วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 04:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระมหาบุรุษได้สมาบัติ 8 (จะเรียกฌาน เรียกสมาธิ เรียกสมถะก็เอา) จากสำนักของสองดาบส จบสมาบัติแล้วแต่ไม่จบกิจ พระองค์จึงคิดค้นด้วยพระองค์เอง ... แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์ทิ้งความรู้...ที่ได้ก่อนหน้า คือ พระองค์นำมาใช้เป็นฐานคืนวันตรัสรู้ แต่ใช้แค่ขั้นที่ 4 ตามหลักฐานคร่าวๆดังนี้


แสดงฌาน ๔ ต่อด้วยวิชชา ๓

“ดูกรอัคคิเวสสนะ เรานั้นแล (ฉันอาหารหยาบ ให้กายได้กำลังแล้ว) สงัดจากกามทั้งหลาย
สงัดจากอกุศลทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน... บรรลุทุติยฌาน... บรรลุตติยฌาน...
บรรลุจตุตถฌาน...อยู่


“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีฝ้ามัว ปราศจากอุปกิเลส เป็นของนุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนั้นแล้ว น้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ...

“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ...อย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ...

“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ...อย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ...

เรานั้น รู้ชัดตามที่มันเป็น ว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
รู้ชัดตามที่มันเป็นว่า เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

เรานั้น เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ

เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่า หลุดพ้นแล้ว
เรารู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้
ไม่มี

(ม.มู.12/427-9/458 และที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่น วินย. 1/2/6 เป็นต้น)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 15:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


อจินไตย


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 15:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
sriariya เขียน:
หะ..หะ...หะ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านที่เข้ามาอ่าน อย่าหาว่าข้าพเจ้าขัดคอเจ้าของกระทู้เลยขอรับ
เจ้า"ไม่เที่ยงเกิดดับ" มันมั่ว(สงสัยใกล้จะ บ้....วิชาเต็มที) อวดรู้อวดฉลาด จนลืมสิ่งที่มันเคยเขียนไว้
ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่า ถ้าสมาธิ ไม่ใช่ทางหลุดพ้น แล้วอะไรคือทางหลุดพ้น
แล้ว สิ่งที่ผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา ควรปฏิบัติควรศึกษา เพื่อให้หลุดพ้น เขาเรียกว่าอะไร มีกี่ข้อ อะไรบ้าง
หัดอ่านภาษาไทย แล้วทำความเข้าใจในภาษาไทยให้รู้เรื่องรู้ความให้ดีซี่ะก่อนเถอะ แล้วค่อยโอ้อวดไปทำความเข้าใจในพระไตรปิฎก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



การวิปัสสนา คือ วิธีการทำให้เกิดปัญญา ปัญญาเอามาดับเหตุแห่งทุกข์ รู้ผิดชอบชั่วดี(สัมมาทิฐิ) ศีลเกิดขึ้น สมาธิเกิดขึ้น เมื่อมีปัญญาประกอบแล้ว จะนั่งทำสมาธิก็สามารถทำได้ สมาธิที่ได้จะเป็นสัมมาสมาธิเพื่อนำไปสู่มรรคผลนิพพานเร็วขึ้น หากคุณไม่มีปัญญาประกอบ สมาธิที่ได้จะเป็น มิจฉาสมาธิ ไม่ต่างอะไรกับไปนั่งตกปลาก็เป็นการฝึกสมาธิเหมือนกัน


ท่านทั้งหลายอย่าหาว่าข้าพเจ้าดูถูกดูหมิ่น เจ้าคนใช้หลายชื่อผู้เขียนกระทู้นี้เลยขอรับ
มันจะใช้กี่ชื่อ กี่ชื่อ ส.ด. ของเขาก็ไม่เปลี่ยนตามชื่อดอกขอรับ
ความรู้เลอะเทอะ เขียนมั่วไม่มีหลักการ อธิบายอะไรก็คลุมเครือ ไม่ชัดเจน เขียนเอง งงเอง แถมยังขัดกันเองซะอีก
ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างผู้ใช้ชื่อว่า "ไม่เที่ยงเกิดดับ" อีกสักครั้งว่า
ถ้าเจ้าไม่มีสมาธิ เจ้ามันก็แค่.............หนึ่ง ที่หลงอยู่กับ ความไม่รู้ รู้แต่หากิน หานอน ก็เท่านั้น
เจ้าจะทำสิ่งใดก็ตาม เจ้าต้องมีสมาธินำหน้าเสมอ เจ้าจะมีศีล ถือศีล เจ้าก็ต้องมีสมาธินำหน้ามาก่อน ถ้าไม่มีสมาธิ เจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์ปกติชนแล้วละเจ้าเอ๋ย
การวิปัสสนา ไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้เกิดปัญญาเสมอไป การอ่านหนังสือ ศึกษาพระธรรมในศาสนา ฟังผู้รู้ ได้รู้ได้เห็นการกระทำ พฤติกรรม ต่างๆรอบตัวเรา ก็สามารถเกิดปัญญาได้ ถ้ามีสมาธิ นั่นก็คือ มี "สติ สัมปชัญญะ"อยู่เสมอ
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ไม่เที่ยงเกิดดับ" เจ้าไม่รู้จักอายบ้างเลยหรือ. ....................ถึงไหน ความรู้เจ้ามันแค่เศษธุลี เจ้ากลับกล้าโอ้อวด อวดรู้ อวดฉลาด เที่ยวนำเอาความในพระไตรปิฎกมาตีความ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอยู่เป็นนิจ

ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างเจ้าเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับการอ่านพระไตรปิฎก
เจ้าจะต้องอ่านในหมวดนั้นๆ ให้จบความแล้วจึงจะวินิจพินิจคิดพิจารณา ไม่ใช่จับเอาความตอนใดตอนหนึ่งมาเป็นขออวดความโง่ ของเจ้า แก้ไขตัวซะบ้างเถอะ



เกิดเป็นมนุษย์สร้างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อการเรียนรู้ (หน้าที่หลัก)
ไม่ใช่เพื่อรองรับอารมณ์ หรือใช้อารมณ์นำหน้า เพราะมันไม่ต่างกับ.....................


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 16:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าทำความรู้ ความเห็นและความประพฤติทุกด้านเหมือนเราไม่มีป่าช้าอยู่กับตัว
อยู่กับบ้านเมืองเรา อยู่กับญาติมิตรของเรา บทถึงคราวเป็นอย่างโลกที่มีป่าช้าทั่ว ๆ ไปขึ้นมา
จะแก้ตัวไม่ทัน แล้วจะจมลงในที่ตนและโลกไม่ประสงค์อยากลงกัน
จะคิดจะพูดจะทำอะไร ควรระลึกถึงป่าช้าคือความตายบ้าง เพราะกรรมกับป่าช้าอยู่ด้วยกัน
ถ้าระลึกถึงป่าช้า ในขณะเดียวกันได้ระลึกถึงกรรมด้วย พอทำให้รู้สึกตัวขึ้นบ้าง
อย่าอวดตัวว่าเก่งทั้ง ๆ ที่ไม่เหนืออำนาจของกรรม แม้อวดไปก็เป็นการทำลายตัว
ให้ล่มจมไปเปล่า ๆ ไม่ควรอวดเก่งกว่าศาสดาผู้รู้ดีรู้ชอบทุก ๆ อย่าง
ไม่ลูบ ๆ คลำ ๆ เหมือนคนมีกิเลสที่อวดตัวว่าเก่ง
สุดท้ายก็จนมุมของกรรมคือความเก่งของตัว


:b8: :b8: :b8:

เนื้อความ(ย่อ)ส่วนหนึ่งที่พระอาจารย์มั่นเคยกล่าว ที่จังหวัดนครราชสีมา
ซึ่งหลวงตามหาบัวได้บันทึกไว้

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
sriariya เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
sriariya เขียน:
หะ..หะ...หะ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านที่เข้ามาอ่าน อย่าหาว่าข้าพเจ้าขัดคอเจ้าของกระทู้เลยขอรับ
เจ้า"ไม่เที่ยงเกิดดับ" มันมั่ว(สงสัยใกล้จะ บ้....วิชาเต็มที) อวดรู้อวดฉลาด จนลืมสิ่งที่มันเคยเขียนไว้
ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่า ถ้าสมาธิ ไม่ใช่ทางหลุดพ้น แล้วอะไรคือทางหลุดพ้น
แล้ว สิ่งที่ผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา ควรปฏิบัติควรศึกษา เพื่อให้หลุดพ้น เขาเรียกว่าอะไร มีกี่ข้อ อะไรบ้าง
หัดอ่านภาษาไทย แล้วทำความเข้าใจในภาษาไทยให้รู้เรื่องรู้ความให้ดีซี่ะก่อนเถอะ แล้วค่อยโอ้อวดไปทำความเข้าใจในพระไตรปิฎก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



การวิปัสสนา คือ วิธีการทำให้เกิดปัญญา ปัญญาเอามาดับเหตุแห่งทุกข์ รู้ผิดชอบชั่วดี(สัมมาทิฐิ) ศีลเกิดขึ้น สมาธิเกิดขึ้น เมื่อมีปัญญาประกอบแล้ว จะนั่งทำสมาธิก็สามารถทำได้ สมาธิที่ได้จะเป็นสัมมาสมาธิเพื่อนำไปสู่มรรคผลนิพพานเร็วขึ้น หากคุณไม่มีปัญญาประกอบ สมาธิที่ได้จะเป็น มิจฉาสมาธิ ไม่ต่างอะไรกับไปนั่งตกปลาก็เป็นการฝึกสมาธิเหมือนกัน


ท่านทั้งหลายอย่าหาว่าข้าพเจ้าดูถูกดูหมิ่น เจ้าคนใช้หลายชื่อผู้เขียนกระทู้นี้เลยขอรับ
มันจะใช้กี่ชื่อ กี่ชื่อ ส.ด. ของเขาก็ไม่เปลี่ยนตามชื่อดอกขอรับ
ความรู้เลอะเทอะ เขียนมั่วไม่มีหลักการ อธิบายอะไรก็คลุมเครือ ไม่ชัดเจน เขียนเอง งงเอง แถมยังขัดกันเองซะอีก
ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างผู้ใช้ชื่อว่า "ไม่เที่ยงเกิดดับ" อีกสักครั้งว่า
ถ้าเจ้าไม่มีสมาธิ เจ้ามันก็แค่.............หนึ่ง ที่หลงอยู่กับ ความไม่รู้ รู้แต่หากิน หานอน ก็เท่านั้น
เจ้าจะทำสิ่งใดก็ตาม เจ้าต้องมีสมาธินำหน้าเสมอ เจ้าจะมีศีล ถือศีล เจ้าก็ต้องมีสมาธินำหน้ามาก่อน ถ้าไม่มีสมาธิ เจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์ปกติชนแล้วละเจ้าเอ๋ย
การวิปัสสนา ไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้เกิดปัญญาเสมอไป การอ่านหนังสือ ศึกษาพระธรรมในศาสนา ฟังผู้รู้ ได้รู้ได้เห็นการกระทำ พฤติกรรม ต่างๆรอบตัวเรา ก็สามารถเกิดปัญญาได้ ถ้ามีสมาธิ นั่นก็คือ มี "สติ สัมปชัญญะ"อยู่เสมอ
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ไม่เที่ยงเกิดดับ" เจ้าไม่รู้จักอายบ้างเลยหรือ. ....................ถึงไหน ความรู้เจ้ามันแค่เศษธุลี เจ้ากลับกล้าโอ้อวด อวดรู้ อวดฉลาด เที่ยวนำเอาความในพระไตรปิฎกมาตีความ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอยู่เป็นนิจ

ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์อย่างเจ้าเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับการอ่านพระไตรปิฎก
เจ้าจะต้องอ่านในหมวดนั้นๆ ให้จบความแล้วจึงจะวินิจพินิจคิดพิจารณา ไม่ใช่จับเอาความตอนใดตอนหนึ่งมาเป็นขออวดความโง่ ของเจ้า แก้ไขตัวซะบ้างเถอะ



เกิดเป็นมนุษย์สร้างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อการเรียนรู้ (หน้าที่หลัก)
ไม่ใช่เพื่อรองรับอารมณ์ หรือใช้อารมณ์นำหน้า เพราะมันไม่ต่างกับ.....................


ความจริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวหรือเขียนข้อความใดใดอันเป็นการผิดกฎมารยาทดอกขอรับ ขอให้ผู้ดูแลเวบทั้งหลายได้รับรู้เอาไว้ด้วย เพียงแค่เตือนสติของเจ้าผู้ใช้หลายชื่อ เท่านั้น มันยังไม่รู้สึกตัวเองยังมีหน้าคิดเอาเองอีก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
และผู้ดูแลเวบฯทั้งหลายไม่ต้องมาเตือนข้าพเจ้าดอกขอรับ เพราะข้าพเจ้ามีสปิริตอยู่ในตัวของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเห็นว่าข้าพเจ้าทำไม่ถูกไม่ควร ข้าพเจ้าก็งดไม่เข้ามาในเวบฯดอกขอรับ เพราะหนังข้าพเจ้าไม่หนาพอขอรับ อายขอรับ....
"เสวนากับบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เสวนากับคนบ้า ก็บ้าตามกันเป็นพรวนละขอรับ อิ อิ อิ อิ"


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 20:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พระมหาบุรุษได้สมาบัติ 8 (จะเรียกฌาน เรียกสมาธิ เรียกสมถะก็เอา) จากสำนักของสองดาบส จบสมาบัติแล้วแต่ไม่จบกิจ พระองค์จึงคิดค้นด้วยพระองค์เอง ... แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์ทิ้งความรู้...ที่ได้ก่อนหน้า คือ พระองค์นำมาใช้เป็นฐานคืนวันตรัสรู้ แต่ใช้แค่ขั้นที่ 4 ตามหลักฐานคร่าวๆดังนี้


แสดงฌาน ๔ ต่อด้วยวิชชา ๓

“ดูกรอัคคิเวสสนะ เรานั้นแล (ฉันอาหารหยาบ ให้กายได้กำลังแล้ว) สงัดจากกามทั้งหลาย
สงัดจากอกุศลทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน... บรรลุทุติยฌาน... บรรลุตติยฌาน...
บรรลุจตุตถฌาน...อยู่


“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีฝ้ามัว ปราศจากอุปกิเลส เป็นของนุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนั้นแล้ว น้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ...

“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ...อย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ...

“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ...อย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ...

เรานั้น รู้ชัดตามที่มันเป็น ว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
รู้ชัดตามที่มันเป็นว่า เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

เรานั้น เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ

เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่า หลุดพ้นแล้ว
เรารู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้
ไม่มี

(ม.มู.12/427-9/458 และที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่น วินย. 1/2/6 เป็นต้น)

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
กรัชกาย เขียน:

พระมหาบุรุษได้สมาบัติ 8 (จะเรียกฌาน เรียกสมาธิ เรียกสมถะก็เอา) จากสำนักของสองดาบส จบสมาบัติแล้วแต่ไม่จบกิจ พระองค์จึงคิดค้นด้วยพระองค์เอง ... แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์ทิ้งความรู้...ที่ได้ก่อนหน้า คือ พระองค์นำมาใช้เป็นฐานคืนวันตรัสรู้ แต่ใช้แค่ขั้นที่ 4 ตามหลักฐานคร่าวๆดังนี้


แสดงฌาน ๔ ต่อด้วยวิชชา ๓

“ดูกรอัคคิเวสสนะ เรานั้นแล (ฉันอาหารหยาบ ให้กายได้กำลังแล้ว) สงัดจากกามทั้งหลาย
สงัดจากอกุศลทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน... บรรลุทุติยฌาน... บรรลุตติยฌาน...
บรรลุจตุตถฌาน...อยู่


“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีฝ้ามัว ปราศจากอุปกิเลส เป็นของนุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนั้นแล้ว น้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ...

“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ...อย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ...

“เรานั้น ครั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ...อย่างนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ...

เรานั้น รู้ชัดตามที่มันเป็น ว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
รู้ชัดตามที่มันเป็นว่า เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

เรานั้น เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ

เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่า หลุดพ้นแล้ว
เรารู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้
ไม่มี

(ม.มู.12/427-9/458 และที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่น วินย. 1/2/6 เป็นต้น)

:b20:
asoka ชี้แจงให้คุณกรัชกายและผู้ที่สนใจทราบ
การบรรลุธรรมของเจ้าชายสิทธัตถะจนเป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต่างกับการที่จะได้บรรลุธรรมของปกติสาวกทั้งหลายจะเลียนแบบกันไม่ได้ แต่ทำคล้ายกันได้

พระพุทธองค์ได้ทรงพิสูจน์ด้วยพระองค์เองแล้วว่าการประพฤติสมถะภาวนาตามแนวทางแห่งฤาษีทั้งหลายนั้นไม่ใช่ทางสายกลาง แต่เป็นอัตตกิลมถานุโยค ดังทรงแสดงเป็นเรื่องแรกแก่ปัญจวัคคีย์ในวันปฐมเทศนา และยังทรงตรัสบอกทางสุดโต่งอีกข้างหนึ่งคือกามสุขัลลิกานุโยโค อันได้แก่ความที่เจริญอยู่แต่เหตุทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์อ้อนวอนขอพร เจริญสมาธิ ภาวนาด้วยหวังว่าจะได้ความสุขจากโลกสมบัติ สวรรค์สมบัติ

แล้วทรงตรัสสอนทางสายกลางคือมรรคมีองค์ 8 หรือย่อลงมาคือการเจริญวิปัสสนาภาวนาซึ่งผู้เจริญไม่จำเป็นจะต้องไปฝึกสมาธิโดยวิธีการของฤาษี เพียงแต่ใช้สมาธิตามธรรมชาติซึ่งมนุษย์ทุกคนมีอยู่มาเจริญต่อโดยเริ่มต้นจากสมาธิเป็นขณะๆ (ที่เรียกว่าขณิกสมาธิ)กับสติปัฎฐาน 4 หรือปัจจุบันอารมณ์ ก็จะสามารถพัฒนาและยกระดับจิตให้สูงขึ้น ๆ คม ละเอียดขึ้นไปตามธรรมจนสามารถเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ อันเทียบเท่ากับฌาณ 4 ทำมรรค ผล นิพพาน ให้เกิดขึ้นกับชีวิตจิตใจตนได้

:b27:
:b45:
:b48:
:b53:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b8: :b27:
.........
อยากรู้ว่าสมถะภาวนาบังคับธรรมชาติไหม? ก็ลองสังเกตให้ดีตอนที่เรากำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ หรือพองหนอ ยุบหนอ หรือคาถาต่างๆ ลมหายใจจะไม่สามารถไหลเข้าออกตามธรรมชาติได้ นี่เริ่มทรมาณตนเองแล้ว
Kiss
tongue


ตกลง....อโสกะ....ว่า...สมถะภาวนา.....การกำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยคำบริกรรม....เป็น...อัตตกิลมถานุโยค
ใช่มั้ย?


อโสกะ....ยังยืนยัน...คำของตัวเอง...หรือไม่?


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 07:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมฐาน 40...นั้น..สมถะภาวนา..ทั้งดุ้น

พระพุทธองค์...ทรงสั่งสอน...ทางนอกมรรค..รึ


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 08:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวเองพล่ามอะไรใว้.....อย่าลืม

ยืนยันมา..จะได้ให้พร


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
การบรรลุธรรมของเจ้าชายสิทธัตถะจนเป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต่างกับการที่จะได้บรรลุธรรมของปกติสาวกทั้งหลายจะเลียนแบบกันไม่ได้ แต่ทำคล้ายกันได้


จะวางแบบบไปเรื่อยๆก่อนนะครับ

ก่อนหน้าเป็นแบบการทำอาสวะให้สิ้นไปของพระพุทธเจ้า

แต่ไปดูของสาวกทั่วๆไป


สำนวนแบบที่ ๒ นี้ ซึ่งบรรยายลำดับขั้นการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมของสาวกโดยทั่วไป
ก็มีข้อความเหมือนอย่างนั้น ต่างแต่มีเฉพาะตัวหลักที่แสดงขั้นตอน ไม่มีรายละเอียด ดังนี้

“ภิกษุนั้น ละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้แล้ว...สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลทั้งหลาย

บรรลุปฐมฌาน...

บรรลุทุติยฌาน...

บรรลุตติยฌาน...

บรรลุจตุตถฌาน...

บรรลุอากาสานัญจายตนะ...

บรรลุวิญญาณัญจายตนะ…

บรรลุอากิญจัญญายตนะ…

บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ…

บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ

เพราะเห็นด้วยปัญญา อาสวะทั้งหลายก็หมดสิ้นไป”

(อง.นวก.23/244/456…)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
พระพุทธองค์ได้ทรงพิสูจน์ด้วยพระองค์เองแล้วว่า การประพฤติสมถะภาวนาตามแนวทางแห่งฤาษีทั้งหลายนั้นไม่ใช่ทางสายกลาง แต่เป็นอัตตกิลมถานุโยค ดังทรงแสดงเป็นเรื่องแรกแก่ปัญจวัคคีย์ในวันปฐมเทศนา และยังทรงตรัสบอกทางสุดโต่งอีกข้างหนึ่งคือกามสุขัลลิกานุโยโค อันได้แก่ความที่เจริญอยู่แต่เหตุทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์อ้อนวอนขอพร เจริญสมาธิ ภาวนาด้วยหวังว่าจะได้ความสุขจากโลกสมบัติ สวรรค์สมบัติ



ความหมาย อัตตกิลมถานุโยค กล่าวไว้แล้วก่อนหน้า :b1:

ทีนี้ขอถามความเข้าใจ "สมถะภาวนาแบบของฤาษี" คุณอโศกว่าเป็นไงครับ

กามสุขัลลิกานุโยค คือหมกตัวมัวเมาอยู่ในกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ตรัสสอนทางสายกลางคือมรรคมีองค์ 8 หรือย่อลงมาคือการเจริญวิปัสสนาภาวนาซึ่งผู้เจริญไม่จำเป็นจะต้องไปฝึกสมาธิโดยวิธีการของฤาษี เพียงแต่ใช้สมาธิตามธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีอยู่มาเจริญต่อโดยเริ่มต้นจากสมาธิเป็นขณะๆ (ที่เรียกว่าขณิกสมาธิ) กับสติปัฎฐาน 4 หรือปัจจุบันอารมณ์ ก็จะสามารถพัฒนาและยกระดับจิตให้สูงขึ้น ๆ คม ละเอียดขึ้นไปตามธรรมจนสามารถเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ อันเทียบเท่ากับฌาณ 4 ทำมรรค ผล นิพพาน ให้เกิดขึ้นกับชีวิตจิตใจตนได้



ตามที่คุณอโศกนำหลักมานั่น คลุมๆยังไม่เห็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมที่เหล่าชนจะพึงนำไปปฏิบัติตามได้ คุณอโศกลองบอกชัดๆสิครับว่า

ทางสายกลางมรรคมีองค์ 8 ...การเจริญวิปัสนาภาวนานั่นน่า ทำยังไง วิธีทำครับ

และอีกคือ สติปัฏฐาน 4 นั่นด้วยทำยังไง เอาชัดๆให้ผู้เริ่มต้นพอนำไปปฏิบัติเองได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 14:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
พระพุทธองค์ได้ทรงพิสูจน์ด้วยพระองค์เองแล้วว่า การประพฤติสมถะภาวนาตามแนวทางแห่งฤาษีทั้งหลายนั้นไม่ใช่ทางสายกลาง แต่เป็นอัตตกิลมถานุโยค ดังทรงแสดงเป็นเรื่องแรกแก่ปัญจวัคคีย์ในวันปฐมเทศนา และยังทรงตรัสบอกทางสุดโต่งอีกข้างหนึ่งคือกามสุขัลลิกานุโยโค อันได้แก่ความที่เจริญอยู่แต่เหตุทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์อ้อนวอนขอพร เจริญสมาธิ ภาวนาด้วยหวังว่าจะได้ความสุขจากโลกสมบัติ สวรรค์สมบัติ



ความหมาย อัตตกิลมถานุโยค กล่าวไว้แล้วก่อนหน้า :b1:

ทีนี้ขอถามความเข้าใจ "สมถะภาวนาแบบของฤาษี" คุณอโศกว่าเป็นไงครับ

กามสุขัลลิกานุโยค คือหมกตัวมัวเมาอยู่ในกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส



กามสุขัลลิกานุโยค พอใจ /โลภ
อัตตกิลมถานุโยค ไม่พอใจ/ โกรธ
มรรคมีองค์ 8 ทางสายกลาง (ไม่ให้ไปยุ่งกับความพอใจ และไม่พอใจ)

คือ หลงพอใจ ไม่พอใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่คือ ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงของมนุษย์


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 16:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
พระพุทธองค์ได้ทรงพิสูจน์ด้วยพระองค์เองแล้วว่า การประพฤติสมถะภาวนาตามแนวทางแห่งฤาษีทั้งหลายนั้นไม่ใช่ทางสายกลาง แต่เป็นอัตตกิลมถานุโยค ดังทรงแสดงเป็นเรื่องแรกแก่ปัญจวัคคีย์ในวันปฐมเทศนา และยังทรงตรัสบอกทางสุดโต่งอีกข้างหนึ่งคือกามสุขัลลิกานุโยโค อันได้แก่ความที่เจริญอยู่แต่เหตุทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์อ้อนวอนขอพร เจริญสมาธิ ภาวนาด้วยหวังว่าจะได้ความสุขจากโลกสมบัติ สวรรค์สมบัติ



ความหมาย อัตตกิลมถานุโยค กล่าวไว้แล้วก่อนหน้า :b1:

ทีนี้ขอถามความเข้าใจ "สมถะภาวนาแบบของฤาษี" คุณอโศกว่าเป็นไงครับ

กามสุขัลลิกานุโยค คือหมกตัวมัวเมาอยู่ในกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส



กามสุขัลลิกานุโยค พอใจ /โลภ
อัตตกิลมถานุโยค ไม่พอใจ/ โกรธ
มรรคมีองค์ 8 ทางสายกลาง (ไม่ให้ไปยุ่งกับความพอใจ และไม่พอใจ)

คือ หลงพอใจ ไม่พอใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่คือ ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงของมนุษย์



ความหมาย "กามสุขัลลิกานุโยค กับอัตตกิลมถานุโยค" ตามที่คุณไม่เทียง...กล่าวนั้น คุณอโศกเห็นด้วยไหมครับ :b1: :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร