไม่ต้องให้ใครมาบอก... สอนฮอดเทวดาอินทร์พรหม...นะจ๊ะ...

ฮ๊าฮา ในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่กลับมีพระปัจเจกพุทธเจ้า อุบัติหลายพระองค์ เลยนะเจ้าข๊า

ฮ่าไฮ่ ฮ่าไฮ่

ตถาคตจะตรัสรู้ หรือไม่ตรัสรู้ ธรรมะก็มีอยู่แล้ว
จะมีศาสนา หรือไม่มีศาสนา ธรรมก็มีอยุ่แล้ว

องค์ของเจตสิก ในมัคคจิต

มัคคจิตไม่ใช่อัฏฐังคิกมัคค

มัคคจิตเป็นโลกุตตรจิต ไม่ใช่โลกียจิต จึงไม่ใช่ทุกขสัจจ
และมัคคจิตก็ ไม่ใช่โลภเจตสิก ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่อัฏฐังคิกมัคค ด้วยเลยสักอย่างเดียว
ดังนั้น มัคคจิต จึง พ้นพิเศษ จากสัจจทั้ง ๔ นี้ ได้ชื่อว่าเป็น สัจจวิมุตติ

เจตสิก ที่ประกอบกับมัคคจิตนั้นมี ๓๖ ดวง
ในจำนวน ๓๖ ดวงนี้ มีปัญญาเจตสิก วิตกเจตสิก สัมมาวาจาวิรตีเจตสิก สัมมากัมมันตวิรตีเจตสิก
สัมมาอาชีววิรตีเจตสิก วิรียเจตสิก สติเจตสิก และ เอกัคคตาเจตสิก รวมอยู่ด้วย

ธรรมที่พ้นจากอริยสัจจ ๔ คือ สัจจวิมุตติ นั้น
ได้แก่ มัคคจิต ซึ่งประกอบด้วย เจตสิก ๓๖ ดวง ซึ่งเป็นสัจจที่ทำลายหรือประหารตัณหา หรือ สมุทัย
โดยมี อัฏฐังคิกมัคค อันประกอบด้วย เจตสิก ๘ ดวง นั้นเป็นเพียง ส่วนหนึ่งใน มัคคจิต เท่านั้นเอง

ดังนั้น โดยลำพัง อัฏฐังคิกมัคค ซึ่งมีเจตสิก ๘ ดวงนี้ ก็ยังไม่อาจ ทำให้ตัวเองพ้นจากสัจจไปได้
ต้องประกอบกับ เจตสิกอีก ๒๔ ดวง เป็น มัคคจิต จึงจะทำให้พ้นจากสัจจทั้ง ๔ ได้นะ เจ้าข๊า

ฮ๊าฮา ฮ๊าฮาาาาาา

ฮ๊าฮา มีแต่ผู้ที่โง่เขลา เบาปัญญา เท่านั้นที่มีจิตใจอันคับแคบ
ความคับแคบ นั่นเองที่เป็นมาร สิ่งสู่อยู่ในใจของเขาผู้นั้น

และเพราะว่า เขาผู้นั้นยังไม่รู้จักแม้ ใจ ของตน
จึงหลงกล ตกเป็นทาสของมาร โดยไม่รู้สึกตัว

ท่านทั้งหลายหา ใจ ให้เจอเสียก่อน นะเจ้าข๊ะ

แล้วดูว่า ใจ ท่านหลงอะไรอยู่
ไม่ใช่ หลับหู หลับตา ว่าแต่ของข้าเจ๋งกว่าของใคร
ใจ ชนิดนี้มัน คับแคบ และ โง่เขลา เกินกว่าจะเรียกได้ว่า ผู้เริ่มศึกษาธรรม ด้วยซ้ำ เจ้าค่า

คำว่า "อริยอัฏฐังคิกมรรค" ย่อมมีแต่ในศาสนาพุทธนี้เท่านั้น
เพราะอะไร ล่ะเจ้าข๊า ???????????
ก็เพราะว่า ศาสนาพุทธ บัญญัติ คำๆ นี้ขึ้นมาเอง นะเจ้าค๊า

แต่ศาสนาอื่นเขาก็มี แนวทาง ทำให้หลุดพ้นได้เหมือนกัน
แล้วเขาก็ บัญญัติ เรียกตามแบบของแต่ละศาสนา

ท่านทั้งหลาย จงมองด้วยใจ ยุติธรรม เถิดนะ เจ้าค่า

แม้ บัญญัติ ไม่เหมือนกัน แต่ปรมัตถ์ ธรรมนั้น ย่อมเป็นหนึ่งเดียว

ยกตัวอย่าง ความรู้สึก "ร้อน"
คนไทย คนจีน คนลาว คนอังกฤษ ฯลฯ ต่างก็เรียกตามภาษาที่ตัวเองได้รับการสั่งสอนมา
แต่ ความรู้สึก ที่ทุกคนรับรู้ถึง ความร้อน นั้นไม่ว่าจะเป็นคนชาติศาสนาภาษาใด ทุกคนก็รู้สึกได้ถึง ความร้อน นั้นเหมือนกัน
แม้แต่เด็กที่ยังไม่ได้รับการปลูกฝังด้านภาษา เขาก็ยังรับรู้ได้เลยว่า ความร้อน นั้นเป็นยังไง นะเจ้าข๊า

เห็นทีท่านเฟลม คงต้องไปเรียน เรื่อง บัญญัติ ปรมัตถ์ ซะแล้ว ละเจ้าค่า

และขอฝาก คำถามทิ้งท้ายว่า คนมีเจตสิกกันทุกคนหรือไม่ ?
หรือ ว่ามีเฉพาะคนในพุทธศาสนานี้ เท่านั้น ?

นะเจ้าข๊าาาาาาาาาา

ปล.แล้วก็ตอบคำถามเกี่ยวกับ พระปัจเจกฯ มาซะดีๆ นะเจ้าข๊าาาาาาา


ฮุ๋ยฮาาาาาาาา ฮุ๋ยฮาาาาาาาาา

ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้กรุณาแบ่งปันความเห็นทางธรรมเพิ่มเติม ซึ่งดูเหมือนว่ามีเรื่องน่าขบคิดเกี่ยวกับประเด็นที่ยังเป็นข้อเห็นต่าง ซึ่งเป็นธรรมดาที่ย่อมเกิดขึ้นในการแสดงความคิดเห็นของแต่ละท่าน เพราะความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ที่แตกต่าง ผลก็ต้องต่างกันเป็นธรรมดา ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สวยงามหากท่านผู้รู้สามารถช่วยกันพยายามต่อยอดไปสู่สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงได้ในที่สุด ...ขออนุโมทนาในทุกความเห็นครับ

โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อความที่คุณกรัชกรายได้กรุณายกมา:
เมื่อครั้งตรัสรู้ใหม่พระพุทธองค์ทรงดำริว่า "ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ตรรกะหยั่งไม่ถึง ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ" และมีคาถาข้อความต่อไปว่า "ธรรมเราเข้าถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้มิใช่ที่สัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำจะรู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืดคืออวิชชา ห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก"

อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ที่จริงคนเราประกอบด้วยบุคคล 4 ประเภท ที่สามารถเข้าถึงพระธรรมที่ตรงตรัสรู้ได้ตามพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ของแต่ละบุคคลแต่ละประเภทที่ไม่เหมือนกัน ในการที่จะสอนและการที่เขาจะรู้และเข้าใจเรื่องที่สอน ตั้งแต่ระดับยากสุดแทบสอนหรือเข้าใจไม่ได้เลย จนถึงสอนได้ง่ายและเข้าใจได้เร็วสุด ซึ่งอุปมาเหมือนบัว 4 เหล่าที่เราได้เรียนกันตั้งแต่อยู่ระดับประถม พระองค์จึงได้ทรงเริ่มต้นออกโปรดสั่งสอนและเผยแผ่พระธรรมคำสอนตกทอดมาเป็นธรรมะโอสถขนานเอกของโลกที่ช่วยเยียวยารักษาป้องกันเวไนยสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ตกทอดตลอดมาจนถึงพวกเราในปัจจุบันกว่า 2550 ปี

จะเอ๋...จุ๊ย์ ๆ ๆ ๆ เทวนิยมกับอเทวนิยมมันเข้ากันไม่ได้จริงๆเหรอ เอ๋ แล้วข้อความด้านล่างนี่ใครเป็นคนนำมายำรวมมิตร แล้วเอาใส่หม้อ พยายามคนๆๆ ให้มันเข้ากันน๊า จำได้ไหมเอ่ย ใครน๊า ทายดิ๊



พอดีไปเที่ยวอยุธยามา เลยไปหางมของเก่ามาวางขายอ่ะครับ ผมมันพวกชอบขายของเก่าน่ะ เนี่ยตั้งใจไปคุ้ยไปงมมาเลยนะ งมนานหน่อยแต่เจอของดีอันเบ่อเร่อ เผื่อมีคนชอบสะสมของเก่าผ่านมาทางนี้จะได้ขายราคาถูกๆ ซะเลย เนี่ยผมใจดีป่ะ อุตส่าห์ไปงมหามา แถมมาขายในราคาถูกๆอีกแน่ะ

น่าอายว่ะข๊ะ เอ้า ฮากลิ้งน่ะข๊ะ กลิ้งไปกลิ้งมา ต้วหมุนติ้วๆข๊ะ แต่ก็ยังฮาอยู่ดีข๊ะ กิ๊วๆ จ๊ะเอ๋

จะเอ๋อีกรอบนะจ้ะ...คราวหลังถ้ารู้สึกว่าตัวมันจะเอียงๆ ก็ไม่ต้องอายหรอกคร้าบ ไหนๆก็อยากให้ผมยื่นมือไปรับไปดันตัวไว้ก็บอกกันตรงๆนะครับ ไม่ต้องทำเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างทั้งที่ในใจอยากให้เขายื่นมือไปดันแทบใจจะขาดรอนๆ แต่ด้วยความอายและทิฐฐิ สุดท้ายก็ต้องเอียงจนล้มเผล๊ะมาทางเขาเหมือนเดิม เจ็บมามั๊ยจ้ะ

ฮามั่กนะข๊ะ ฮากลิ้ง กลิ้งไปกลิ้งมา ตัวหมุนติ้วๆ แต่ก็ยังContinue ความฮาแบบNon-stop เลยนะเจ้าข๊ะ

เอ๋...อย่างนี้ใครไร้การศึกษากันแน่นะ ดูใช้คำพูดเข้าดิ่ เหมือนไม่ได้รับการศึกษายังไงยังงั้น คำพูดพวก
นั้นน่ะคนสติดีๆเขาไม่ใช้กันครับ มันต่ำ หยาบคายอ่ะ แบบพวกต่อมโทะสะระเบิด ต่อมอัตตาร้อนฉ่า
อารมณ์พลุ่งพล่านสั่นระรัวด้วยความหน้ามืดขั้นวิกฤตครับ เพราะต่อมน้ำเหลืองมันไปรวมตัวกันอยู่ที่
สมอง เลือดเลยไปเลี้ยงสมองไม่ได้ เพราะไขมันมันกระจุกอยู่ที่สมองลามไปถึงไขสันหลัง ทำให้เกิด
อาการแค้ฝังหุ่น จนเป็นสาเหตุของอาการหน้ามืดขาดสติ วิปลาส เลยทำให้ระบบควบคุมการพูดขัดข้อง
และวิกลจริตขั้นรุนแรง

เหม่ๆ ผมอุตส่าห์ยกเหตุผลตั้งมากมาย คุณยังมาว่าผมไร้เหตุผล ไร้อารยธรรม ปัดโถ่ สงสัยผมคงทำให้
คุณสติฟันเฟือน เหมือนสัตว์ร้ายไปซะแล้ว บาปกรรมจริงจริ๊งเชียว นี่ผมอุตส่าห์คุยภาษาคนกะคุณ ยก
เหตุผลนานาประการ คุณยังมาว่าผมอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะไอ้สิ่งที่ผมทำน่ะ มนุษย์เขาทำกันครับ
ผมพูดกับคุณอย่างไพเราะเพราะพริ้งชวิ๊งชะว๊าด วายลวดลายตระการตาพร้อมสารพันนานาเหตุผล อันผู้
มีอารยะธรรมเขากระทำกันพร้อมกันนั้นยังนำมาซึ่งความเจริญอันทรงคุณค่ายิ่งๆขึ้นไป แต่คุณกลับกล่าว
วาจาใส่ร้ายป้ายสีมองผมในด้านลบ พร้อมสบประมาทด้วยท่าทางกราดเกรี้ยว หาว่าผมแยกเขี้ยวใส่ โถ่
ถัง นี่แหละเขาเรียกว่าทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป โดยแท้

ทุกสิ่งเป็นไปโดยเหตุและปัจจัยโดยแท้

ฮาว่ะข๊ะ ฮากลิ้งเลยนะข๊ะ ฮาแบบ Non-stop นะข๊ะ กิ๊วๆ

อุ๊....อุตส่าห์ลบไปซะก่อน ไวจังนะพ่อปลาไหล แหมๆ
โชคดี ทีจับไว้ได้ก่อน ขอยึดไว้เป็นตัวประกันเลยแล้วกันนะจ๊ะ คุณแสงธรรม14 จ๋า

ที่ลบไม่ใช่อะไรครับ เพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำ ไร้สาระ

อุ๊....รู้ว่าตัวเองไร้สาระอีกแน่ะ แสนรู้จังน่ะข๊ะ

ขอฮาแบบ Non-stop นะข๊ะ กิ๊วๆ

เรียนแบบคนอื่นหน้าไม่อาย ดูแล้วรกหูรกตาจริงๆ

ศาสนาทุกศาสนา เข้ากันไม่ได้ เพราะเป็นคนละศาสนา มีคำสอนที่ตรงกันก็มีขัดแย้งกัน
ก็เยอะ บุคคลที่นับถือศาสนาอะไร ก็ต้องนับถือศาสดาของตน คำสอนของศาสดาตนเป็นหลัก
และไม่เอาคำสอนของศาสดาองค์อื่นมาปะปน ถึงจะลองศึกษาศาสนาอื่นดู เขาก็ไม่เอามาปน
กับศาสนาที่ตนเคารพ และไม่เอามาวางไว้ในระดับที่เสมอกัน หรือสูงกว่าศาสนาของตนเป็นแน่

ส่วนการจะเข้ากันได้ในทางศาสนา ก็เมื่อมีการเปลี่ยนศาสนา

แต่คนทุกศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้ ถ้าบุคคลนั้นจะปฏิบัติตามคำสอน
ของศาสดาตน โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน สังคมเดือดร้อน

จึงมีคนในทุกศาสนา มาพบปะ คบกัน มากมาย ด้วยเหตุผลมากมาย
โดยที่ไม่จำเป็นว่า ต้องมานับถือศาสนาเดียวกัน

ความขัดแย้งบางครั้งไม่ได้เกิดเพราะเรื่องศาสนา แต่เพราะเรื่องกิเลสของคนที่ต้องการ
อาศัยศาสนาเป็นข้ออ้าง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ

และหากจะขัดแย้งกันในเรื่องศาสนา ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะหลายศาสนา
มีคำสอน และหลักปฏิบัติ ที่ต่างกัน บางอย่างก็ขัดแย้งกันอยู่แล้วในตัวคำสอน
จะมีที่คล้ายกันบ้างตรงกันบ้างก็เพียงส่วนที่เล็กน้อย

เพราะคำสอนขัดแย้งกันอยู่แล้ว คนผู้นับถือศาสนาต่างๆ จึงมีความไม่ตรงกัน
และไม่ลงกัน กับศาสนาอื่นๆ และโดยมากก็ต้องน้อมเอียงเข้าข้างศาสนาของตนว่าดีเลิศ
ถูกต้อง แท้จริงและบริสุทธิ์สูงส่งกว่าศาสนาใดๆอยู่แล้ว

นอกจากเหลือเพียงศาสนาเดียวในโลก ทุกผู้คนจึงไม่ขัดแย้งกันด้วยเรื่องศาสนา
แต่ก็ยังขัดแย้งกันอยู่ดี ด้วยเรื่องผลประโยชน์

ผมว่ารูปภาพประจำตัวคุณแสงธรรม กับคุณปลง รูปเดิมน่ารักกว่านะครับรูปใหม่มันดูดุดันอย่างไงไม่รู้ ดูแล้วรู้สึกใจสั่น (ขออภัยถ้ายุ่งเรื่องส่วนตัว แบบว่าจิตมันปรุงแต่งน่ะครับ)