วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 02:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2011, 20:18
โพสต์: 90


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เห็นพูดกันจังว่าพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตย ไม่บังคับใครมานับถือ ใครอยากเข้าถึงความจริงต้องลงมือปฏิบัติ แต่ทำไมต้องไปลบหลู่ความเชื่อ ดูถูกความชอบของคนอื่นด้วย ก็คนเหล่านั้นเขาพอใจและเชื่อศรัทธาในพระเครื่อง เขามีความสุขที่ได้ห้อยพระเครื่อง เป็นสิทธิของเขาไม่ใช่หรอ ทำไมต้องไปว่าด้วย ท่าน ว. ท่านก็แค่เอาความรู้จากตำรามาสอนคนอื่น แต่ในทางปฏิบัติท่านยังไม่ไปถึงใหนแต่กลับมาลบหลู่ ดูถูกคนที่บูชาพระเครื่อง ฟังแล้วน่าโมโหจริงๆ :b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 03:39
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Wow Woooow.....Really mad!!!!


Get 'em all out before your head is exploding.. we can take 'em or

MAYBE NOT!!!!!.....Saying thing when you are mad..........is always foooolish,

and wait for many GURUs around here to respond.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมาย ประชาธิปไตย


ประชาธิปไตย (อังกฤษ: democracy) คือระบอบการปกครองของรัฐ ซึ่งบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมือง โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนโดยตรง หรือผ่านผู้แทนที่ตนเลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้

หรืออาจถือตามคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น ที่ว่า ประชาธิปไตยเป็น การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน

นับเป็นรูปแบบการปกครองที่เกิดขึ้น ณ นครรัฐกรีกโบราณในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเอเธนส์ ภายหลังการก่อจลาจลเมื่อ 508 ปีก่อนคริสตกาล

ในทฤษฎีทางการเมือง คำว่า "ประชาธิปไตย" สามารถหมายถึงทั้งระบอบการปกครองและปรัชญาการเมือง ซึ่งถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ ประชาธิปไตยจะยังไม่มีการนิยามที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันก็ตาม แต่ก็ได้ปรากฏให้เห็นหลักการ 2 หลักการที่ให้การนิยามคำว่า "ประชาธิปไตย" แล้ว คือ ความเสมอภาคและอิสรภาพ

หลักการดังกล่าวถูกสะท้อนให้เห็นผ่านทางความเสมอภาคทางกฎหมายของพลเมืองทุกคน และมีสิทธิเข้าถึงอำนาจโดยเท่าเทียมกัน ส่วนอิสรภาพได้มาจากสิทธิ และเสรีภาพตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองเสมอกันโดยรัฐธรรมนูญ

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B% ... 5%E0%B8%A2

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนา ถือธรรมเป็นใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 11:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ศาสนาพุทธเป็นอิสระ ไม่ว่าใครก็สามารถนับถือได้ ไม่แบ่งชน แบ่งชาติ ปฏิบัติได้ทุกคน
เ้ป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ การฝึกฝน ไม่ใช่การขอโชคลาภ อ้อนวอน ทำนาย พยากรณ์ ต้องปฏิบัติด้วยตนเองถึงจะให้ผลกับตนเอง ความเชื่อหมดไป มีแต่ความจริง ความเชื่อ คือต้นตอแห่งความทุกข์


แก้ไขล่าสุดโดย ไม่เที่ยง เกิดดับ เมื่อ 06 ม.ค. 2012, 12:36, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรัทธา...ความเชื่อ เป็นเรื่องส่วนบุคคล
อย่าลบหลู่ อย่าดูถูก มันจะเป็นกรรม :b14:
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 13:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
พระพุทธศาสนา ถือธรรมเป็นใหญ่

:b8: :b8: :b8:
พระพุทธศาสนาไม่เคยเชื่อกิเลส
ความคิดของกิเลสไม่เคยเป็นธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เราไม่ควรตัดสินคนที่ห้อยพระเครื่อง แต่ตัดสินคนที่การกระทำ เช่น คนห้อยพระเครื่องแล้วเข้าวัดตั้งใจปฏิบัติ เราก็ยกย่องคนนั้นว่าทำดีแล้ว คือทำประโยชน์ให้ตนเอง

แล้วคนที่ห้อยพระเครื่องแต่เป็นนักเลงใหญ่โต ไม่สนใจในการปฏิบัติธรรม อย่างนี้เรียกว่าคนประมาท ประมาทเพราะการทำตัว อย่างนั้นไม่เกี่ยวกับพระเครื่อง

คนที่ห้อยพระส่วนมากมีความศรัทธาว่าจะได้รับการคุ้มครองให้โชคดีปลอดภัย เป็นแนวยึดให้เกิดกำลังใจ ในด้านจิตใจคือเกิดกุศลจิต มีจิตที่เกิดการเคารพนับถือ ไม่มีผู้ใดที่ห้อยพระเครื่องแล้วปฏิบัติไม่ดีต่อพระเครือ่ง เช่นโยนเล่น หรือ ทำแย่ลงไปกว่านั้นอีก จะเห็นได้ว่า เกิดความเคารพต่อพระเครื่องแม้ตัวเองอาจจะเป็นถึงโจรก็ตามแต่ อย่างนี้เรียกว่าทำกุศลจิตให้เกิดขึ้น แต่กุศลจิตคือสังขาร สังขารคือขันธ์5 เมื่อจับถือบ่อยๆเกิด ผัสสะที่เกิดจากมโนวิญญาณบ้าง กายวิญญาณบ้าง จักษุวิญญาณบ้าง เห็นว่าพระเครื่องเป็นของๆเรา เกิดเวทนา ตัญหา อุปาทาน เกิดการหวงแหน หรือ เกิดความโลภ คิดหาประโยชน์ ด้วยการให้เช่าในราคาแพง หรือ เกิดการแสวงหา นำมาซึ่งความทุกข์ ในที่สุดก็ไม่ปล่อยวาง

ถามว่าจะเกิดปัญญาจากการห้อยพระเครื่องไหม ยกตัวอย่าง หากมีพระเครื่องแล้วให้ลูกหลานเป็นสิ่งติดตัวก็ย่อมปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์8 คือความกรุณา ความเมตตา อย่างนี้คือปัญญา คือสัมมาสังกัปปะ เป็นมรรคข้อที่2ของมรรคมีองค์8 ปัญญาไม่ได้หมายถึงดับทุกข์อย่างเดียวแต่หมายถึงการพิจารณาให้ตัวเองปฏิบัติในทางแห่งมรรคมีองค์8เช่นกัน ถามว่าเชื่อในพระเครื่องเป็นปัญญาไหม หากความเชื่อนั้นส่งผลให้ตัวเองดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาทก็ได้ชื่อว่าเป็นปัญญาครับ อนุโมทนา

เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลนะครับ พิจารณาก่อนให้ถี่ถ้วน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 14:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
เราไม่ควรตัดสินคนที่ห้อยพระเครื่อง แต่ตัดสินคนที่การกระทำ เช่น คนห้อยพระเครื่องแล้วเข้าวัดตั้งใจปฏิบัติ เราก็ยกย่องคนนั้นว่าทำดีแล้ว คือทำประโยชน์ให้ตนเอง

แล้วคนที่ห้อยพระเครื่องแต่เป็นนักเลงใหญ่โต ไม่สนใจในการปฏิบัติธรรม อย่างนี้เรียกว่าคนประมาท ประมาทเพราะการทำตัว อย่างนั้นไม่เกี่ยวกับพระเครื่อง

คนที่ห้อยพระส่วนมากมีความศรัทธาว่าจะได้รับการคุ้มครองให้โชคดีปลอดภัย เป็นแนวยึดให้เกิดกำลังใจ ในด้านจิตใจคือเกิดกุศลจิต มีจิตที่เกิดการเคารพนับถือ ไม่มีผู้ใดที่ห้อยพระเครื่องแล้วปฏิบัติไม่ดีต่อพระเครือ่ง เช่นโยนเล่น หรือ ทำแย่ลงไปกว่านั้นอีก จะเห็นได้ว่า เกิดความเคารพต่อพระเครื่องแม้ตัวเองอาจจะเป็นถึงโจรก็ตามแต่ อย่างนี้เรียกว่าทำกุศลจิตให้เกิดขึ้น แต่กุศลจิตคือสังขาร สังขารคือขันธ์5 เมื่อจับถือบ่อยๆเกิด ผัสสะที่เกิดจากมโนวิญญาณบ้าง กายวิญญาณบ้าง จักษุวิญญาณบ้าง เห็นว่าพระเครื่องเป็นของๆเรา เกิดเวทนา ตัญหา อุปาทาน เกิดการหวงแหน หรือ เกิดความโลภ คิดหาประโยชน์ ด้วยการให้เช่าในราคาแพง หรือ เกิดการแสวงหา นำมาซึ่งความทุกข์ ในที่สุดก็ไม่ปล่อยวาง

ถามว่าจะเกิดปัญญาจากการห้อยพระเครื่องไหม ยกตัวอย่าง หากมีพระเครื่องแล้วให้ลูกหลานเป็นสิ่งติดตัวก็ย่อมปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์8 คือความกรุณา ความเมตตา อย่างนี้คือปัญญา คือสัมมาสังกัปปะ เป็นมรรคข้อที่2ของมรรคมีองค์8 ปัญญาไม่ได้หมายถึงดับทุกข์อย่างเดียวแต่หมายถึงการพิจารณาให้ตัวเองปฏิบัติในทางแห่งมรรคมีองค์8เช่นกัน ถามว่าเชื่อในพระเครื่องเป็นปัญญาไหม หากความเชื่อนั้นส่งผลให้ตัวเองดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาทก็ได้ชื่อว่าเป็นปัญญาครับ อนุโมทนา

เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลนะครับ พิจารณาก่อนให้ถี่ถ้วน


ขอเสริมนะครับ พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้สร้างพระเครื่อง แต่พระเครื่องเป็นศิลปะ วัฒนธรรมผลมาจากศาสนาพุทธ แม้กระทั่งสร้างพระพุทธรูปเอง เพราะเมื่อสร้างแล้วผู้คนจะขอพร ขอโชค ขอลาภ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ แ่ต่เป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ การฝึกฝนตนเอง เพื่อให้พ้นทุกข์ เมื่อเราคิดว่าเรามีตัวตน ของของตนจึงตามมา นี่เป็นพระเครื่องของตนห้ามใครเอาไป ทุกข์ตามมาทันทีครับ
ขอให้ทุกท่านเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงเห็นทางดับทุกข์ ทรงปฏิบัติและหนีทุกข์ไปหาสุขได้ถาวร

อ่านตรงนี้ดูครับ
พระเจ้าอโศกมหาราช กับพระพุทธศาสนา
พระองค์ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่น ทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ หลักศิลาจารึก มหาวิทยาลัยนาลันทา ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงผนวชขณะที่ยังทรงครองราชย์อยู่ และเลิกการแผ่อำนาจในการปกครอง มาใช้หลักพุทธธรรม (ธรรมราชา) ปกครอง
ท่านเป็นผู้สร้างสิ่งนี้มามีผลมาจนถึงปัจจุบัน แต่ท่านก็ยังเวียนว่ายตายเกิดนับภพ นับชาติไม่ถ้วน ยังไม่หลุดพ้น เพราะท่านไม่เข้าใจคิดว่าการสร้างวัด วิหาร ต่างๆ เป็นบุญสูงสุด
แต่ไม่ใช่บุญสูงสุดที่แท้จริงแล้วคือการละ โลภ โกรธ หลง นั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 14:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 10:22
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนาเป็นธรรมาธิปไตยครับ มิใช่ประชาธิปไตย คนหมู่มากก็ชักนำไปในทางที่ผิดได้ครับ ท่านจึงเอาธรรมเป็นใหญ่ ใครนับถือหรือไม่ท่านไม่สนใจ ท่านเสนอธรรมแท้ออกมาให้พิจารณา และบอกหนทางถูกผิดเท่านั้น ใครได้แค่ไหนก็ตามกำลังตนเถิดครับ

ประชาธิปไตยเป็นการรับฟังและดำเนินการตามความเห็นคนส่วนใหญ่ แต่ใช่มองข้ามคนส่วนน้อยไปเสียเลย การทักท้วง ติติง จึงเป็นเรื่องธรรมดาในวิถีประชาธิปไตย ผู้ที่เปิดความเห็นกว้างย่อมไม่ยึดเอาความชอบ ความเห็นตนมาเป็นหลักในการตัดสิน(อัตตาธิปไตย) แต่รับฟังด้วยเหตุผล

การที่ท่านว.ทักท้วงขึ้นมา จะเป็นเพราะความไม่รู้จริงของท่าน หรือ เพราะความรู้จริง ความหวังดี หรือความอวดรู้ของท่าน ผมมิอาจทราบ แต่ผู้ที่ดำรงตนในวิถีประชาธิปไตยก็ไม่ควรที่จะเอาแต่โกรธ ต่อว่ากัน ต้องยกเรื่องมาพิจารณาในเหตุในผลกันก่อน

ในกรณีนี้ ท่านควรยกขึ้นมาว่า ท่านว.พูดว่าอย่างไร แล้วท่านเห็นต่างอย่างไร ใครเห็นอย่างไร พิจารณากันให้แตกฉานออกมา บางทีสิ่งที่ท่านพูดอาจไม่ใช่ความหมายอย่างที่ท่านเข้าใจก็ได้ ก็ต้องแลกเปลี่ยนกัน หากเอาแต่โกรธก็เท่ากับว่าท่านยึดว่าท่านถูกฝ่ายเดียว ใครเห็นต่างผิด ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยสิครับ เป็นเผด็จการไปเสีย

การแขวนพระเครื่องไม่ใช่เรื่องผิดถูกที่พระเครื่อง แต่ผู้แขวนหรอก จะแขวนถูกหรือผิด????


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศานาพุทธ ไม่ใช่ประชาธิปไตย
แต่เป็น ธรรมาธิปไตย ถือความจริงธรรมชาติของสรรพสิ่ง เป็นใหญ่

ส่วนเรื่องสิทธิเสรีภาพในการในการนิยมพระเครื่อง มันไม่ใช่เรื่องของศาสนา
มันเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพล้วนๆ
ที่บังเอิญว่า ตัวกลาง หรือพระเครื่องนั้น เป็นวัตถุในศาสนาพุทธ

การวิจารณ์พระเครื่อง ก็ใช้สิทธิอันเดียวกับสิทธิในการนิยมพระเครื่อง

มันไม่มีกฏหมายข้อใดที่ห้ามวิจารณ์พระเครื่อง หรือห้ามเล่นพระเครื่อง

เสรีภาพแบบที่โลกเสรีเขาพูดกัน มันเป็นการที่เราสามารถพูดถึงกันได้ วิจารณ์กันได้ แบบอเมริกา แบบอังกฤษ ที่สามารถวิจารณ์กันได้ชนิดที่ว่า ซักกันจนสะอาด

ถ้าใครล้ำเส้นเกินเลย เราก็ไปใช้สิทธิทางศาลได้

แต่การมีเสรีภาพแบบที่เราพบในสังคมไทย
มักจะเป็นลักษณะ ห้ามยุ่งกัน อยู่ใครอยู่มัน ไม่ให้ใครไปแตะของใคร แล้วก็อ้างเสรีภาพ
อย่างนี้ก็นับว่าเป็นเสรีภาพที่แปลก

มนุษย์ต้องอยู่ด้วยกันเป็นสังคม เราเป็นสัตว์สังคม
เสรีภาพก็ต้องเป็นเสรีภาพในแบบของสัตว์สังคม
ไม่ใช่เสรีภาพแบบก้อนหินต้นไม้ ที่ไม่ต้องยุ่งกันก็อยู่กันได้


คล้ายๆคู่สามีภรรยาสองคู่

คู่แรก ไม่นิยมพูดคุยกัน ไม่สนใจศึกษากัน อะไรไม่ตรงกันก็ห้ามแตะกัน ห้ามว่ากัน
สุดท้ายก็คงได้เลิกกัน

คู่ที่สอง ก็พูดคุยกัน ศึกษากัน รู้จักใจเขาใจเรา อย่างนี้ก็คงเดาได้ว่า น่าจะอยู่กันอย่างมีความสุขมากกว่าคู่แรก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
พระพุทธศาสนา ถือธรรมเป็นใหญ่
ชาติสยาม เขียน:
ศานาพุทธ ไม่ใช่ประชาธิปไตย
แต่เป็น ธรรมาธิปไตย ถือความจริงธรรมชาติของสรรพสิ่ง เป็นใหญ่
เห็นด้วยครับ

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
พระเจ้าอโศกมหาราช กับพระพุทธศาสนา
พระองค์ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่น ทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ หลักศิลาจารึก มหาวิทยาลัยนาลันทา ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงผนวชขณะที่ยังทรงครองราชย์อยู่ และเลิกการแผ่อำนาจในการปกครอง มาใช้หลักพุทธธรรม (ธรรมราชา) ปกครอง ท่านเป็นผู้สร้างสิ่งนี้มามีผลมาจนถึงปัจจุบัน แต่ท่านก็ยังเวียนว่ายตายเกิดนับภพ นับชาติไม่ถ้วน ยังไม่หลุดพ้น เพราะท่านไม่เข้าใจคิดว่าการสร้างวัด วิหาร ต่างๆ เป็นบุญสูงสุด แต่ไม่ใช่บุญสูงสุดที่แท้จริงแล้วคือการละ โลภ โกรธ หลง นั้นเอง
ตรงนี้ท่านมั่นใจนะครับว่าพระเจ้าอโศกยังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ หรือนิพพาน

แสงธรรม14 เขียน:
ก็เห็นพูดกันจังว่าพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตย ไม่บังคับใครมานับถือ ใครอยากเข้าถึงความจริงต้องลงมือปฏิบัติ แต่ทำไมต้องไปลบหลู่ความเชื่อ ดูถูกความชอบของคนอื่นด้วย ก็คนเหล่านั้นเขาพอใจและเชื่อศรัทธาในพระเครื่อง เขามีความสุขที่ได้ห้อยพระเครื่อง เป็นสิทธิของเขาไม่ใช่หรอ ทำไมต้องไปว่าด้วย ท่าน ว. ท่านก็แค่เอาความรู้จากตำรามาสอนคนอื่น แต่ในทางปฏิบัติท่านยังไม่ไปถึงใหนแต่กลับมาลบหลู่ ดูถูกคนที่บูชาพระเครื่อง ฟังแล้วน่าโมโหจริงๆ :b7: :b7:
ต้องดูข้อแห่งศีลและธรรมด้วยครับ ถ้าไม่ดูแล้วไปว่าท่านจะปาบเอา
พระเครื่องทหารตำรวจคนทั่วไปนิยมห้อยไว้กันยามจวนตัว ก็ไม่เห็นพระท่านว่า แต่ถ้ามัวส่องแต่พระเครื่องไม่ส่องธรรม พระท่านว่าแน่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2011, 20:18
โพสต์: 90


 ข้อมูลส่วนตัว


fatcat เขียน:
Wow Woooow.....Really mad!!!!


Get 'em all out before your head is exploding.. we can take 'em or

MAYBE NOT!!!!!.....Saying thing when you are mad..........is always foooolish,

and wait for many GURUs around here to respond.


ว้าว ..... Woooow บ้าจริงๆ!


รับ'em ทั้งหมดออกมาก่อนที่หัวของคุณจะกระจาย .. เราสามารถใช้'em หรือ

อาจจะไม่พูดสิ่งที่ !!!!!..... เมื่อคุณกำลังบ้าอยู่เสมอ .......... foooolish,

และรอการ gurus หลายรอบที่นี่เพื่อตอบสนอง :b10:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร