วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 02:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 131 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ขอให้ดิฉันได้พูดบ้างเถอะค่ะจะหาว่าไม่เจียมบอดี้หรือสะเออะก็ไม่เป็นไรดิฉันไม่โกรธหรอกค่ะ

พูดจริงหรือเปล่าครับ แล้วอย่าให้ผู้ดูแลมาแบนผมนะครับ
สนองศรัทธาให้ครับ"น้องคิงคองอย่ามาสะแหล่น"
ห้ามโกรธนะครับ ผมทำตามด้วยใจที่อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ครับ :b13:
nongkong เขียน:
ดิฉันขอบอกว่าเป็นแฟนคลับของคุนโฮฮับคนนึงและชอบอุดมการณ์แนวทางความคิด แต่คุนโฮฮับชอบหยิบประเด็นเรื่องขี้หมูขี้หมามาพูดจนจากเรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนฟังบางคนเข้าก็เสียความรู้สึกแม้ว่าประเด็นที่คุนพูดมามันจะจริงแต่การพูดของคุนมันเป็นการ ตอกกลับไปให้ผู้อื่นหน้าแตก

อย่าคิดอกุศลแบบนั้นซิครับ การสอนธรรมคนมันมีหลายวิธีครับ
ผู้ที่จะสอนต้องรู้อยู่แก่ใจตนเองก่อนว่า เข้ามาไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
บอกธรรมก็ด้วยใจที่เป็นกุศล ใครจะชอบ จะโกรธเกลียด มันไม่ใช่สาระครับ

ผมบอกธรรมไปพร้อมๆกับให้ผู้ที่ฟัง ฝึกปฏิบัติควบคุมสติไปในตัวครับ
การจี้จุดแทงใจดำคนอื่น ผมก็หวังให้ผู้ฟัง รู้สึกและอยากที่จะขนขวายหาข้อมูล
เพื่อมาตอบโต้ผม มันเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ครับ
และเรื่องโกรธมีโทสะแค้นเคือง มันต้องเป็นผู้นั้นต้องหัดระงับและฝึกจิตตนเองครับ

คุณคิงคองครับ เข้ามาสนทนาในลานธรรมจักร อย่าคิดแต่เพียงเข้ามาอ่านหรือ
สนทนาเพียงอย่างเดียวซิครับ ต้องปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย จึงจะเรียกว่า เข้าบอร์ดมา
เพื่อเรียนรู้ธรรมะ ไม่ได้เข้ามาเล่นเว็บบอร์ด
nongkong เขียน:
ดิฉันชอบนะค่ะถ้าแนวทางของคุนโฮฮับไปอ้างอิงกับพวกที่เป็นอวิชชาแต่จากที่ดิฉันได้ติดตามและอ่านกระทู้ของคุนโฮฮับ คุนโฮฮับจะไม่ตั้งกระทู้แนวทางความคิดของตัวเอง ทั้งที่คุนรู้เรื่องพระอภิธรรม

เรื่องตั้งกระทู้แนวทางของผม ผมไม่ทำหรอกครับ ทำแบบนั้นมันเหมือน
กับการมาตั้งสำนักในเว็บบอร์ด และอีกอย่างจุดประสงค์ผมแค่จะมาบอกธรรมครับ
ผมไม่ได้ต้องการสอนใคร สิ่งที่ผมบอกใครจะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นปัญหาครับ
nongkong เขียน:
แต่คุนไล่กวาดไล่ต้อนผู้อื่นที่จน จนมุม แม้กระทั้งคุนชาวโลกที่เค้าก็บอกแต่แรกแล้วว่า ไม่เก่งเรื่องแปลหรือตีความหมายเค้าไม่สามารถจะพูดรึจะสื่อออกมาให้ตรงกับ บัญญัติอาไรที่ถูกต้องตามหลัก แต่ในทางปฏิบัติคุนชาวโลกสามารถปฏิบัติได้ถึงขั้นนั้น ก็ควรจะยกย่องด้วยไม่ใช่หรือค่ะ

แปลกใช้ภาษาที่แปลกนะครับ ผมตัวคนเดียวไปไล่กวาดต้อนผู้คนตั้งหลายคนได้
ผมว่าคุณคิดผิดแล้ว อย่ากล่าวหาผมเลยครับ ผมแค่พูดไปตามความจริง พูดตาม
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

แล้วเรื่องบัญญัติที่คุณว่า ผมกำลังชี้ให้เห็นสิ่งที่คุณชาวโลกกล่าวมันเป็น
สภาวะที่มีอยู่จริง แต่คุณชาวโลกกำลังหลงเพราะยังมีสภาวะอื่นอีก ซึ่งคุณ
ชาวโลกกำลังเข้าใจผิด ผมไม่เถียงกับคุณชาวโลกเรื่องบัญญัติ ผมกำลังบอก
ปรมัตถ์ให้รู้
การปฏิบัติมันไม่สำคัญว่าถึงขั้นไหน ถ้าเริ่มต้นผิดขั้นต่อมามันก็ผิดครับ
nongkong เขียน:
ก็ควรจะยกย่องด้วยไม่ใช่หรือค่ะ ดิฉันก็เป็นคนจับประเด็นเก่งเช่นกันนะค่ะ เหมือนคุนสอบคะแนนได้ 100เต็มอยู่คนเดียว แต่คนอื่นได้80-90คุณก็จะไปตักเตือนว่า มันไม่ได้นะมันต้องแบบนี้นะ ซึงมันผิดธรรมชาตินะค่ะ คุนก็เป็นคนเก่งคนนึงนะค่ะดิฉันยอมรับ ดิฉันมีเหตุผลอีกมากมาย แต่เอาแค่นี้ก็พอ คนเราต้องมีเมตตา กรุณาต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะ กาย วาจา ใจดิฉันจะติดตามผลงานของคุนโฮฮับต่อไปค่ะ...จบสั้นๆได้ใจความ
[/quote]
การพูดธรรมต้องพูดจริงโดยปราศจาก กิเลสเจือปนครับ
ไม่เห็นด้วยก็ว่าไม่เห็นด้วย และที่สำคัญไม่เห็นด้วยตรงไหน
ต้องชี้ลงไปให้ตรงจุดครับ

ที่สำคัญผมมาบอกธรรมคุณชาวโลกในฐานะกัลยาณมิตร
ผมไม่ได้มาจีบคุณชาวโลกเป็นแฟนสักหน่อย ถึงต้องยกยอปอปั้น
เอาใจคุณชาวโลกให้เคลิบเคลิ้ม :b13:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1:

ขอให้หายไว ๆ นะคะ คุณชาวโลก

:b8: :b8: :b8:


ใครเป็นอะไรเหรอคะ คุณ อีรัก ออน โจ้


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 13:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
ในสติปัฏฐานสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นเรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อนอย่างที่คนทั่วไปคิด

คุณโสกะว่าอย่างนั้น ถ้างั้นรบกวนถามหน่อยครับ
รู้จักองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้มั้ยครับ องค์ธรรมที่เรียกว่า
โพชฌงค์7 นั้นแหล่ะครับ ถ้ารู้เรื่องดี
ไหนช่วยอธิบาย การปฏิบัติให้ฟังหน่อยครับ


ลอกตำราหรือวิกิพีเดียมาไม่เอานะครับ :b13:

:b12:
สนทนากันมาตั้งนานคุณโฮฮับก็น่าจะพอคืบลามรู้ได้ว่าผมศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติมาขนาดไหนจึงอาจหาญมาโต้วาทะกั บท่านผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างคุณโฮฮับโดยไม่ยอมถอยเพราะเหตุที่คุณโฮ..ประเมินผมผิดพลาดจนน่าหัวเราะ
:b12:
เ รื่องโพธิปักขิยธรรม 37 ประการและเรื่อง โพชงค์ 7 นั้นเป็นเรื่องที่นักปฏิบัติและวิปัสสนาจารย์ควรต้องขึ้นใจดีกันอยู่แล้ว
ผมมีสูตรในการจำโพธิปักขิยธรรมว่า สามสี่ สองห้า หนึ่งเจ็ด หนึ่งแปด ไม่ทราบว่าคุณโฮ..จะขยายความเองได้หรือเปล่าถ้าบอกเพียงแค่นี้
ที่มาสนใจอยากจะรู้เรื่องของ หนึ่งเจ็ด อันประกอบด้วยปัญญามรรค หนึ่งข้อ และสมาธิมรรค หกข้อ นั้นจะอรรถาธิบายให้ฟังว่า เมื่อผู้เจริญมรรค 8 หรือวิปัสสนามาพอสมควรจนสติมีกำลังแก่กล้าทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดีเป็นสัมมาสติใกล้จะเป็นมหาสติจึงเป็นปัจจัยหนุนให้ ปัญามรรคคือธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิเคราะห์วิจัยธรรมได้ลึกซึ้งถึงที่จนเห็นธรรมตามความเป็นจริงพระไตรลักษณ์ชัดเจนจนใจยอมรับอนัตตาโดยดุษณียเกิดความปล่อยวางจางคลายความเห็นผิด ยึดผิด จิตที่จะตอบโต้ผัสสะไปด้วยความยินดียินร้ายหรืออภิชฌาและโทมนัสสังจึงสงบลงจิตจึงมีโอกาสได้พักงานจากความปรุงแต่ง
ทั้งหมดทั้งปวงเป็นไปด้วยอำนาจของ...วิริยะสัมโพชฌงค์....เมื่อจิตถึงความเป็นสังขารุเปกขาญาณ ซึ่งเทียบเท่ากับฌาณ 4 เช่นนั้น เรื่องปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขานั้นเขาเป็นมาเองตั้งแต่ก่อนจะเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว

จบอรรถาธิบายเรื่องโพชฌงค์ 7 จากปฏิบัติการโดยพิสดารเพียงเท่านี้ก่อน ไม่ทราบว่าคุณโฮฮับจะรู้ตามทันหรือเปล่าหนอ.. :b53:
:b12:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 13:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


"การพูดธรรมต้องพูดจริงโดยปราศจาก กิเลสเจือปนครับ" ขออ้างอิงคำพูดของคุนโฮฮับ แต่จากบทสนธนาของคุณโฮฮับเองมันกำลังสวนทางกับคำพูดข้างต้นนั้นอยู่ เอาคำพูดของคุณข้างต้นไปพูดในกระจกดูมั่งสิค่ะ เผื่อคุณโฮฮับจะรู้ตัวเองบ้าง :b8:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 14:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
อ้อ เดี๋ยวจะไม่สมบูรณ์ใครที่เจริญวิปัสสนาภาวนาก้าวหน้ามาจนถึง...สังขารุเปกขาญาณ...ท่านเปรียบว่าได้มายืนอยู่หน้าประตูพระนิพพานแล้ว รอโอกาสที่มรรคจะสมังคีส่งให้เป็น...อนุโลมญาณ...โสดาปัตติมรรคญาณ โคตรภูญาณ ผลญาณ นิพพานและปัจเวกขณญาณในที่สุด
onion


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


"ที่สำคัญผมมาบอกธรรมคุณชาวโลกในฐานะกัลยาณมิตร
ผมไม่ได้มาจีบคุณชาวโลกเป็นแฟนสักหน่อย ถึงต้องยกยอปอปั้น
เอาใจคุณชาวโลกให้เคลิบเคลิ้ม" สงสัยคุณโฮฮับจะเข้าใจเจตนาดิฉันผิด ดิฉันไม่ได้บอกว่าให้คุนโฮฮับไปยกยอปอปั้นคุนชาวโลก ดิฉันบอกว่า"ควรจะยกย่อง"ไม่ใช่หรือ? คุนแปลและตีความหมายเก่งแต่หลักพระอภิธรรม แต่คุนตีความหมายของภาษาไทยผิดเพี้ยนไปหมด... :b32:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
"การพูดธรรมต้องพูดจริงโดยปราศจาก กิเลสเจือปนครับ" ขออ้างอิงคำพูดของคุนโฮฮับ แต่จากบทสนธนาของคุณโฮฮับเองมันกำลังสวนทางกับคำพูดข้างต้นนั้นอยู่ เอาคำพูดของคุณข้างต้นไปพูดในกระจกดูมั่งสิค่ะ เผื่อคุณโฮฮับจะรู้ตัวเองบ้าง :b8:

แหม่ๆ ช่างหยอกย้อน น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆน้องคิงคอง ผมลองเอาไปพูด
กับกระจกดู แทนที่จะเป็นผมหรือไม่ก็เป็นคุณชาวโลก แต่ไหงกลับเป็นคุณ
อยุ่ในกระจกไปได้ ผมก็บอกกับคุณชาวโลกอยู่แท้ๆ
หรือว่าภาพที่ผมเห็นเป็นตัวคุณ แทนที่จะเป็นผมหรือคุณชาวโลก
แบบนี้แสดงว่า สิ่งที่ผมเห็นเป็นกิเลสนั้นเอง


หวังว่าคงเข้าใจคำพูดผมนะครับ มันก็เหมือนกับที่คุณพูดว่า
ตัวเองสอดเข้ามาหรือสะเออะนั้นแหล่ะครับ

เรื่องไม่ใช่เรื่องถ้าหลงเข้ามา มันก็กิเลสดีๆนี้เอง :b13:


nongkong เขียน:
"ที่สำคัญผมมาบอกธรรมคุณชาวโลกในฐานะกัลยาณมิตร
ผมไม่ได้มาจีบคุณชาวโลกเป็นแฟนสักหน่อย ถึงต้องยกยอปอปั้น
เอาใจคุณชาวโลกให้เคลิบเคลิ้ม" สงสัยคุณโฮฮับจะเข้าใจเจตนาดิฉันผิด ดิฉันไม่ได้บอกว่าให้คุนโฮฮับไปยกยอปอปั้นคุนชาวโลก ดิฉันบอกว่า"ควรจะยกย่อง"ไม่ใช่หรือ? คุนแปลและตีความหมายเก่งแต่หลักพระอภิธรรม แต่คุนตีความหมายของภาษาไทยผิดเพี้ยนไปหมด... :b32:

ผมตีความหมายไม่ผิดหรอกครับ ลองถ้าคุณไปยกย่องใคร ทั้งๆที่บุคคลนั้น
ไม่ได้เป็นแบบที่คุณยกย่อง แบบนี้ชาวบ้านเขาเรียกxxx คำสุภาพเรียกว่า
ยกยอปอปั้นครับ


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นพูดถึงโพชฌงค์กัน มีคำถามของอุบาสกและผู้ตอบคือพระพรหมคุณาภรณ์ ให้พิจารณาด้วย

ผู้ถาม : ขอกราบเรียนเรื่องธรรมะครับ เรื่องสัมโพชฌงค์ 7 ที่มี สติ ธรรมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ผมเคยอ่านในพระไตรปิฎกว่า ถ้าเจริญสติปัฏฐานให้มาก จะทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์

สติปัฏฐานคือ สัมมาสติ มรรคองค์ที่ 7 ผมพิจารณาแล้วมีความเข้าใจว่า โพชฌงค์ 7 ก็คือกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมาสติ ซึ่งไปสู่สัมมาสมาธิ อันสุดท้ายก็คืออุเบกขา อุเบกขาในโพชฌงค์ 7 จะไปทับกับอุเบกขาในสัมมาสมาธิ ไม่ทราบว่า เข้าใจถูกไหมครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพรหมคุณาภรณ์: ธรรมะในชุดนี้ เรียกรวมๆได้ว่าอยู่ในชุดโพธิปักขิยธรรม แปลว่า ธรรมะที่เป็นฝักฝ่ายของการตรัสรู้ คือ อยู่ในชุดของการตรัสรู้ ช่วยประกอบกัน หนุนกันให้ถึงปัญญาตรัสรู้ มีอยู่ 37 ประการ ใน 37 ประการนี้ ก็มีทั้งมรรค ทั้งโพชฌงค์ มีทั้งสติปัฏฐาน 4 อยู่ในนี้หมด ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกัน แล้วก็มาแยกตามการใช้งาน เอาเข้าจริงมันก็อยู่ในส่วนนั้นส่วนนี้ที่ถึงกันหมด

สติปัฏฐานก็คือเอาสติเป็นใหญ่ สติเป็นข้อแรกของโพชฌงค์อยู่แล้ว เวลาแปลสติปัฏฐาน เรามักแปลกันว่าการตั้งสติ บางทีก็แปลว่าการปรากฏของสติ หมายความว่า สติมันอยู่ ไม่ลอย ไม่หายไปเสียนั่นแหละ

เมื่อสติอยู่ เราก็อยู่ ไม่หลุด ไม่หล่น ไม่พลัดออกไปจากทาง ก็เข้าทาง อยู่ในทาง ตั้งต้นทาง ดำเนินไปถูกทาง พอดำเนินไปถูกทาง มันก็ดำเนินตามโพชฌงค์ไปได้ ก้าวต่อไปได้

ถ้าสติไม่ได้ตั้งขึ้นมาแล้ว โพชฌงค์ก็ไม่เดินไป

ฉะนั้น สติปัฏฐาน ก็เหมือนกับเป็นตัวเริ่มให้โพชฌงค์มาทำงาน โพชฌงค์ก็อาศัยสติปัฏฐานในแง่นี้

ทีนี้ สติปัฏฐานนี่ก็คือการมีชีวิตอยู่ด้วยสติ เหมือนกับตื่นอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีสติ ก็อยู่ในกระบวนการที่ไปทำให้ โพชฌงค์ได้เดินหน้าไปเต็มที่

หมายความว่า สติไม่ใช่ว่ามันจะอยู่ของมันอย่างเดียว แต่สติในสติปัฏฐานมาเป็นตัวเอื้ออำนายโอกาสตั้งแต่เริ่มต้นให้ พอสติมา โพชฌงค์ก็เริ่มทำงาน เริ่มต้นเดินหน้า เมื่อสติยังอยู่ โพชฌงค์ก็ทำงานเดินหน้าต่อไปได้เรื่อยไปๆ

แต่ความจริง ในสติปัฏฐานนั้น องค์ธรรมที่ประกอบกันก็ชัดอยู่แล้ว ปัญญาก็เป็นตัวสำคัญที่อยู่ในโพชฌงค์นั่นแหละ ท่านก็บอกไว้ชัดอยู่แล้ว พอสติเริ่มต้นให้แล้ว ธรรมวิจัยคือปัญญาก็ทำงานวิจัยธรรมไปได้เลย

ถึงในสติปัฏฐานเอง พอสติมา สัมปชัญญะคือปัญญาก็มาเข้าคู่ไปด้วย แล้วพอสติเริ่มงาน ก็ก้าวต่อไปได้ด้วยความเพียร (อาตาปี สมฺปชาโน สติมา) มากันเป็นชุดเป็นกระบวน
แต่ที่เน้นตัวสตินี่ก็คือจับเอาตัวสำคัญมา ตัวที่เริ่มต้นเป็นหลัก เป็นศูนย์รวม ให้แก่ตัวอื่นๆ

แต่เวลาดูการทำงานก็เห็นเป็นกระบวน ซึ่งดำเนินไปในแบบโพชฌงค์นั่นเอง


http://fws.cc/whatisnippana/index.php?t ... n#msg12839

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


"แหม่ๆ ช่างหยอกย้อน น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆน้องคิงคอง ผมลองเอาไปพูด
กับกระจกดู แทนที่จะเป็นผมหรือไม่ก็เป็นคุณชาวโลก แต่ไหงกลับเป็นคุณ
อยุ่ในกระจกไปได้ ผมก็บอกกับคุณชาวโลกอยู่แท้ๆ
หรือว่าภาพที่ผมเห็นเป็นตัวคุณ แทนที่จะเป็นผมหรือคุณชาวโลก
แบบนี้แสดงว่า สิ่งที่ผมเห็นเป็นกิเลสนั้นเอง" ดิฉันขออ้างอิงคำพูดของคุนโฮฮับว่า ทำไมดิฉันจะต้องเอาคำพูดนั้นไปพูดกับกระจกด้วยค่ะ เพราะดิฉันเข้ามาศึกษาพระธรรมในเวปลานธรรมจักร ไม่ได้เข้ามาพูดเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนกับคุนโฮฮับ ดิฉันมีแต่รับฟังผู้อื่นเพราะเป็นคนไร้สติ ไร้ปัญญา ไม่สามารถไปสั่งสอนผู้อื่นได้หรอกค่ะ ดิฉันก็เป็นแค่มนุษย์1ใน4จำพวก อย่างที่กระทู้ของท่าน พุทธวจนะ กล่าว :b8:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 17:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ดิฉันขออนุญาติแทรกแซงนิดนึงน่ะค่ะ :b8: :b8:

ดิฉันอยากให้ท่านทั้งสองถอยไปคนละก้าวค่ะ กราบขอบพระคุณคุณ nongkong ที่เข้ามาแก้คำต่างให้แทนดิฉัน ดิฉันซึ้งในน้ำใจมากค่ะ แต่ดิฉันขอได้ไหมค่ะ ขอให้ถอยไปก้าวหนึ่งและยืนนิ่งๆ นิ่งๆแบบใช้ขันติน่ะค่ะ ดิฉันว่าคุณ nonkong กำลังโดนหลอกล่อให้เล่นเกมอยู่ โดยที่คุณจริงจังมากแต่อีกฝ่ายสนุกมากในการหยอกเย้าคุณ..เชื่อดิฉันสักครั้งได้ไหมค่ะ เพราะดิฉันมองจากคนนอกดิฉันมองว่าคุณ nongkong กำลังดิ้นไปตามเกมค่ะ

ส่วนคุณโฮฮับค่ะ ดิฉันรู้ว่าดิฉันไม่อาจเอื้อมจะไปขอร้องคุณได้ว่า ขอให้ถอยไปคนละก้าว..คุณโฮฮับสนุกที่ได้หลอกล่อคุณ nongkong แต่คุณ nongkong ไม่ได้สนุกด้วยเลย ทำไมคุณโฮฮับที่จิตใสขนานนี้ยังมาแกล้งคนอื่นเล่นเพื่อความสนุกอีก..ท่านอย่าเอาความเจ็บปวดของคนอื่นมาเป็นความสนุกของท่านเลยค่ะ ถึงแม้ท่านจะว่านี่ไง ท่านกำลังชี้ให้เขาเห็นกิเลสของตัวเค้าเอง..บางครั้งการที่คุณnongkong เจอด้วยตัวของเขาเองน่าจะดีกว่านะคะ่ ดิฉันเคยเจอสภาพแบบนี้เหมือนกัน ดิฉันเข้าใจความรุ้สึกดีค่ะ

ดิฉันเข้าใจความรุ้สึกของทั้งสองฝ่ายน่ะค่ะ แต่ดิฉันอยากให้ถอยกันคนละก้าว เพื่อประคองใจกันและกัน ท่านโฮฮับอาจจะสนุกน้อยหน่อย แต่อีกฝ่ายเค้าจะไม่เจ็บช้ำนะค่ะ...

เดี๋ยวดิฉันจะไปลองตอบสิ่งที่คุณโฮฮับถามดิฉันมา ดิฉันจะลองตอบดูค่ะ แต่บอกไว้ก่อน จะตอบแบบตั้งใจที่สุด ด้วยสมองที่เบลอๆน่ะค่ะ ดิฉันมึนหัวมาได้ 4-5 วันแล้วตรงจุดกลางกระหม่อมค่ะ..เลยเบลอไปตลอดเลขคิดอะีไรก็มึนๆ มาเล่นกับดิฉันแทนดีกว่าค่ะ...ดิฉันพร้อมแล้วค่ะ :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)


ทีนี้พอแยกแยะละเอียดออกไป ก็จะเห็นธรรม 2 หมวดนี้ประสานกันคล้ายว่า เวลาพูดถึงสติปัฏฐานนี่ เราเน้นตัวเด่นที่สติในฐานะเป็นตัวเริ่มต้น และเป็นตัวหล่อเลี้ยงรักษากระบวนการทำงานให้ดำเนินอยู่ต่อเนื่องไป แล้วมีตัวทำงานที่สำคัญคือสัมปชัญญะ แล้วก็มีความเพียรที่จะเดินหน้า

ทีนี้ความเพียรดำเนินไปอย่างไร พอดูการทำงาน ก็คือมันก้าวไปในกระบวนการทำงานของโพชฌงค์นั่นเอง พอเริ่มต้นมีสติระลึก นึกอะไรขึ้นมาแล้วปัญญาที่ว่าวิจัยธรรม ก็มาทำงานเดินหน้าไปได้ แล้วที่ก้าวไปนั้นก็คือกำลังของวิริยะ เมื่อก้าวหน้าไปได้ๆ ก็มีปีติอิ่มใจสมใจปลื้มใจไปเรื่อยๆ ก็สงบผ่อนคลายเป็นปัสสัทธิ แล้วใจไม่เครียดไม่มีอะไรบีบคั้นสงบได้ ก็อยู่ตัวนิ่งแน่วเป็นสมาธิ จากนั้นก็อุเบกขา

อุเบกขาในที่นี้ เป็นอุเบกขาในธรรม ซึ่งต้องมาด้วยปัญญา คือ อาศัยปัญญาที่เกิดความรู้ความเข้าใจ พอเกิดความรู้ความเข้าใจมองเห็นสว่างโล่งแล้ว ทุกอย่างก็ลงตัวหมด ใจเป็นกลาง ถึงภาวะจิตที่ลงตัว เรียกว่าอุเบกขา

ตรงนี้ก็มาถึงประเด็นที่เป็นจุดหมายของคำถาม คือ ที่ถามว่าโพชฌงค์ 7 เป็นกระบวนการระหว่างสัมมาสติสู่สัมมาสมาธิ โดยในที่สุด อุเบกขาในโพชฌงค์ 7 จะไปทับกับอุเบกขาในสัมมาสมาธิ ใช่ไหม ?

ขอทำความเข้าใจก่อนว่า โพชฌงค์ 7 เป็นธรรมกระบวนใหญ่ครบหรือสมบูรณ์ในตัว เท่ากับมรรคมีองค์ 8 หรือเป็นวิธีพูดถึงการทำงานของมรรคนั้นในแนวหนึ่งนั่นเอง โดยแสดงในขั้นของสมาธิและปัญญา

เพราะฉะนั้น แทนที่จะพูดว่า โพชฌงค์ 7 ทำงานจากสัมมาสติสู่สัมมาสมาธิ ควรพูดว่า ทั้งสัมมาสติและสัมมาสมาธิทำงานร่วมอยู่ด้วยในโพชฌงค์ 7

ทีนี้ ในสัมมาสมาธิ ก็มีอุเบกขา (โดยเฉพาะในจตุตถฌาน) และในโพชฌงค์ 7 ก็มีอุเบกขา นั่นก็คือ องค์ธรรมหรือคุณสมบัติของจิตที่เป็นกลางนั้น
ในสัมมาสมาธิก็มี ในโพชฌงค์ 7 ก็มี แต่ทำหน้าที่ต่างสถานะ มีแดนขอบเขตอารมณ์ ไม่เท่าไม่ตรงกัน กล่าวคือ

อุเบกขาในจตุตถฌานได้แก่ ภาวะจิตที่เป็นกลางต่อองค์ธรรมในฌาน โดยเฉพาะ ลงตัวต่อความสุขที่เพิ่งประสบมาในตติยฌาน ไม่โอนเอนเยื่อใยเอียงไปกับสุขนั้น

ส่วนอุเบกขาที่เป็นโพชฌงค์ คือ ภาวะจิตที่เป็นกลางต่อธรรมทั้งปวงที่เกี่ยวข้องในกระบวนการปฏิบัติ

ท่านจึงมีคำเรียกสำหรับแต่ละอย่าง คือ อุเบกขาในจตุตถฌาน เรียกว่า ฌานุเบกขา
ส่วนอุเบกขาในโพชฌงค์ เรียกว่า โพชฌังคุเบกขา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 18:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน:
ชาวโลก เขียน:
:b8: :b8: กราบขอบพระคุณค่ะ ดิฉันเข้าใจในสติปัฎฐาน 4 แล้วคือ
ถ้าจะทำสติปัฎฐาน 4 ให้สมบูรณ์ เราจะรู้สึกถึงคำว่า
ไม่ยินดี ยินร้าย ในทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเกิดด้าน กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน
จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฎฐาน เราจะรู้สึกไม่ยินดียินร้ายเสมอ

คุณชาวโลกครับ อยากแนะนำครับ บางครั้งถ้าได้รับฟังคำชี้แนะจากใคร
ถ้าเรารู้สึกว่า เราไม่เข้าใจ ก็ต้องบอกว่าไม่เข้าใจ ไม่ต้องไปเกรงใจครับ
ถ้าขืนเกรงใจชาวบ้านแบบนี้ รับรองได้คุณได้เดินธรรมผิดอย่างที่คุณพูดแน่ๆ

คนที่แนะนำเรื่องนี้กับคุณก็ไม่มีความเข้า หยิบเอาเรื่องที่มันเกินจากสถานะ
มาแนะนำ พอถามว่าเข้าใจมั้ย คุณก็พยักหน้าส่งเดช เข้าใจคะ เข้าใจค่า

[b]อย่าว่าจับผิดเลยครับ ดูตัวอย่างง่ายๆที่ชี้ให้เห็นว่า ทั้งคนพูดและคนฟัง
ไม่ได้มีความเข้าใจเหมือนคำพูด


คำตอบนี้ดิฉันตอบไปแล้ว ดิฉันคงไม่ตอบอีกแล้วนะค่ะ :b12:

อ้างคำพูด:
ไอ้คำว่า"ไม่ยินดี ยินร้ายในทุกขณะจิต"ของคุณมันหมายถึงอะไรครับ


ดิฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี เดียวนี้ดิฉันแสดงออกมาทางการกระทำเลย เพราะเมื่อดิฉัน

ดูสังคม ดูสิ่งแวดล้อมรอบตัว ดิฉันเห็นความพอใจและไม่พอใจของผู้คน เมื่อดิฉันทำอย่างใดอย่างหนึง

สมมุติว่าดิฉันคุยโทรศัทพ์ คนที่รักดิฉันก็จะบอกว่า เออให้มันคุยไปเถอะ มันคุยแก้เหงา ส่นคนที่มีอคติกับ

ดิฉันก็จะมองว่า อะไรทำไมมันจะคุยกันนักกันหนา..ดิฉันมองเห็นสิ่งนี้ ดิฉันเลยคิดว่า ไม่ว่าดิฉันทำอะไร

มันย่อมเกิดความพอใจและไม่พอใจเกิดขึ้นอยู่เสมอ เมื่อดิฉันเห็นเช่นนี้ ดิฉันคิดว่า ช่างมัน ฉันจะเป็นตัว

ของฉันเอง ไม่ว่าอย่างไร โลกนี้ก็มีทั้งคำว่าพอใจและไม่พอใจ..ดังนั้นดิฉันไม่ต้องทำอะไรเพื่อพิสูจน์อะ

ไนให้ใครเห็น แค่ดิฉันรู้แก่ใจว่าดิฉันทำอะไร เพื่ออะไรอยู่เท่านั้น เพราะไม่ว่าอะไร ก็มีคนพอใจและไม่

พอใจอยู่เสมอ..ดิฉันอธิบายไม่เก่ง หวังว่าท่านคงเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพยายามจะสื่อออกมานะค่ะ


:b8: :b8:


อ้างคำพูด:
ในความเป็นจริง "ความไม่ยินดี ยินร้าย" ที่ถูกธรรมจริงแล้ว มันต้องมีเหตุปัจจัยมาก่อน
ไม่ใช่อยู่ดีๆก็ไม่ยินดียินร้าย อาการไม่ยินดี ยินร้ายทุกขณะจิตโดยไม่มีเหตุปัจจัย แบบนี้
เรียกว่า อารมณ์เฉยๆหรือโมหะ
ส่วนความไม่ยินดี ยินร้ายที่ถูกมันไม่ใช่เกิดทุกขณะจิต มันต้องมีเหตุปัจจัยที่เป็นกุศล
นั้นก็คือการพิจารณาธรรมหรือการทำวิปัสนากรรมฐานก่อน มันเป็นไปตามหลักรู้แล้วละ
ซึ่งรวมเรียกว่า ความเป็นกลาง


จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องปัจจัตตังน่ะ เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน นี่ดิฉันอ้างคำครูบา

อาจารย์มาพูดน่ะค่ะ เพราะทุกสิ่งไม่มีใครรู้ได้เท่าตัวดิฉัน ท่านพูดถูกว่าทุกอย่างมาจากเหตุปัจจัย แต่

เนื่องจากว่าท่านเป็นคนอื่น ทำไมดิฉันต้องแจ้งทุกอย่างให้ท่านทราบ แค่เล่าคร่าวๆก็เพียงพอ ดิฉัน

พิจารณาทุกวัน ดิฉันบอกอย่างนี้ท่านเชื่อไหม ดิฉันนิ่งตลอดดิฉันบอกอย่างนี้ท่านเชื่อไหม ดิฉันไม่เคยคิด

อะไรเลยเหมือนคนสมองกลวง เมื่อมีอะไรสมองถึงได้ถูกใช้งานบอกอย่างนี้ท่านเชื่อไหม ทุกอย่างดิฉัน

พูดมา ดิฉันไม่จำเป็นตัองให้ใครเชื่อเพราะดิฉันรู้ด้วยตัวของดิฉันเอง มันถึงเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน

ไง..ดิฉันพิจารณาทุกวัน มองไปทางใหนเห็นแต่กิเลส ไม่ต้องมองอื่นไกลดูแต่ตัวเอง กิเลสก็เต็มหัว ยัง

ไม่นับมองออกไปนอกตัว แค่นี้ก็ทำให้ดิฉันเบื่อต่อร่างกาย เบื่อต่อสังคม เบื่อต่อโลกแล้ว..เมื่อเบื่อแต่ก็

อยู่กับมันได้ แบบไม่เดือดร้อนเท่านั้น..ไม่เคยสุข มีแต่เฉยกับทุกข์ ดิฉันบอกอย่างนี้ท่านเชื่อไหม..เห็น

ไหมทุกอย่างเป็นทางเฉพาะตน เราไม่ต้องแจกแจงให้ใครฟัง...


แก้ไขล่าสุดโดย ชาวโลก เมื่อ 02 มี.ค. 2012, 19:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 18:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน:
ชาวโลก เขียน:
ถ้าจะทำสติปัฎฐาน 4 ให้สมบูรณ์ เราจะรู้สึกถึงคำว่า
ไม่ยินดี ยินร้าย ในทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเกิดด้าน กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน
จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฎฐาน เราจะรู้สึกไม่ยินดียินร้ายเสมอ

การทำสติปัสฐานสี่ให้สมบูรณ์ได้นั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องเป็นผู้ที่รู้สภาวะไตรลักษณ์มาแล้ว
สภาวะไตรลักษณ์เป็นเหตุปัจจัยในการทำวิปัสนาในเรื่อง กายานุปัสนา สิ่งนี้เป็นการละสังโยชน์
ในเรื่องสักกายทิฐิ เมื่อละสักกายทิฐิแล้ว สังโยชน์อีกสองตัวคือ วิจิกิจฉาและศีลพรตปรามาส
ก็จะละตามไปด้วย สัมมาทิฐิก็จะบริบูรณ์


นี่ก็ปัจจัตตังเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน..ท่านก็รู้แต่ท่านแกล้งบี้ดิฉันไปงั้น

.. ถ้าดิฉันบอกว่า ดิัฉันเห็นไตรลักษณ์แล้วท่านเชื่อไหม บอกว่าดิฉันเป็นอริยะเจ้าแล้วท่านเชื่อใหม แต่

ถ้าดิฉันบอกว่าดิฉันโง่มาก ไม่เข้าใจเรา ท่านเชื่อใช่ไหม..หรือบอกว่าอ่านไม่รู้เรื่องทำกันยังไง ทำไมอ่าน

ยังไงถึงไม่เข้าใจ ท่านจะเชือไหม เห็นไหมมันมีแต่คำว่า เชื่อและไม่เชื่อ เหตุใดดิฉันต้องพิสูจน์อะไรให้

คนอื่นดุ เพราะดิฉันนั้นรู้ตัวเองดีว่าดิฉันเป็นอย่างไร ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ดิฉันเชื่อในความรักดี

ของตัวเองที่ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน บางทีในสถานะการมานะตัวตนโผล่ออกมาก็แก้มันไป ฟุ้งซ่าน

มา ก็แก้มันไป แค่รู้จุดอ่อนตัวเองก็แก้กันไป เพราะดิฉันไม่เคยดูคนอื่น ดิฉันดูแต่ตััวเองและแก้แต่ตัวเอง

ดิฉันจะเงยหน้ามาดูคนอื่นก็ต่อเมื่อ ดิฉันเห็นว่าคนนั้นมีข้อดีที่สามารถมาอุดจุดบอดของตัวเองได้ไหม ก็

แค่นั้นเอง


อ้างคำพูด:
จากนั้นจึงใช้สัมมาทิฐิเป็นตัวนำในการทำธรรมมานุปัสนาฯ
การทำธรรมมานุปัสนาก็คือการ ไล่พิจารณา สติปัสฐาน ในฐานกาย
ฐานเวทนาและฐานจิตและมาจบที่ฐานธรรม กระบวนการนี้แหล่ะ
ที่เรียกว่า รู้เพื่อละสู่ความเป็นกลางในแต่ละองค์มรรค


ตรงนี้ขอบอกตามตรงค่ะว่า ดิฉันเป็นนักปฎิบัติไม่ใช่นักปริยัติ ดังนั้นท่านมาคุยกับ

ดิฉันแบบนี้ดิฉันไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ แต่ถ้าพูดว่าดิฉันดูกายอย่างไรแล้วมันเพิกกายได้ อย่างนี้ดิฉันตอบได้

ดิฉันดูอย่างไรทำให้ดิฉันเพิกจิตได้ดิฉันพูดได้ ..แต่อย่างว่าดิฉันเป็นนักฝึกหัดเดินในทางธรรมดิฉันย่อมมี

จุดบอดมากมาย และดิฉันก็เชื่อว่า ไม่มีใครเก่งที่สุดในโลก และไม่มีใครที่จะรู้ทุกอย่างในโลกนี้ได้..ดังนั้น

ดิฉันจะไม่รู้อะไรในบางอย่างก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่ดิแันรู้แค่ว่า ละสังโยชน์ 10 ต้องเดินแบบไหน

บารมี10 มีอะไรบ้าง ต้องทำอย่างไรเพื่อลบจุดบอดของตัวเอง เท่านั้นก็เพียงพอ


อ้างคำพูด:
คุณชาวโลกครับ คนที่หูหนวกเขาก็ไม่ยินดี ยินร้ายต่อเสียงที่ดังหนวกหูนะครับ
คนตาบอดก็ไม่ยินดี ยินร้ายต่อรูปที่พวกเราเห็นนะครับ


นั่นแค่คำเปรียเทียบสำหรับคนที่ไม่เข้าถึงว่า คนเข้าถึงเข้ารู้สึกอย่างไรต่างหาก

การเล่นคำเพื่อตีคน หรือเพื่อหยอกคน ดิฉันไม่อยากเล่นด้วย ดิฉันไม่สนุก เพราะดิฉัยเคยเล่นแบบท่านมา

แล้ว เพราะดิฉันมีเวลามากเหลือเกินที่จะเล่นได้ เล่นแบบนี้อีกกี่ชาติก็ได้..แต่เดี๋ยวนี้ดิฉันได้เปลี่ยนสถานะ

ภาพตัวเองแล้ว..เวลาดิฉันเหลือน้อยมาก คิดเป็นวินาทีได้เลย ดังนั้นดิฉันจะใช้ทุกวินาทีของดิฉันให้คุ้มค่า

เพื่อใ้ห้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของดิฉัน :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ชาวโลก เมื่อ 02 มี.ค. 2012, 19:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 18:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน:
ชาวโลก เขียน:
และการที่จะทำให้สติปัฎฐาน 4 ให้ได้อย่างสมบูรณ์และเป็นธรรมชาติ
คือ การ ไม่ยินดียินร้าย ใน ด้าน กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งจะเกิดความรู้สึกแบบนี้ทุกขณะจิต เป็นปกติ
นั้นก็คือทุกขณะในชีวิตประจำวัน โดยเราไม่ต้องตั้งท่าอะไรมากมาย ทำก็ดูเหมือนไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำก็ทำทุกขณะ
จิต ทุกอย่างเป็นไปตามอัตโนมัติ สอดคล้องไปกับตัวเราโดยเราไม่ได้ฝืนและทำตัวปกติเป็นไปตาม
ธรรมชาติของตัวเองที่เคยเป็นอยู่

คุณจะพูดว่า "ไม่ยินดี ยืนร้ายในกาย เวทนา จิต และธรรม"ได้ยังไง
พูดแบบนี้มันไม่ถูกครับ เป็นการเข้าใจบัญญัติผิดเลยเอามาใช้ผิด


ดิฉันไม่ได้เรียนรู้จากบัญญัติ แต่ดิฉันเรียนรู้จากปฎิบัติ..สิ่งที่บัญญัติบอกไว้แค่ 1 ใน 100 ของปฎิบัติเท่านั้น ถ้าไม่มีในบัญญัติก็ถือว่าผิดแล้วหรือ ท่านก็รู้แก่ใจดี แต่ท่านต้องการให้ดิฉันแสดงตัวตนจริงๆของดิฉันต่างหาก เพื่อความสนุกของตัวท่านเอง..

อ้างคำพูด:
พระพุทธองค์สอนให้หมั่นมีสติบนฐานกาย เวทนา จิตและธรรม
แล้วมาพูดว่าไม่ให้ยินดียินร้ายได้ไงครับ
นี่แหล่ะครับตัวอย่าง "รู้ผิด ทำให้เดินธรรมผิด"

เรื่องนี้ท่านก็รู้แก่ใจดีเช่นกัน่ว่า นักปฎิบัตน่ะต้องเรียนผิดเรียนถูกจากเส้นทางเดินของตน การรู้ผิดไม่ไช่สิ่งที่ผิด การการรู้ผิดนั่นเป็นสิ่งโชคดีต่างหาก เพื่อให้เราใช้ความผิดนั้นมาเป็นครูสอนเราว่า สิ่งที่ถูกนั้นเป็นอย่างไร หรือในชีวิตนี้ท่านไม่เคยรู้ผิด และเดินทางผิดเลย.
อ้างคำพูด:
คำพูดของคุณที่ผมอ้างอิงมา มันเป็นคำพูดของคนสับสนในธรรมครับ
ทั้งบุคคลทั้งสถานะและวิธีปฏิบัติดูมันยุ่งตีกันวุ่นวายไปหมดครับ


สิ่งที่ยุ่งคือตัวดิฉันค่ะ แต่ดิฉันคิดว่ามันไม่ยุ่งเพราะมันเป็นตัวของดิฉันเอง ท่านเป็นคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ และดิฉันก็มีข้อบกพร่องในการสื่อสารด้วยหนังสือเสมอ มันเลยเป็นแบบนี้ค่ะ

อ้างคำพูด:
ในคำพูดของคุณมันมีอยู่ท่อนหนึ่งที่พอจะเอามาแนะนำได้ครับ
นั้นก็คือ "ในชีวิตประจำวันกับไม่ต้องตั้งท่าอะไรมาก"
นี่แหล่ะครับ1เป็นหลักการเริ่มต้นของปุถุชนที่เริ่มภาวนา
เพียงแต่หมั่นมีสติในชีวิตประจำวันและมีสมาธิต่อการงานที่ทำ
เมื่อทำบ่อยๆ ทั้งสติและสมาธิจะมีกำลังที่ตั้งมั่น มันจะทำให้
บุคคลนั้นได้เห็นสภาวะไตรลักษณ์ได้ครับ


สาธุค่ะ ที่คำพูดดิฉันพอที่จะมีประโยชน์อยู่บ้าง :b8: :b8:

ถ้าท่านอยากเล่นสนุกกับดิฉัน มีเวลาแค่คืนนี้น่ะค่ะ เพราะพรุ่งนี้เช้าดิฉันจะไปต่างจังหวัดกลับมาวันพฤหััส และวันนั้นดิฉันจะมาเล่นกับท่านต่อนะค่ะ..เพื่อเป็นเพื่อนแก้เบื่อให้กับท่าน :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 131 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร