วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2011, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b12: :b12: ก็รุนแรงตามกิเลส
บางทีก็ต้องตะคอกกิเฝสบ้างแหล ะครับ


จริงๆครับ หากจิตไม่คิดปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ ธรรมทั้งหลายก็ล้วนเกิดแต่เหตุของธรรมนั้นๆ สภาวะธรรมของจริงนั้นอยู่รอบๆ รวมทั้งตัวหนังสือ หากมองเห็นให้เป็นสภาวะของธรรม นั่นก็ชื่อว่ารู้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2011, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


วิชชาในภายในอยู่ข้างใน
ส่งจิตออกนอกธรรมเอกไม่มีผุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 03:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha2_resize.gif
buddha2_resize.gif [ 37.14 KiB | เปิดดู 2924 ครั้ง ]
:b8:
ถึงวันนี้ ปีใหม่ 2555 แล้ว
กระทู้ที่มีหัวข้อดีๆเช่นนี้ ยืนหยัดเป็นสนามแสดงความคิดเห็นอันหลากหลายมาได้ถึง 7 หน้า นับว่ามีคุณแก่โลกมิใช่น้อย

เราควรสรุปผลกันไว้สักตอนหนึ่งดีไหมครับว่า "วิปัสสนาภาวนา ต่างกับการปฏิบัติสมาธิตรงไหน?

ในความเห็นของผม มีกลุ่มคนอยู่ 3 กลุ่ม ที่ร่วมกันแสดงความเห็นในกระทู้นี้

1.กลุ่มซ้ายจัดคือกลุ่มที่ยึดแน่นสมาธิเป็นใหญ่

2.กลุ่มขวาจัด คือกลุ่มที่ยึดแน่นวิปัสสนาภาวนาเป็นใหญ่

3.กลุ่มกลางๆ คือเห็นว่าวิป้สสนาภานากับสมถะต้องควบคู่กันไป ซึ่งแล้วแต่เหตุปัจจัย อุปนิสัย บุญวาสนาบารมีที่สร้างสมมาของแต่ละบุคคล บางคนอาจสมาธินำหน้าวิปัสนา บางคนอาจวิปัสนานำหน้าสมาธิ บาคน สมาธิกับวิปัสนาเจริญไปควบคู่กัน

ในส่วนของ Asoka ได้พยายามแสดงความเห็นแบบขวาจัด เพื่อยั่วยุให้ฝ่ายซ้ายจัดได้แสดงความเห็นถึงความเด่นดีของสมาธิแบบสมถะภาวนาออกมาให้ยอะๆ

เมื่อได้ฟังความเห็นที่สุดโต่งทั้งซ้ายขวามาเพียงพอ ถึงวันนี้ วิญญูชน คือท่านผู้อ่านทั้งหลาย คงจะได้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยตัดสินใจออกมาแล้วว่าสำหรับตัวท่านเองควรจะผสมผสานวิธีการของสมถะและวิปัสนา มาใช้ให้เหมาะสมกับนิสัยวาสนาของตนได้อย่างไร ขออนุโมทนากับการปฏิบัติจริงที่ท่านทั้งหลายจะได้ลงมือทำไปอย่างถูกทาง

ที่สุดแห่งการสรุปเนื่องในโอกาสปีใหม่ อยากจะให้ความเห็นว่า วิปัสนาภาวนาหรือการเจริญมรรค 8 นั้นเป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง มีความสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้วในตัว ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แต่เรียงตามมรรค 8 ต้องเรียงตามธรรมว่า ปัญญา ศีล สมาธิ

ท่านผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมทั้งหลายจงอย่าได้หลงทางไปกับวิธีการทำสมาธิของฤาษีที่เป็นอัตตกิลัมถานุโยค หรือหลงทางไปกับชาวโลกที่ยึดอยู่แต่เรื่องทานและศีล อันเป็น กามสุขัลลิกานุโยค

พึงมายินดีในการเจริญธรรมตามทางสายกลางคือ มรรคมีองค์ 8 ตามพุทธดำรัสตรัสสอนไว้ จักได้ไม่มัวหมอง ติดข้องอยู่ยาวนาน ในวัฏฏะสงสารอันวิจิตรพิสดารด้วยบัญญัติและอัตตา
จงพากันก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งปรมัตถ์ ไร้บัญญัติมีแต่ความจริง ซึ่งอาจอ้างอิงมาพิสูจน์ได้ทุกวันและเวลา เพราะว่าธรรมทั้งหลายปรากฏแสดงในกายใจนี่ ทุกเวลา นาที มิต้องไปหาที่ไหน พระไตรปิฎกฉบับเดินได้นี้ ค้นดูง่ายดังใจ ไม่ยากและมากหลายดังพระไตรในตู้ธรรม
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 11:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ในส่วนของ Asoka ได้พยายามแสดงความเห็นแบบขวาจัด เพื่อยั่วยุให้ฝ่ายซ้ายจัดได้แสดงความเห็นถึงความเด่นดีของสมาธิแบบสมถะภาวนาออกมาให้ยอะๆ



:b6: :b6: :b6:

อย่าเล่นมุขนี้บ่อยนะ
เอกอนกะลังอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวเก็บอารมณ์ไม่ทัน ว๊ากกกกนะ

โหยยยย อะไรว๊าาาาา
สนทนาธรรมนะ ไม่ใช่นัดกันมาเล่นหมากล้อมนะ
ต้องคอยระวัง ต้องมาคอยนั่งพิจารณาชิงไหวชิงพริบกัน
นี่ล่ะ สิ่งที่เราปอดแหก
เพราะ ลูกหักมุมมันเย๊อะะะะะะ

เผลอ ๆ ก็กลายเป็นจะหนักไปในทางพัฒนาไหวพริบ เจตสิก

:b32: :b32: :b32:

ลานนี้จะสนทนาธรรม มีการต้องวางแผนกันมาอย่างดี
เอกอนล่ะ ขอยอมแพ้แต่ต้นปีเลยดีกว่า :b32: :b32:
นับจากวันนี้และ ต่อไป
เพราะรู้สึกอยากสนทนาธรรม อย่างอิสระ
ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ตามเนื้อผ้า

อย่าบอกนะ ว่ากะคุณ "ไม่เที่ยงเกิดดับ" เตี๊ยมกันมา
สารภาพซะ จะได้ 555 ตั้งแต่ต้นปี

:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ถึงวันนี้ ปีใหม่ 2555 แล้ว
กระทู้ที่มีหัวข้อดีๆเช่นนี้ ยืนหยัดเป็นสนามแสดงความคิดเห็นอันหลากหลายมาได้ถึง 7 หน้า นับว่ามีคุณแก่โลกมิใช่น้อย

เราควรสรุปผลกันไว้สักตอนหนึ่งดีไหมครับว่า "วิปัสสนาภาวนา ต่างกับการปฏิบัติสมาธิตรงไหน?

ในความเห็นของผม มีกลุ่มคนอยู่ 3 กลุ่ม ที่ร่วมกันแสดงความเห็นในกระทู้นี้

1.กลุ่มซ้ายจัดคือกลุ่มที่ยึดแน่นสมาธิเป็นใหญ่

2.กลุ่มขวาจัด คือกลุ่มที่ยึดแน่นวิปัสสนาภาวนาเป็นใหญ่

3.กลุ่มกลางๆ คือเห็นว่าวิป้สสนาภานากับสมถะต้องควบคู่กันไป ซึ่งแล้วแต่เหตุปัจจัย อุปนิสัย บุญวาสนาบารมีที่สร้างสมมาของแต่ละบุคคล บางคนอาจสมาธินำหน้าวิปัสนา บางคนอาจวิปัสนานำหน้าสมาธิ บาคน สมาธิกับวิปัสนาเจริญไปควบคู่กัน

ในส่วนของ Asoka ได้พยายามแสดงความเห็นแบบขวาจัด เพื่อยั่วยุให้ฝ่ายซ้ายจัดได้แสดงความเห็นถึงความเด่นดีของสมาธิแบบสมถะภาวนาออกมาให้ยอะๆ

เมื่อได้ฟังความเห็นที่สุดโต่งทั้งซ้ายขวามาเพียงพอ ถึงวันนี้ วิญญูชน คือท่านผู้อ่านทั้งหลาย คงจะได้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยตัดสินใจออกมาแล้วว่าสำหรับตัวท่านเองควรจะผสมผสานวิธีการของสมถะและวิปัสนา มาใช้ให้เหมาะสมกับนิสัยวาสนาของตนได้อย่างไร ขออนุโมทนากับการปฏิบัติจริงที่ท่านทั้งหลายจะได้ลงมือทำไปอย่างถูกทาง

ที่สุดแห่งการสรุปเนื่องในโอกาสปีใหม่ อยากจะให้ความเห็นว่า วิปัสนาภาวนาหรือการเจริญมรรค 8 นั้นเป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง มีความสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้วในตัว ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แต่เรียงตามมรรค 8 ต้องเรียงตามธรรมว่า ปัญญา ศีล สมาธิ

ท่านผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมทั้งหลายจงอย่าได้หลงทางไปกับวิธีการทำสมาธิของฤาษีที่เป็นอัตตกิลัมถานุโยค หรือหลงทางไปกับชาวโลกที่ยึดอยู่แต่เรื่องทานและศีล อันเป็น กามสุขัลลิกานุโยค

พึงมายินดีในการเจริญธรรมตามทางสายกลางคือ มรรคมีองค์ 8 ตามพุทธดำรัสตรัสสอนไว้ จักได้ไม่มัวหมอง ติดข้องอยู่ยาวนาน ในวัฏฏะสงสารอันวิจิตรพิสดารด้วยบัญญัติและอัตตา
จงพากันก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งปรมัตถ์ ไร้บัญญัติมีแต่ความจริง ซึ่งอาจอ้างอิงมาพิสูจน์ได้ทุกวันและเวลา เพราะว่าธรรมทั้งหลายปรากฏแสดงในกายใจนี่ ทุกเวลา นาที มิต้องไปหาที่ไหน พระไตรปิฎกฉบับเดินได้นี้ ค้นดูง่ายดังใจ ไม่ยากและมากหลายดังพระไตรในตู้ธรรม

ผักบุ้งอยู่ไหน :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dogo13.jpg
dogo13.jpg [ 12.08 KiB | เปิดดู 2900 ครั้ง ]
:b8:
พึงมายินดีในการเจริญธรรมตามทางสายกลางคือ มรรคมีองค์ 8 ตามพุทธดำรัสตรัสสอนไว้ จักได้ไม่มัวหมอง ติดข้องอยู่ยาวนาน ในวัฏฏะสงสารอันวิจิตรพิสดารด้วยบัญญัติและอัตตา จงพากันก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งปรมัตถ์ ไร้บัญญัติมีแต่ความจริง ซึ่งอาจอ้างอิงมาพิสูจน์ได้ทุกวันและเวลา เพราะว่าธรรมทั้งหลายปรากฏแสดงในกายใจนี่ ทุกเวลา นาที มิต้องไปหาที่ไหน พระไตรปิฎกฉบับเดินได้นี้ ค้นดูง่ายดังใจ ไม่ยากและมากหลายดังพระไตรในตู้ธรรม

โฮฮับถาม ผักบุ้งอยู่ไหน?

asoka ตอบ ผักบุ้งก็อยู่ตรงข้อความที่แถบเขียวและยกมาให้คุณดูอีกทีนี่ยังไงครับ กินให้อิ่มไปตลอดปีและมีความสุขกายสุขใจ ไร้ปฏิฆะ ให้มากๆ ตลอดปีใหม่และตลอดไปนะครับ
:b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 03:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
พึงมายินดีในการเจริญธรรมตามทางสายกลางคือ มรรคมีองค์ 8 ตามพุทธดำรัสตรัสสอนไว้ จักได้ไม่มัวหมอง ติดข้องอยู่ยาวนาน ในวัฏฏะสงสารอันวิจิตรพิสดารด้วยบัญญัติและอัตตา จงพากันก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งปรมัตถ์ ไร้บัญญัติมีแต่ความจริง ซึ่งอาจอ้างอิงมาพิสูจน์ได้ทุกวันและเวลา เพราะว่าธรรมทั้งหลายปรากฏแสดงในกายใจนี่ ทุกเวลา นาที มิต้องไปหาที่ไหน พระไตรปิฎกฉบับเดินได้นี้ ค้นดูง่ายดังใจ ไม่ยากและมากหลายดังพระไตรในตู้ธรรม
โฮฮับถาม ผักบุ้งอยู่ไหน?
asoka ตอบ ผักบุ้งก็อยู่ตรงข้อความที่แถบเขียวและยกมาให้คุณดูอีกทีนี่ยังไงครับ กินให้อิ่มไปตลอดปีและมีความสุขกายสุขใจ ไร้ปฏิฆะ ให้มากๆ ตลอดปีใหม่และตลอดไปนะครับ:b12:

อันที่ยกมานั้นน่ะ มันไม่ใช่ผักบุ้ง แต่เป็นน้ำท่วมทุ่ง
ประเภทแบบนี้เด็กวัดอย่างผม ขอบอกว่า นึกอะไรได้ก็พูด
หาแก่นหาสารไม่ได้ครับ สื่อออกมาโดยไม่สนใจว่า
สิ่งที่ตัวพูดมันตรงข้ามกันกับในสิ่งที่ตัวเองพยายามสื่อ

เจ้าตัวพูดถึง"ปรมัตถ์" แต่เอาสมมุติบัญญัติ
มาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทาปากเขียนคิ้วเป็นลิเก


ที่พูดกับผมค้างคาไว้ในความเห็นก่อนไม่พูดต่อให้จบ ดันมาวาดลวดลายเพ้อเจ้อ
หลงระเริงกับจินตนาการปรุงแต่งของตัวเอง
asoka เขียน:
:b16: ที่คุณโฮ..ตอบมายาวยืดทั้งหมดนั้นจับประเด็นได้ว่าคุณโฮ..ไม่เคยสัมผัสสภาวปรมัตถ์อย่างถูกต้องเพราะแม้แต่ความสังเกตกับพิจารณาคุณก็แยกแยะไม่ถูกแล้ว

สังเกตและพิจารณาเป็นปัญญินทรียเจตสิกมิใช่สตินทรียเจตสิก โดยธรรมเมื่อตาปัญญาสัมมาทิฐิไปเห็น ดูแล้ว ตาปัญญาสัมมาสังกัปปะจะสังเกต พิจารณาต่อทันทีเพื่อค้นหาคำตอบ.............ไว้อ่านต่อนะครับ

นี่ไงไม่พูดให้จบ ตัวคุณเองก็พูดทิ้งท้ายว่า "ไว้อ่านต่อ"
พูดจาเรื่อยเปื่อยขาดความรับผิดชอบ
asoka เขียน:
พึงมายินดีในการเจริญธรรมตามทางสายกลางคือ มรรคมีองค์ 8

ดูคำพูดประโยคนี้ แสดงว่าเจ้าตัวพูดไปเรื่อย เจริญธรรมตามทางสายกลาง
ชาวบ้านเขาจะรู้มั้ยว่า ทางสายกลางเป็นอย่างไร มรรคมีองค์แปดต้องปฏิบัติอย่างไร

จริงๆแล้วต้องพูดว่า " พึ่งปฏิบัติธรรมให้ถึงซึ่งทางสายกลาง
อันประกอบด้วยมรรคมีองค์แปด"
เห็นไปเพ้อเจ้อเรื่องโพธิปักฯ ในกระทู้อื่น
นี่แสดงว่า ที่พูดมาก็ นกแก้วพูด นกขุนทองพล่ามนี่เอง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dd140_resize.jpg
dd140_resize.jpg [ 50.37 KiB | เปิดดู 2879 ครั้ง ]
:b12:
asoka เขียน:
พึงมายินดีในการเจริญธรรมตามทางสายกลางคือ มรรคมีองค์ 8

โฮฮับ วิจารณ์
ดูคำพูดประโยคนี้ แสดงว่าเจ้าตัวพูดไปเรื่อย เจริญธรรมตามทางสายกลาง
ชาวบ้านเขาจะรู้มั้ยว่า ทางสายกลางเป็นอย่างไร มรรคมีองค์แปดต้องปฏิบัติอย่างไร
asoka ตอบ
อ้อ! เพิ่งจะทราบว่าปีใหม่นี้ คุณโฮฮับได้ลดตัวเองจากผู้รู้ (บัณฑิตทางสมถะภาวนา)ลงไปเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องทางสายกลางและมรรคมีองค์แปดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
asoka เขียน:
:b16: ที่คุณโฮ..ตอบมายาวยืดทั้งหมดนั้นจับประเด็นได้ว่าคุณโฮ..ไม่เคยสัมผัสสภาวปรมัตถ์อย่างถูกต้องเพราะแม้แต่ความสังเกตกับพิจารณาคุณก็แยกแยะไม่ถูกแล้ว

สังเกตและพิจารณาเป็นปัญญินทรียเจตสิกมิใช่สตินทรียเจตสิก โดยธรรมเมื่อตาปัญญาสัมมาทิฐิไปเห็น ดูแล้ว ตาปัญญาสัมมาสังกัปปะจะสังเกต พิจารณาต่อทันทีเพื่อค้นหาคำตอบ.............ไว้อ่านต่อนะครับ

โฮฮับ พูด
นี่ไงไม่พูดให้จบ ตัวคุณเองก็พูดทิ้งท้ายว่า "ไว้อ่านต่อ"
พูดจาเรื่อยเปื่อยขาดความรับผิดชอบ
:b12:
asoka ตอบ
ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเล่าให้ฟังต่อนี่ครับ กระหายที่จะฟังแล้วหรือครับ?

คุณโฮ..ลองปล่อยวางความรู้ ระเบียบ กฏเกณฑ์ วิธีการ หลักการ หลักปฏิบัติต่างๆที่ผูกไว้ในใจทั้งหมด
ปล่อยชีวิต จิตใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เขาอยู่และทำงานอย่างอิสระตามธรรมชาติ แล้วจงตั้งความสังเกตขึ้นมา ดู หรือ รู้ อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ คุณจะได้พบความเป็นจริงของการทำงานของกายและจิตว่า
"โดยธรรมเมื่อตาปัญญาสัมมาทิฐิไปเห็น ดูแล้ว ตาปัญญาสัมมาสังกัปปะจะสังเกต พิจารณาต่อทันทีเพื่อค้นหาคำตอบ จนได้คำตอบเป็น "รู้" ขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นปัญญาเคยรู้มาแล้ว รู้ นั้นจะเป็นการรู้โดยสัญญา ถ้าสิ่งนั้นไม่เคยรู้มาก่อน แต่ได้รู้ใหม่เป็นครั้งแรก สิ่งนั้นคือ ภาวนามยปัญญา

ปรมัตถอารมณ์ทั้งหลายนั้น เป็นสัจธรรมที่แสดงอยู่ในกายและจิต เป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ ไม่อาจอธิบายให้รู้ได้ด้วยคำพูด หรือการบอกกล่าวเป็นบัญญัติภาษาถ้าผู้ฟังผู้นั้นยังไม่เคยสัมผัส สัจธรรมหรือปรมัตถธรรมอันนั้น

การปฏิบัติธรรม หรือพูดอีกแบบหนึ่งว่าปรนนิบัติธรรมนั้น คือการเฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าสังเกต หรือจะกล่าวว่านิ่งดู นิ่งรู้ นิ่งสังเกต (คำว่านิ่งในที่นี้หมายถึง สมาธิ ความตั้งมั่นอยู่กับงาน)อยู่กับปัจจุบันอารมณ์......ปัจจุบันอารมณ์คุณจะได้พบว่า ปัจจุบันอารมณ์แสดงความจริง แสดงสัจธรรม สภาวธรรมให้เห็นให้รู้อยู่ตลอดเวลา ทั้งรูปและ (วิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร)นาม....คุณจะได้พบผัสสะของรูป ที่อายตนะทั้ง 6 พบเวทนาที่กาย เป็น สุข ทุกข์ เฉย และเวทนาของจิต เป็นโสมนัส โทมนัสและอุเบกขา ซึ่งจะแปลออกมาเป็นความยินดี(อภิชฌา) และความยินร้าย(โทมนัส )อันเป็นงานของสติปัฏฐาน 4 .....คุณจะได้พบการเสวยอารมณ์ของจิต พบกับธรรมมารมณ์ .....คุณจะได้พบว่าอารมณ์ทั้งหมดแสดงไตรลักษณ์ให้คุณดูหรือรู้ .....คุณจะได้สัมผัสกับตัณหา สัมผัสกับความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาในจิตใจของคุณ ถ้าสติ ปัญญาของคุณถูกอบรมมาดี ถูกทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน .......คุณจะได้เห็นการต่อสู้ของ สติ ปัญญา สมาธิ วิริยะ ตบะ ขันติ และศรัทธากับความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู ( ตัวกู ของกู 2 คำนี้ผมไปสอบดูทราบว่าหลวงพ่อพุทธทาสมิได้จดทะเบียนสงวนลิขสิทธิ์ไว้ ใครจะนำไปใช้ก็ไม่ถือว่าลอกเลียนแบบอย่างที่คุณเคยวิจารณ์)ถ้าสติ ปัญญา ชนะ "กู" ก็เป็นอันเสร็จงานและหน้าที่สำคัญชิ้นแรกของชาวพุทธ

ไม่ทราบว่าเท่าที่เล่ามาคร่าวๆเท่านี้ ชาวบ้านธรรมดาอย่างคุณจะพอเข้าใจได้ไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2012, 03:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
asoka เขียน:
พึงมายินดีในการเจริญธรรมตามทางสายกลางคือ มรรคมีองค์ 8
โฮฮับ วิจารณ์
ดูคำพูดประโยคนี้ แสดงว่าเจ้าตัวพูดไปเรื่อย เจริญธรรมตามทางสายกลาง
ชาวบ้านเขาจะรู้มั้ยว่า ทางสายกลางเป็นอย่างไร มรรคมีองค์แปดต้องปฏิบัติอย่างไร
asoka ตอบ
อ้อ! เพิ่งจะทราบว่าปีใหม่นี้ คุณโฮฮับได้ลดตัวเองจากผู้รู้ (บัณฑิตทางสมถะภาวนา)
ลงไปเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องทางสายกลางและมรรคมีองค์แปดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ไม่เห็นแปลกครับ ถ้าเราอยากจับผิดใครสักคน เราย่อมต้องทำเป็นไม่รู้
เพื่อให้บุคคลนั้นแสดงธาคุแท้ของตัวเองออกมาครับ

แล้วก็เป็นจริง ดูได้จากการอธิบายความมันสับสนในตัวของมันเอง
พูดเรื่องทางสายกลางและมรรคมีองค์แปด แต่ไม่เข้าใจเรื่อง ธัมมานุปัสนาฯ

เนื่องจากได้เคยอธิบายถึงเรื่อง การทำวิปัสนาใหหลักของธัมมานุปัสนาฯให้ฟัง
แต่ดันเข้าใจไปว่า นั้นคือการทำสมถะภาวนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2012, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
asoka เขียน:
:b16: ที่คุณโฮ..ตอบมายาวยืดทั้งหมดนั้นจับประเด็นได้ว่าคุณโฮ..ไม่เคยสัมผัสสภาวปรมัตถ์อย่างถูกต้องเพราะแม้แต่ความสังเกตกับพิจารณาคุณก็แยกแยะไม่ถูกแล้ว

สังเกตและพิจารณาเป็นปัญญินทรียเจตสิกมิใช่สตินทรียเจตสิก โดยธรรมเมื่อตาปัญญาสัมมาทิฐิไปเห็น ดูแล้ว ตาปัญญาสัมมาสังกัปปะจะสังเกต พิจารณาต่อทันทีเพื่อค้นหาคำตอบ.............ไว้อ่านต่อนะครับ

ผมว่าเป็นคุณล่ะมากกว่า ที่ไม่เคยสัมผัสสภาวะปรมัตถ์ ดูได้จากความเห็นที่แสดงมา
มันคนละเรื่อง คิดเองเออเองหยิบโน้นผสมนี้ เอาธรรมของอริยบุคคลมาทำเสียของ

ไอ้ที่บอกว่า สังเกตุและพิจารณาเป็นปัญญินทรียเจตสิก ก็ไม่ได้เรื่องแล้ว
มันก็แค่คนกำลังจนมุมในเหตุผล แต่ไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ เห็นอะไรข้างตัวก็ขว้างๆออกไป
ตลกจริงเลยคุณ โสกะ

ถ้าจะเปรียบสังเกตุกับพิจารณาในทางปรมัตถ์ มันต้องดูจิตและเจตสิกแต่ละดวงว่า
มีเหตุปัจจัยมาจากไหน

คุณโสกะครับอย่างคุณน่ะเขาไม่เรียกปัญญินทรียเจตสิก(พูดมาได้ไม่อายปาก)
แล้วเขาเรียกอะไร ถ้าอยากรู้คุณก็ดูซิว่า ปัจจุบันอารมณ์ของคุณมีเหตุปัจจัย
มาจากอะไร มันมีดังนี้ ไอ้สังเกตุที่คุณว่า เจตสิกของมันก็คือ วิตกเจตสิก
กับเจตนาเจตสิก
ส่วนพิจารณา ก็เลือกเอาระหว่าง วิจารเจตสิก กับสัญญาเจตสิก

คุณโสกะคุณมันมั่วติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก เม็ดต่อมามันก็ผิดหมด
ดันเอาวิธีเฝ้าสังเกตุมาใช้กับนิวรณ์

การเฝ้าสังเกตุใช้สำหรับปุถุชน ใช้หาสถาวะไตรลักษณ์
ส่วนการพิจารณาในเรื่องการดับนิวรณ์คือการปฏิบัติของผู้มีปัญญาแล้ว
ด้วยการหาธรรมใดธรรมหนึ่ง มาแก้หรือมาดับนิวรณ์นั้นๆ แบบนี้เรียกธัมมานุปัสนาฯ

อย่างที่คุณทำเขาเรียกมีสติอยู่กับปัจจุบัน คุณคิดไปเองว่า เป็นวิธีแก้
แต่ไม่ใช่ มันเป็นแค่วิธีหาเครื่องมือมาแก้ จะได้ ไม่ได้เป็นอีกเรื่อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2012, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ พูด
นี่ไงไม่พูดให้จบ ตัวคุณเองก็พูดทิ้งท้ายว่า "ไว้อ่านต่อ"
พูดจาเรื่อยเปื่อยขาดความรับผิดชอบ
:b12:
asoka ตอบ
ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเล่าให้ฟังต่อนี่ครับ กระหายที่จะฟังแล้วหรือครับ?

แน่ะ!ยังไม่รู้ตัวอีก ผมเอาธรรมในเรื่อง "อิทธิบาทสี่"มาสอน
คุณโสกะยังหลงตัวเองอีก แบบนี้ผมว่าอาการหนักนะครับ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2012, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ในส่วนของ Asoka ได้พยายามแสดงความเห็นแบบขวาจัด เพื่อยั่วยุให้ฝ่ายซ้ายจัดได้แสดงความเห็นถึงความเด่นดีของสมาธิแบบสมถะภาวนาออกมาให้ยอะๆ



:b6: :b6: :b6:

อย่าเล่นมุขนี้บ่อยนะ
เอกอนกะลังอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวเก็บอารมณ์ไม่ทัน ว๊ากกกกนะ

โหยยยย อะไรว๊าาาาา
สนทนาธรรมนะ ไม่ใช่นัดกันมาเล่นหมากล้อมนะ
ต้องคอยระวัง ต้องมาคอยนั่งพิจารณาชิงไหวชิงพริบกัน
นี่ล่ะ สิ่งที่เราปอดแหก
เพราะ ลูกหักมุมมันเย๊อะะะะะะ

เผลอ ๆ ก็กลายเป็นจะหนักไปในทางพัฒนาไหวพริบ เจตสิก

:b32: :b32: :b32:

ลานนี้จะสนทนาธรรม มีการต้องวางแผนกันมาอย่างดี
เอกอนล่ะ ขอยอมแพ้แต่ต้นปีเลยดีกว่า :b32: :b32:
นับจากวันนี้และ ต่อไป
เพราะรู้สึกอยากสนทนาธรรม อย่างอิสระ
ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ตามเนื้อผ้า

อย่าบอกนะ ว่ากะคุณ "ไม่เที่ยงเกิดดับ" เตี๊ยมกันมา
สารภาพซะ จะได้ 555 ตั้งแต่ต้นปี

:b17: :b17: :b17:

s002
asoka ตอบ
เฮ้อ ! เหนื่อยใจแทนคุณโฮฮับนะครับเพราะพูดกันคนละภาษาเดียวกันกับผม เปรียบเหมือนคนที่ คนหนึ่งอยู่จังหวัดอุบล คนหนึ่งอยู่อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พยายามจะบอกทางไปวัดพระแก้วมรกตที่กรุงเทพให้คนทั้งโลกได้ทราบ โดยเอาสิ่งที่ตนรู้หรือประสบการณ์รายละเอียดของเส้นทางที่ตนประสบมาบอกว่านี่คือทางที่ใช่ ทางอื่นไม่ใช่ จะไปวัดพระแก้วมรกตต้องไปตามทางเส้นนี้อย่างที่ข้าพเจ้าเดินทางมานี้ อย่างนี้คนที่อยู่หาดใหญ่ เมืองกาญฯ เกาหลี ญี่ปุ่น และที่อื่นคงจะลำบากใจแย่ถ้าจะไปวัดพระแก้วตามคำบอกเส้นทางของคนจังหวัดอุบล

ธรรมมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นสัจจธรรม เป็นสากล ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา สามารถเข้าถึงได้ ใครรู้หลักการเข้าไปหา คือหลักวิปัสนาภาวนาและมรรค 8 ก็ย่อมจะเข้าถึงธรรมได้ทั้งนั้น ขอแต่เพียงอย่ายึดมั่นในความรู้ความเห็นอะไรจนแน่นเกินไปดังพุทธภาษิตว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
:b8:
ขอสลับฉากเปลี่ยนบรรยากาศมาสนทนากับคุณeragon_joeนิดหน่อย เดียวจะน้อยใจเพราะเห็นมีคำพูดว่า
"อย่าเล่นมุขนี้บ่อยนะ
เอกอนกะลังอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวเก็บอารมณ์ไม่ทัน ว๊ากกกกนะ"
:b16:
ทำตัวทำใจให้สบาย อยู่อย่างไร้อัตตาเป็นพักๆดีกว่านะครับ โดยเฉพาะช่วงปีใหม่เช่นนี้
ก่อนอื่นขอเรียนให้ทราบว่าผมมิได้เตี้ยมอะไรไว้กับคุณ"ไม่เที่ยงเกิดดับ"หรอกนะครับ เพราะเพิ่งรู้จักกันแต่ชื่อและความแปลกใหม่ที่เข้ามาตั้งกระทู้ไว้อย่างกับรัวปืนกลมือแล้วก็หายเงียบไป ไม่ทราบว่าไปแอบหลบฉลองปีใหม่อยู่ที่ไหน หรือแอบไปเข้าสมาบัติอยู่ก็ไม่รู้

การสนทนาธรรมที่ผ่านมาก็มิได้มีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงอะไรแอบแฝง มีแต่ความจริงใจที่จะแสดงธรรมในแง่มุมที่สวนทางปืนนิดๆ เพื่อสะกิดสะเกาใจผู้คน ที่เกาะยึดบัญญัติจนไม่ปล่อยไม่วาง ให้มาคุยธรรมมะกันอย่างชาวบ้านธรรมดา ภาษาธรรมดาๆ อ้างอิงธรรมจากสิ่งธรรมดาๆ ที่มีอยู่ในชีวิตจิตใจของผู้คนในยุคสมัยนี้ คุณเอก้อนไม่ต้องคอยระวัง ไม่ต้องไปชิงไหวชิงพริบกับใคร ไม่ต้องไปวางแผนการณ์อะไร เว้ากันออกมาจากใจซื่อๆ
ตามสบาย ตามใจปารถนา(แต่ไม่ผิดกติกาของผู้รักษาลาน)แค่นี้ก็พอแล้วครับ คุยกันสนุกๆ สนทนากันสบายๆ
ทำธรรมมะที่ดูยากให้เป็นของง่าย เข้าใจกันได้ทุกหมู่ชน เป็นสากลภาษา อย่าใช้ศัพท์เฉพาะเยอะ อย่าเปรอะไปด้วย Reference จะได้เป็นที่พึ่ง เป็นลานซึ่งเปิดตา ให้สติปัญญาที่ถูกต้องตามพุทธธรรม แก่ผู้คนทั่วโลกนะครับ

อีกประโยคหนึ่งของคุณเอก้อนที่ว่า "ลานนี้จะสนทนาธรรม มีการต้องวางแผนกันมาอย่างดี
เอกอนล่ะ ขอยอมแพ้แต่ต้นปีเลยดีกว่า :b32: :b32:
นับจากวันนี้และ ต่อไป
เพราะรู้สึกอยากสนทนาธรรม อย่างอิสระ
ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ตามเนื้อผ้า
Onion_L
สนทนาธรรมอย่าเอาผิดเอาถูกกันเลยนะครับคัดเลือกเฟ้นเอาอฉพาะธรรมกันดีกว่า จได้สบายๆใจกันทุกคน
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2012, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
[asoka ตอบ
เฮ้อ ! เหนื่อยใจแทนคุณโฮฮับนะครับเพราะพูดกันคนละภาษาเดียวกันกับผม เปรียบเหมือนคนที่ คนหนึ่งอยู่จังหวัดอุบล คนหนึ่งอยู่อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พยายามจะบอกทางไปวัดพระแก้วมรกตที่กรุงเทพให้คนทั้งโลกได้ทราบ โดยเอาสิ่งที่ตนรู้หรือประสบการณ์รายละเอียดของเส้นทางที่ตนประสบมาบอกว่านี่คือทางที่ใช่ ทางอื่นไม่ใช่ จะไปวัดพระแก้วมรกตต้องไปตามทางเส้นนี้อย่างที่ข้าพเจ้าเดินทางมานี้ อย่างนี้คนที่อยู่หาดใหญ่ เมืองกาญฯ เกาหลี ญี่ปุ่น และที่อื่นคงจะลำบากใจแย่ถ้าจะไปวัดพระแก้วตามคำบอกเส้นทางของคนจังหวัดอุบล

ธรรมมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นสัจจธรรม เป็นสากล ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา สามารถเข้าถึงได้ ใครรู้หลักการเข้าไปหา คือหลักวิปัสนาภาวนาและมรรค 8 ก็ย่อมจะเข้าถึงธรรมได้ทั้งนั้น ขอแต่เพียงอย่ายึดมั่นในความรู้ความเห็นอะไรจนแน่นเกินไปดังพุทธภาษิตว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
:b8:

เอาแล้วไง ไปๆมาๆเอาสมมุติบัญญัติมาละเลงเป็นขนมเบื้องอีกแล้ว
พึ่งกล่าวหาผมอยู่ว่าไม่รู้จักอารมณ์ปรมัตถ์ ดูตัวเองทำซิ ตอบไม่ได้ไล่ไม่ทัน
แกล้งเนียบรรเลงสมมุติบัญญัติซะเปอะไปหมด :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2012, 10:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน
**มรรคองค์ 8 นั้นเป็นทางดำเนินแห่งความเป็นอริยะ ผู้ที่ได้ชื่อว่ากำลังดำเนินอยู่ในเส้นทางแห่งมรรคนั้น ย่อมเป็นผู้ที่เพียร ลด ละ กิเลส ทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ มานะ อุปทาน ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและสมมติทั้งหลาย ที่มีอยู่แล้วให้ลดลงและหมดไป ที่ยังไม่มีก็รักษาไว้ไม่ให้มันเกิดขึ้นมา ผู้ที่ปฏิบัติตนเช่นนี้แหละถึงจะสมกับชื่อนักปฏิบัติของจริงครับ
**การสนทนาธรรมกันระหว่างนักปฏิบัติท่านด้วยกันนั้น ท่านจะวางทิฏฐิทั้งหลายไว้เพื่อที่จะได้รับเอาเฉพาะธรรมที่บริสุทธิ์ปราศจากมลทินที่อาจจะเกิดจากทิฏฐิของตน เมื่อได้รับธรรมจากคู่สนทนาธรรมแล้วท่านจะน้อมเอามาพิจารณาในภายหลัง โดยธรรมทั้งหลายที่ออกมาจากนักปฏิบัติที่แท้จริงนั้นจะเป็นธรรมที่ได้มาจากผลของการปฏิบัติจริงจนรู้แจ้งในธรรมนั้นๆ ไม่ใช่เอาลมเอาอากาศเอาสิ่งที่ตนยังปฏิบัติไม่ถึงขนาดรู้แจ้งจนลงที่ใจมาพูด นักปฏิบัติท่านพูดเรื่องของตัวเองในหมู่นักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสมือนแบมือของตนออกมาให้ดูครับ
**ผมเองต้องขออภัยถ้าหากสิ่งที่ผมพูดทำให้พวกพี่ๆทั้งหลายไม่สบายใจ ก็ขอให้อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ ผมเพียงอยากสะกิดเตือนด้วยเห็นว่าเป็นผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมด้วยกันครับ
**พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมกันเป็นพระรัตนตรัยเป็นของคู่กันฉันใด ศีล สมาธิและปัญญา รวมกันเป็นมรรคก็แยกกันไม่ได้ฉันนั้น**


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร