วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 00:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




101-0104_IMG.jpg
101-0104_IMG.jpg [ 22.84 KiB | เปิดดู 3527 ครั้ง ]
หลับอยุ่ เขียน:
ไม่มีเจริญสมาธิจะเห็นจะรู้ธรรมตามเป็นจริงไม่ได้

Onion_no
ในการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น สมาธิเขาเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติ และพัฒนาตัวเองไปจนถึงจุดสูงสุด ส่งให้ถึงมรรค ผล นิพพาน โดยมิจำเป็นต้อง ไปเริ่มต้นด้วยการฝึกสมถะภาวนาตามแบบฤาษีชีไพรในสมัยก่อนพุทธกาลก็ได้นะครับ

ก่อนและหลังพุทธกาล มีฤาษีอยู่จำนวนมากจนแทบนับไม่ถ้วนที่ทรงสมาธิทรงฌาณกันคล่องแคล่ว แต่ผู้บรรลุธรรมด้วยตนเองด้วยอำนาจสมาธิคงมีน้อยหรือไม่มี ยกเว้นแต่จะได้สุตตมยปัญญารู้เรื่องอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตาและคำสอนที่สำคัญอื่นๆจากพระพุทธเจ้ามาใส่ใจพิจารณาและนำไปปฏิบัติจึงจะบรรลุธรรม ถึงนิพพานได้
:b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 00:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


s002
เชื่อหรือไม่??

พวกเราเคยเป็นฤาษี...มากันทุกคน

ผลของวันนั้น...จะเป็นส่วนผสมในผลของวันนี้ของเราด้วย

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 00:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

เห็นเน้นกันแต่เรื่องสมาธิแบบฤาษีหรือสมถกรรมฐาน ซึ่งแสดงในพระสูตรเป็นส่วนน้อย แต่ที่เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆที่มีกล่าวในพระสูตรเป็นส่วนใหญ่ไม่ค้อยเห็นยกมาวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์กันบ้างนะครับ

เริ่มตั้งแต่สามสูตรแรกๆที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ได้แก่
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
......
ลองมาวิเคราะห์สู่กันฟังดูซิว่า ส่วนไหนที่เป็นเรื่อง สมถะ ส่วนไหนที่เป็นเรื่องปัญญาหรือวิปัสสนา มีอัตราส่วน เปอร์เซ็นต์คำสอนที่เป็นสมถะกี่เปอร์เซนต์ วิปัสสนากี่เปอร์เซนต์

นี้ก็อีกตัวอย่าง...ของการขาดความรอบคอบ

6 ปี กับสิทธัตถะฤาษี...คิดว่าพวกเขาทั้ง 5 อยู่กันเล่นๆ นั่งรอเฉย ๆ หรือ?

นี้พูดอย่างไม่ลำเอียงนะ...

พักผ่อนมีกำลังกันเต็มที่แล้ว...ก็ทำงานกันเลย...จะมาพูดเรื่องการพักผ่อนอีกทำไม

ไม่ได้ว่าฌานฤาษีดี...แต่อยากให้รอบคอบ...มองให้รอบด้าน

จะได้ช่วยกัน...กัน...วิปัสสนึก...ระบาด

การตลาดจับได้...ก็เป็นเงินเป็นทอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
s002
เชื่อหรือไม่??

พวกเราเคยเป็นฤาษี...มากันทุกคน

ผลของวันนั้น...จะเป็นส่วนผสมในผลของวันนี้ของเราด้วย

:b32: :b32:

เชื่อหรือไม่ก็มีพวกเดียรถีย์ที่แค้นแบบกระอักอกกระอักเลือด ในคำสอนพระองค์ตกนรกแล้วพากันมาเกิดมาเป็นเหลือบในพระศาสนา
เพื่อจะมาล้างแค้นสนองมิจฉาทิฐิปริพาชกบ้างชีเปลือยบ้างๆลๆของตน ไม่เอาสมถะไม่เอาฌาน แก่กระโหลกกะลาหาแก่นไม่มี

ซ้ำยังกล้าคัดค้านคำสอนพระพุทธองค์อย่างออกหน้าออกตา


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 09 ธ.ค. 2011, 09:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค



สมาธิสูตร
[๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง รู้อะไรตามความเป็นจริง
รู้ตามความเป็นจริงว่า
จักษุไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง
รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุวิญญาณไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุสัมผัสไม่
เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่
เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่เที่ยง ฯลฯ รู้ตามความเป็นจริงว่า ใจไม่
เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมารมณ์ทั้งหลายไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า
มโนวิญญาณไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนสัมผัสไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
ไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วย่อมรู้ตามความเป็นจริง ฯ
จบสูตรที่ ๖
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ บรรทัดที่ ๒๐๒๘ - ๒๐๔๐. หน้าที่ ๘๗ - ๘๘.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=18&i=147


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าคัดค้านคำสอนพระพุทธองค์ให้มากคุณโสกะอย่าแก่แบบกระโหลกกะลา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

เห็นเน้นกันแต่เรื่องสมาธิแบบฤาษีหรือสมถกรรมฐาน ซึ่งแสดงในพระสูตรเป็นส่วนน้อย แต่ที่เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆที่มีกล่าวในพระสูตรเป็นส่วนใหญ่ไม่ค้อยเห็นยกมาวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์กันบ้างนะครับ

เริ่มตั้งแต่สามสูตรแรกๆที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ได้แก่
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
......
ลองมาวิเคราะห์สู่กันฟังดูซิว่า ส่วนไหนที่เป็นเรื่อง สมถะ ส่วนไหนที่เป็นเรื่องปัญญาหรือวิปัสสนา มีอัตราส่วน เปอร์เซ็นต์คำสอนที่เป็นสมถะกี่เปอร์เซนต์ วิปัสสนากี่เปอร์เซนต์


นี้ก็อีกตัวอย่าง...ของการขาดความรอบคอบ

6 ปี กับสิทธัตถะฤาษี...คิดว่าพวกเขาทั้ง 5 อยู่กันเล่นๆ นั่งรอเฉย ๆ หรือ?

นี้พูดอย่างไม่ลำเอียงนะ...

พักผ่อนมีกำลังกันเต็มที่แล้ว...ก็ทำงานกันเลย...จะมาพูดเรื่องการพักผ่อนอีกทำไม

ไม่ได้ว่าฌานฤาษีดี...แต่อยากให้รอบคอบ...มองให้รอบด้าน

จะได้ช่วยกัน...กัน...วิปัสสนึก...ระบาด

การตลาดจับได้...ก็เป็นเงินเป็นทอง

Onion_L
คุณกบครับ ตอบแก้ให้ตรงประเด็นคำถามหน่อยนะครับ

ที่คุณแฉลบไปหาผู้เรียน คือท่านปัญจวัคคีย์ ว่าเจริญสมถะมามากแล้วจึงบรลุธรรมนั้น ถ้าท่านได้อ่านพระสูตรมาเยอะๆ จะได้พบว่าเวลาสิ้นสุดกระแสแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จะมีบทส่งท้ายว่าครั้งนั้นมีมนุษย์ เทวดา พรหม บรรลุธรม จำนวนนับพัน หมื่น แสน ล้าน โกฏิ.........บุคคลทั้งหมดนั้นต่างพากันทำฌาณแบบฤาษีกันมาทั้งนั้นหรือครับ ไม่มีมนุษย์ธรรมดาๆอย่างคนเราในปัจจุบันปะปนอยู่เลยช่นนั้นหรือ

สำหรับคุณหลับอยู่ทีเชื่อว่าทุกคนทุกคนเคยเป็นฤาษีมากันมาแล้วในชาติภพที่เวียนว่ายมานับชาติไม่ถ้วนนี้
ผมก็เชื่ออย่างนี้ด้วยเช่นกัน และยังเชื่อต่อไปอีกว่า ผู้ที่บำเพ็ญบุญมาจนได้โอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์มีอาการครบ 32 ทุกคนล้วนมีสมาธิและความพร้อมสำหรับการเจริญวิปัสสนาภาวนาหรือเจริญมรรค 8 แล้วทุกคน ไม่ต้องถอยหลังเข้าคลองกลับไปเริ่มต้นใหม่ฝึกสมถะกรรมฐานอีก ขอแต่เพียงทดสอบระดับสมาธิตามธรรมชาติที่ตนเองมีอยู่เป็นทุนเดิม ณ ปัจจุบันชีวิตนี้ ว่าเพียงพอและควรแก่งานเจริญวิปัสสนาภาวนา ค้นหาให้พบและทำลายเหตุทุกข์ได้หรือยัง ถ้าเพียงพอก็ต่อยอดเจริญปัญญาได้ทันทีเลย

วิธีทดสอบว่าสมาธิของตนมีระดับเพียงพอแก่การเจริญวิปัสสนาภาวนาหรือยังครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ให้นิ่งรู้ นิ่งสังกตเข้าไปในกาย จนสามารถรับรู้อาการเต้นตอดของหัวใจและชีพจร ได้ชัดเจนภายในเวลาไม่เกิน 3 นาที เพียงแค่นี้ก็สามารถจะเจริญวิปัสนาภาวนาได้ เพราะที่ความนิ่งของจิต หรือสมาธิระดับที่รู้ชีพจรชัดนี้
รูป - นาม จะแยกออกจากกัน อันเป็นญาณแรกของวิปัสนาภาวนา ท่านเรียกว่า "นาม - รูป ปริเฉทญาณ"
คุณกบกับคุณหลับอยู่เคยถึงตรงนี้หรือเปล่าครับ ลองตรวจสอบดูนะครับ

ท่านใดที่เกิน 3 นาทีไปแล้วยังสัมผัสรู้ชีพจรของตนเองไม่ได้ อันนี้แหละที่จะต้องไปปรับปรุงสมาธิทบทวนสมถะภาวนาของท่านมาใหม่ ดังนี้เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 22:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




b21.jpg
b21.jpg [ 42.72 KiB | เปิดดู 3502 ครั้ง ]
หลับอยุ่ เขียน:
อย่าคัดค้านคำสอนพระพุทธองค์ให้มากคุณโสกะอย่าแก่แบบกระโหลกกะลา

grin
คุณหลับอยู่คงหลับลึกเกินไปจนมองไม่เห็นว่า Asoka มิได้คัดค้านคำสอนของพระบรมศาสดาเลยแต่กำลังพยายามจะชี้แจงแสดงธรรมให้ชาวโลกทั้งหลายให้ทราบความจริงว่า พระสมณโคดมพุทธเจ้า ทรงเป็นปัญญาธิกะพุทธเจ้า ทรงบรรลุธรรมด้วยปัญญา และสรรเสริญปัญญา เอาปัญญานำหน้า โดยมีศีล สมาธิเป็นกองหนุนดังจะเห็นได้จากธรรมมะที่เป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาคือมรรคมีองค์ 8 ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงขึ้นต้นด้วย ปัญญามรรค สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ตามด้วย ศีลมรรค คือสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ รั้งท้ายด้วยสมาธิมรรค คือสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ทำไมหนอคนที่อ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ จึงยังไปขวันขวายส่งเสริมกันอยู่ในวิชาของฤาษี คือเอาสติ สมาธิ นำหน้า เอาปัญญาตามหลังซึ่งเป็นทางที่อาจหลงได้ง่ายไปในนิมิต และอิทธิวิธี ปีติ ปัสสัทธิต่างๆ เป็นทางแห่งอัตตกิลมถานุโยค
ใครเป็นคนกะโหลกกะลา ลองพิจารณากันดูให้ดี วินิจฉัยกันดูให้ถ้วน ก้อนจะตัดสินใจ ให้ติดตามไปดูกระทู้และข้อธรรมของ Asoka คุณกบ คุณหลับอยู่ ว่าใครพูดวนอยู่ในตำรา ใครนำเอาวิชาของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติในชีวิตจริง
"สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" สุภาษิตไทยบทนี้ก็เอามาใช้ช่วยวินิจฉัยได้เป็นอย่างดีอยู่แล้วนะครับ
ขอน้อมรบคำชี้แนะและวิตกวิจารณ์ ของทุกท่านทุกคนครับ สาธุ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 23:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

เห็นเน้นกันแต่เรื่องสมาธิแบบฤาษีหรือสมถกรรมฐาน ซึ่งแสดงในพระสูตรเป็นส่วนน้อย แต่ที่เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆที่มีกล่าวในพระสูตรเป็นส่วนใหญ่ไม่ค้อยเห็นยกมาวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์กันบ้างนะครับ

เริ่มตั้งแต่สามสูตรแรกๆที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ได้แก่
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
......
ลองมาวิเคราะห์สู่กันฟังดูซิว่า ส่วนไหนที่เป็นเรื่อง สมถะ ส่วนไหนที่เป็นเรื่องปัญญาหรือวิปัสสนา มีอัตราส่วน เปอร์เซ็นต์คำสอนที่เป็นสมถะกี่เปอร์เซนต์ วิปัสสนากี่เปอร์เซนต์


นี้ก็อีกตัวอย่าง...ของการขาดความรอบคอบ

6 ปี กับสิทธัตถะฤาษี...คิดว่าพวกเขาทั้ง 5 อยู่กันเล่นๆ นั่งรอเฉย ๆ หรือ?

นี้พูดอย่างไม่ลำเอียงนะ...

พักผ่อนมีกำลังกันเต็มที่แล้ว...ก็ทำงานกันเลย...จะมาพูดเรื่องการพักผ่อนอีกทำไม

ไม่ได้ว่าฌานฤาษีดี...แต่อยากให้รอบคอบ...มองให้รอบด้าน

จะได้ช่วยกัน...กัน...วิปัสสนึก...ระบาด

การตลาดจับได้...ก็เป็นเงินเป็นทอง

Onion_L
คุณกบครับ ตอบแก้ให้ตรงประเด็นคำถามหน่อยนะครับ


:b32: ก็ตามันเห็น...อาการขาดความรอบคอบ..นี้นา...จะให้ทำยังงัย

อ้างคำพูด:
ที่คุณแฉลบไปหาผู้เรียน คือท่านปัญจวัคคีย์ ว่าเจริญสมถะมามากแล้วจึงบรลุธรรมนั้น

ใครว่าอย่างนั้นรึ?
ผมพูดว่า...พักผ่อนมีกำลังกันเต็มที่แล้ว...ก็ทำงานกันเลย...จะมาพูดเรื่องการพักผ่อนอีกทำไม

ไม่รอบคอบอีกแล้วนะ...เพราะอคติ...คำง่าย ๆ ก็มองไม่ทะลุ

ทำงานกันเลย....คือ...ทำงานล้างกิเลส...ออกพิจารณาธรรมะตามที่ฟัง

มีตรงไหนที่ว่า...พักผ่อนมีกำลังเต็มที่แล้ว..งานจะเสร็จ

อ้างคำพูด:
ถ้าท่านได้อ่านพระสูตรมาเยอะๆ จะได้พบว่าเวลาสิ้นสุดกระแสแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จะมีบทส่งท้ายว่าครั้งนั้นมีมนุษย์ เทวดา พรหม บรรลุธรม จำนวนนับพัน หมื่น แสน ล้าน โกฏิ.........บุคคลทั้งหมดนั้นต่างพากันทำฌาณแบบฤาษีกันมาทั้งนั้นหรือครับ ไม่มีมนุษย์ธรรมดาๆอย่างคนเราในปัจจุบันปะปนอยู่เลยช่นนั้นหรือ

คนที่บรรลุธรรม...ไม่มีคนไหน...ธรรมดา

คุณ asoka ครับ...ข้อสังเกตุของคุณ...เหมือนคนที่เรียกร้องความเท่าเทียมในทางเศรษฐกิจ..ให้รวยเท่ากัน...แต่ไม่พยายามคิดถึงว่า..เมื่อวานอีกคนทำงานหนัก...อีกคนเอาแต่เล่น..เที่ยว...กินใช้...แล้วมาวันนี้...มาเรียกร้องให้เท่าเทียมกัน

ต้องเรียกว่า...โกงกันเห็น ๆ

กระผมไม่ได้มีเจตนาให้ทุกคนกลับไปทำเหมือนฤาษีทั้ง 5...เจตนาให้คิด...อย่าไปดูแคลนอะไรด้วยความไม่มีสติ...ด้วยความไม่รอบคอบ...

เราไม่มีทางรู้ว่าเคยทำอะไรมา..และก็ไม่จำเป็นต้องรู้...แต่ให้เราทำวันนี้อย่างมีสติ...ทำอย่างที่ถนัด...ทำแล้วเจริญ...ชอบอย่างไหนก็ทำไป...มีปริยัติ...ปฏิบัติ...ปฏิเวช...ต้องตรวจทานกันได้ตลอด

สำนวน..คนธรรมดา ๆ ...ก็ทำได้...นี้ก็เริ่มเข้าทางการตลาดคนหมู่มาก

แต่จะบอกว่า...ให้มีความเพียร...ทำให้มาก ๆ ...นี้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบ...ขายไม่ได้

แต่...ความจริงก็คือความจริง...


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 10 ธ.ค. 2011, 01:37, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2011, 23:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ asoka ครับ

วิปัสสนานำหน้า....ทำงั้ยถึงจะรู้ว่า...นี้กำลังภาวนาอยู่...หรือ..กำลังฟุ้งซ่านในธรรมอยู่?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2011, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
สมาธิสูตร
[๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง รู้อะไรตามความเป็นจริง
รู้ตามความเป็นจริงว่า
จักษุไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง
รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุวิญญาณไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุสัมผัสไม่
เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่
เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่เที่ยง ฯลฯ รู้ตามความเป็นจริงว่า ใจไม่
เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมารมณ์ทั้งหลายไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า
มโนวิญญาณไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนสัมผัสไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
ไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วย่อมรู้ตามความเป็นจริง ฯ
จบสูตรที่ ๖
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ บรรทัดที่ ๒๐๒๘ - ๒๐๔๐. หน้าที่ ๘๗ - ๘๘.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=18&i=147


อ้างพระไรปิฎกซี้ซั่ว อ้างชนิดไม่รู้เหนือรู้ใต้
พระธรรมบทนี้พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเหล่าสาวก
ที่ล้วนแล้วแต่เป็นอริยสงฆ์ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป
ทุกคนมีปัญญาสัมมาทิฐิแล้วทั้งนั้น

แต่ที่พวกคุณกำลังเถียงกัน มันเป็นเรื่องการให้ได้มาแห่ง
ปัญญาสัมมาทิฐิ

ที่พระพุทธองค์ให้เจริญสมาธิใช่ แต่เป็นการเจริญสมาธิด้วยการบังคับ
บัญชาของปัญญาหรือสัมมาทิฐิ

ปัญญาหรือสัมมาทิฐิ ก็คือ สภาวะตามจริงหรือ ความไม่เที่ยง
ที่กล่าวไว้ใน สมาธิสูตรนั้นเอง

ที่สำคัญพระพุทธเจ้าให้บรรดาอริยสงฆ์เจริญสมาธิ
พระองค์ไม่ได้ให้สาวกหาความไม่เที่ยง พระองค์ให้พิจารณาความไม่เที่ยง
เพื่อให้เกิดปัญญาวิมุตติ ปัญญาวิมุติติกับปัญญาสัมมาทิฐิมันคนละอย่างกัน

สรุปก็คือให้หาปัญญาวิมุตติมาตัดวงปฏิจจสมุบาท

หลักการของปุถุชนที่จะได้มาซึ่งปัญญาสัมมาทิฐิ ต้องใช้สติที่ฉับไวเป็นหลัก
ต้องใช้สติตามให้ทันกับผัสสะที่เกิด เกิดเสียงก็รู้ทัน เกิดภาพก็รู้ เกิดธัมมารมณ์ก็รู้ฯลฯ
สติที่รวดเร็วเท่านั้น จึงจะสามารถทันต่อสภาวะตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า ปัญญาสัมมาทิฐิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2011, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คุณ asoka ครับ

วิปัสสนานำหน้า....ทำงั้ยถึงจะรู้ว่า...นี้กำลังภาวนาอยู่...หรือ..กำลังฟุ้งซ่านในธรรมอยู่?


ที่ถามนี่ หมายถึงวิปัสสนานำหน้าสมถะ ใช่หรือไม่ครับ?

ถ้าจะเจริญวิปัสสนานำหน้าสมถะ ก็ให้เริ่มต้นด้วยความตั้งใจว่า จะนิ่งรู้ นิ่งสังเกต พิจารณาเข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ เพื่อเรียนรู้กระบวนการทำงานของกายและจิต จนพบ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ คือความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู อันจักก่อให้เกิด ยินดียินร้ายและตัณหาตามมา

เมื่อตั้งใจไว้ให้ดีและมีความแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ธรรมชาติ 3 อย่างจะมาประชุมร่วมกันทำงาน เป็นเหตุ ปัจจัยสนับสนุนกันไป จนเข้าใจธรรมชาติของกายใจ รูป-นามอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
ธรรมชาติ 3 อย่างนั้นคือ ปัญญา สติ สมาธิ

ธรรมชาติของกายใจ รูป-นาม คือ เกิด - ดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


เทียบกับถ้าเริ่มต้นด้วยสมถะภาวนา ซึ่งก็คงจะจับอารมณ์กรรมฐานที่ตนถนัดให้จิตสงบควรแก่งานก่อนแล้วจึงค่อยมาเจริญปัญญาพิจารณาธรรมตามแนวทางวิปัสสนาภาวนา

เช่นบริกรรมพุทโธ ๆ ๆ ๆ หนอ ทำจังหวะ เพ่งกสิณ หริอเจริญสติสมาธิวิธีอื่นๆ


ส่วนอีกตอนที่ถามว่า ทำงั้ยถึงจะรู้ว่า...นี้กำลังภาวนาอยู่...หรือ..กำลังฟุ้งซ่านในธรรมอยู่
คำตอบตามลำดับแห่งธรรมก็คือ

สติรู้ทันอาการที่กำลังกระทำ.....สุตตมยปัญญา ที่เป็นสัญญา บอกว่าอาการที่ทำอยู่นี้คือกำลังภาวนา....... สัมปชัญญะ ปัญญาสัมมาทิฐิ รู้ตัวว่ากำลังภาวนา ..........ปัญญาสัมมาสังกัปปะสังเกตพิจารณาอาการที่กำลังเป็นอยู่หรืออารมณ์ที่ตั้งอยู่ จนกว่าอาการหรืออารมณ์นั้นจะดับไป แล้วเกิดอารมณ์ใหม่มาแทน

กำลังฟุ้งซ่านในธรรม ก็เช่นกัน สติรู้ทัน......ปัญญารู้ถึง.....ปัญญาสังเกต หรือพิจารณา

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2011, 00:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นิ่งรู้...นิ่งสังเกตุ....เรียก..วิปัสสนา..รึ :b10:

:b23: :b23: :b23:
จะลองตั้งใจอ่านใหม่อีกรอบ...
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2011, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


มีจิตตั้งมั่นในพระสูตรก็ชัดเจนแล้วว่า หมายถึงสมาธิระดับปฐมฌานขึ้นไป และไปต้องตามไตรสิกขาเท่านั้น
คุณโสกะเป็นประเภทไม่เอาสมถะไม่เอาฌานมาหลายปีแล้ว ซ้ำยังการทำแผนผังตัดวงปฏิจสมุทปบาทระหว่างกลางอีกต่างหาก คุณมหาราชันย์ คุณเช่นนั้น คุณกระบี่ไร้เงาเตือนก็ไม่ฟัง :b6:

ไอ้วิปัสสนึกล้วนๆอะไรหน่ะ ฟุ้งซ่านแบบไม่รู้ตัวไร้สติสำนึก ว่ายังในขั้นเพิ่งเริ่มสมถะกองที่40 ไม่เอาสมถะปล่อยวางอารมณ์พิจารณาไม่ได้ ก็เป็นวิปัสนูปกิเลสข้อ อุปัฏฐานังโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่ยอมรับสมถะเป็นกันเยอะ ไม่ใช่ปัญญาวิมุติอะไรหรอก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2011, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


นิวรณ์เป็นอาหารของอวิชชา อวิชชาเป็นอาหารของตัณหา
จิตที่ไม่มีนิวรณ์ คือจิตที่เป็นปฐมฌานขึ้นไปเท่านั้นต่ำกว่าไม่ได้
แน่นอนอยู่แล้วผมชอบวิชชามหาฤาษีใหญ่คือวิชชาพระพุทธเจ้าอยู่แล้วและยินดีมรรคที่ฤาษีประกาศแล้ว :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron