วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 06:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้จะมาตอบปัญหาละที่นี่นะ เรื่องพุทธศาสนาขณะนี้ สื่อมวลชนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน จึงขอนมัสการเรียนถามว่า พระนิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา นี่ถามว่าอย่างนี้นะพระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน นี่ตอบแล้วนะนี่นะ ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มรรค ๔ นั้นได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล นี่เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คือพ้นจาก ๘ ภูมินี้ไปแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้นไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา นิพพานคือนิพพาน อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้ ผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงพระนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจารณาไปกับเรื่อง ทุกขัง เรื่อง อนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นพระนิพพาน เพราะฉะนั้นพระนิพพานจึงเป็นพระนิพพานเท่านั้น เป็นอัตตาเป็นอนัตตาไม่ได้ เพราะอัตตากับอนัตตานั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานเช่นเดียวกับเราเดินก้าวขึ้นสู่บันได ขั้นหนึ่งสองขั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดของบันได ก้าวเข้าสู่บ้านของเรา เมื่อเข้าสู่บ้านแล้วบันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้าน จะให้บ้านกับบันไดมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ นี่คำว่าไตรลักษณ์ก็ดี อัตตาก็ดี นี่คือบันไดก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อพ้นจากนี้ ปล่อยนี้หมดแล้ว จิตก็ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน เหมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่บ้านของเรา หมดปัญหากับบันได บันไดจึงจะกลายเป็นบ้านไปไม่ได้ บ้านจะมากลายเป็นบันไดไปไม่ได้ บ้านต้องเป็นบ้าน บันไดต้องเป็นบันได


นี่ไตรลักษณ์คือ อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เป็นบันไดทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน จะเป็นนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นนิพพาน นิพพานมีอันเดียวเท่านั้น ไม่มีสองกับอัตตาที่โปะเข้าไปเป็นส่วนเพิ่มส่วนเติมเข้าไป เหมือนกับดินเหนียวติดพระนิพพานเป็นไปไม่ได้ อนัตตาก็เป็นทางเดินจะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานคือนิพพานเท่านั้น เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้ ผิดถูกประการใดเราพูดตามหลักความจริงที่ว่ายกตัวหลวงตาออกมา หลวงตาได้ก้าวเดินตามนี้แล้ว พิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อตฺตา ทั้งหมดนี้ จนรอบคอบขอบชิดหาที่ตำหนิไม่ได้แล้ว จิตปล่อยวางจาก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา นี้แล้วดีดผึงถึงความบริสุทธิ์วิมุตติเต็มหัวใจนี้ จะว่าอันนี้เป็นนิพพาน จะว่าก็ได้ไม่ว่าก็ได้ ถึงขั้นนี้แล้วหมดปัญหา พ้นจากบันไดขึ้นมาถึงบ้านแล้ว


นี่ละการปฏิบัติธรรมต้องให้รู้ที่ใจ อย่าลูบ ๆ คลำ ๆ นำเพียงตำรับตำรามาเป็นหนอนแทะกระดาษถกเถียงกัน เดี๋ยวเขาจะหาว่าพวกเราชาวพุทธนี้เป็นหมากัดกันในกระดาษอย่างนั้นก็อาจเป็นได้ แล้วอย่าไปตำหนิเขานะ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเอาเพียงกระดาษมาเถียงกัน เถียงวันยังค่ำก็ไม่มีสิ้นสุด เหมือนอย่างที่เรียนหนังสือ เรียนปริยัติเรียนอรรถเรียนธรรม เรียนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงพระนิพพาน เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสงสัยนรก เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ จนกระทั่งพรหมโลก นิพพาน เรื่องเปรตเรื่องผี ตำรับตำราท่านแสดงไว้ เรียนไปถึงไหนสงสัยไปถึงนั้น เรียนถึงพระนิพพานก็ไปตั้งเวทีต่อสู้กับพระนิพพาน ว่านิพพานมีหรือไม่มีหนา สุดท้ายก็ให้กิเลสลบไปหมดว่านิพพานไม่มี ก็เป็นอันว่าลบไปหมด บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ไปเสียหมด นี้คือกิเลสลบนักปริยัติที่เรียนหนังสือ ทั้งท่านทั้งเราเป็นแบบเดียวกันหมด หาความหมายไม่ได้ หาตนเป็นตนเป็นตัวไม่ได้ เพราะได้แต่ชื่อของบาปของบุญของนรกของสวรรค์ของนิพพาน ไม่ได้ตัวจริงของสิ่งเหล่านี้มาครองในหัวใจ หายสงสัยไม่ได้


ทีนี้การปฏิบัติ บุญมีที่ไหนไม่มีที่ไหนรู้ที่ใจ บาปมีไม่มีที่ไหนปรากฏที่ใจ เพราะใจเป็นนักรู้ ตลอดนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน จ้าขึ้นที่ใจหายสงสัยหมด นี้เรียกว่ารู้จริงเห็นจริง ไม่ใช่เป็นความจำที่เรียนมาจากตำรับตำราซึ่งถกเถียงกันไม่มีวันหยุดได้เลย แต่ถ้าเข้าภาคปฏิบัติแล้วจะเจอเข้าไปโดยลำดับ ๆ เช่นพี่น้องทั้งหลายมาสู่สถานที่นี่ สถานที่นี่บางท่านไม่เคยเห็นก็จะคาดวาดภาพไปต่าง ๆ ว่า เห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอก้าวเข้ามาสู่สถานที่นี่แล้วหายสงสัยไหม ดูซิสถานที่นี่เป็นยังไงบ้าง นี่เราก้าวเข้าสู่มรรคสู่ผลก็เหมือนกัน สมาธิเป็นยังไง ปัญญาเป็นยังไง วิมุตติหลุดพ้นเป็นยังไง บาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นยังไง จะจ้าขึ้นที่หัวใจนี้แล้วหายสงสัย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าไปถามใคร เพราะเป็นของอันเดียวกัน เหมือนอย่างเรามาสู่สถานที่นี่ เป็นของอันเดียวกันคือศาลาหลังนี้ เห็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไร นี่เรื่องมรรคผลนิพพานก็เช่นเดียวกับนี้แหละ ไม่ต้องถามกัน


วันนี้ได้ตอบปัญหาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบถึงเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา อัตตากับอนัตตาเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน จะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ ให้จิตประจักษ์กับหัวใจตัวเองซิ อนัตตาก็เต็มหัวใจ อัตตาเต็มหัวใจ ด้วยความรู้รอบขอบชิดโดยทางปัญญา มีมหาสติมหาปัญญาเป็นสำคัญในภาคปฏิบัติ ที่จะฆ่ากิเลสเหล่านี้ให้หลุดลอยไปได้ มีมหาสติมหาปัญญาเท่านั้น มหาสติมหาปัญญาเป็นเครื่องมืออันทันสมัยฆ่ากิเลสขาดสะบั้นไปเลย เมื่อมหาสติมหาปัญญาได้พิจารณาอันนี้รอบหมดแล้ว สลัด อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา ออกจากใจแล้วจิตดีดเป็นพระนิพพานขึ้นมาเลย นั่นละเรียกว่านิพพาน ไม่ใช่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา ซึ่งเป็นทางเดินนี้ไปเป็นพระนิพพาน อันนี้เป็นทางเดิน


วันนี้พูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายทราบเพียงแค่นี้ก่อน แล้วยังมีปัญหาอะไรถามมาอีก แล้วคำว่านิพพาน ๆ มีลักษณะยังไงนั่น นิพพานไม่มีลักษณะ ถ้ามีรูปร่างขึ้นมาก็ต้องมีลักษณะ พระนิพพานไม่มีรูปมีร่าง เป็นนามธรรม แต่นามธรรม พ้นจากความสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านตั้งชื่อขึ้นมาว่านิพพาน นี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ธรรมธาตุหลักธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่ง อันนี้ตั้งชื่อขึ้นมา เมื่อตั้งชื่อขึ้นมานี้ก็แยกแยะไปขัดแย้งกันไปทั่ว แล้วหาว่านิพพานเป็นอัตตาบ้าง เป็นอนัตตาบ้าง นิพพานให้เป็นศูนย์กลางแห่งความจริงแล้ว นิพพานคือนิพพาน จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อัตตาและอนัตตา นี้เป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน จะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ เอาละพูดแค่นี้ก่อน


เราพูดย้ำตอนท้ายที่ว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ เราต้องดูหัวใจของผู้ปฏิบัติ ผู้นี้ละเป็นผู้ตัดสินเอง จิตที่จะเป็นวิมุตติบริสุทธิ์เต็มที่นั้น จิตต้องปล่อย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ทั้งหมดเสียก่อน อันนี้เป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ จิตต้องปล่อยนี้หมด สลัดนี้ออกแล้วจิตก็เป็นนิพพาน เพราะฉะนั้นคำว่านิพพานกับอัตตากับอนัตตา จึงเข้ากันไม่ได้ในภาคปฏิบัติ เรายันได้เลยในหัวใจหลวงตาบัว สามแดนโลกธาตุนี้หลวงตาบัวไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น เพราะเป็นสมมุติ จิตดวงนี้เป็นวิมุตติเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรเข้ามาเอื้อมถึง เราจึงเอาจิตที่ไม่มีอะไรมาเอื้อมถึงนี้มาพิจารณา แยกออกไปให้สมมุติทั้งหลายได้พิจารณาได้ฟังกันบ้าง นี่คือผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนา เห็นประจักษ์อยู่ที่ใจนี้


มรรคผลนิพพาน คุณงามความดีทั้งหลายในวงพุทธศาสนาของเรานี้ คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย อันนั้นเป็นเรื่องกิเลสหลอกคน พระพุทธเจ้านิพพานไปเท่านั้นปีเท่านี้ปีมรรคผลนิพพานไม่มี ๆ กิเลสมันเป็นยังไงมันมีมากี่ครั้งกี่สมัยแล้ว ไม่เห็นว่ามันครึมันล้าสมัยไปแล้ว หมดแล้วในหัวใจของโลกไม่มี ความโลภก็ไม่มี ความโกรธไม่มี ราคะตัณหาไม่มี ผัวเมียไม่ต้องทะเลาะกันอย่างนี้ไม่เห็นมี ไปที่ไหนเห็นแต่ผัวแต่เมียทะเลาะกันเรื่องกามกิเลส มันทำไมไม่ครึไม่ล้าสมัยไปบ้างกับเขา มรรคผลนิพพานทำไมครึทำไมล้าสมัยไปหมด แต่กิเลสมาครองบ้านครองเมือง อำนาจมันใหญ่โตมาจากไหน ให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณา แล้วฟัดมันลงไปขาดสะบั้น ผัวเมียจะอยู่ด้วยกันสบายนะ เอาละพอ


สรุปนิพพานก็คือนิพพาน ไม่ใช่อัตตาหรืออนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


[๘๔๔] เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ และอสังขตธาตุ นี้เรียกว่า นามธรรม
มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นั้น เรียกว่า รูปธรรม . (นิกเขปกัณฑ์ สุตตันติกทุกะ) 76/500/3

[๘๘๗] ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ ได้แก่ กุศลในภูมิ 3 และอกุศล,
ธรรมไม่ เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิและไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน ได้แก่
วิบากในภูมิ 4 กิริยา- อัพยากฤตในภูมิ 3 รูป และนิพพาน (อัตถุทธารกัณฑ์) 76/555/8

[๘๙๔] นิพพาน จะกล่าวว่าเป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ ว่าเป็นธรรมยังไม่เกิด ขึ้นก็ไม่ได้ ว่าเป็นธรรมจักเกิดขึ้นก็ไม่ได้ (อัตถุทธารกัณฑ์) 76/559/19

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 02:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tonnk เขียน:

สรุปนิพพานก็คือนิพพาน ไม่ใช่อัตตาหรืออนัตตา

ต๊องหนอต๊องอยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องอีกแล้ว :b14:

ต๊องถามหน่อย บทสรุป สุดท้ายใครเป็นคนสรุปหลวงตาหรือต๊องเป็นคนสรุป
เอาธรรมของหลวงตามาโพสห้องนี้ ถ้าผมลืมตัววิจารณ์ไป คุณรับผิดชอบไหวมั้ย

ถ้าคนดูแลลานเขาหาเรื่องแบน คุณรับโทษแทนคนอื่นได้ป่ะ?

เนี่ยคันปากเต็มที่แล้วแต่ไม่กล้า
กลัวถูกแบน :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


[๘๔๔] บรรดาธรรมเหล่านั้น นามธรรม เป็นไฉน?
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ และอสังขตธาตุ นี้เรียกว่า
นามธรรม.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%C3%C3%C1

พ. ดูกรอานนท์ มี ธาตุนี้มี ๒ อย่าง คือ สังขตธาตุ อสังขตธาตุ
ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล ธาตุ ๒ อย่าง แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่
จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%D2%B5%D8

อสังขตธาตุ เป็นไฉน
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อสังขตธาตุ
สภาวธรรมนี้เรียกว่า ธัมมายตนะ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%D2%B5%D8

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอแนะนำตัวกับพวกท่านย้อนหลังเลยนะครับ :b16:

ความจริงผมชื่อ ton = ต้น nk = ย่อมาจากชื่อหมู่บ้านของผมเอง ผมเป็นคนนครสวรรค์ ตอนสมัครใช้ชื่อต้นมันซ้ำ ผมก็เลยตั้งชื่อนี้ ดูชื่อผมใต้รูปภาพก็ได้ครับ ทุกคนเห็นภาษาอังกฤษอ่านยากเดี๋ยวจะลำบากใจ ผมเลยขอไขปัญหาสักหน่อย

ก่อนที่ผมเล่นลานธรรมจักร มีเพื่อนผมคนหนึ่งแนะนำผมให้มาเล่น เพื่อนผมคนนั้นเก่งกว่าผมอีก เขาก็เคยเล่นลานธรรมจักร แต่เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้เล่นแล้ว ผมก็พึ่งจะเริ่มศึกษา ขณิกสมาธิยังไม่เคยรู้จัก ฌานก็ไม่รู้จัก รู้จักแต่ในหนังสือ ผมชอบปฏิบัติตามลำดับ พึ่งจะเริ่มสำรวมอินทรีย์เท่านั้นเอง ที่เหลือก็เก่งแต่ในหนังสือ เพราะเมื่อก่อนทำมั่วมาเยอะก็เลยเริ่มใหม่ ขออาศัยกระทู้นี้แนะนำตัวแทนก็แล้วกันนะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 10:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเเรามีช่วงเวลากันทุกคน..
ปฐมวัย
วัยรุ่น
วัยกนุ่มสาว
วัยกลางคน
ปันฉิมวัย

คนที่มาทางธรรมก็เช่นเดียวกันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ธรรมที่เป็นโลกิยะ เป็นไฉน
คือ กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
อันเป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ได้แก่รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เป็นโลกิยะ
ธรรมที่เป็นโลกุตตระ เป็นไฉน
คือ มรรค ผลแห่งมรรค และอสังขตธาตุ (คือนิพพาน) เหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมที่เป็นโลกุตตระ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%C3%C3%C1

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2012, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บทว่า ชญฺญา นิพฺพานมตฺตโน ความว่า พระนิพพานอันเป็นอสังขตธาตุ นำมาซึ่งความสุขอย่างแท้จริง โดยเป็นอารมณ์อันดีเยี่ยมแก่มรรคญาณและผลญาณ ซึ่งได้บัญญัติว่า อัตตา เพราะไม่เป็นอารมณ์ของปุถุชนอื่น แม้โดยที่สุดความฝัน แต่เพราะเป็นแผนกหนึ่งแห่งมรรคญาณและผลญาณนั้นๆ ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และเพราะเป็นเช่นกับอัตตา จึงเรียกว่า อตฺตโน ของตน
พึงรู้ คือพึงทราบพระนิพพานนั้น อธิบายว่า พึงรู้แจ้ง คือพึงทำให้แจ้งด้วยมรรคญาณและผลญาณทั้งหลาย. ด้วยคำนั้น ทรงแสดงถึงความที่พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตน้อมไปในพระนิพพาน.
จริงอยู่ พระอริยะเจ้าทั้งหลายย่อมอยู่ แม้ในเวลาที่อธิจิตเป็นไป ก็อยู่โดยภาวะที่น้อมโน้มโอนไปในพระนิพพานโดยส่วนเดียวเท่านั้น. ก็ในที่นี้ สติเป็นไปในกายปรากฏแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นสำรวมแล้วในผัสสายตนะ ๖ ต่อแต่นั้น ก็มีจิตตั้งมั่นเนืองๆ พึงรู้พระนิพพานของตน ด้วยการกระทำให้ประจักษ์แก่ตน พึงทราบการเชื่อมบทแห่งคาถาอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=77


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2012, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


อสังขตสถาน มี โกวิทจะปฏิเสธไหมถ้าปฏิเสธ อสังขตสถาน....การที่โกวิทชอบเอาพระไตรปิฏกมาลงในนี้ต้องพิจารณากันใหม่ต้องศึกษากันใหม่ต้องไปหาครูบาอาจารย์ที่ที่ไม่ใช่พวกอนัตตาตกขอบให้ช่วยสั่งสอนกันใหม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2012, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


[๙๐๗] สังขตธรรม เป็นไฉน?
กุศลในภูมิ ๔ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า สังขตธรรม.
อสังขตธรรม เป็นไฉน?
นิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า อสังขตธรรม.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%C3%C3%C1

[๙๑๑] โลกิยธรรม เป็นไฉน?
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า โลกิยธรรม.
โลกุตตรธรรม เป็นไฉน?
มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า
โลกุตตรธรรม.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 8%C3%C3%C1

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร