วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 22:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 16:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะคุยกับคนไม่มีอารมณ์..รึ?

:b32: :b32: :b32:

อันนี้ไม่เกี่ยวกับท่านนะ...แค่ตัวอย่าง

ไปฟังหลวงพ่อที่เคารพเทศน์สอน...
..............
มึงว่ามึงฉลาด....นะ...มึงจะตายคาทุกข์อยู่...มึงรู้ตัวรึเปล่า...
โง่..ก็ไม่รู้ว่าตัวโง่...อีก

.................
คนหนึ่ง... :b33: :b33: หลวงพ่อด่าเรา...ไม่มาอีกแล้ว

อีกคน.... :b20: :b20: ใช่...ใช่...อุ้ยยยย....มันถูกกิเลสจริง ๆ หลวงพ่อ :b8: :b8:

ฮิ...ฮิ...ฮิ...

แล้วความรู้สึกของใครถูก...

หลวงพ่อด่า...รึ....หลวงพ่อเทศน์ :b13: :b13: :b13:

ใครได้ประโยชน์....ใครไม่ได้อะไร

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 16:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สงสัย...ต้องไปแนวเซน...อย่างที่อาจารย์ใหญ่ยกมา..ละมั้ง

หลวงตาว่า...เซน...นั้นมันดอกเตอร์นะนั้น

:b8: :b8: :b8:

หลังฉาก...สาวสวยคนนั้น....อาจไม่ใช่คนจริง ๆ

เกิดจากฤทธิ์ของพระพรรษามาก...ที่ต้องการสอนพระพรรษาน้อย...

:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 09 ก.พ. 2012, 17:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 17:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่การปฏิบัติธรรมมันคือให้เราไปติดในวิธีแต่แรกเริ่ม แล้วเราจะไปถึงจุดสุดท้ายคือบรรลุธรรมได้หรอครับ

ได้ ถ้าเขาศึกษาปฏิบัติไปจนเห็น จิต กับพฤติกรรมที่เสพอารมณ์
มันเป็นวิถี
เข้าไปเสวยอารมณ์ เสพอารมณ์ รู้ชัดอารมณ์ คลายจากอารมณ์ ปล่อยอารมณ์ และไปสู่อารมณ์ใหม่
ซ้ำซาก
ตราบใดที่ ธรรมชาติของจิตเป็นเช่นนั้น
และการปฏิบัติเป็นการปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติใช้เข้าไปศึกษาเรื่อง จิต
สักวันเขาต้องได้เห็นความเป็นเช่นนั้น แน่นอน

ทุกอย่างขับเคลื่อนผ่านจิต
และจิตก็เป็นเช่นนั้น
เป็นเช่นนั้น เป็นธรรมชาติของจิตโดยที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของเรา

และกว่าเขาจะเข้าไปถึงนั่น
เขาต้องรู้ธรรมที่ควรวาง และได้มีการวางธรรมอื่น ๆ มาเป็นลำดับ ๆ มาแล้วพอควร



แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 09 ก.พ. 2012, 18:02, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิทานเซ็น

“ถูก ถูก ถูก”

จีนสมัยโบราณ ยังมีวัดพุทธศาสนาใหญ่อยู่วัดหนึ่ง มีระเบียบให้คนในวัดมาทำวัตรสวดมนต์กันทุกเช้า ตอนตีสี่
ครั้งนั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง ทุกๆ วัน ท่านจะขมีขมันตื่นก่อนเวลาจุดไฟเดินส่องไปตามทางปูหินก่อนใครๆ เพื่อจับหอยทากที่คลานอยู่ตามทางเท้า ไปปล่อยไกลๆ จะได้ไม่ถูกเหยียบตาย ท่านทำอย่างนี้ทุกวันจนภิกษุรูปอื่นสังเกตเห็น ก็เลยเกิดการสอบถามขึ้น ภิกษุรูปนั้นก็ตอบว่า “ผมมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อประกอบความดี สร้างบารมีเรื่อยไป ”

ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็ค้านขึ้นว่า “ท่านทราบไหม ที่ทำอย่างนี้เหมือนกับก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้ชาวสวนต้องเดือดร้อนจากหอยทากข้างนอกเขากำจัดสัตว์ชนิดนี้กันหมดแล้ว เหลือแต่ในวัดนี่แหละ ที่ยังแพร่พันธุ์อยู่”

ภิกษุอีกรูปก็พูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านมิได้มีเจตนาให้เป็นภัยแก่คนทั้งหลาย ตรงกันข้ามท่านกำลังบำเพ็ญหน้าที่ของโพธิสัตว์ ทำการปลดปล่อยสัตว์แปดหมื่นสี่พันจากภัยพิบัติ และยังช่วยปลดปล่อยทำความปลอดภัยให้พวกเราในวัดนี้ ได้บำเพ็ญความบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำชีวิตให้ตกล่วงไปอีกด้วย”

เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้
ทั้งหมดก็พากันไปหาหลวงพ่อโตกุซัน เจ้าอาวาส ท่านอาจารย์ผู้เฒ่านิ่งฟังการชี้แจงของแต่ละราย ด้วยความกรุณาและเห็นใจเป็นที่สุด
ท่านได้แต่จ้องหน้าตั้งใจฟังคนนั้นที คนนี้ที

ภิกษุรูปแรกชี้แจงว่า “ผมก็มีอายุมากแล้ว มาบวชเรียนในพุทธศาสนานี้ก็เพื่อทำความดี แม้แต่ความดีน้อยหนึ่งก็หมั่นประกอบกระทำทั้งกลางวันกลางคืน ย่อมจะเต็มได้เหมือนหยาดน้ำทีละหยด ก็อาจเต็มตุ่มได้ อย่างนี้จะว่าเป็นโทษบาปได้อย่างไรครับ หลวงพ่อ”

ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า “ถูก ถูก ถูกแล้ว”

ภิกษุรูปที่สอง ชี้แจงว่า “ถ้าว่าโดยเจตนากันแล้ว หากมีคนใดไปเหยียบหอยทาก เวลาเดินไปสวดมนต์ตอนมืดๆ นั่นก็มิใช่เจตนาฆ่า เมื่อไม่มีเจตนา ก็มิใช่เป็นกรรมอันใด ผลยังทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนกับหอยทากอันเป็นสัตว์ทำลายพืชผล ทั้งคนในวัดยังปลอดภัยจากโรคที่มันเป็นพาหะอีกด้วย เป็นผลดีทั้งตัวเองและผู้อื่น มิใช่หรือครับหลวงพ่อ”

ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า “ถูก ถูก ถูกแล้ว”

ภิกษุรูปที่สาม ชี้แจงว่า “การบำเพ็ญธรรมให้ความปลอดภัยแก่คนส่วนใหญ่ โดยมีใครคนใดคนหนึ่งเสียสละ รับเป็นภาระไปเสีย เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกๆ คนเขาได้ประกอบกระทำความหลุดรอดไปตามทางของเขา ตลอดถึงสัตว์ใดๆ แม้จะอยู่ในร่างที่ต่ำต้อย ธรรมชาติแห่งความตรัสรู้ก็มิได้น้อยไปหรือมากขึ้น เพียงปัญญาญาณโพลงวาบเดียว ผลกรรมใดๆ แม้มากน้อยเท่าใด ย่อมถูกยกเลิกเสียหมดสิ้น ดูแต่มหาโจรใจร้าย บาปกรรมเกรอะกรังก็ยังเปลื้องกรรมอันอนันต์นั้นได้เพียงชั่วอึดใจเดียว อย่างนี้จะมิเป็นการถูกต้องหรือครับหลวงพ่อ”

ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า “ถูก ถูก ถูกแล้ว”

ขณะนั้น สามเณรอุปัฏฐาก กำลังนั่งพัดอยู่ข้างหลังอาจารย์ผู้เฒ่า ได้ฟังเขาชี้แจงทีละคนๆ และหลวงพ่อก็ยอมรับว่า แต่ละรายล้วนถูก ถูก ถูก
เณรอดทนฟังต่อไปไม่ได้ ก็เอ่ยขัดขึ้น เพื่อขอโอกาสแสดงความคิดเห็น

หลวงพ่อโตกุซัน ทราบดังนั้นก็เหลียวหมุนตัวมาฟังอย่างตั้งใจสามเณรอีกรายหนึ่ง….

สามเณรน้อยติงว่า “หลวงพ่อได้แต่ร้องว่า ถูก ถูก ถูก มันจะมีถูกกันไปหมดทุกฝ่ายได้อย่างไร ถ้ามีอันใดถูก อันอื่นก็ต้องผิดซิหลวงพ่อ”

ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจอีกว่า “อ๊ะ ! เธอนี่ก็ ถูก ถูก ถูกแล้ว”

:b1: :b12: :b32: :b32: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 17:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถูก...ถูก....ถูก.... :b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 17:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 22:35
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


คนหนึ่ง... หลวงพ่อด่าเรา...ไม่มาอีกแล้ว

อีกคน.... ใช่...ใช่...อุ้ยยยย....มันถูกกิเลสจริง ๆ หลวงพ่อ

ฮิ...ฮิ...ฮิ...

แล้วความรู้สึกของใครถูก...

หลวงพ่อด่า...รึ....หลวงพ่อเทศน์

ใครได้ประโยชน์....ใครไม่ได้อะไร จากคุณกบนอกกะลา


สำหรับผม ผมคิดว่าจะหลวงพ่อด่า รึว่า หลวงพ่อเทศน์ ควรจะวางทั้ง 2 อย่างครับเพราะ หลวงพ่อท่านว่าตัวตนว่ากิเลส เราก็ไม่ควรเอาตัวตนตัวเองไปรับคำว่านั้น ก็คือวางตัวตนเป๋นผู้ถูกว่า หรือจะคิดว่าหลวงพ่อเทศน์จี้กิเลสในใจเรา สุดท้ายก็ต้องวางหมดอยู่ดี ขอบคุณครับ …..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 18:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถูก....ถูก....ถูก....

ขอเลียนแบบหลวงพ่อถูก....หน่อย :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 18:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผม ผมคิดว่าจะหลวงพ่อด่า รึว่า หลวงพ่อเทศน์ ควรจะวางทั้ง 2 อย่างครับเพราะ หลวงพ่อท่านว่าตัวตนว่ากิเลส เราก็ไม่ควรเอาตัวตนตัวเองไปรับคำว่านั้น ก็คือวางตัวตนเป๋นผู้ถูกว่า หรือจะคิดว่าหลวงพ่อเทศน์จี้กิเลสในใจเรา สุดท้ายก็ต้องวางหมดอยู่ดี

ใช่ เป็นทัศนะที่เราเองก็มักได้ยินได้ฟัง
และก็เป็นทัศนะที่ส่งผลอย่างชัดเจน

แต่มันก็คาบเกี่ยวกันกับความหลงสำคัญตนเอง แบบฉันไม่เอาฉันไม่แคร์อะไร อยู่เหมือนกัน
มันกลายไม่ใช่การละวางอะไร แต่เป็นการไปถือนิสัย ฉันไม่แคร์อะไร ไปน่ะ

คือ :b1: เป็นสิ่งที่เราก็เคยคิด และปฏิบัติ น่ะ
ต้องกลับมารื้อทบทวนสิ่งที่เป็นอยู่พอสมควร
ว่า เราละวางธรรมได้จริง ละวางตัวตนได้จริง
หรือว่า เราไปหลงยึดติดทิฐิในอีกตัวตนหนึ่ง แทนอีกตัวตนหนึ่งกันแน่

:b1:

พอดีเป็นคนที่ได้มีการทำสมาธิอยู่บ้าง
ทำให้เราได้มี สภาวะความสงบในปัจจัยหลาย ๆ รูปแบบไว้คอยเปรียบเทียบ น่ะ

และพระธรรมของพระพุทธองค์มีแง่มุมให้ผู้ปฏิบัติได้นำมาใช้ในการตรวจสอบตน

:b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 09 ก.พ. 2012, 18:21, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิทานเซ็น

“พระผู้เฒ่ากับคนแบกของ”

พระเซนชรารูปหนึ่งในประเทศจีนซึ่งปฏิบัติภาวนาอยู่นานหลายปี ท่านมีจิตดีและกลายเป็นคนสงบเงียบมาก แต่ก็ยังไม่เคยสัมผัสการสิ้นสุดแห่ง "ฉัน" และ "ผู้อื่น" ภายในใจได้อย่างแท้จริง ท่านไม่เคยบรรลุถึงต้นธารความนิ่งหรือศานติที่สมบูรณ์ซึ่งเป็นบ่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไปขออนุญาตอาจารย์ว่า "ผมขอออกไปปฏิบัติบนเทือกเขาได้ไหมครับ ผมถือบวชและฝึกฝนมานานหลายปี ไม่ต้องการอื่นใดนอกจากการเข้าใจธรรมชาติแท้ของตนเองและโลก"

อาจารย์รู้ว่า จิตของพระรูปนี้สุกงอมแล้วจึงอนุญาตให้ไปได้

ท่านออกจากวัดโดยมีบาตรและบริขารเพียงเล็กน้อยติดตัว ระหว่างทางได้เดินผ่านเมืองต่าง ๆ หลายเมือง ครั้นออกจากหมู่บ้านสุดท้ายก่อนขึ้นเขา


ปรากฏว่ามีชายชราคนหนึ่ง เดินสวนทางลงมา ชายคนนั้นมีห่อใหญ่มากเป้ติดหลังมาด้วย (ชายชราผู้นี้แท้จริงแล้วคือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ซึ่งพุทธศาสนิกชาวจีนเชื่อกันว่าจะมาปรากฏแก่คนที่มีจิตสุกงอมในจังหวะที่เขาจะบรรลุธรรม ภาพของพระมัญชุศรีที่มีการบรรยายไว้มาก มักเป็นภาพพระองค์ถือดาบแห่งปรีชาญาณคมกริบที่สามารถตัดความยึดมั่น มายาคติ และความรู้สึกแบ่งแยกได้หมดสิ้น)
ชายชราเอ่ยทักพระว่า "สหาย ท่านกำลังจะไปไหนหรือ"

พระจึงเล่าเรื่องของตนว่า "เราปฏิบัติมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องการคือการได้สัมผัสจุดศูนย์กลางนั้น คือการรู้สิ่งที่เป็นแก่นแท้แห่งชีวิต บอกเราเถิดผู้เฒ่า ท่านทราบอะไรเกี่ยวกับความรู้แจ้งนี้บ้างไหม"

จังหวะนั้นชายชราเพียงแต่ปลดของที่แบกมาปล่อยให้หล่นลงพื้น แล้วพระก็บรรลุธรรมตามแบบฉบับนิทานเซนที่ดี

ความหมายก็คือ เราต้องรู้จักปล่อยวางความทะเยอทะยานและสิ่งที่ยึดมั่นว่า เป็นภารกิจ ปล่อยวางอดีต อนาคต อัตลักษณ์ ความกลัว ทัศนคติ ความรู้สึกแห่งความเป็น "ตัวฉัน" และ "ของฉัน" เสียให้สิ้น

มาถึงจุดนี้ พระเพิ่งบรรลุธรรมมองชายชราอย่างสับสนเล็กน้อยว่า ควรทำอย่างไรต่อไป ท่านถามว่า "แล้วต่อไปล่ะ"

ชายชรายิ้มก่อนก้มลงหยิบห่อของมาเป้ใส่หลังอีกครั้ง แล้วเดินเข้าเมืองไป


การจะวางแอกหนักลงได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องรับรู้ทุกอย่างที่แบกอยู่ กล่าวคือ เราต้องเห็นความทุกข์โศกของตนเอง เห็นความยึดมั่นและความเจ็บปวด เห็นความที่เราทั้งหลายต่างก็อยู่ในวังวนนี้ และยอมรับการเกิดและการตาย หากเราไม่เผชิญหน้า ถ้าเรากลัวตาย กลัวการยอมละวางและไม่อยากมอง เราไม่อาจเปลื้องความทุกข์โศกไปได้ มีแต่จะผลักไสมันแล้วก็หวนมายึดจับกลับไปกลับมาอยู่เท่านั้นเอง

เราจะปลงภาระได้ก็ต่อเมื่อได้เห็นธรรมชาติของชีวิตอย่างตรงไปตรงมาแล้วเท่านั้น ครั้นแล้วด้วยปัญญากรุณา เราก็สามารถหยิบมันขึ้นมาใหม่

เมื่อปล่อยวางแล้ว เราย่อมกระทำการต่าง ๆ ในโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือกระทั่งอย่างน่าทึ่ง โดยไม่รู้สึกขมขื่นหรือเกิดความสำคัญตนแต่อย่างใด

http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-zen-66.htm

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระแสแห่งธรรมยังเลื่อนไหล ข้าพเจ้าขอพากเพียรต่อไป จนได้พักผ่อนนิรันดร์

:b41: :b42:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แก้ไขล่าสุดโดย ขณะจิต เมื่อ 09 ก.พ. 2012, 19:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 19:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์..ของเรา...คือทุกข์ที่อยู่ตรงหน้าเรานี้

เราจะก้าวข้ามผ่านพ้นไปอย่างไร...หากตาเฝ้ามองแต่สิ่งที่อยู่ไกลโพ้น...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 23:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
แล้ว..คุณเกรียง...สิท...ราชภัฏราชนครินทร์ ...คิดว่า...ที่ควร...ควรทำอย่างไรดีละครับ... จากคุณกบนอกกะลา


ผมขอแสดงความคิดเห็นตรงจุดนี้นะครับ
ตามความคิดเห็นของผมนั้นเห็นว่า การจะไปถึงจุดสูงสุดแห่งการหลุดพ้นหรือบรรลุธรรมได้ ควรจะพิจรณาตรงจุดนั้นให้ละเอียดถี่ถ้วนซะก่อน ว่าคุณสมบัติของบุคคลผู้บรรลุนั้นเป็นเช่นไร พระอรหันต์ตามที่ได้ศึกษามานั้นคือผู้ที่ละวางความเป็นตัวเป็นตนความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างหมดจด ปล่อยวางจากทุกสิ่ง หมดความเป็น เรา เป็น ตัวเป็นตนจากทุกสรรพสิ่ง ดังนี้แล้วเมื่อเราจะเดินตามรอยท่าน ในความคิดเห็นผมคิดว่าเราควรฝึก ปล่อยวางจิตและสภาวะธรรม วางตันหา ความอยากได้อยากมี ความยึดมั่นถือมั่น ทีละเล็กทีละน้อยจนขอบเขตการปล่อยวางกว้างขึ้นและเต็มรอบ จนในที่สุดก็ปล่อยวางความเป็นเราเป็นเป็นตนได้อย่างสิ้นเชิง อุปมาดั่ง เริ่มนับถอยหลังจาก 100 จนถึง 0 เริ่มต้นเราอาจมีความเป็นตัวเป็นตนในใจมีค่าเท่ากับ 100 แต่ปล่อยวางไปเรื่อยๆ จาก 100 ก็ยังลดลงไปเรื่อยๆได้ แต่การที่ไปฝึกเน้นวิธีแต่แรกเริ่มผมขอแสดงความคิดเห็นตรงจุดนี้ว่า การฝึกเข้าไปควบคุมจิตนั้นฝึกสติเจริญสมาธินั้นเปรียบเสมือนดั่ง เริ่มนับตั้งแต่ 1 , 2, 3ไปเรื่อยๆจน ผมคิดว่าเมื่อเป็นอย่างนั้นจะมีวันไปถึงปลายทางคือความว่างไร้ตัวไร้ตน หรือความเป็น 0 ได้จริงหรือครับเพราะแค่เริ่มก็ฝึกเข้าไปติดในวิธีการซะแล้วน่ะครับ ผมต้องขอโทษณที่นี้ด้วยครับที่ความคิดผมอาจจะสวนกระแสของผู้รอบรู้ธรรมคนอื่นๆ แต่ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันเฉยๆนะครับ ไม่ได้จะมาแสดงความขัดแย้งแต่ประการใดครับ

**สวัสดีครับพี่ kreangsit_rru :b8:
ผมขออนุญาตแลกเปลี่ยนธรรมกับพี่สักหน่อยนะครับ...พระอรหันต์หรือนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายนั้นท่านเหล่านั้นไม่ได้ปล่อยวางเพราะฝึกการปล่อยวาง หากแต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นท่านฝึกการเข้าถึงความจริงด้วยสติปัญญา ซึ่งมีฐานจากองค์สมาธิ มีศีลเป็นเครื่องหนุนสมาธิอีกที และเมื่อท่านได้เข้าถึงความจริงและเห็นความจริงอันใด ความปล่อยวางในสิ่งนั้นมันก็เป็นปริยายคือเกิดขึ้นเองเป็นขึ้นมาเองครับ เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์ตลอดจนพระอริยะสาวกและครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงมุ่งสอนที่การเจริญใน ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก
**อุปมาเหมือนการสอนทำต้มยำถ้าจะสอนจะบอกที่ปลายทางคือรสชาติของต้มยำว่าเปรี้ยวแบบนั้นเค็มนิดๆอย่างนั้นกลมกล่อมเข้มข้นขนาดไหน ผู้เรียนย่อมไม่มีทางที่จะรู้จริงเป็นแน่แถมยังยิ่งสงสัยมากขึ้น แต่ถ้าเราสอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานคือวัตถุดิบที่ต้องใช้ เครื่องปรุงที่ต้องใช้ เครื่องครัวภาชนะที่ต้องใช้ ขึ้นตอนการทำ 1..2..3..จนเสร็จสมบูรณ์ เราก็จะได้เห็นหน้าตาของต้มยำ พอกินก็เข้าถึงรสชาติของต้มยำเอง โดยที่ผู้สอนไม่จำเป็นต้องสอนถึงหน้าตาและรสชาติต้มยำให้เราเลยฉันใด....ธรรมที่พระพุทธเจ้าและครูบาอจารย์ทั้งหลายสั่งสอนเพื่อการละและปล่อยวางก็ฉันนั้นครับ
**หวังว่าคำตอบนี้จะลงใจของพี่ไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตไม่หยุดก็ไม่หลุด
มัวแต่ลอยไปลอยมา คิดฟุ้งซ่านก็เข้าใจว่าเป็นวิปัสสนา(เป็นกันเยอะ) :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
ช่วยอธิบายผมทีครับแต่กรุณาอย่ายกหนังสือหรือพระไตรปิฎกมาอธิบายนะครับ ผมเชื่อในพระพุทธเจ้าว่าท่านสอนให้คนบรรลุได้จริง แต่คำสั่งสอนของท่านก็ทุกแก้ไขปรับปรุงมาหลายครั้งแล้ว ก็อาจจะมีผิดพลาดกันได้ วอนผู้รู้จริงมีสภาวะปฏิบัติได้จริงช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณครับ_

คุณเกรียงครับ พระไตรปิฎกเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุดในพุทธศาสนานะครับ
หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ก็มีพระธรรมหรือพระไตรปิฎกนี่แหล่ะ
ที่ใช้เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า

การที่มีคนบอกว่าพระไตรปิฎกผิดพลาดไม่น่าเชื่อถือ มันมีสาเหตุจาก
ผู้ที่อ่านยังไม่มีปัญญาหรืออาจกล่าวว่ายัมีกิเลสที่เรียกว่า วิจิกิจฉาอยู่
จึงทำให้ไม่สามารถอ่านพระไตรปิฎกให้เข้าใจได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ เจ้าสำนักบางท่าน พยายามอธิบายพระธรรม
หรือสอนพระไตรปิฎกไปตามความคิดความอ่านของตัวเอง มันจึงทำให้เกิด
บัญญัติต่างๆขึ้นมากมาย สิ่งนี้แหล่ะทำให้เกิดปัญหาเกิดสับสนในพระธรรม
ของผู้ปฏิบัติครับ
kreangsit_rru เขียน:
คือผมอยากทราบว่า การที่เราปฏิบัติธรรมมันจะเข้าถึงภูมิอรหันต์ได้จริงหรอ ตามที่ได้ศึกษามาการปฏิบัติธรรมมันเป็นคนละอย่างกับการปล่อยวาง ตามที่รู้มาคือพระอรหันต์ผู้บรรลุธรรมย่อมปล่อยวางไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง ไม่มีตัวตน ว่างจากทุกสิ่ง แต่การปฏิบัติธรรมมันคือให้เราไปติดในวิธีแต่แรกเริ่ม แล้วเราจะไปถึงจุดสุดท้ายคือบรรลุธรรมได้หรอครับ เพราะมันก็ไม่วางวิธีปฏิบัติสักทีสิครับ
วอนผู้รู้จริงมีสภาวะปฏิบัติได้จริงช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณครับ_

ที่คุณกำลังมีปัญหากับคำว่า"ปฏิบัติธรรม"ก็เป็นเพราะคุณกำลังไปสร้างอัตตาให้กับมันครับ
กำลังทำให้มันมีตัวมีตนขึ้นมา เลยทำให้เกิดความอยากรู้เกิดความสงสัยขึ้นมา

การปฏิบัติธรรมที่แท้ มันก็ไม่มีอะไรเลิศหรูวิจิตรอลังการ ไม่มีสถานะ
ไม่เลือกสถานที่ สิ่งสำคัญที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรมก็คือการรู้กายและใจของตนเอง
สิ่งที่พวกเรากำลังค้นหามันก็อยู่ที่กายใจของตน

กายใจอริยบุคคลเป็นอย่างไร กายใจของปุถุชนก็เป็นอย่างนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันก็คือ
คนหนึ่งรู้ แต่อีกคนไม่รู้

เปรียบกับการดูหนังดูละคร บางครั้งเราเกิดไปอินเอาตัว
ละครบางตัวมาเป็นเรา สิ่งนี้แหล่ะที่เรียกว่าความยึดมั่นหรือไม่รู้ แต่เมื่อเรารู้สึกว่า
ตัวละครตัวนั้นไม่ใช่เราจริง นั้นแหล่ะจึงเรียกว่ารู้แล้ว


กายใจเราก็เหมือนกันต้องดูให้มันเป็นตัวละคร
บางครั้งกายใจทำกุศลหรือบางครั้งพลาดพลั้งไปทำอกุศล
ก็ต้องเข้าใจว่า มันเป็นแค่ตัวละครที่เล่นไปตามบท
ต้องให้กายใจเราจบไปพร้อมกับละครด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 04:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
ผมเห็นด้วยกับคุณ ที่ว่ากะบวนการในการปฏิบัติธรรม เป็นกระบวนการในการถอดถอนการปรุงเเต่งในสิ่งต่างๆ ที่จะมากระทบเรา
แต่ผมกำลังสงสัยว่าในหลายๆสำนักนั้นสอนในวิธีการต่างๆกัน บางสำนักก็สอนเรื่องการเจริญสติในการควบคุมอารมณ์ บางสำนักก็สอนให้บริกรรมพุธโธ แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นการฝึกเข้าไปควบคุมสภาวะธรรมทั้งนั้นมิใช่หรือครับ แค่เริ่มต้นก็ฝึกเข้าไปควบคุมสภาวะธรรมซะแล้ว แล้วปลายทางจะไปปล่อยวางได้อย่างไร อุปมาเหมือน คนที่อยากเรียนเก่งต้องสร้างเหตุมาดีคือขยันเรียนมากๆ ผลคือเรียนหนังสือเก่ง แต่วิธีส่วนใหญ่ที่เห็นคือปลายทางปล่อยวางแต่เราเริ่มฝึกจากการเข้าไปควบคุมสิ่งต่างๆนี่ครับ ไม่ได้ฝึกฝนในการปล่อยวางแต่แรกแล้วสุดท้ายเราจะปล่อยวางตัวตนได้จริงๆหรือครับ

ที่คุณเกิดความสงสัยเป็นเพราะ เกิดจากต่างคนต่างสอนถูกบ้างผิดบ้างไม่สนใจ
หรือไม่ก็ คุณคิดไม่เหมือนคนอื่น หรือคนอื่นคิดไม่เหมือนคุณ

ส่วนเรื่องที่คุณสงสัยมันก็เหมือนกับการอุปมาของคุณ ที่ว่าอยากเรียนเก่ง
ต้องขยันเรียนมากๆ การขยันเรียนมันก็คือการรู้ในสิ่งต่างๆที่กำหนดไว้ตามหลักสูตร
การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน มันต้องเรียนรู้ก่อนว่า สภาวะธรรมที่เกิดจากกายใจเรา
มันมีอะไรบ้าง โลภ โกรธหลงมันเป็นอย่างไร กุศลและอกุศลต่างกันอย่างไร
สภาวะธรรมอะไรจะเกิดต้องปล่อย แต่ที่สำคัญต้องรู้ คำว่ารู้มันมีสองสภาวะครับ
คือรู้สึกและระลึกรู้(สติ)

มันเป็นความเข้าใจผิดของคุณครับว่า การเจริญสติ เป็นการควบคุมอารมณ์
แท้จริงแล้วการเจริญสติเป็นการตามระลึกรู้อารมณ์หรือผัสสะที่เปลี่ยนไปทุกขณะ
ส่วนความหมายของการควบคุมอารมณ์ มันคือการบังคับอารมณ์หรือผัสสะให้อยู่ใน
อารมณ์หรือผัสสะนั้นเพียงผัสสะเดียว ไม่ยอมรับรู้ผัสสะอื่นครับ


อนึ่งต้องเข้าใจนะครับว่า การปล่อยอารมณ์ การควบคุมอารมณ์
และการเจริญสติ มันมีความหมายหรือคุณสมบัติในตัวมันนะครับ
การปล่อยอารมณ์มีสองนัยยะครับ คือปล่อยแบบไม่ควบคุม แต่มีสติ
กับการปล่อยแบบไม่ควบคุมไม่มีสติ แบบนี้เรียกว่าหลง รู้ผัสสะแล้วหลง
ไปกับผัสสะนั้นครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร