วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 05:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 22:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
ฝากข้อธรรมให้คุณโฮฮับอ่านซ้ำอีกหลายๆรอบครับ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

๒. อลคัททูปมสูตร
ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยอสรพิษ


บุรุษเปล่าเรียนธรรม

[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษเปล่า บางพวกในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ บุรุษเปล่าเหล่านั้น เล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้น ย่อมไม่ควรซึ่งการเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น ผู้ไม่ไตร่ตรองเนื้อความด้วยปัญญา บุรุษเปล่าเหล่านั้นเป็นผู้มีความข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ และมีการเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ ย่อมเล่าเรียนธรรม ก็กุลบุตรทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด บุรุษเปล่าเหล่านั้น ย่อมไม่ได้เสวยประโยชน์นั้นแห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้น อันบุรุษเปล่าเหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร เพราะธรรมทั้งหลายอันตนเรียนไม่ดีแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษ เสาะหางูพิษ เที่ยวแสวงหางูพิษเขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษนั้นที่ขนดหรือที่หาง งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขาที่ข้อมือ ที่แขน หรือที่อวัยวะใหญ่น้อยแห่งใดแห่งหนึ่งเขาพึงถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีการกัดนั้นเป็นเหตุ ข้อนั้นเป็นเหตุเพราะอะไร เพราะงูพิษตนจับไม่ดีแล้ว แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกบุรุษเปล่า บางพวกในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ... อัพภูตธรรม เวทัลละ บุรุษเปล่าเหล่านั้น เล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้น ย่อมไม่ควรซึ่ง การเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น ผู้ไม่ไตร่ตรองเนื้อความด้วยปัญญา บุรุษเปล่าเหล่านั้นเป็นผู้มีการข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ และมีการเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ ย่อมเล่าเรียนธรรม ก็กุลบุตรทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด บุรุษเปล่าเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวยประโยชน์นั้นแห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้น อันบุรุษเปล่าเหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะธรรมทั้งหลาย อันตนเรียนไม่ดีแล้ว.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 443&Z=4845


เรื่องพระโปฐิลเถระ


รู้มากแต่เอาตัวไม่รอด

ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป. พระศาสดาทรงดำริว่า "ภิกษุนี้ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า "เราจักทำการสลัดออกจากทุกข์แก่ตน เราจักยังเธอให้สังเวช."
จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระเถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า "มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็ตรัสว่า "คุณใบลานเปล่าไปแล้ว."
พระโปฐิละนั้นคิดว่า "เราย่อมทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ถึง ๑๘ คณะใหญ่ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนืองๆ ว่า "คุณใบลานเปล่า" พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มีคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้."
ท่านมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดว่า "บัดนี้ เราจักเข้าไปสู่ป่าแล้วทำสมณธรรม" จัดแจงบาตรและจีวรเองทีเดียว ได้ออกไปพร้อมด้วยภิกษุผู้เรียนธรรม แล้วออกไปภายหลังภิกษุทั้งหมดในเวลาใกล้รุ่ง. พวกภิกษุนั่งสาธยายอยู่ในบริเวณ ไม่ได้กำหนดท่านว่า "อาจารย์." พระเถระไปสิ้น ๑๒๐ โยชน์แล้ว, เข้าไปหาภิกษุ ๓๐ รูป ผู้อยู่ในอาวาสราวป่าแห่งหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้ว กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม."
พระสังฆเถระ. "ผู้มีอายุ ท่านเป็นพระธรรมกถึก สิ่งอะไรชื่อว่าอันพวกเราพึงทราบได้ ก็เพราะอาศัยท่าน, เหตุไฉน ท่านจึงพูดอย่างนี้?"
พระโปฐิละ. ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอย่าทำอย่างนี้ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม.

วิธีขจัดมานะของพระโปฐิละ
ก็พระเถระเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งนั้น. ลำดับนั้น พระมหาเถระส่งพระโปฐิละนั้นไปสู่สำนักพระอนุเถระ ด้วยคิดว่า "ภิกษุนี้มีมานะ เพราะอาศัยการเรียนแท้." แม้พระอนุเถระนั้นก็กล่าวกะพระโปฐิละนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน. ถึงพระเถระทั้งหมด เมื่อส่งท่านไปโดยทำนองนี้ ก็ส่งไปสู่สำนักของสามเณรผู้มีอายุ ๗ ขวบผู้ใหม่กว่าสามเณรทั้งหมด ซึ่งนั่งทำกรรมคือการเย็บผ้าอยู่ในที่พักกลางวัน. พระเถระทั้งหลายนำมานะของท่านออกได้ด้วยอุบายอย่างนี้.

พระโปฐิละหมดมานะ
พระโปฐิละนั้นมีมานะอันพระเถระทั้งหลายนำออกแล้ว จึงประคองอัญชลีในสำนักของสามเณรแล้วกล่าวว่า "ท่านสัตบุรุษ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผม."
สามเณร. ตายจริง ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรนั่น ท่านเป็นคนแก่ เป็นพหูสูต เหตุอะไรๆ พึงเป็นกิจอันผมควรรู้ในสำนักของท่าน
พระโปฐิละ. ท่านสัตบุรุษ ท่านอย่าทำอย่างนี้ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผมให้ได้.
สามเณร. ท่านขอรับ หากท่านจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้ไซร้ ผมจักเป็นที่พึ่งของท่าน.
พระโปฐิละ. ผมเป็นได้ ท่านสัตบุรุษ, เมื่อท่านกล่าวว่า "จงเข้าไปสู่ไฟ" ผมจักเข้าไปแม้สู่ไฟได้ทีเดียว.

พระโปฐิละปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสามเณร
ลำดับนั้น สามเณรจึงแสดงสระๆ หนึ่งในที่ไม่ไกล แล้วกล่าวกะท่านว่า "ท่านขอรับ ท่านนุ่งห่มตามเดิมนั่นแหละ จงลงไปสู่สระนี้."
จริงอยู่ สามเณรนั้น แม้รู้ความที่จีวรสองชั้นซึ่งมีราคามาก อันพระเถระนั้นนุ่งห่มแล้ว เมื่อจะทดลองว่า "พระเถระจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้หรือไม่" จึงกล่าวอย่างนั้น.
แม้พระเถระก็ลงไปด้วยคำๆ เดียวเท่านั้น.
ลำดับนั้น ในเวลาที่ชายจีวรเปียก สามเณรจึงกล่าวกะท่านว่า "มาเถิด ท่านขอรับ" แล้วกล่าวกะท่านผู้มายืนอยู่ด้วยคำๆ เดียวเท่านั้นว่า "ท่านผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง, ในช่องเหล่านั้น เหี้ยเข้าไปภายในโดยช่องๆ หนึ่ง บุคคลประสงค์จะจับมัน จึงอุดช่องทั้ง ๕ นอกนี้ ทำลายช่องที่ ๖ แล้ว จึงจับเอาโดยช่องที่มันเข้าไปนั่นเอง, บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ อย่างนั้นแล้ว จงเริ่มตั้งกรรม นี้ไว้ในมโนทวาร."
ด้วยนัยมีประมาณเท่านี้ ความแจ่มแจ้งได้มีแก่ภิกษุผู้เป็นพหูสูต ดุจการลุกโพลงขึ้นแห่งดวงประทีปฉะนั้น.
พระโปฐิละนั้นกล่าวว่า "ท่านสัตบุรุษ คำมีประมาณเท่านี้แหละพอละ" แล้วจึงหยั่งลงในกรชกาย ปรารภสมณธรรม.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=30&p=5


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2012, 03:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ที่ยกมาข้างบนนี้คือความติดยึดอย่างแน่นหนาของคุณโฮฮับ เพราะจะไปแสดงความเห็นที่ไหนก็จะยกบทนี้และมหาจัตตารีสูตรมาอ้างรับรองว่าความเห็นของตนเองนั้นถูกต้อง

ประเด็นมันอยู่ที่มรรคหรือมีองค์แปด มันก็ต้องยกเอามหาจัตตารีฯมาอ้างซิครับ
เพราะเป็นเรื่องเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าคุณจะตีโพยตีพายทำไม มันเป็นคุณเองที่ถามหาธรรม
กล่าวหาคนอื่นกล่าวนอกธรรม พอคนอื่นเอาธรรมมาเทียบเคียง ก็ว่าเขายึดติดบัญญัติยึด
ติดธรรม ถามหน่อยคุณจะเอายังไงกันแน่ครับ อย่าทำเป็นไม้หลักปักขี้เลนซิครับ
asoka เขียน:
asoka จึงกล่าวว่าความยึดติดในความเห็นอย่างนี้เป็นความเห็นผิด มิจฉาทิฐิ พยายามที่จะขัดโดยวิธีการต่างๆเพื่อให้คุณโฮฮับได้สติและสัมปชัญญะกลับคืนมาจะได้กลับมาสู่ความเป็นคนธรรมดาสามัญติดดินกินข้าวราดแกงเหมือนผู้คนทั้งหลายแต่ก็ยากเย็นแสนเข็ญ จึงต้องทั้งคาะและขัดกันอย่างแรงๆไปบ้าง คุณโฮฮับทราบหรือเปล่าว่าคำว่าขัด โดยบัญญัติแปลว่า ขวาง แต่โดยปรมัตถ์นั้นแปลว่า "ทำให้ขาวสะอาดเงางาม"
ดังนั้นการที่ผมขัดคุณก็ด้วยปารถนาดีอยากจะให้คุณขาวและเงางามขึ้นจากความเห็นผิดยึดผิด

ในล่ะธรรม ผมว่าคุณกำลังนอกเรื่องนะครับ
คุณโสกะรู้ตัวมั้ยว่ากำลังระบายความขัดเคืองอารมณ์อยู่
คุณถามหาพระธรรมเอง พอเวลาผมยกเอามาให้ดู คุณหมดหนทาง
ก็ไปน้ำขุ่นๆว่า ผมยึดตัวหนังสือในพระสูตร งอแงเป็นเด็กเลยนะครับ
ทั้งหมดรวมความแล้ว ที่คุณทำเหมือนไม้หลักปักขี้เลน เป็นเพราะคุณไม่มี
ความรู้ในพระไตรปิฎกไม่สามารถอ่านพระไตรปิฎกให้เข้าใจได้ ก็เลยอ้างโน้นนี่
ดูได้จากตอนแรกถามหาพระธรรม พอเขาเอามาให้ดู ก็อ้างบุคคลที่สาม
พยายามเรียกร้องให้เขาเข้ามาตีความในพระธรรม สุดท้ายจนแต้มไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
กล่าวหาว่าผมยึดมั่นถือมั่นพระธรรม คุณโสกะคุณจะเอาอย่างไรกันแน่ครับ

asoka เขียน:

กำลังทำผิดพุทธวัจจนะในเรื่องอื่นๆ
พุทธวัจจนะที่ส้้นและเข้าใจง่ายอย่างเช่น "สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" แปลว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ข้อนี้คุณโฮฮับได้เอามาใส่ใจใคร่ครวญหรือประพฤติปฏิบัติบ้างไหม?[/color]

ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นนะใช่ แต่มันต้องรู้เสียก่อน
การไม่ยึดมั่นคือการรู้และละมันเสีย

แบบคุณมันไม่รู้ธรรมว่าเป็นอย่างไร ปากก็บอกไม่ควรยึดมั่น
แต่ไม่ยึดมั่นอะไรก็ไม่รู้
เรื่องทุกข์เรื่องเหตุแห่งทุกข์พระพุทธองค์ ยังตรัสว่าให้รู้และละมันเสีย
คุณโสกะสิ่งที่คุณพูดมามันเป็นอวิชา ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ
asoka เขียน:
"อีกข้อหนึ่งก็คือพุทธดำรัสเรื่อง กาลามสูตร คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังทำผิดหลักกาลามสูตร เพราะคุณไปเชื่อตัวหนังสือในมหาจัตตารีสูตรแล้วยึดติดแน่น พระพุทธบิดาทรงสอนมิให้สาวกเชื่ออะไรโดยง่ายแต่ทรงสอนให้พิสูจน์จนเห็นจริงแล้วจึงค่อยเชื่อ แล้วคุณโฮฮับได้พิสูจน์ตามตัวหนังสือที่แปลมหาจัตตารีสูตรมาดีแล้วหรือยังจึงได้เชื่อเป็นตุเป็นตะอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ คุณรู้ไหมว่าการผูกยึดในความเห็นเป็นเครื่องบอกชี้ถึงพฤติกรรมของบุคคล ดังพฤติกรรมของคุณโฮฮับที่ทำอยู่ทุกวันนี

คุณนี่มันพูดเป็น ตาลปัตรกลับข้างนะครับ
คุณเองนั้นแหล่ะกำลังทำผิดทั้งหลักกาลามสูตรและหลักการปฏิบัติ

ปุถุชนท่านให้ทำทาน ถือศีลและมั่นภาวนา(การมีสติอยู่กับความไม่ประมาท)
นี่แหล่ะเป็นทางได้มาแห่งสัมมาทิฐิ จึงค่อยปฏิบัติในขั้นของอริยะ

แต่คุณเห็นเรื่องมรรคมีองค์แปด ก็ไม่พิจารณาตามหลักกาลามสูตร
ฉันจะปฏิบัติมรรคมีองค์แปด ทั้งๆที่ไม่มีความเข้าใจเลยว่ามันเป็นอย่างไร
คืออะไร มีปากก็พูดไปเรื่อย มรรคมีองค์แปดๆๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2012, 03:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
คุณโฮฮับทราบไหมว่าasoka ก็ยึดธรรมเหมือนกันแต่ไม่ยึดแน่นโดยไร้สัมปชัญญะอย่างคุณโฮฮับ asoka ยึดเพื่อพิสูจน์ว่าจริงไหม?ตามพุทธดำรัสและก็ได้พิสูจน์แล้วว่า มรรคมีองค์แปดนั้นพระพุทธองค์ทรงดำรัสตรัสสอนไว้ให้เป็นธรรมอันเอกเป็นเครื่องมืออันวิเศษที่สัตว์โลกผู้นำไปเจริญจะได้พัฒนาตนจากความเป็นปุถุชนขึ้นสู่ความเป็นอริยชนตามลำดับแห่งธรรมและasokaก็ได้รับผลจากการเจริญมรรคมีองค์ 8 นี้เพิ่มขึ้นๆทุกเมื่อเชื่อวัน
ข้อธรรมอันไหนหรือที่asokaยึดขึ้นมาพิสูจน์ ก็เป็นพุทธดำรัสที่ทรงตรัสไว้เป็นอมตะวาจา เป็นหลักฐานสำคัญที่จะแสดงถึงความมั่นคงดำรงอยู่่ของพระพุทธศาสนาคือคำว่า

คุณนี่เข้าใจอะไรอยากนะครับ คิดอะไรไม่เห็นต้องคิดมากเลย
เรื่องมันง่ายๆทำให้มันยาก ก็แค่เปรียบดู

โรงเรียนมีป1.ถึงป.6 คุณโสกะเพิ่งจะเริ่มเรียนหนังสือ
พอเข้ามาก็จะอยู่ป.6เลยหรือ
ขี่จักรยานยังไม่เป็นจะขี่มอเตอร์ไซด์เสียแล้ว
asoka เขียน:
"สัมมาวิหาเรยุง อสุญโญโลโก อรหันเตหิ" แปลความโดยอรรถะว่า หากยังมีผู้ประพฤติปฎิบัติตามสัมมาทั้ง 8 ข้อ คือ มรรคมีองค์ 8 ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์

ก็คิดง่ายๆตื้นๆแบบนี้ไงครับ มันถึงได้สับสนกับตัวเอง

ถ้าผมกล่าวว่า "ถ้ายังมีผู้ประพฤติปฏิบัติตามบัณฑิตมหาวิทยาลัย
ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากบัณฑิต"
แล้วยังไง ถ้าคุณยังเรียนอยู่ชั้นประถม คุณก็ไปเรียนมหาลัยแทนเลยหรือไง
asoka เขียน:
พุทธวัจจนะข้อนี้คุณโฮฮับเคยเอามาใส่ใจ่พิจารณาและพิสูจน์ดูหรือยังครับถ้ายังต้องรีบพิสูจน์ เพราะจะได้รู้ความจริงว่า มรรคมีองค์ 8 นั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธบิดาทรงประทานให้กับชาวโลกทุกชิวิตจิตวิญญาณ มิใช่เฉพาะพระอริยบุคคล เพราะความในมรรคมีองค์ 8พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบาย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและเข้าใจกันได้ในบุคคลทุกระดับชั้น ไม่เหลือวิสัยที่คนธรรมดาสามัญทั้งหลายจะรู้ เข้าใจและนำไปประพฤติปฎิบัติได้
คลายความเห็นผิดยึดผิดเสียทีนะคุณโฮฮับจะได้กลับมาสู่ปกติธรรมดา

อยากพิสูจน์มั้ยล่ะครับ คุณว่าคุณรู้ ผมถามง่ายๆเลยว่า
สัมมาทิฐิ(โลกุตระเป็นอย่างไรครับ) คุณสามารถยกตัวอย่าง
การใช้สติปัฏฐานกับสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)อย่างไรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2012, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb_resize.jpg
กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb_resize.jpg [ 45.99 KiB | เปิดดู 3697 ครั้ง ]
wink
คำกล่าวของ โฮฮับ
อยากพิสูจน์มั้ยล่ะครับ คุณว่าคุณรู้ ผมถามง่ายๆเลยว่า
สัมมาทิฐิ(โลกุตระเป็นอย่างไรครับ) คุณสามารถยกตัวอย่าง
การใช้สติปัฏฐานกับสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)อย่างไรครับ
:b12:
asoka ตอบ
"สัมมาทิฏฐิเพื่อความพ้นโลก(โลกุตระ)" คือความเห็นถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า นี่ทุกข์ นี่เหตุเกิดทุกข์ นี่ความดับทุกข์ นี่คือทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์ อันได้แก่ความเห็นในอริยสัจ 4 นั่นเอง ที่ลึกละเอียดลงไปกว่านั้นคือ การเห็นชัดในเรื่อง ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ปฏิจจสมุปบาท แลไตรลักษณ์

:b16:
"การใช้สติปัฏฐานกับสัมมาทิฏฐิ" คำนี้น่าจะเปลี่ยนเสียใหม่ว่า "การเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นสัมมาทิฐิหรือไม่"

......การเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นการเจริญสัมมาสติ มรรคข้อที่ 7 เหตุที่เจริญก็เพื่อให้เห็นความจริงและพิสูจน์ความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ในเรื่องสัมมาทิฏฐิดังกล่าวไว้ข้างต้น
การเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้น เป็นการนำเอาสัมมาสติและสัมมาปัญญามาทำงานร่วมกัน พิสูจน์ความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน โดยมีมรรคข้ออื่นๆเป็นตัวสนับสนุนดังบาลีของสติปัฏฐาน 4 ว่า

อาตาปี แปลว่า มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ อันเป็นการเจริญสัมมาวายามะมรรคข้อที่ 6

สัมปฌาโน แปลว่า มีความรู้ตัวทั่วพร้อม อันเป็นองค์ของปัญญามรรค ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ ที่ทำหน้าที่ ดู เห็น รู้ สภาวธรรมที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะปัจจุบันอารมณ์ตามความเป็นจริง

และสัมมาสังกัปปะปัญญามรรคที่ทำหน้าที่ สังเกต พิจารณาสภาวของปัจจุบันธรรมปัจจุบันอารมณ์ที่สติรู้ทันขึ้นมา สังเกตเพื่อค้นหาเหตุหาผลของการเกิดขึ้นและดับไปหรือความจริงของอารมณ์นั้นๆ

สติมา คือตัวสัมมาสติที่ทำหน้าที่ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม

เมื่อสัมมาปัญญาและสัมมาสติร่วมกันทำงาน อยู่ที่ปัจจุบันอารมณ์อยู่อย่างนี้ ปัญญาก็จะได้เห็นความจริงของปัจจุบันอารมณ์ว่ามันเป็น ทุกขัง......อนิจจัง.......อนัตตา หากสติปัญญาไม่ทันอารมณ์ควบคุมไม่อยู่ มันก็จะแลบปรุงไปเป็น เวทนา ยินดียินร้าย คือ อภิชฌาและโทมนัสสัง เป็นจิตตา จิตมีราคะ โทสะ โมหะ เป็นธัมมา มีตัณหา อุปาทานต่างๆเกิดขึ้น


ประเด็นสำคัญของสติปัฏฐานคือ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" คือเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

การจะเอาเวทนาทั้ง 2 อย่างออกได้ก็เป็นเรื่องที่สัมมาสติและสัมมาปัญญาจะสังเกต วิเคราะห์ความจริงของสภาวธรรมที่แสดงอยู่ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์นั้นไปตั้งแต่เกิดจนดับจนเห็นความเกิดขึ้น ดับไป เห็นกลไกการทำงานของอัตตาและตัณหา สติปัญญาพิสูจน์หรือระงับความดิ้นรนตอบโต้ของอัตตาที่ครอง สั่ง บังคับใจ จนได้เห็นความดับไปของความเห็นผิดเป็นอัตตา ได้พบกับสภาวะที่จิตหมดอัตตาไปชั่วคราวเป็น อนัตตา ตัณหาไม่สามารถจะทำการได้ดับไป หรือเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าสติปัญญามีกำลังเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ อัตตาความเห็นผิดก็จะพ่ายแพ้ผอมบางจางไปเรื่อยๆ ในทุกสัมผัสทุกอารมณ์ จนในที่สุดหลบไป หมดไปหรือดับสลายตายไปจากใจ ผู้ปฏิบัติผู้นั้นก็จะได้เข้าถึงสภาวะอนัตตาโดยสมบูรณ์ ด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นอันดับแรกและสูงยิ่งๆขึ้นไป หากยังไม่ละความพียรในการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือ มรรคมีองค์ 8
onion
:b16:
:b11:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2012, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
asoka ตอบ
"สัมมาทิฏฐิเพื่อความพ้นโลก(โลกุตระ)" คือความเห็นถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า นี่ทุกข์ นี่เหตุเกิดทุกข์ นี่ความดับทุกข์ นี่คือทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์ อันได้แก่ความเห็นในอริยสัจ 4 นั่นเอง ที่ลึกละเอียดลงไปกว่านั้นคือ การเห็นชัดในเรื่อง ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ปฏิจจสมุปบาท แลไตรลักษณ์
:b16:

นี่แค่ลิเกพึ่งออกแขก ไอ้ตัวแขกมันก็ร้องเนื้อผิดซะแล้ว :b9:
เนื้อร้องมันร้องว่า " สัมมาทิฐิเกิดจากการที่ จิตไปรู้ถึงสถาวะไตรลักษณ์
สภาวะไตรลักษณ์ คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับกายใจ และความจริงนี้
เป็นเหตุให้เกิดสัมมาทิฐิที่จิต"

เนื้อร้องบทมันเป็นอย่างนี้ นอกเหนือจากนี้ไม่รู้แขกไปเอามาจากไหนครับ
นายโรงไม่เกี้ยวนะนาย อัลเล่วังกา :b13:

asoka เขียน:
"การใช้สติปัฏฐานกับสัมมาทิฏฐิ" คำนี้น่าจะเปลี่ยนเสียใหม่ว่า "การเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นสัมมาทิฐิหรือไม่"

พูดรวบลัดว่า รู้จักโพธิปักขิยธรรม37ประการไหมล่ะ
ไปดูสิว่ามีอะไรบ้าง แล้วก็ค่อยมาทำอะไรที่อ้าย อายแบบนี้นะครับ :b9:

asoka เขียน:
การเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นการเจริญสัมมาสติ มรรคข้อที่ 7 เหตุที่เจริญก็เพื่อให้เห็นความจริงและพิสูจน์ความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ในเรื่องสัมมาทิฏฐิดังกล่าวไว้ข้างต้น

การเจริญสติปัสฐาน คือการเจริญ มรรคข้อที่หนึ่ง คือเจริญ สัมมาทิฐิ
การพิจารณาธรรมในการดับทุกข์ จะต้องใช้ สัมมาทิฐิเป็นประธาน
จึงต้องใช้สติปัสฐานไประลึกรู้ สัมมาทิฐิ สติเมื่อระลึกรู้ สัมมาทิฐิบ่อย
สัมมาทิฐิย่อมเกิดเนืองๆ แบบนี้เรียกว่าเจริญสัมมาทิฐิ
asoka เขียน:
การเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้น เป็นการนำเอาสัมมาสติและสัมมาปัญญามาทำงานร่วมกัน พิสูจน์ความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน โดยมีมรรคข้ออื่นๆเป็นตัวสนับสนุน

คุณโสกะเพื่อให้คุณเลิกสับสนกับบัญญัติ อยากจะให้คุณเข้าใจไว้ครับว่า.
ธรรมตัวใดถ้ากำลังทำหน้าที่เป็นเหตุปัจจัย เขาไม่เรียกตัวเหตุปัจจัยนี้ว่าเจริญ
การเกิดผลที่ได้จากเหตุปัจจัย เขาเรียกตัวผลนั้นว่าเจริญ
การเจริญสติ ต้องอาศัยสัญญาเป็นเหตุปัจจัย แต่ในขณะนี้สติกำลังทำหน้าที่
เป็นเหตุปัจจัยอยู่

asoka เขียน:
สัมมาทิฏฐิ ที่ทำหน้าที่ ดู เห็น รู้ สภาวธรรมที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะปัจจุบันอารมณ์ตามความเป็นจริง

ผู้ที่ดูรู้เห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น คือจิต สัมมาทิฐิใช่เป็นหลักหรือเป็นประธาน
ในการพิจารณาธรรม การพิจารณาธรรมที่ว่าก็คือการดับทุกข์ ถ้าคุณอยากรู้ทุกข์ตัวไหน
ก็ไปดูในวงปฏิจจสมุบาท
การอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันกับสัมมาทิฐิไม่เกี่ยวกัน
สัมมาทิฐิใช้ในการพิจารณาขันธ์ห้า

การอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันเป็นวิธีการเพื่อให้ได้มาแห่ง
สัมมาทิฐิ

asoka เขียน:
และสัมมาสังกัปปะปัญญามรรคที่ทำหน้าที่ สังเกต พิจารณาสภาวของปัจจุบันธรรมปัจจุบันอารมณ์ที่สติรู้ทันขึ้นมา สังเกตเพื่อค้นหาเหตุหาผลของการเกิดขึ้นและดับไปหรือความจริงของอารมณ์นั้น

สัมมาสังกัปปะไม่ได้มีหน้าที่ไปสังเกตุ ปัจจุบันอารมณ์
สัมมาสังกัปปะเป็นผลที่ได้จากหลักใหญ่ๆก็คือ ธัมวิจยสัมโพชฌงค์
การปฏิบัติด้วยหลักของโพชฌงค์เจ็ด จนเกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ธัมวิจยะนี่แหล่ะ พัฒนาเป็น สัมมาสังกัปปะ
asoka เขียน:
สติมา คือตัวสัมมาสติที่ทำหน้าที่ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม

ตัวสัมมาสติ ไม่ได้เป็นตัวไประลึกรู้ปัจจุบันอารมณ์ แต่เป็นสติตัวที่ไประลึกรู้ สัมมาทิฐิ
การหมั่นระลึกรู้สัมมาทิฐิเนืองๆ เรียกว่า สัมมาวายามะ
และสติที่ไประลึกรู้สัมมาทิฐิเนืองๆ จึงเรียกว่า สัมมาสติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2012, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L
ทั้งหมดที่คุณโฮฮับแยกตอบมา เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว คุณโฮฮับกำลังทำให้ธรรมวิบัติ สับสนไปหมดแล้วละครับตัวอย่างเช่นการบอกว่า สัมมาสติ คือสติที่ไปรู้สัมมาทิฐิ นี่ไม่ใช่งานของสติ
งานของสัมมาสติ คือ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ว่าต้องต้องกำกับกายใจให้อยู่ในช่องทางแห่งมรรค 8 และอริยสัจ 4 ไม่ลืมว่าจะต้องระลึกรู้อยู่แต่ในในอริยสัจ 4 และมรรค 8

งานของสัมมาทิฏฐิ คือ เห็นความจริง ดูความจริง รู้ความจริง คือรู้ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์และวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์ รู้ไตรลักษณ์ รู้ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 รู้ปฏิจจสมุปบาท

:b12:
สำหรับเรื่องอื่นป่วยการที่จะตอบโต้เสียแล้วครับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 07:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
ขอยกเอาข้อธรรมตามหัวข้อกระทู้นี้ที่สนทนากันอยู่ในลานธรรมเสวนามาแสดงให้ลองศึกษาเปรียบเทียบกับความพยายามของคุณโฮฮับที่จะแสดงว่ามรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยเจ้า ต้องได้ความเป็นอริยเจ้าแล้วสัมมาทิฐิจึงจะเกิดได้
:b8:
15 กพ.55
เป็นภาพแสดงถึงความ"งดงาม" ใส ซื่อ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง เปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันและกัน
ลองดูที่นัยตาของเธอให้ดีๆซิครับ
[/quote]

เข้าใจที่อธิบายนะครับ แต่ดูแล้วเข้าไม่ถึงครับ :18:
ดูแล้วจะนึกไปถึงนวนิยายกำลังภายในที่สมัยก่อนชอบอ่านเสียมากกว่า :33:
(คงเป็นเพราะอนุนิสัยที่ติดมาแต่เดิม)
:96:
[/quote]
:73:
จากคำพูดของคุณ "งดงาม"ในท่อนนี้ทำให้มีเหตุสนทนาธรรมต่อไปได้อีกแง่มุมหนึ่งว่า
คำที่ 1 "ดูแล้วเข้าไม่ถึงครับ" จากคำพูดนี้ทำให้น่าวิเคราะห์หรือทำ "ธรรมวิจัย หรือวิมังสาธรรม" เข้าไปดูสักหน่อยว่าเป็นเพราะเหตุอะไร

เท่าที่ผมสังเกตได้จากผู้คนทั่วไปและนักปฏิบัติธรรมที่เคยประสบพบสัมผัสคุ้นเคย ผมได้พบว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตกความสังเกตอันเป็นปัญญามรรคตัวที่สำคัญ แต่ มีสติ อันถูกอบรมมาให้เจริญเน้นหนักแต่ สติ ดังคำพูดที่เรามักจะได้ยินอาจารย์ผู้สอนบอกย้ำซ้ำว่า "สติเน้อ ๆ ๆ" สติเลยกำกับกายใจให้ฝึกหัดปฏิบัติเน้นหนักอยู่แต่การเจริญสติ

จึงทำให้ละเลยการเจริญปัญญา ซึ่งความจริงแล้วเป็นประธานเป็นพระราชาเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะถอนอวิชชาอันเป็นคู่ปรับสำคัญออกจากใจ

ถ้าเราจะพากันมาสนใจเรื่องของการเจริญปัญญาให้เติบโตไปควบคู่กับการเจริญสติ การปฏิบัติธรรมคงจะเป็นของง่ายขึ้นอีกเยอะเพราะเราเจริญครบส่วนได้สมดุลย์ตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงพากันมาทำความรู้จักและอบรมสติของเราให้รู้จักกับการทำงานของปัญญามรรค อันเป็น 2 ข้อแรกของมรรคมีองค์ 8 กันสักนิดดีไหมครับ

....1.ปัญญาสัมมาทิฐิ ในสวดมนต์แปลอริยมรรคท่านบอกไว้ว่า สัมมาทิฐิ แปลว่าความเห็นชอบ หรือความเห็นถูกต้องอันได้แก่ความเห็นในอริยสัจทั้ง 4 ประการ คือ เห็นหรือรู้ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์

ในทางปฏิบัติปัญญาสัมมาทิฐิจะทำหน้าที่ ดู เห็น และรู้ สภาวธรรมต่างๆตามความเป็นจริง แต่ความที่จะ
"รู้" ขึ้นมานั้น ต้องอาศัยปัญญาสัมมาสังกัปปะเป็นปัจจัยให้รู้

....2.ปัญญาสัมมาสังกัปปะ ในอริยมรรคมีองค์ 8 ท่านแปลว่า ความดำริชอบ หรือความคิดถูกต้อง คือคิดออกจากกาม(ความยินดีในผัสสะทั้ง 6) คิดออกจากความพยาบาท(คือความยินร้ายไม่พอใจในสัมผัสทั้ง 6)และคิดที่จะอยู่อย่างไม่เบียดเบียนหรือ อุเบกขา วางเฉย ทั้ง 3 ความคิดนี้เป็นองค์ความหมายและวัตถุประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน 4 เลยทีเดียว
ในทางปฏิบัติปัญญาสัมมาสังกัปปะจะทำหน้าที่ "สังเกต"(ไม่ใช้ความคิด) พิจารณา(ใช้ความคิด)
สิ่งที่ต้องการจะเน้นให้ผู้ศึกษาเห็นความสำคัญคือปัญญา ความสังเกต

ความสังเกตเป็นหัวใจของนักวิทยาศาสตร์ทั้งทางโลกและทางธรรม พระบิดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ความเป็นพระพุทธเจ้ามาด้วยความสังเกตนี้เอง (ลองพิจารณาจากเรื่องธรรมฑูตทั้ง 4 ตดอนที่นายฉันนะพาเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จประพาสเมืองกบิลพัสดุ์) นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็คิดค้นพบสิ่งใหม่ๆได้ก็ด้วยความสังเกตนี้เอง
....สัมมาทิฏฐิที่จะเกิดขึ้นมาได้เจริญได้จนถึงความสมบูรณ์ก็ด้วย "ความสังเกต"นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย

ดังนั้นการเจริญปัญญาที่สำคัญมากๆคือการเจริญความสังเกต ให้มีกำลังมากๆ มีความเฉียบแหลมคมสูงๆ
แล้วปัญหาใดๆก็ไม่อาจทัดทานกำลังแห่งปัญญาสัมมาสังกัปปะนี้ได้ ขอให้นักปฏิบัติธรรมทุกท่านได้ให้ความสนใจและเจริญความสังเกตขึ้นมา ให้ความสำคัญกับความสังเกตให้มากเท่าๆกับการเจริญสติและฝังไวในสติของท่านว่า ต่อไปต้องเน้นการเจริญปัญญาความสังเกตพิจารณาให้มากๆเท่ากับการเจริญสติ

คำพูดที่ 2 "คงเป็นเพราะอนุนิสัยที่ติดมาแต่เดิม" คำนี้ก็น่าวิเคราะห์นะครับว่า อนุสัยอะไรหรือที่ติดมาแต่เดิมจึงทำให้มองไม่เห็นความใสซื่อบริสุทธ์และสวยงามในตาของรูปวาด

อาจเป็นเพราะในสัญญาหรือสมองถูกบันทึกไว้แต่ภาพและเรื่องกำลังภายในไว้เยอะกว่าความสุนทรีทางธรรมชาติของการมองเห็น คือไม่ได้ศึกษาโลกศึกษาชีวิตมาในมุมมองที่เป็นธรรมชาติ เป็นบวก มองหาแต่ความดีงามของสิ่งรอบตัวและในใจ

ดังนั้นในฐานะของนักปฏิบัติธรรมและนักเรียนเตรียมชาวพุทธ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราพึงควรถนอมใช้เซลสมองของเราให้คุ้มค่า บรรจุแต่สิ่งที่ดีๆลงไปในสัญญาและอุปาทาน ตามโอวาทปาติโมกข์ 2 ข้อแรก คือ ละชั่ว ทำแต่ดี สุดท้ายจงบรรจุแต่ข้อมูลเพื่อการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ คือเรื่องของอริยสัจ 4 และมรรคมีองค์ 8 ให้แตกฉานเต็มสมอง เต็มสติเพื่อสติจะได้เป็นสัมมาสติแล้วกลับมากำกับกายใจให้เดินไปบนเส้นทางแห่งมรรคมีองค์ 8 จนถึงวันที่สัมมาทิฐิเจริญเต็มที่สมบูรณ์เต็มร้อย คือจนเห็นว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา" ดังคำสรุปสุดยอดที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนไว้วันนั้นก็จะเป็นวันที่เหตุทุกข์อันได้แก่ความเห็นผิด อวิชชา สักกายทิฏฐิดับขาดไปจากใจ

:b8:
:b20:
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
wink
เมื่อสัมมาปัญญาและสัมมาสติร่วมกันทำงาน อยู่ที่ปัจจุบันอารมณ์อยู่อย่างนี้ ปัญญาก็จะได้เห็นความจริงของปัจจุบันอารมณ์ว่ามันเป็น ทุกขัง......อนิจจัง.......อนัตตา

ตลกดีครับ พูดวนไปวนมาไม่ไปไหน ปัญญาจะได้เห็นความจริงอะไรครับ
ก็ปัญญานั้นแหล่ะคือตัวความจริง

สัมมาปัญญาและสัมมาสติไม่ได้ร่วมกันทำงานอยู่ที่ปัจจุบันอารมณ์
แต่ร่วมกันพิจารณา ธรรมและกระบวนการขันธ์ห้าต่างหากล่ะครับ
ซึ่งเรียกว่าสติปัฏฐานสี่
asoka เขียน:

หากสติปัญญาไม่ทันอารมณ์ควบคุมไม่อยู่ มันก็จะแลบปรุงไปเป็น เวทนา ยินดียินร้าย คือ อภิชฌาและโทมนัสสัง เป็นจิตตา จิตมีราคะ โทสะ โมหะ เป็นธัมมา มีตัณหา อุปาทานต่างๆเกิดขึ้น [/color]
ประเด็นสำคัญของสติปัฏฐานคือ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" คือเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

คุณโสกะครับ คุณนี่สุดยอดเลยครับ คุณสามารถควบคุมกระบวนการปฏิจจฯได้
ถามหน่อยคุณนิพพานแล้วหรือครับ
asoka เขียน:
การจะเอาเวทนาทั้ง 2 อย่างออกได้ก็เป็นเรื่องที่สัมมาสติและสัมมาปัญญาจะสังเกต วิเคราะห์ความจริงของสภาวธรรมที่แสดงอยู่ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์นั้นไปตั้งแต่เกิดจนดับจนเห็นความเกิดขึ้น ดับไป เห็นกลไกการทำงานของอัตตาและตัณหา สติปัญญาพิสูจน์หรือระงับความดิ้นรนตอบโต้ของอัตตาที่ครอง สั่ง บังคับใจ จนได้เห็นความดับไปของความเห็นผิดเป็นอัตตา ได้พบกับสภาวะที่จิตหมดอัตตาไปชั่วคราวเป็น อนัตตา ตัณหาไม่สามารถจะทำการได้ดับไป หรือเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าสติปัญญามีกำลังเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ อัตตาความเห็นผิดก็จะพ่ายแพ้ผอมบางจางไปเรื่อยๆ ในทุกสัมผัสทุกอารมณ์ จนในที่สุดหลบไป หมดไปหรือดับสลายตายไปจากใจ ผู้ปฏิบัติผู้นั้นก็จะได้เข้าถึงสภาวะอนัตตาโดยสมบูรณ์ ด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นอันดับแรกและสูงยิ่งๆขึ้นไป หากยังไม่ละความพียรในการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือ มรรคมีองค์ 8

ถามหน่อยที่ว่า เห็นสภาวะอารมณ์ที่ปัจจุบันอารมณ์ที่เกิดดับไป
ถามจริงเคยเห็นสภาวะไตรลักษณ์แล้วหรือครับ ถ้าเคยเห็นแล้ว
ทำไมพูดเรื่องสติปัฏฐานสี่ไม่รู้เรื่องครับ

คุณโสกะครับ เท่าที่คุณพูดมาทั้งหมดมันไม่เฉียดใกล้เรื่องสติปัฏฐานสี่เลย
เรื่องสัมมาทิฐิยิ่งแล้วใหญ่ สรุปก็คือเอาเรื่องโน้นมาปนเรื่องนี้ตีกันยุ่งไปหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b27:
ขอยกเอาข้อธรรมตามหัวข้อกระทู้นี้ที่สนทนากันอยู่ในลานธรรมเสวนามาแสดงให้ลองศึกษาเปรียบเทียบกับความพยายามของคุณโฮฮับที่จะแสดงว่ามรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยเจ้า ต้องได้ความเป็นอริยเจ้าแล้วสัมมาทิฐิจึงจะเกิดได้

ผมขออนุญาตกล่าวคำนี้ด้วยความสนิทสนมนะครับว่า..
เปิดฉากก็เริ่มมั่วแล้วล่ะครับ

ผมบอกหรือครับว่า ต้องได้ความเป็นอริยะเจ้าแล้วสัมมาทิฐิจึงเกิดได้
ผมบอกว่า "ต้องได้สัมมาทิฐิก่อนจึงจะเป็นอริยบุคคลได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b27:
ขอยกเอาข้อธรรมตามหัวข้อกระทู้นี้ที่สนทนากันอยู่ในลานธรรมเสวนามาแสดงให้ลองศึกษาเปรียบเทียบกับความพยายามของคุณโฮฮับที่จะแสดงว่ามรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยเจ้า ต้องได้ความเป็นอริยเจ้าแล้วสัมมาทิฐิจึงจะเกิดได้

ผมขออนุญาตกล่าวคำนี้ด้วยความสนิทสนมนะครับว่า..
เปิดฉากก็เริ่มมั่วแล้วล่ะครับ

ผมบอกหรือครับว่า ต้องได้ความเป็นอริยะเจ้าแล้วสัมมาทิฐิจึงเกิดได้
ผมบอกว่า "ต้องได้สัมมาทิฐิก่อนจึงจะเป็นอริยบุคคลได้"

cool
พิจารณาจากตรงนี้ก็แล้วกันนะครับคุณโฮฮับ

คุณโสกะผมไม่รู้ว่าคุณไปเอาคำว่าอริยสาวกมาจากไหน
สิ่งที่ผมเอามาอ้างอิง มันเป็นพุทธพจน์
พระองค์พูดว่า "ดูกรภิกษุ" พระองค์เรียกเหล่าสาวกของท่านว่าภิกษุ
และจากคำพูดพระองค์บอกว่า "สัมมาทิฐิของพระอริยะ"
สัมมาทิฐิเป็นมรรคหรืออริยมรรค "ของพระอริยะ มั้นก็คืออริยมรรคของพระอริยะ"
และพระองค์กล่าวว่า การปฏิบัติมรรคอีก7ตัวที่เหลือ ต้องมีอริยมรรคสัมมาทิฐิ
เป็นประธานเป็นตัวนำ นั้นย่อมแสดงว่า บุคคลนั้นย่อมต้องมีอริยมรรคสัมมาทิฐิแล้ว
จึงจะสามารถปฏิบัติอริยมรรคอีกเจ็ดได้


ผมถึงได้บอกว่า มรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปดมีไว้สอนพระอริยะบุคคล
เพื่อบรรลุไปเป็นอรหันต์ ไม่ได้เอาไว้สอนปุถุชน
ปุถุชนถ้ายังไม่ได้มีสัมมาทิฐิที่เป็นโลกุตระ ย่อมไม่เข่าใขวิธีปฏิบัติในเรื่องอริยมรรค
ปุถุชนต้องปฏิบัติภาวนาให้ได้มาซึ่งสัมมาทิฐิอนาสวะ(โลกุตระ)เสียก่อน
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือต้องเป็นอริยบุคคลขั้นต้น
หรือเป็นโสดาบันเสียก่อน

s006
คุณโฮฮับปฏิบัติภาวนาอย่างไรหรือหากมิใช่การเจริญมรรค 8 จึงจะได้มาซึ่งความเป็นโสดาบันบุคคล
ถ้าจะบอกว่าเจริญสติปัฏฐาน 4 การเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็เป็นการเจริญมรรคข้อที่ 7 อยู่แล้ว


เพราะความติดยึดในเรื่องมรรค 8 เป็นธรรมของพระอริยเจ้าคุณโฮฮับจึงมาทำให้การเจริญมรรค 8 ซึ่งเป็นของง่ายสำหรับทุกๆคน กลายเป็นเรื่องสับสน ยุ่งยาก ไกลตัว สำหรับปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลาย บาปมากมายนะครับคุณโฮฮับ หยุดเสียเถอะ!
Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2012, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
คุณโฮฮับปฏิบัติภาวนาอย่างไรหรือหากมิใช่การเจริญมรรค 8 จึงจะได้มาซึ่งความเป็นโสดาบันบุคคล
ถ้าจะบอกว่าเจริญสติปัฏฐาน 4 การเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็เป็นการเจริญมรรคข้อที่ 7 อยู่แล้ว

การเจริญสติ เป็น การปฏิบัติของปุถุชน
ส่วนการปฏิบัติในเรื่องสติปัฏฐานสี่ เป็นเรื่องอริยะ

การเจริญสติ คือการคือการระลึกรู้กับปัจจุบัน
สติปัฏฐานสี่ คือการใช้สติไประลึกรู้สัมมาปัญญา(สัมมาทิฐิ) เพื่อเอามาพิจารณาธรรม

ผมเริ่มเป็นชาวพุทธด้วยการ
1.ช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อน
2.ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
3.ทำงานแบบมีสติ มีสมาธิในงานที่กำลังกระทำ

ทั้งสามสิ่งที่กล่าวข้างต้นคือการปฏิบัติของปุถุชน เพื่อให้รู้ไตรลักษณ์
เมื่อรู้ไตรลักษณ์แล้ว ก็จะเข้าใจเองว่า สัมมาทิฐิเป็นอย่างไร
asoka เขียน:
เพราะความติดยึดในเรื่องมรรค 8 เป็นธรรมของพระอริยเจ้าคุณโฮฮับจึงมาทำให้การเจริญมรรค 8 ซึ่งเป็นของง่ายสำหรับทุกๆคน กลายเป็นเรื่องสับสน ยุ่งยาก ไกลตัว สำหรับปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลาย บาปมากมายนะครับคุณโฮฮับ หยุดเสียเถอะ


ผมไม่ได้มาทำให้สับสนยุ่งยาก เพียงแค่มาบอกขั้นตอนการปฏิบัติให้ถูกต้อง
ถ้าเราปฏิบัติให้ถูกสถานะ ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่าย
คุณโสกะลองถามใจตัวเองดูว่า เท่าที่ปฏิบัติมาคุณไม่เกิดความสงสัย
ว่าทำไมเป็นอย่างโน้นทำไมเป็นอย่างนี้

และที่ว่ารู้เห็นตามความเป็นจริงเป็นอย่างไร
ก็นั้นเมื่อคุณยังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น


ที่เราเถียงกันซะยืดยาว มันเป็นเพราะคุณไม่ยอมรับคนอื่น
ดูได้จากผมอธิบายความไป คุณก็จะเกิดความสงสัยขึ้นมาใหม่
ถ้าคุณว่าธรรมที่คุณกำลังปฏิบัติมันถูกทางแล้ว คุณก็ต้องรู้และ
อธิบายได้ว่า ธรรมที่ผมพูดมันผิดตรงไหนอย่างไร
ไม่ใช่มาแสดงอาการเหมือนกำลังสาปแช่งคนอื่นแบบนี้
ทำเหมือนพวกฝรั่งโบราณที่ใครไม่เห็นด้วยก็ยัดเยียดให้เขาเป็นแม่มด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 23:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool
โฮฮับ เขียน
การเจริญสติ เป็น การปฏิบัติของปุถุชน

ส่วนการปฏิบัติในเรื่องสติปัฏฐานสี่ เป็นเรื่องอริยะ

asoka ชี้แจง
(1 ผิด ที่ถูกต้องคือสติปัฏฐาน 4 เป็นงานของชาวพุทธทุกคนที่จะต้องรู้และปฏิบัติเพื่อให้ถึงความเป็นอริยะ)

โฮฮับ เขียน
การเจริญสติ คือการคือการระลึกรู้กับปัจจุบัน

สติปัฏฐานสี่ คือการใช้สติไประลึกรู้สัมมาปัญญา(สัมมาทิฐิ) เพื่อเอามาพิจารณาธรรม

asoka ชี้แจง
(2 พลาด นี่แหละทำให้ยุ่งยากและสับสน ตอนคุณเจริญสติปัฏฐานคุณไม่ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงบอกหรือว่า กาเยกายา....เวทนาสุเวทนา......จิตเตจิตา......ธัมมเมสุธัมมา นุปัสสีวิหารติ อาตาปีสัมปฌาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อภิชฌาโทมนัสสัง คุณเอาสติไประลึกรู้สัมมาปัญาอย่างไไหนลองอธิบายให้ดูซิว่าสติปัฏฐาน 4 ตามแนวของโฮฮับนั้นเป็นอย่างไร ไ/ม่เหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือ รู้สึกว่าโฮฮับจะทำตัวเก่งกว่าพระพุทธบิดาแล้วนะ เพราะบัญญัติสติปัฏฐาน 4 แนวใหม่ขึ้นมา)

โฮฮับ เขียน
ผมเริ่มเป็นชาวพุทธด้วยการ
1.ช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อน
2.ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
3.ทำงานแบบมีสติ มีสมาธิในงานที่กำลังกระทำ

asoka ชี้แจง
แค่การเริ่มต้นเป็นชาวพุทธก็ไม่ใช่ทางแห่งชาวพุทธแล้ว

การเริ่มต้นเป็นชาวพุทธที่ดีนั้นต้อง
1.หากัลยาณมิตรให้พบ กัลยาณมิตรในที่นี้คือผู้รู้ธรรม ถึงธรรม บอกได้สอนได้ถึงวิธีปฏิบัติธรรม ตามคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหาตัวบุคคลยังไม่พบ ให้ศึกษาจากตำหรับตำรา เท้ป
ซีดี วีดิโอ สื่อต่างๆ เลือกเฟ้นเอาด้วยวิจารณญาณของตน

2.ทำสุตตมยปัญญาคือศึกษาจากตำหรับตำราและกัลยาณมิตรจนเกิดสัมมาทิฏฐิโดยภาคทฤษฎี คือรู้เรื่องอริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 และธรรมที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการปฏิบั้ติอย่างอื่นให้ได้อย่างละเอียดละออลึกซึ้ง

3.นำหลักทฤษฎีที่ได้เรียนรู้มานั้นไปทดสอบ ฝึกหัดปฏิบัติ ภายใต้ความควบคุมดูแลและคำปรึกษาชี้แนะของกัลยามิตรอย่างใกล้ชิด

4.เมื่อได้รับผลจากการทำจริงประสบการณ์จริงพอสมควรเห็นว่าใช่ทางสายกลางอันเอกอย่างแน่แท้แล้ว
ก็เร่งรัดการปฏิบัติด้วยอิทธิบาทธรรมจนกว่าจะได้เข้าถึงสัมมาทิฐิโดยการปฏิบัติเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงจะได้รับความเป็นชาวพุทธหรือพุทธสาวกที่พระบรมศาสดาทรงรับรองไว้ดังมีสวดในสังฆคุณ

:b45:
:b27:
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 07:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
พอเจอของจริงแล้ว คุณโฮฮับเลยไม่กล้าเข้ามาอ่านกระทู้แฮะ !

คงเงียบเหงากันไปพักหนึ่งนะครับสำหรับท่านที่่ติดตามอ่าน

:b8:
:b1: :b16: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2012, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
พอเจอของจริงแล้ว คุณโฮฮับเลยไม่กล้าเข้ามาอ่านกระทู้แฮะ !

คงเงียบเหงากันไปพักหนึ่งนะครับสำหรับท่านที่่ติดตามอ่าน

:b8:
:b1: :b16: :b12:


พุดโถ่เอ๋ย! อยากฟังธรรมนิมนต์ดีๆก็ได้ ทำเป็นพวกนิครนณ์ไปได้
เราก็เห็นว่ามันซ้ำซากแล้ว เลยไม่เข้ามาแสดงความเห็น
ที่อีกกระทู้เราแสดงความเห็นไว้ก็ไม่ไปตอบ

ไม่เป็นไรครับอยากฟังธรรมก็จะเทศน์ให้ฟัง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2012, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
cool
โฮฮับ เขียน
การเจริญสติ เป็น การปฏิบัติของปุถุชน
ส่วนการปฏิบัติในเรื่องสติปัฏฐานสี่ เป็นเรื่องอริยะ

asoka ชี้แจง
(1 ผิด ที่ถูกต้องคือสติปัฏฐาน 4 เป็นงานของชาวพุทธทุกคนที่จะต้องรู้และปฏิบัติเพื่อให้ถึงความเป็นอริยะ)

อันนี้ซ้ำซากขี้เกียจตอบแล้วครับ :b13:
asoka เขียน:
cool
โฮฮับ เขียน
การเจริญสติ คือการคือการระลึกรู้กับปัจจุบัน

สติปัฏฐานสี่ คือการใช้สติไประลึกรู้สัมมาปัญญา(สัมมาทิฐิ) เพื่อเอามาพิจารณาธรรม


โฮฮับ เขียน
ผมเริ่มเป็นชาวพุทธด้วยการ
1.ช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อน
2.ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
3.ทำงานแบบมีสติ มีสมาธิในงานที่กำลังกระทำ

asoka ชี้แจง
แค่การเริ่มต้นเป็นชาวพุทธก็ไม่ใช่ทางแห่งชาวพุทธแล้ว

การเริ่มต้นเป็นชาวพุทธที่ดีนั้นต้อง
1.หากัลยาณมิตรให้พบ กัลยาณมิตรในที่นี้คือผู้รู้ธรรม ถึงธรรม บอกได้สอนได้ถึงวิธีปฏิบัติธรรม ตามคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหาตัวบุคคลยังไม่พบ ให้ศึกษาจากตำหรับตำรา เท้ป
ซีดี วีดิโอ สื่อต่างๆ เลือกเฟ้นเอาด้วยวิจารณญาณของตน

2.ทำสุตตมยปัญญาคือศึกษาจากตำหรับตำราและกัลยาณมิตรจนเกิดสัมมาทิฏฐิโดยภาคทฤษฎี คือรู้เรื่องอริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 และธรรมที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการปฏิบั้ติอย่างอื่นให้ได้อย่างละเอียดละออลึกซึ้ง

3.นำหลักทฤษฎีที่ได้เรียนรู้มานั้นไปทดสอบ ฝึกหัดปฏิบัติ ภายใต้ความควบคุมดูแลและคำปรึกษาชี้แนะของกัลยามิตรอย่างใกล้ชิด

4.เมื่อได้รับผลจากการทำจริงประสบการณ์จริงพอสมควรเห็นว่าใช่ทางสายกลางอันเอกอย่างแน่แท้แล้ว
ก็เร่งรัดการปฏิบัติด้วยอิทธิบาทธรรมจนกว่าจะได้เข้าถึงสัมมาทิฐิโดยการปฏิบัติเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงจะได้รับความเป็นชาวพุทธหรือพุทธสาวกที่พระบรมศาสดาทรงรับรองไว้ดังมีสวดในสังฆคุณ

:

การปฏิบัติเริ่มต้นของผมมันถูกแล้ว มันเกี่ยวกับทาน ศีลภาวนา
การช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อนเป็นทาน
ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเป็นศีล
การมีสติ มีสมาธิกับงานที่ทำก็คือการภาวนา
แบบนี้มันเป็นไปตามที่ครูบาอาจารย์สอนอยู่แล้ว

ส่วนเหตุผลของคุณผมว่า คุณกำลังตามหาอาจารย์สอนวิทยายุทธ์แหง่ๆ
ลองไปหาแถววัดเส้าหลินดูซิครับ หรือใกล้ๆก็ค่ายกระทิงแดงยิม
ผมว่าคุณจะสำเร็จสมความตั้งใจแน่ๆ :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร