วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 11:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
........
มรรค คือ ผล
เคยได้ยินคำว่า มรรคผลนิพพานไหมครับ

:b12: :b12:
เห็นท่านอื่น...แสดงไปแล้ว

ขอส่งคลื่นรบกวนหน่อยหนึ่ง... :b9: :b9:

ถ้ามรรคคือผล...อยู่แล้ว

ก็เขียนว่า....ผลผลนิพพาน...ไปเลยซิเน๊าะ

s002 s002


อย่าลืมนะว่า ผล เป็นภาษาไทย มรรค เป็นภาษาอื่น
เพื่อให้คนไทยเข้าใจว่า มรรค คือ ผล
ก็ต้องเขียน 2 ภาษาเข้าด้วยกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 12:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มรรคเป็นภาษาอื่น...แล้วเป็นไทย..ได้ความว่าจะได..หนอ

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 12:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน
**ขอผมแบ่งบันเรื่อง มรรคผล ด้วยคนนะครับ :b8:
**ในความรู้ของผมนั้น"มรรคและผล" เป็นเพียงสมมติบัญญัติที่จะแยกออกมาให้เราเห็นได้ชัดเจน ดังเช่นกฏไตรลักษณ์"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" แต่โดยสภาวะแล้วทั้งมรรคผลและไตรลักษณ์ เมื่อถึงหรือเห็นแล้วเราก็จะรู้ได้ว่ามันเกิดขึ้นมาพร้อมกันทันที เมื่อเข้าถึงมรรคก็ถึงผลทันที เมื่อเราเห็นอนิจจังเราก็จะเห็นทุกขังและอนัตตาพร้อมๆกันเช่นเดียวกัน
**แต่โดยธรรมดาแล้วพวกเรามักจะจำเอาแต่สมมติบัญญัติมายึดและคาดเดาเอาว่าต้องเรียงตามลำดับ 123 ซึ่งความยึดนั่นแหละตัวขวางทางธรรมและปัญญาเราดีๆนี่เอง
**แต่ผมเองก็ยึดถือเอาว่ามรรคคือ ทาง แนวทาง วิถีทาง เส้นทาง เข็มทิศนำทาง หลักนำทาง ที่จะพาผมเข้าใกล้หรือไปสู่จุดหมายที่ปลายทางที่ๆมีความรู้อันยอดเยี่ยมนั้นรออยู่ครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 13:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน
**ขอผมแบ่งบันเรื่อง มรรคผล ด้วยคนนะครับ :b8:
**ในความรู้ของผมนั้น"มรรคและผล" เป็นเพียงสมมติบัญญัติที่จะแยกออกมาให้เราเห็นได้ชัดเจน ดังเช่นกฏไตรลักษณ์"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" แต่โดยสภาวะแล้วทั้งมรรคผลและไตรลักษณ์ เมื่อถึงหรือเห็นแล้วเราก็จะรู้ได้ว่ามันเกิดขึ้นมาพร้อมกันทันที เมื่อเข้าถึงมรรคก็ถึงผลทันที เมื่อเราเห็นอนิจจังเราก็จะเห็นทุกขังและอนัตตาพร้อมๆกันเช่นเดียวกัน
**แต่โดยธรรมดาแล้วพวกเรามักจะจำเอาแต่สมมติบัญญัติมายึดและคาดเดาเอาว่าต้องเรียงตามลำดับ 123 ซึ่งความยึดนั่นแหละตัวขวางทางธรรมและปัญญาเราดีๆนี่เอง
**แต่ผมเองก็ยึดถือเอาว่ามรรคคือ ทาง แนวทาง วิถีทาง เส้นทาง เข็มทิศนำทาง หลักนำทาง ที่จะพาผมเข้าใกล้หรือไปสู่จุดหมายที่ปลายทางที่ๆมีความรู้อันยอดเยี่ยมนั้นรออยู่ครับ
ขอบคุณครับ :b8:


คำไม่สำคัญหรอกแต่การตีความคำผิดนี่สิ จะทำให้เราไขว่เขว และปฏิบัติไม่ถูกต้อง
คำย่อว่าอย่างนั้น คำเต็มว่าอย่างไร เช่น สติสัมปชัญญะ เอาไปใช้ผิดด่าคนบ้า คนเลว คนเมา คนเสพติด ว่าไอ้พวกไม่มี สติสัมปชัญญะ ตีความผิด เอาไปใช้ผิด
องค์ธรรมก็เหมือนกัน บางองค์ธรรมก็ต้องเรียงอย่างนั้นเป็นลำดับเกิดก่อนหลัง เช่น สัมมาสังกัปปะ (คิดชอบ) จะไม่เกิดถ้าไม่เกิดความเห็นชอบ (สัมมาทิฐิ) จะพูดดี กระทำดี อาชีพดีได้อย่างไร ถ้ายังมีความเห็นผิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 13:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
พระพุทธเจ้าทรงเห็นความจริงของธรรมชาติตามกฎไตรลักษณ์ เห็นทุกข์ เอามาวิเคราะห์หาทางดับเหตุแห่งทุกข์ ได้ผลออกมาเป็นมรรคมีองค์ 8 (มรรค) เราต้องศึกษาหาว่าท่านเอาอะไรมาดับสาเหตุแห่งทุกข์ได้ นั้นก็คือ ปัญญา หรือสัมมาทิฐิ แล้วปัญญาของท่านที่เอามาดับทุกข์ได้นั้นมาจากไหน นั้นก็คือการวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 และอายตนะภายในทั้ง 6 นั้นเอง


อ้อ ท่านเห็นว่าพระพุทธเจ้าสำเร็จมาเช่นนั้น

แต่พระพุทธองค์ไม่ได้แสดงลำดับแห่งการบรรลุธรรม อย่างที่ท่านเห็นนะ

ไปศึกษาพระไตรปิฏก และลำดับตามพระสูตรตอนที่พระองค์ตรัสรู้ให้ดี ๆ ใหม่เถอะ

ท่านเพี้ยนได้แต่ลำดับทางความคิดเท่านั้น

แต่ลำดับแห่งวิถีจิตแห่งการตรัสรู้
และปัญญาที่ได้จากการตรัสรู้
ไม่ได้ถูกสั่งได้ด้วยสังขาร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
คำไม่สำคัญหรอกแต่การตีความคำผิดนี่สิ จะทำให้เราไขว่เขว และปฏิบัติไม่ถูกต้อง
คำย่อว่าอย่างนั้น คำเต็มว่าอย่างไร เช่น สติสัมปชัญญะ เอาไปใช้ผิดด่าคนบ้า คนเลว คนเมา คนเสพติด ว่าไอ้พวกไม่มี สติสัมปชัญญะ ตีความผิด เอาไปใช้ผิด

เอาเป็นว่า คุณฟันธงว่า คนบ้า คนเลว คนเมา คนเสพติด
ในขณะที่มีอาการที่คุณกล่าวถึง เขาเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะหรือครับ
ไหนลองอธิบายให้ฟังหน่อยสิครับว่าทำไมถึงกล่าวแบบนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อย่าลืมนะว่า ผล เป็นภาษาไทย มรรค
เป็นภาษาอื่น
เพื่อให้คนไทยเข้าใจว่า มรรค คือ ผล
ก็ต้องเขียน 2 ภาษาเข้าด้วยกัน

ถ้ากล่าวตามอริยสัจจ์สี่มรรคน่ะมันเป็นเหตุ นิโรธเป็นผลมันถูกต้องแล้ว
แต่ในความเป็นมรรคเป็นได้ทั้งเหตุและผล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2012, 00:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




อริยสัจ 4_resize.jpg
อริยสัจ 4_resize.jpg [ 58.29 KiB | เปิดดู 3039 ครั้ง ]
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อริยะสัจ 4 1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ความลำบาก 2. สมุทัย สาเหตุแห่งทุกข์ ก็คือความไม่เที่ยงตามกฎไตรลักษณ์ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ นำพาให้เราเกิดความโลภ โกรธ หลง สุดท้ายทุกข์ตามมา 3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ /การดับทุกข์ ก็เอาความจริงตามกฎไตรลักษณ์มาดับความเชื่อ หรือ อวิชชา 4. มรรค คือ ผลที่ได้จากการดับเหตุแห่งทุกข์ มรรคมีองค์ 8 เกิดขึ้นครบถ้วน ทุกข์ เป็น ผล (ยังไม่ได้ดับเหตุแห่งทุกข์) สมุทัย เป็น เหตุแห่งทุกข์ นิโรธ เป็น วิธีการดับทุกข์ มรรค เป็น ผลจากการดับทุกข์

Onion_L
คุณไม่เที่่ยง เกิดดับครับ คุณขึ้นต้นมาดีและสวยมากนะครับ อยู่ในช่องทางของวิปัสสนาภาวนาเดี๊ยะเลย
แต่ตอนอธิบายมรรค 8 นี้ พลาดไปอย่างจริงๆเลยนะครับ กรุณาถอนความเห็นนี้กลับไปพิจารณาใหม่ให้ดีอีกทีนะครับ ที่คุณเคยบอกคนอื่นว่า การตีความหมายหรืออรรถถะของบัญญัติ ถ้าผิดแล้วมันจะพาหลงทางไปไกลเลยที่เดียวนะครับ

มรรค 8 นี่เป็นเรื่องของ มรรคคา แปลว่าทางดำเนินไป หรือวิธีการทำ เป็น เหตุสุข เป็นคู่ปรับของ สมุทัยอันหมายถึงเหตุทุกข์

ส่วน มรรค ที่คู่กับ ผล นั้น เป็น มรรค ตัวที่แปลว่า ตัด ทำลาย คือตัดทำลายกิเลสอนุสัย สังโยชน์

ส่วนนิโรธนั้นเป็นเรื่องของผลสุข เป็นคู่กับ ทุกขสัจจะ หรือ ผลทุกข์
การปฏิบัติธรรมตามหลักอริยสัจ 4 คือการเอาเหตุสุข (มรรค 8) ไปต่อสู้กับเหตุทุกข์(สมุทัย)
ถ้าเหตุทุกข์ ดับ ผลทุกข์ก็จะต้องดับตามไปเอง ตามกฎของเหตุและผล ความที่ผลทุกข์ดับนั้นท่านเรียกว่า นิโรธ

ขอให้พิจารณารูปภาพที่ยกมาประกอบนะครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2012, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ธัมมจักกัปปวัตตนวรรคที่ ๒
ตถาคตสูตรที่ ๑
ทรงแสดงพระธรรมจักร


ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาแล้วตรัสว่า

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด ๒ อย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนสุด ๒ อย่างนั้นเป็นไฉน?

คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นของเลว
เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
การประกอบความลำบากแก่ตน เป็นทุกข์ ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑

ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุด ๒ อย่างเหล่านี้ อันตถาคต
ได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ก็ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนั้น ... เป็นไฉน?

คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ ซึ่งได้แก่
ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ
เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ
ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนี้แล อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ
กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อ
นิพพาน.

Quote Tipitaka:
อริยสัจ ๔

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์
ความเจ็บก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็น
ทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น แม้ข้อนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

ก็ทุกขสมุทยอริยสัจนี้แล คือ ตัณหาอันทำให้มีภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจ
ความพอใจ ความเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้แล คือ ความดับด้วยการสำรอกโดยไม่
เหลือแห่งตัณหานั้นแหละ ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัย

ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้แล คือ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ซึ่งได้แก่สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งทุกข์ ได้แก่ อริยมรรค มีองค์ ๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2012, 09:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อริยะสัจ 4 1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ความลำบาก 2. สมุทัย สาเหตุแห่งทุกข์ ก็คือความไม่เที่ยงตามกฎไตรลักษณ์ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ นำพาให้เราเกิดความโลภ โกรธ หลง สุดท้ายทุกข์ตามมา 3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ /การดับทุกข์ ก็เอาความจริงตามกฎไตรลักษณ์มาดับความเชื่อ หรือ อวิชชา 4. มรรค คือ ผลที่ได้จากการดับเหตุแห่งทุกข์ มรรคมีองค์ 8 เกิดขึ้นครบถ้วน ทุกข์ เป็น ผล (ยังไม่ได้ดับเหตุแห่งทุกข์) สมุทัย เป็น เหตุแห่งทุกข์ นิโรธ เป็น วิธีการดับทุกข์ มรรค เป็น ผลจากการดับทุกข์

Onion_L
คุณไม่เที่่ยง เกิดดับครับ คุณขึ้นต้นมาดีและสวยมากนะครับ อยู่ในช่องทางของวิปัสสนาภาวนาเดี๊ยะเลย
แต่ตอนอธิบายมรรค 8 นี้ พลาดไปอย่างจริงๆเลยนะครับ กรุณาถอนความเห็นนี้กลับไปพิจารณาใหม่ให้ดีอีกทีนะครับ ที่คุณเคยบอกคนอื่นว่า การตีความหมายหรืออรรถถะของบัญญัติ ถ้าผิดแล้วมันจะพาหลงทางไปไกลเลยที่เดียวนะครับ

มรรค 8 นี่เป็นเรื่องของ มรรคคา แปลว่าทางดำเนินไป หรือวิธีการทำ เป็น เหตุสุข เป็นคู่ปรับของ สมุทัยอันหมายถึงเหตุทุกข์

ส่วน มรรค ที่คู่กับ ผล นั้น เป็น มรรค ตัวที่แปลว่า ตัด ทำลาย คือตัดทำลายกิเลสอนุสัย สังโยชน์

ส่วนนิโรธนั้นเป็นเรื่องของผลสุข เป็นคู่กับ ทุกขสัจจะ หรือ ผลทุกข์
การปฏิบัติธรรมตามหลักอริยสัจ 4 คือการเอาเหตุสุข (มรรค 8) ไปต่อสู้กับเหตุทุกข์(สมุทัย)
ถ้าเหตุทุกข์ ดับ ผลทุกข์ก็จะต้องดับตามไปเอง ตามกฎของเหตุและผล ความที่ผลทุกข์ดับนั้นท่านเรียกว่า นิโรธ

ขอให้พิจารณารูปภาพที่ยกมาประกอบนะครับ



ถ้า มรรค แปลว่า วิธีการดำเนินไปแล้วถ้าดำเนินไปในทางที่ถูก ผล ออกมาก็จะเป็นสัมมาทิฐิ
ถ้าดำเนินไปในทางที่ผิด ผล ออกมาก็จะเป็น มิจฉาทิฐิ

ดังนั้นวิธีการดำเนินไปสุดท้ายก็ได้ ผล อยู่ดี

เหมือนปลูกมะม่วง
เมล็ดมะม่วง คือ เหตุ
ปัจจัย คือ ปุ๋ย น้ำ อากาศ แมลง
วิีธีการ คือ ดูแลรักษา พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ให้น้ำ อาหาร
ผล คือ ได้ลูกมะม่วง


หลังคารั่ว เอากะละมัง ไปรอง ผลออกมาน้ำก็รั่วอยู่ดี
หลังคารั่ว อุดที่หลังคา ผลออกมาน้ำไม่รั่ว


พระพุทธเจ้าทรงแสดงผลจากการวิปัสสนาในพระไตรปิฎก เพื่อให้ผู้ศึกษาเห็นว่าถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์จะได้ผลออกมาเป็นอย่างนี้นะ ถ้าไม่ได้อย่างนี้คือ ปฏิบัติไม่ถูกทาง
ผู้ไม่รู้ทั้งหลาย ก็เอาผลจากการปฏิบัติไปปฏิบัติ สุดท้ายก็ไม่รู้ความจริงเลยดับทุกข์ไม่ได้ ก็เลยหาวิธีการปฏิบัติหลากหลายวิธีการมาลองปฏิบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะไม่เอาสมถะไม่เอาฌานไง เลยต้องลองมั่วไปมั่วมากันอยู่ เลยไม่ได้กดปุ่ม enter :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 12:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
เพราะไม่เอาสมถะไม่เอาฌานไง เลยต้องลองมั่วไปมั่วมากันอยู่ เลยไม่ได้กดปุ่ม enter :b32:


แล้วสมถะ นั่งสมาธิ ฌาน อภิืญญา ดับทุกข์ได้ไหม แค่ "ดับจิต" เท่าันั้นเอง แค่อยากได้ความเป็นเลิศ อยากมีหูทิพย์ตาทิพย์ มีคาถา อาคม นี่คือความพอใจส่วนบุคคล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ดับได้แล้วไม่โง่แบบคุณด้วย
คาถาอาคมไม่ต้องมีฌานก็ท่องได้ เช่น โอม ไม่เที่ยงเกิดดับจงเลิกโง่
ก็ยังไม่หายโง่สักที :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงตรงนี้ต้องบอกว่าคุณ ติดวิปัสสนูปกิเลสแท้ๆ เพียวๆข้ออุปัฏฐานัง ตามตำราเป๊ะๆ ปล่อยวางการพิจารณาธรรมไม่เที่ยงเกิดดับๆๆๆๆๆๆๆ.....ไม่ได้เที่ยวหว่านโพสมั่วไปหมดทุกวันๆๆๆๆๆๆๆๆ :b5: เหมือนจิตจะไม่ปกติแบบสามัญชนทั่วไปนะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร