วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 03:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 21 มี.ค. 2012, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย นำคำในพระไตรปิฎกมาได้ถูกทีถูกบทความจริงๆเลยนะ
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวสอนไป ก็ไม่ผิดอะไรกับข้อความในพระไตรปิฏก เพียงแต่มันต่างยุคต่างสมัย ต่างเวลาและสถานที่เท่านั้น
บุคคล จะทำการใดใด หรือประพฤติ ปฏิบัติ หรือ ประกอบกิจการใดใด ก็ตาม ย่อมประกอบไปด้วยปัจจัย หรือสภาพสภาวะจิตใจ อันได้แก่

๑.สมาธิ ๒.สติ ๓.สัทธา ๔.วิริยะ ๕.ปัญญา

ถ้าหากบุคคล ประกอบด้วยปัจจัยทั้ง ๕ ชนิด อย่างครบถ้วนแล้ว ย่อมเกิด พละ คือ กำลัง ในการกระทำการใดใด หรือ ประพฤติ ปฏิบัติ หรือ ประกอบกิจการใดใด ได้สำเร็จลุล่วง โดยตลอด แม้ในบางเรื่องบางอย่างอาจจะมีอุปสรรค หรือมีเหตุอันทำให้ต้องล้มเลิกก็ตามที


โพสต์ เมื่อ: 21 มี.ค. 2012, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
กรัชกาย นำคำในพระไตรปิฎกมาได้ถูกทีถูกบทความจริงๆเลยนะ
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวสอนไป ก็ไม่ผิดอะไรกับข้อความในพระไตรปิฏก เพียงแต่มันต่างยุคต่างสมัย ต่างเวลาและสถานที่เท่านั้น
บุคคล จะทำการใดใด หรือประพฤติ ปฏิบัติ หรือ ประกอบกิจการใดใด ก็ตาม ย่อมประกอบไปด้วยปัจจัย หรือสภาพสภาวะจิตใจ อันได้แก่

๑.สมาธิ ๒.สติ ๓.สัทธา ๔.วิริยะ ๕.ปัญญา

ถ้าหากบุคคล ประกอบด้วยปัจจัยทั้ง ๕ ชนิด อย่างครบถ้วนแล้ว ย่อมเกิด พละ คือ กำลัง ในการกระทำการใดใด หรือ ประพฤติ ปฏิบัติ หรือ ประกอบกิจการใดใด ได้สำเร็จลุล่วง โดยตลอด แม้ในบางเรื่องบางอย่างอาจจะมีอุปสรรค หรือมีเหตุอันทำให้ต้องล้มเลิกก็ตามที


อะปะติโถ่เอ๊ย คุณกัดไกลเขาถามว่า สุกรนั้นคืออะไร แต่คุณศรีธัญญา กลับลุกขึ้นตอบทั้นใดว่า สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา

ฮาฮ๊าฮาพะย่ะข่ะ :b22:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 02:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
(สํ.สฬ.18/377/261)
พุทธพจน์นั่น ไม่เห็นมีอะไรซุกซ่อน เปิดเผยโล่งแจ้ง

ของแท้เขาเป็นอย่างนี้ครับ
[๓๗๗] ถ้าเมื่อภิกษุนั้นมีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
http://www.84000.org/tipitaka/read/?18/377/261
เปรียบเทียบให้ดูพุทธพจน์ของจริงกับของแท้ครับ

ที่นี้ขอวิจารณ์หน่อย บุคคลคนนี้เอาพระไตรปิฎกมาโพส
ด้วยวิธีสอดไส้ความเห็นตัวเองลงไปในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ
มิหน่ำซ้ำยัง อ้างที่มาของสิ่งที่ตัวนำมาแสดงแบบบิดเบือนเพื่อไม่ให้รู้ว่า ตัวเองได้กระทำ
สิ่งที่ไม่เหมาะสมนั้น :b13:

ที่สาหัสสากรรณก็คือดันเอาความเห็นผิดๆมาสอดไส้พระไตรปิฎกครับ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
(สํ.สฬ.18/377/261)
พุทธพจน์นั่น ไม่เห็นมีอะไรซุกซ่อน เปิดเผยโล่งแจ้ง

ของแท้เขาเป็นอย่างนี้ครับ
[๓๗๗] ถ้าเมื่อภิกษุนั้นมีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
http://www.84000.org/tipitaka/read/?18/377/261
เปรียบเทียบให้ดูพุทธพจน์ของจริงกับของแท้ครับ

ที่นี้ขอวิจารณ์หน่อย บุคคลคนนี้เอาพระไตรปิฎกมาโพส
ด้วยวิธีสอดไส้ความเห็นตัวเองลงไปในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ
มิหน่ำซ้ำยัง อ้างที่มาของสิ่งที่ตัวนำมาแสดงแบบบิดเบือนเพื่อไม่ให้รู้ว่า ตัวเองได้กระทำ
สิ่งที่ไม่เหมาะสมนั้น :b13:

ที่สาหัสสากรรณก็คือดันเอาความเห็นผิดๆมาสอดไส้พระไตรปิฎกครับ :b32:

:b32:


โพสต์ เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
(สํ.สฬ.18/377/261)
พุทธพจน์นั่น ไม่เห็นมีอะไรซุกซ่อน เปิดเผยโล่งแจ้ง

ของแท้เขาเป็นอย่างนี้ครับ
[๓๗๗] ถ้าเมื่อภิกษุนั้นมีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
http://www.84000.org/tipitaka/read/?18/377/261
เปรียบเทียบให้ดูพุทธพจน์ของจริงกับของแท้ครับ

ที่นี้ขอวิจารณ์หน่อย บุคคลคนนี้เอาพระไตรปิฎกมาโพส
ด้วยวิธีสอดไส้ความเห็นตัวเองลงไปในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ
มิหน่ำซ้ำยัง อ้างที่มาของสิ่งที่ตัวนำมาแสดงแบบบิดเบือนเพื่อไม่ให้รู้ว่า ตัวเองได้กระทำ
สิ่งที่ไม่เหมาะสมนั้น :b13:

ที่สาหัสสากรรณก็คือดันเอาความเห็นผิดๆมาสอดไส้พระไตรปิฎกครับ



ผิดตรงไหนขอรับ ก็เห็นๆอยู่นั่น :b1:

งั้นถามความหมายของสติ กับ สัมปชัญญะ

สติ แปลว่า ยังไง

สัมปชัญญะ แปลว่า ยังไง

และทั้งสองศัพท์นั้น จะทำให้เจริญขึ้นได้ยังไง :b1:

การใช้อ้างอิง โดยใช้ตัวย่อ ศึกษาที่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?t ... n#msg13141

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
การใช้อ้างอิง โดยใช้ตัวย่อ ศึกษาที่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?t ... n#msg13141

ยังไปได้อีกนะครับคุณกรัชกาย เล่นโฆษณาแฝงอีกแล้ว
จะให้ทางเว็บไปเก็บบิลค่าโฆษณาที่ใครครับ :b13:

คุณกรัชกายครับเนี่ยคุณยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ ตัวอักษรย่อในวงเล็บที่คุณให้มา
ปัญหามันก็คือ คุณอ้างอิงพระไตรปิฎกที่บิดเบือน คุณใส่ความเห็นของคุณ
ลงไปในพระไตรปิฎกที่คุณอ้าง

ถ้าบาปกรรมมีจริง คุณจะต้องตกนรกขุมสุดท้าย ถูกพระยายมตัดลิ้น
โทษฐานโกหกหลอกหวง :b13:

ผมไม่รู้คุณใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือเปล่านะ แต่หลักฐานมันฟ้องว่าคุณไม่ซื่อ
คุณใส่อักษรย่อที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะกลัวว่า เมื่อสมาชิกได้เห็น
พระไตรปิฎกที่มีเนื้อหาแท้ๆ ก็จะรู้ว่าคุณโกหก

ผมก็ไม่อยากถือสาหาความย้อนกลับมาขอลิ้งขอความที่คุณโพส
คุณก็ยังมีลูกเล่นโยกโย้ ทำเป็นไขสือถามโน้นถามนี่
นี่ก็มาอีกแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำมาโพสลิ้งแนะนำการอ่านอักษรย่อ
รู้ก็รู้อยู่ว่ามันไม่เกี่ยว ชาวบ้านเข้าอ่านออกแต่ที่เขาทำเป็นเฉยๆ
ก็เพื่อจะจับโกหก ผู้ร้ายปากแข็งครับ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
กรัชกาย นำคำในพระไตรปิฎกมาได้ถูกทีถูกบทความจริงๆเลยนะ
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวสอนไป ก็ไม่ผิดอะไรกับข้อความในพระไตรปิฏก เพียงแต่มันต่างยุคต่างสมัย ต่างเวลาและสถานที่เท่านั้น
บุคคล จะทำการใดใด หรือประพฤติ ปฏิบัติ หรือ ประกอบกิจการใดใด ก็ตาม ย่อมประกอบไปด้วยปัจจัย หรือสภาพสภาวะจิตใจ อันได้แก่

๑.สมาธิ ๒.สติ ๓.สัทธา ๔.วิริยะ ๕.ปัญญา

ถ้าหากบุคคล ประกอบด้วยปัจจัยทั้ง ๕ ชนิด อย่างครบถ้วนแล้ว ย่อมเกิด พละ คือ กำลัง ในการกระทำการใดใด หรือ ประพฤติ ปฏิบัติ หรือ ประกอบกิจการใดใด ได้สำเร็จลุล่วง โดยตลอด แม้ในบางเรื่องบางอย่างอาจจะมีอุปสรรค หรือมีเหตุอันทำให้ต้องล้มเลิกก็ตามที

นี่ก็อีกคน ไม่ได้รู้เหนือ รู้ใต้กับเขาเลย
จ่าเทวฤทธิ์ครับผมว่า ถ้าจ่าไม่กล้าไปปฏิบัติธรรมแบบง่ายๆที่สามจังหวัดชายแดนใต้
จ่าก็ไปช่วยชาวบ้านเขาลอกคูคลองก็ได้ เป็นทหารมาพูดเพ้อเจ้อมันไม่ได้ มันต้อง
สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ และประชาชน จ่าเคยได้ยินเพลงของน้าแอ็ดคาราบาวหรือเปล่า
ที่ร้องว่า.......

ดาวเดือนลอยเกลื้อนบนฟ้า ยิงให้ตกลงมาติดบ่าก็มากมาย
ติดแล้วจะมีอะไร ติดแล้วจะมีอะไร
ถ้าเขาไม่ได้เป็น ท. ทหารอดทน
rolleyes


โพสต์ เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
การใช้อ้างอิง โดยใช้ตัวย่อ ศึกษาที่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?t ... n#msg13141

ยังไปได้อีกนะครับคุณกรัชกาย เล่นโฆษณาแฝงอีกแล้ว
จะให้ทางเว็บไปเก็บบิลค่าโฆษณาที่ใครครับ :b13:

คุณกรัชกายครับเนี่ยคุณยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ ตัวอักษรย่อในวงเล็บที่คุณให้มา
ปัญหามันก็คือ คุณอ้างอิงพระไตรปิฎกที่บิดเบือน คุณใส่ความเห็นของคุณ
ลงไปในพระไตรปิฎกที่คุณอ้าง

ถ้าบาปกรรมมีจริง คุณจะต้องตกนรกขุมสุดท้าย ถูกพระยายมตัดลิ้น
โทษฐานโกหกหลอกหวง :b13:

ผมไม่รู้คุณใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือเปล่านะ แต่หลักฐานมันฟ้องว่าคุณไม่ซื่อ
คุณใส่อักษรย่อที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะกลัวว่า เมื่อสมาชิกได้เห็น
พระไตรปิฎกที่มีเนื้อหาแท้ๆ ก็จะรู้ว่าคุณโกหก

ผมก็ไม่อยากถือสาหาความย้อนกลับมาขอลิ้งขอความที่คุณโพส
คุณก็ยังมีลูกเล่นโยกโย้ ทำเป็นไขสือถามโน้นถามนี่
นี่ก็มาอีกแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำมาโพสลิ้งแนะนำการอ่านอักษรย่อ
รู้ก็รู้อยู่ว่ามันไม่เกี่ยว ชาวบ้านเข้าอ่านออกแต่ที่เขาทำเป็นเฉยๆ
ก็เพื่อจะจับโกหก ผู้ร้ายปากแข็งครับ


ท่านโฮ ไม่รู้เข้าใจระบบการศึกษา หรือ เคยผ่านสนามสอบว่า อ้างอิงอย่างไร ก็จะเป็นอย่างนี้ คือ รู้อะไรเลาๆ กล่าวคือ ฟังตามๆกันมา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 มี.ค. 2012, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้

ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นสุขขึ้น เธอก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า เวทนาทที่เป็นสุขนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แล เวทนานั้นอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น มิใช่ไม่อาศัยอะไรเลย อาศัยอะไร ? ก็อาศัยกายนี้เอง ก็กายนี้ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แล้วสุขเวทนาซึ่งเกิดโดยอาศัยกายที่ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมอยู่แล้ว จักเป็นของเที่ยงได้แต่ที่ไหน

เธอมองเห็นความเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเสื่อมสิ้นไป ความจางหาย ดับไป ความสลัดออกไปทั้งในกายและในสุขเวทนาอยู่ เมื่อเธอมองเห็น...อย่างนี้ ราคานุสัยที่มีในกายและในสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นทุกข์ขึ้น เธอก็รู้ชัด...ปฏิฆานุสัยที่มีในกายและในทุกขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุขขึ้น เธอก็รู้ชัด...อวิชชานุสัยที่มีในกายและในอทุกขมสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้”


(สํ.สฬ.18/377/261)

พุทธพจน์นั่น ไม่เห็นมีอะไรซุกซ่อน เปิดเผยโล่งแจ้ง


ผู้ที่มีหนังสือพุทธธรรมเปิดหน้า 351

วิธีเจริญสติสัมปชัญญะพึงศึกษาสัมมาสติ หรือสติปัฏฐาน ที่

viewtopic.php?f=2&t=18808&p=84866

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 มี.ค. 2012, 01:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ท่านโฮ ไม่รู้เข้าใจระบบการศึกษา หรือ เคยผ่านสนามสอบว่า อ้างอิงอย่างไร ก็จะเป็นอย่างนี้ คือ รู้อะไรเลาๆ กล่าวคือ ฟังตามๆกันมา :b1:

ผมว่ามันเป็นคุณซะมากกว่านะครับ ตั้งแต่คุยกันมาทั้งคุณทั้งจ่าจขกท
ไม่เห็นมีอะไรในกอไผ่ นอกจากอุจาระและเศษกระดาษทิชชู่

ที่คุณว่า"ผมไม่รู้ไม่เข้าใจระบบการศึกษาหรือสนามสอบ"
ไอ้สนามสอบที่ว่ามันสอบวิชาอะไรครับ และการศึกษาของประเทศไหน

เท่าที่ผมรู้ก็คือ คำว่าอ้างอิง มันก็คือหลักฐาน มันเป็นการแสดงว่า
คำพูดของผู้แสดงความเป็นความจริง

ดังนั้นผู้ที่อ้างอิงห้ามไปต่อเติมเสริมแต่ง ในสิ่งที่ตัวเองนำมาอ้างอิง
เป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเป็นการสร้างเท็จ


และที่สำคัญจะต้องบอกแหล่งที่มาของข้อมูลอ้างอิง
อย่างชัดเจน เพื่อสนับสนุนหลักฐานตัวเองว่าเป็นจริงตามแหล่งที่มา
การใส่ตัวเลขสลับไปสลับมาของคุณ มันสุจริตใจหรือเปล่าครับ


ที่บอกฟังตามๆกันมา แล้วไอ้การโพสคำศัพท์คำแปลจากหนังสือประมวลธรรม
ไม่ใช่การฟังตามๆกันมาหรือครับ อีกอย่างการเอาบทความของคนอื่นมาพูดไม่ใช่
ฟังตามๆกันมาหรือ คุณกรัชกายครับสิ่งที่คุณเห็นในกระจก มันเป็นตัวคุณเองกำลังยื่น
คู่อยู่กับจ่าเทวฤทธิ์ มันไม่ใช่ผมครับ


โพสต์ เมื่อ: 23 มี.ค. 2012, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ ”

คุณกรัชกายครับการที่คุณเอาความเห็นคุณสอดไส้เข้าไปในพุทธพจน์
มันทำให้ความหมายของพุทธนั้นเปลี่ยนแปลงไปนะครับ และมันเปลี่ยนแปลงไป
ในทางที่คลาดเคลื่อนเสียด้วย เอางี้ดีกว่า มันผิดมันใช้ไม่ได้ครับ

ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านทรงเน้นเรื่อง เหตุปัจัย เท่าที่เห็นคุณไม่ได้มี
ความเข้าใจในสิ่งนี้เอาเสียเลย คุณเล่นเอาคำศัพท์คำแปลของบัญญัติแต่ละคำ
มาเรียงเป็นประโยค แบบนี้หรือที่เรียกระบบการศึกษาของคุณ

ผมจะชี้ให้ดูว่าคุณขาดความเข้าใจตรงไหน

๑.ที่คุณพูดว่า" ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)
อันนี้คุณเข้าใจผิดว่าสัมปชัญญะคือปัญญา มันใช่ซะที่ไหนละครับ
ปัญญาก็คือสัมมาทิฐิ มันเป็นตัวนำหรือเป็นองค์ประกอบของสัมปชัญญะที่กำลังเกิด
ในที่นี้ สัมปชัญญะมีเหตุปัจจัยมาจาก สัมมาทิฐิ สติ สมาธิ ทั้งสามเป็นองค์ประกอบของ
สัมปชัญญะ และยังมีธรรมอีกตัวคอยควบคุบให้เกิดสติที่ต่อเนื่อง นั้นก็คือ วิริยะหรือความเพียร


๒.นี่อีกครับ "เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 )
มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น)"


ดูคำพูดนี้ก็รู้ว่า ไม่รู้เรื่องสติสัมปชัญญะเอาเสียเลย แถมเอาพุทธพจน์มาละเลงซะเละ
จะเล่าแจ้งแถลงและแก้ไขให้นะคุณกรัชกาย

ในเรื่องนี้ สติก็คือสติ ไม่ใช่ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานแล้วจึงจะเป็นสติ
"หลักสติปัฏฐาน" โดยธรรมแล้วมันเป็นอิทธิบาทหรือจุดมุ่งหมายแห่งอริยมรรค
สติก็คือ การระลึกรู้ผัสสะจากทวารทั้งหก การมีสติระลึกรู้ผัสสะที่ว่าต้องอาศัยความเพียรเป็นที่ตั้ง
เป็นอย่างนี้แล้ว สติก็จะต่อเนื่องเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ
การมีสติจนเป็นสมาธิ ในหลักของสติปัฎฐานสี่นี่แหล่ะ
เขาเรียกว่า ....มีสัปชัญญะในหลักของสติปัฏฐานสี่


กรัชกาย เขียน:
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ ”

ไอ้การยื่น เดิน นั่งฯลฯ ที่คุณบอกว่า ต้องสร้างสัมปชัญญะนั้นน่ะ มันใช่ซะที่ไหน
การยื่น เดิน นั่งฯลฯ มันต้องมีสติหรือสร้างสติ

ส่วนหลักของสติปัฏฐาน จะต้องมีสัมปชัญญะในหลักของสติปัฏฐานที่กำลังกระทำ

หวังว่าคงจะเข้าใจการเอาบัญญัติมาแปลโดดๆมันแตกต่างกับ
การอธิบายความถึงเหตุปัจจัยการเกิดนะครับ


โพสต์ เมื่อ: 23 มี.ค. 2012, 04:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ท่านโฮ ไม่รู้เข้าใจระบบการศึกษา หรือ เคยผ่านสนามสอบว่า อ้างอิงอย่างไร ก็จะเป็นอย่างนี้ คือ รู้อะไรเลาๆ กล่าวคือ ฟังตามๆกันมา :b1:

ผมว่ามันเป็นคุณซะมากกว่านะครับ ตั้งแต่คุยกันมาทั้งคุณทั้งจ่าจขกท
ไม่เห็นมีอะไรในกอไผ่ นอกจากอุจาระและเศษกระดาษทิชชู่

ที่คุณว่า"ผมไม่รู้ไม่เข้าใจระบบการศึกษาหรือสนามสอบ"
ไอ้สนามสอบที่ว่ามันสอบวิชาอะไรครับ และการศึกษาของประเทศไหน

เท่าที่ผมรู้ก็คือ คำว่าอ้างอิง มันก็คือหลักฐาน มันเป็นการแสดงว่า
คำพูดของผู้แสดงความเป็นความจริง

ดังนั้นผู้ที่อ้างอิงห้ามไปต่อเติมเสริมแต่ง ในสิ่งที่ตัวเองนำมาอ้างอิง
เป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเป็นการสร้างเท็จ


และที่สำคัญจะต้องบอกแหล่งที่มาของข้อมูลอ้างอิง
อย่างชัดเจน เพื่อสนับสนุนหลักฐานตัวเองว่าเป็นจริงตามแหล่งที่มา
การใส่ตัวเลขสลับไปสลับมาของคุณ มันสุจริตใจหรือเปล่าครับ


ที่บอกฟังตามๆกันมา แล้วไอ้การโพสคำศัพท์คำแปลจากหนังสือประมวลธรรม
ไม่ใช่การฟังตามๆกันมาหรือครับ อีกอย่างการเอาบทความของคนอื่นมาพูดไม่ใช่
ฟังตามๆกันมาหรือ คุณกรัชกายครับสิ่งที่คุณเห็นในกระจก มันเป็นตัวคุณเองกำลังยื่น
คู่อยู่กับจ่าเทวฤทธิ์ มันไม่ใช่ผมครับ


ผู้ที่มีหนังสือนวโกวาท เปิดไปหน้าแรกเลย :b14:

ธรรมมีอุปการมาก 2 อย่าง

1. สติ ความระลึกได้
2. สัมปชัญญะ ความรู้ตัว

องฺ. ทุก.20/119 ที.ปาฏิ. 11/290

ของเดิมมีแค่นั้น พร้อมหลักฐานอ้างอิง (สังเกตอักษรอ้างอิง)


ถามว่า สติ ระลึกได้ ระลึกในอะไร ตอบ ระลึกในสติปัฏฐาน 4 ก็คือเจริญสติหรือปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 หรือสัมมาสตินั่นเอง

สัมปชัญญะ ความรู้ตัว ภาคปฏิบัติ ก็คือ สร้างความรู้สึกตัวจากอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย เช่นยืน เดิน นั่ง กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น นี่เอง

อย่าง่นี้นักธรรมะข้างธรรมาสน์โฮฮับว่าสอดใส้ไหม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 มี.ค. 2012, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้

ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นสุขขึ้น เธอก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า เวทนาทที่เป็นสุขนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แล เวทนานั้นอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น มิใช่ไม่อาศัยอะไรเลย อาศัยอะไร ? ก็อาศัยกายนี้เอง ก็กายนี้ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แล้วสุขเวทนาซึ่งเกิดโดยอาศัยกายที่ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมอยู่แล้ว จักเป็นของเที่ยงได้แต่ที่ไหน

เธอมองเห็นความเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเสื่อมสิ้นไป ความจางหาย ดับไป ความสลัดออกไปทั้งในกายและในสุขเวทนาอยู่ เมื่อเธอมองเห็น...อย่างนี้ ราคานุสัยที่มีในกายและในสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นทุกข์ขึ้น เธอก็รู้ชัด...ปฏิฆานุสัยที่มีในกายและในทุกขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุขขึ้น เธอก็รู้ชัด...อวิชชานุสัยที่มีในกายและในอทุกขมสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้”


(สํ.สฬ.18/377/261)

พุทธพจน์นั่น ไม่เห็นมีอะไรซุกซ่อน เปิดเผยโล่งแจ้ง




เอาล่ะนะ เมื่อปฏิบัติดัง คห.ก่อนแล้ว เธอปฏิบัติไปๆ ...มีความเพียร (วิริยะ) ไม่ท้อถอยอยู่อย่างนั้นๆ เมื่อเกิดสุขเวทนาขึ้น...ผู้ปฏิบัติก็รู้ชัด (กำหนดรู้ตามที่มันเป็น ตามที่รู้สึก...) ดังนี้แล้วๆเล่าๆ ก็จะเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมสิ้นไป จางหาย ดับไปของเวทนา...เมื่อมองเห็นอย่างนี้ อนุสัยคือราคะก็ไม่ตกค้าง คือไม่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน

(ที่เหลืออีกสองข้อ คือ ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา - ปฏิฆานุสัย และอวิชชานุสัย ก็ทำนองเดียวกัน เมื่อรู้ชัดเวทนานั้นแล้ว อนุสัยก็ไม่ตกค้าง คือ ไม่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน)

ถึงได้ว่า ไม่มีอะไรซุกซ่อน เปิดเผยโล่งแจ้งน่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 มี.ค. 2012, 09:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 23 มี.ค. 2012, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ส่วนหลักของสติปัฏฐาน จะต้องมีสัมปชัญญะในหลักของสติปัฏฐานที่กำลังกระทำ

หวังว่าคงจะเข้าใจการเอาบัญญัติมาแปลโดดๆมันแตกต่างกับ
การอธิบายความถึงเหตุปัจจัยการเกิดนะครับ



หลักของสติปัฏฐาน จะต้องมีสัมปชัญญะในหลักของสติปัฏฐานที่กำลังกระทำ

ประโยคนี้ ถ้าฟังเพลินๆก็เออๆหนอๆไป แต่ถ้าดูเพื่อจะเอาหลักมาฝึกมาปฏิบัติแล้วช่างมืดมนธ์ มัวซัว

มีสัมปชัญญะ มีได้ยังไง อยู่เฉยๆ เจ้าสัมปชัญญะจะโผล่มาหรอ หรือว่าจุดธูปเรียกเอา :b9:

จะต้องมีสัมปชัญญะในหลักของสติปัฏฐานที่กำลังกระทำ

สติปัฏฐานของโฮฮับเป็นยังไง ขอดูตัวอย่างหน่อยขอรับ แล้วสัมปชัญญะจะไปสปาคกับสติปัฏฐานตอนไหนยังไงขอรับน่ะ :b10: ไม่ได้แกล้งพูดนะ ดูมันเลื่อนลอยที่ว่า
อ้างคำพูด:
"จะต้องมีสัมปชัญญะในหลักของสติปัฏฐานที่กำลังกระทำ"


อะไร บัญญัติ ขอตัวอย่างครับ

แล้วเหตุปัจจัยล่ะ อะไรเป็นเหตุปัจจัยของอะไรยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 มี.ค. 2012, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
sriariya เขียน:
กรัชกาย นำคำในพระไตรปิฎกมาได้ถูกทีถูกบทความจริงๆเลยนะ
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวสอนไป ก็ไม่ผิดอะไรกับข้อความในพระไตรปิฏก เพียงแต่มันต่างยุคต่างสมัย ต่างเวลาและสถานที่เท่านั้น
บุคคล จะทำการใดใด หรือประพฤติ ปฏิบัติ หรือ ประกอบกิจการใดใด ก็ตาม ย่อมประกอบไปด้วยปัจจัย หรือสภาพสภาวะจิตใจ อันได้แก่

๑.สมาธิ ๒.สติ ๓.สัทธา ๔.วิริยะ ๕.ปัญญา

ถ้าหากบุคคล ประกอบด้วยปัจจัยทั้ง ๕ ชนิด อย่างครบถ้วนแล้ว ย่อมเกิด พละ คือ กำลัง ในการกระทำการใดใด หรือ ประพฤติ ปฏิบัติ หรือ ประกอบกิจการใดใด ได้สำเร็จลุล่วง โดยตลอด แม้ในบางเรื่องบางอย่างอาจจะมีอุปสรรค หรือมีเหตุอันทำให้ต้องล้มเลิกก็ตามที

นี่ก็อีกคน ไม่ได้รู้เหนือ รู้ใต้กับเขาเลย
จ่าเทวฤทธิ์ครับผมว่า ถ้าจ่าไม่กล้าไปปฏิบัติธรรมแบบง่ายๆที่สามจังหวัดชายแดนใต้
จ่าก็ไปช่วยชาวบ้านเขาลอกคูคลองก็ได้ เป็นทหารมาพูดเพ้อเจ้อมันไม่ได้ มันต้อง
สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ และประชาชน จ่าเคยได้ยินเพลงของน้าแอ็ดคาราบาวหรือเปล่า
ที่ร้องว่า.......

ดาวเดือนลอยเกลื้อนบนฟ้า ยิงให้ตกลงมาติดบ่าก็มากมาย
ติดแล้วจะมีอะไร ติดแล้วจะมีอะไร
ถ้าเขาไม่ได้เป็น ท. ทหารอดทน
rolleyes


หากจ่าไม่เคยฟังก็เอาไปฟังนะเจ้าข่ะ :b13:



เนื้อเพลง ท.ทหารอดทน

ศิลปิน คาราบาว

ค่ำคืน เขายืนเดียวดาย
กอดปืนแนบกายอุ่นใจในลม หนาว
ท้อง ฟ้ามีเดือนกับดาว
ติดตามตัวเขา ทุกราตรีกาล
เป็นททหารอด ทน
หากินกับปืนกล พิทักษ์ถื่นแดนไทย
กี่คนจะมาเข้าใจ
ว่าเขาทำ เพื่อใคร
ถ้าไม่ได้ทำเพื่อคุณ
ดาวเดือนลอยเกลื่อนท้องฟ้า
ยิงให้ ตกลงมาติดบ่าได้สบาย
ดาวเดือนลอยเกลื่อนนภา
ยิงให้ตกลงมาติดบ่าก็มาก มาย
ติดแล้ว จะมีอะไร
ติดแล้ว จะมีอะไร
ถ้าเขาไม่ได้เป็น ททหารอดทน
ททหารลูกหลานคนจนๆ
ไม่กระเสือกกระสน
ก็เป็นแค่พลทหาร
โชค ดีแค่พิกลพิการ
ก็พอได้เล่าขานให้ลูกหลานอดทน
อับจนเขาก็ยังเจียมตัว
ไอ้ กลัวนะกลัว ว่าลูกปืนจะวิ่งชน
แต่จับปืนยืนด้วยเหตุผล
ก็หวังว่าผู้คน คงพอจะเข้าใจ
ดาวเดือนลอยเกลื่อนท้องฟ้า
ยิงให้ตกลงมาติดบ่าได้สบาย
ดาว เดือนลอยเกลื่อนนภา
ยิงให้ตกลงมาติดบ่าก็มากมาย
ติดแล้ว จะมีอะไร
ติด แล้ว จะมีอะไร
ถ้าเขาไม่ได้เป็น ททหารอดทน

ค่ำคืน เขายืนเดียวดาย
กอด ปืนแนบกายอุ่นใจในลมหนาว
ท้องฟ้า มีเดือนกับดาว
ติดตามตัวเขา ทุกราตรีกาล
เป็นททหารอดทน
หากินกับปืนกล พิทักษ์ถื่นแดนไทย
กี่คน จะมาเข้าใจ
ว่าเขาทำเพื่อใคร
ถ้าไม่ได้ทำเพื่อคุณ
ดาวเดือนลอย เกลื่อนท้องฟ้า
ยิงให้ตกลงมาติดบ่าได้สบาย
ดาวเดือนลอยเกลื่อนนภา
ยิง ให้ตกลงมาติดบ่าก็มากมาย
ติดแล้ว จะมีอะไร
ติดแล้ว จะมีอะไร
ถ้า เขาไม่ได้เป็น ททหารอดทน
ททหารลูกหลานคนจนๆ
ไม่กระเสือกกระสน
ก็ เป็นแค่พลทหาร
โชคดีแค่พิกลพิการ
ก็พอได้เล่าขานให้ลูกหลานอดทน
อับ จนเขาก็ยังเจียมตัว
ไอ้กลัวนะกลัว ว่าลูกปืนจะวิ่งชน
แต่จับปืนยืน ด้วยเหตุผล
ก็หวังว่าผู้คนคงพอจะเข้าใจ
ดาวเดือนลอยเกลื่อนท้องฟ้า
ยิง ให้ตกลงมาติดบ่าได้สบาย
ดาวเดือนลอยเกลื่อนนภา
ยิงให้ตกลงมาติดบ่าก็ มากมาย
ติดแล้ว จะมีอะไร
ติดแล้ว จะมีอะไร
ถ้าเขาไม่ได้เป็น ททหารอดทน
ททหารอดทน
ททหารอดทน
ททหารอดทน
ททหารอดทน
ททหารอด ทน
ททหารอดทน
ททหารอดทน
ททหารอดทน...

คุณโฮฮับ เขาอุตส่าห์เอาเพลงมาฝาก เผื่อจะปลุกใจรักชาติให้จ่าได้บ้าง ฟังซะนะจ่านะ แถมเนื้อให้ด้วยนะเนี่ย

ฮาฮ๊าฮา เจ้ามะฮะ :b22:
:b22: :b22: :b22:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร