วันเวลาปัจจุบัน 12 ส.ค. 2025, 15:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 29 มี.ค. 2012, 01:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จิตเดิมที่ไหนมันประภัสสรครับ ไอ้ที่เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด
ก็เพราะจิตมันไม่ประภัสสรครับ จิตมันมีกิเลสและไอ้กิเลสนี่แหล่ะ
เป็นเหตุให้เกิดสังสารวัฏ มันเป็นทุกข์


ส่วนความเห็นที่เหลือผมเห็นว่าคุณกำลังสับสนเลยผ่านไปครับ :b13:

นี่ก็อีกความเห็นเช่นสาติภิกษุผู้ลามก เห็นอีกเช่นกัน
ว่าจิตเวียนว่ายตายเกิด
กลับไปเรียนมาใหม่แล้วค่อยมาสนทนากัน

คุณเช่นนั้นครับ ผมอยากถามครับว่า...จิตกับวิญญาณมันเหมือนกันหรือครับ
พุดโถ๋! ที่แรกนึกว่าเก่งบัญญัติ นี่สรุปว่าทั้งปรมัตถ์ทั้งบัญญัติไม่ได้เรื่องทั้งคู่

กลับไปถามติสาภิกษุดูว่า.. รู้จักคำว่าจิตหรือเปล่า แล้วค่อยยกเอาติสาภิกษุมาอ้างอิง
พุดถังเอ้ย! เพราะว่าติสาภิกษุไม่รู้เรื่องจิตไม่เข้าใจเรื่องจิต ท่านจึงให้คำเรียกว่า ภืกษุผู้ลามก
แล้วก็ไม่รู้ว่าใครอีกเหมือนกันที่เข้าใจว่า จิตที่ผมกล่าวกับวิญญาณที่ติสะภิกษุนั้นเหมือนกัน
ผมว่าคนกล่าวหรืออ้างอิงลามกพอกันครับ


คุณ"เช่นนั้น"ครับ ถามสั้นๆว่า เข้าใจเรื่อง..
รูปกับนาม กายกับจิตมั้ยครับ
:b13:


โพสต์ เมื่อ: 29 มี.ค. 2012, 01:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
ดิฉันขออนุญาติแทรกแซงความคิดเห็นของดิฉันด้วยนะเจ้าค่ะ ดิฉันเห็นด้วยกับที่ท่านเช่นนั้นบอกว่าการจำเป็นสัญญา การระลึกได้เป็นสติ
อาการจิตจำได้ เป็นสัญญาขันธ์
อาการจิตระลึกได้เป็นสังขารขันธ์
จำได้ระลึกไม่ได้ก็มี เช่นจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่ เรียกว่า จำได้ ระลึกไม่ได้
เพราะว่าที่ท่านเช่นนั้นพูดมา มันเกิดกับตัวดิฉันเอง คืออย่างนี้ ดิฉันไปตลาดเพื่อไปซื้อปลามาปรุงอาหาร แล้วปลาก็มีแต่ปลาที่สดคือยังไม่ตาย แล้วดิฉันก็คิดว่าดิฉันต้องบาปแน่ถ้าซื้อปลาพวกนี้ไปทำอาหารเพราะดิฉันต้องผิดศีลข้อ1 ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ดิฉันก็ตัดสินใจซื้อปลามาอยู่ดีเพราะถ้าจะให้ดิฉันซื้อปลาที่มันตายแล้วมาปรุงอาหารก็เกรงว่ามันจะไม่สด(เดี๋ยวคนที่บ้านก็บ่นอีก) นี่ใช่ไหมเจ้าค่ะที่รู้ว่าเป็นบาปคือสัญญาแต่ก็ระลึกไม่ได้

ตอนตัดสินใจซื้อนั่นล่ะครับ สติระลึกความเกรงกลัวต่อบาปไม่ทัน แม้ขณะนั้นจิตก็ยังมีสัญญาต่อเรื่องการผิดศีล และเรื่องหิริโอตตัปปะอยู่...

ที่พูดมาแน่ใจแล้วหรือ ที่ว่า สติระลึกความเกรงกลัวต่อบาปไม่ทัน
nongkong เขียน:
แล้วดิฉันก็คิดว่าดิฉันต้องบาปแน่ถ้าซื้อปลาพวกนี้ไปทำอาหารเพราะดิฉันต้องผิดศีลข้อ1 ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ...

แล้วที่คุณคิงคองแกคิดแบบนั้น ไม่เรียกว่าสติหรือครับ
คุณคิงคองแกระลึกทันครับ แต่สติมันเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง
มันเกิดแล้วก็ดับ เมื่อสติดับแทนที่คุณคิงคองแกจะทำให้สติเกิดอย่างต่อเนื่อง
แกกลับหลงไปรับธัมมารมณ์ตัวใหม่ มาปรุงแต่งครับ

ทั้งหมดทั้งมวลน้องคิงคองแกมีสติ แต่เป็นสติที่ขาด
การต่อเนื่องไม่เป็นสมาธิ


นี่ถ้าเข้าใจเรียกจิตเกิดดับมันก็รู้เรื่องไปแล้ว :b13:


โพสต์ เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ดิฉันขออนุญาติแทรกแซงความคิดเห็นของดิฉันด้วยนะเจ้าค่ะ ดิฉันเห็นด้วยกับที่ท่านเช่นนั้นบอกว่า[color=#FF0000]การจำเป็นสัญญา การระลึกได้เป็นสติ
อาการจิตจำได้ เป็นสัญญาขันธ์
อาการจิตระลึกได้เป็นสังขารขันธ์
จำได้ระลึกไม่ได้ก็มี เช่นจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่ เรียกว่า จำได้ ระลึกไม่ได้

ขอทำความเข้าใจกับคุณน้องคิงคองครับ จะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นปัญหาครับ
อย่างนี้ครับ ในทางปรมัตถ์ ทุกอย่างมันเป็นสภาวะเกิดแล้วดับ เขายึดเอา
ช่วงตอนเกิดสภาวะปัจจุบันเป็นหลัก ดังนั้นความจำที่เป็นสภาวะมันไม่มีหรือแม้กระทั้ง
ตัวจิตหรือเจตสิกเองก็ไม่มี ความจำมันเป็นสมมุติบัญญัติ
แล้วไอ้ตัวสมมุติบัญญัติที่เรียกว่าจำ มันมาจากไหน แท้จริงแล้วมันเป็นสภาวะที่เรียกว่าสติ
ไประลึกเอาสัญญามาครับ

และสัญญาก็ไม่ใช่"ความจำ"ในอารมณ์ปรมัตถ์ สัญญาคือ การที่จิตตัวรู้ไปรู้อาการของจิต
ตัวก่อนแล้วดับไปครับ ไอ้ตัวรู้ที่ดับไปนั้นแหล่ะครับ เรียกว่าสัญญา

ที่สำคัญที่สุดก็คือ สภาวะที่เกิดและดับไปแล้ว เราไปเอากลับมาอีกแท้แล้วมันไม่ใช่ตัวตน
เพราะสิ่งนั้นมันไม่มีอยู่จริงมันดับไปแล้ว เราเรียกมันว่าสังขารขันธ์


โพสต์ เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
nongkong เขียน:
ดิฉันขออนุญาติแทรกแซงความคิดเห็นของดิฉันด้วยนะเจ้าค่ะ ดิฉันเห็นด้วยกับที่ท่านเช่นนั้นบอกว่าการจำเป็นสัญญา การระลึกได้เป็นสติ
อาการจิตจำได้ เป็นสัญญาขันธ์
อาการจิตระลึกได้เป็นสังขารขันธ์
จำได้ระลึกไม่ได้ก็มี เช่นจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่ เรียกว่า จำได้ ระลึกไม่ได้

ขอทำความเข้าใจกับคุณน้องคิงคองครับ จะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นปัญหาครับ
อย่างนี้ครับ ในทางปรมัตถ์ ทุกอย่างมันเป็นสภาวะเกิดแล้วดับ เขายึดเอา
ช่วงตอนเกิดสภาวะปัจจุบันเป็นหลัก ดังนั้นความจำที่เป็นสภาวะมันไม่มีหรือแม้กระทั้ง
ตัวจิตหรือเจตสิกเองก็ไม่มี ความจำมันเป็นสมมุติบัญญัติ
แล้วไอ้ตัวสมมุติบัญญัติที่เรียกว่าจำ มันมาจากไหน แท้จริงแล้วมันเป็นสภาวะที่เรียกว่าสติ
ไประลึกเอาสัญญามาครับ

และสัญญาก็ไม่ใช่"ความจำ"ในอารมณ์ปรมัตถ์ สัญญาคือ การที่จิตตัวรู้ไปรู้อาการของจิต
ตัวก่อนแล้วดับไปครับ ไอ้ตัวรู้ที่ดับไปนั้นแหล่ะครับ เรียกว่าสัญญา

ที่สำคัญที่สุดก็คือ สภาวะที่เกิดและดับไปแล้ว เราไปเอากลับมาอีกแท้แล้วมันไม่ใช่ตัวตน
เพราะสิ่งนั้นมันไม่มีอยู่จริงมันดับไปแล้ว เราเรียกมันว่าสังขารขันธ์

อืม..น่าคิดเหมือนกันเจ้าค่ะ ดิฉันคงต้องฝึกสติให้เป็นสมาธิมากกว่านี้ก่อนอย่างที่ท่านโฮบอกจะได้เข้าใจว่าการจำหรือสัญญาขันธ์ ที่แท้มันเป็นแค่สติเราไประลึกเอาสัญญามา[color=#FF0000]แต่ดิฉันยังไม่เข้าใจว่ามานแตกต่างกันตรงไหนระหว่าง สติไประลึกการเกรงกลัวต่อบาปไม่ทัน กับ สติไประลึกเอาสัญญา สรุปความหมายในทางธรรมก็เหมือนกันไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ เพียงแต่อธิบายไปคนละอย่างก็เหมือนกับเราออกเดินทางคนละจุดแต่เป้าหมายก็เหมือนกัน สุดท้ายก็มาถึงจุดเดียวกันเช่นเดิมไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนบนเขา เขียน:
เจตสิกคืออะไรครับ อธิบายให้คนเพิ่งศึกษาธรรมะแบบเข้าใจง่ายๆให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ


เจตสิก (อ่านว่า เจตะสิก) แปลว่า ธรรมที่ประกอบกับจิต, สิ่งที่เกิดในใจ, ทางใจ
เจตสิกหมายถึงองค์ประกอบของจิต อาการหรือการแสดงออกของจิต จัดเป็นสมรรถนะหรือคุณสมบัติของจิต มีลักษณะที่เกิดดับพร้อมกับจิต เป็นอารมณ์ของจิต มีวัตถุที่อาศัยเดียวกับจิต เป็นกฎเกณฑ์ให้ประกอบเป็นจิต เจตสิกแยกเป็นขันธ์ ได้ 3 ขันธ์ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ (คือความแปรปรวนทางนามธาตุ) สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ (เปรียบเช่นภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จดจำการแก้ทุกขัง) เจตสิกที่เหลืออีก 50 เป็น สังขารขันธ์ (ได้แก่นามธาตุต่างๆมีสภาวะเป็นข้อมูล ที่เป็นกฎเกณฑ์ให้เป็นไปทั่วของจิต อันเป็นดุจรหัสพันธุ์กรรมของจิต )


เจตสิกจัดเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของพระอภิธรรมปิฎกซึ่งมี 4 เรื่องคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน และจัดเป็นเรื่องสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งด้วย

เจตสิก 52

แยกโดยละเอียดแล้วมี 52 ประการ จัดเป็นหมวดใหญ่ๆ ได้ 3 หมวด คือ

อัญญสมานาเจตสิก 13
สัพพจิตตสาธารณะ 7

หมายถึงเจตสิกที่เกิดกับจิตทั้งปวง
เอกกัคคตา ประคองจิตให้มีอารมณ์เดียว
ชีวิตินทรีย์ เป็นใหญ่ในการหล่อเลี้ยงนามธรรม คือจิตและเจตสิกทั้งหลาย
มนสิการ กระทำไว้ในใจ (มโน)
เวทนา
สัญญา
เจตนา
ผัสสะ อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะ

ปกิณณกเจตสิก 6

หมายถึงเจตสิกที่เรี่ยรายทั่วไป ไม่ได้เกิดกับจิตทุกดวง
วิตก การนึก
วิจาร การคิด
อธิโมกข์ จูงจิตให้เชื่อ(ตามที่คิด)
ฉันทะ ความชอบใจในสิ่งที่เชื่อ
วิริยะ ความพยายามตามความเชื่อนั้น
ปีติ ความอิ่มใจ

อกุศลเจตสิก 14

โลภะ 3
โลภะ (ตัณหาและราคะเป็นอารมณ์เดียวกับโลภะ)
ทิฏฐิ
มานะ
โทสะ 4
โทสะ
อิสสา
มัจฉริยะ
กุกกุจจะ
โมหะ๔
โมหะ
อหิริ
อโนตตัปปะ
อุทธัจจะ
ติกะ 3
•ถีนะ
•มิททะ
•วิจิกิจฉา

โสภณเจตสิก 25

สาธารณะ 19
สติ
สัทธา
หิริ
โอตตัปปะ
อโลภะ
อโทสะ
ตัตรมัชฌัตตา การวางจิตเป็นกลางต่ออารมณ์นั้นๆ

ที่แหลือจัดเป็น 6 คู่ คือการบังคับควบคุมกายและจิตที่ดี คือ

กายลหุตา+ จิตตลหุตา (ทำกายจิตเบา)
กายมุทุตา +จิตตมุทุตา (ทำกายจิตอ่อน)
กายกัมมัญญัตตา +จิตตกัมมัญญัตตา (ทำกายจิตควรแก่การงาน คือพอประมาณ)
กายอุชุตา +จิตตอุชุตา (ทำกายจิตให้ตรง คือแม่นยำ ถูกต้อง)
กายปัสสัทธิ+ จิตตปัสสัทธิ (ทำกายจิตให้สงบ)
กายปาคุญญตา +จิตตปาคุญญตา (ทำกายจิตให้คล่องแคล่ว)

วิรัตติ 3

สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ
อัปปมัญญา๒

กรุณา มุทิตา

ปัญญา 1
ปัญญา

.....................................................
รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
คนบนเขา เขียน:
เจตสิกคืออะไรครับ อธิบายให้คนเพิ่งศึกษาธรรมะแบบเข้าใจง่ายๆให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ


เจตสิก (อ่านว่า เจตะสิก) แปลว่า ธรรมที่ประกอบกับจิต, สิ่งที่เกิดในใจ, ทางใจ
เจตสิกหมายถึงองค์ประกอบของจิต อาการหรือการแสดงออกของจิต จัดเป็นสมรรถนะหรือคุณสมบัติของจิต มีลักษณะที่เกิดดับพร้อมกับจิต เป็นอารมณ์ของจิต มีวัตถุที่อาศัยเดียวกับจิต เป็นกฎเกณฑ์ให้ประกอบเป็นจิต เจตสิกแยกเป็นขันธ์ ได้ 3 ขันธ์ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ (คือความแปรปรวนทางนามธาตุ) สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ (เปรียบเช่นภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จดจำการแก้ทุกขัง) เจตสิกที่เหลืออีก 50 เป็น สังขารขันธ์ (ได้แก่นามธาตุต่างๆมีสภาวะเป็นข้อมูล ที่เป็นกฎเกณฑ์ให้เป็นไปทั่วของจิต อันเป็นดุจรหัสพันธุ์กรรมของจิต )


เจตสิกจัดเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของพระอภิธรรมปิฎกซึ่งมี 4 เรื่องคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน และจัดเป็นเรื่องสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งด้วย

เจตสิก 52

แยกโดยละเอียดแล้วมี 52 ประการ จัดเป็นหมวดใหญ่ๆ ได้ 3 หมวด คือ

อัญญสมานาเจตสิก 13
สัพพจิตตสาธารณะ 7

หมายถึงเจตสิกที่เกิดกับจิตทั้งปวง
เอกกัคคตา ประคองจิตให้มีอารมณ์เดียว
ชีวิตินทรีย์ เป็นใหญ่ในการหล่อเลี้ยงนามธรรม คือจิตและเจตสิกทั้งหลาย
มนสิการ กระทำไว้ในใจ (มโน)
เวทนา
สัญญา
เจตนา
ผัสสะ อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะ

ปกิณณกเจตสิก 6

หมายถึงเจตสิกที่เรี่ยรายทั่วไป ไม่ได้เกิดกับจิตทุกดวง
วิตก การนึก
วิจาร การคิด
อธิโมกข์ จูงจิตให้เชื่อ(ตามที่คิด)
ฉันทะ ความชอบใจในสิ่งที่เชื่อ
วิริยะ ความพยายามตามความเชื่อนั้น
ปีติ ความอิ่มใจ

อกุศลเจตสิก 14

โลภะ 3
โลภะ (ตัณหาและราคะเป็นอารมณ์เดียวกับโลภะ)
ทิฏฐิ
มานะ
โทสะ 4
โทสะ
อิสสา
มัจฉริยะ
กุกกุจจะ
โมหะ๔
โมหะ
อหิริ
อโนตตัปปะ
อุทธัจจะ
ติกะ 3
•ถีนะ
•มิททะ
•วิจิกิจฉา

โสภณเจตสิก 25

สาธารณะ 19
สติ
สัทธา
หิริ
โอตตัปปะ
อโลภะ
อโทสะ
ตัตรมัชฌัตตา การวางจิตเป็นกลางต่ออารมณ์นั้นๆ

ที่แหลือจัดเป็น 6 คู่ คือการบังคับควบคุมกายและจิตที่ดี คือ

กายลหุตา+ จิตตลหุตา (ทำกายจิตเบา)
กายมุทุตา +จิตตมุทุตา (ทำกายจิตอ่อน)
กายกัมมัญญัตตา +จิตตกัมมัญญัตตา (ทำกายจิตควรแก่การงาน คือพอประมาณ)
กายอุชุตา +จิตตอุชุตา (ทำกายจิตให้ตรง คือแม่นยำ ถูกต้อง)
กายปัสสัทธิ+ จิตตปัสสัทธิ (ทำกายจิตให้สงบ)
กายปาคุญญตา +จิตตปาคุญญตา (ทำกายจิตให้คล่องแคล่ว)

วิรัตติ 3

สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ
อัปปมัญญา๒

กรุณา มุทิตา

ปัญญา 1
ปัญญา


ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านความในพระไตรปิฏก อาจจะมีข้อสงสัย และอาจคิดไปว่า ความในพระไตรปิฏก แตกต่างจากหลักการแพทย หรือหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งในทางที่เป็นจริงแล้ว ความตามพระไตรปิฎกข้างต้นนั้น เป็นเพียงการแจกแจงให้ได้รู้ว่า ภายในร่างกายเรา หรือภายในใจและสมองของมนุษย์นั้น จักมี เจตสิก ซึ่งก็คือ "ความรู้ โดยทั่วไปรวมไปถึง ธรรมะทั้งหลาย" ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับ "รูป(สรีระร่างกาย) ,เวทนา(ความรู้สึกฯ),สัญญา(ความจำ),สังขาร (การปรุงแต่ง)"จักทำให้เกิดเป็น เจตสิก "ธรรมที่ประกอบอยู่ในจิต ๕๒ ประการ ๕๒ รูปแบบ" แต่มิได้หมายความว่า ในร่างกายของคนเรามี "จิต"เพียง ๕๒ ดวง นะขอรับ เพราะ"จิต"ในทางพุทธศาสนานั้น แท้จริง ก็คือ เซลล์ ต่างๆที่ประกอบกันเป็น อวัยวะ ของร่างกาย
ขอให้ท่านทั้งหลายได้คิด ได้พิจารณาให้ถ่องแท้ขอรับ


โพสต์ เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
พุทธคุณ เขียน:
ฯลฯ.....................


ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านความในพระไตรปิฏก อาจจะมีข้อสงสัย และอาจคิดไปว่า ความในพระไตรปิฏก แตกต่างจากหลักการแพทย หรือหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งในทางที่เป็นจริงแล้ว ความตามพระไตรปิฎกข้างต้นนั้น เป็นเพียงการแจกแจงให้ได้รู้ว่า ภายในร่างกายเรา หรือภายในใจและสมองของมนุษย์นั้น จักมี เจตสิก ซึ่งก็คือ "ความรู้ โดยทั่วไปรวมไปถึง ธรรมะทั้งหลาย" ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับ "รูป(สรีระร่างกาย) ,เวทนา(ความรู้สึกฯ),สัญญา(ความจำ),สังขาร (การปรุงแต่ง)"จักทำให้เกิดเป็น เจตสิก "ธรรมที่ประกอบอยู่ในจิต ๕๒ ประการ ๕๒ รูปแบบ" แต่มิได้หมายความว่า ในร่างกายของคนเรามี "จิต"เพียง ๕๒ ดวง นะขอรับ เพราะ"จิต"ในทางพุทธศาสนานั้น แท้จริง ก็คือ เซลล์ ต่างๆที่ประกอบกันเป็น อวัยวะ ของร่างกาย
ขอให้ท่านทั้งหลายได้คิด ได้พิจารณาให้ถ่องแท้ขอรับ


ขอให้ผู้ดูแลเข้ามาทำหน้าที่ด้วยครับ ข้อความดังกล่าวกำลังบิดเบือนพระธรรมของพระพุทธเจ้าให้เกิดการเข้าใจผิคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ดังข้อมูลที่ผมได้ยกมาให้เปรียบเทียบต่อไปนี้

พระไตรปิฎก เขียน:
เจตสิก ธรรมที่ประกอบกับจิต, อาการหรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญา เป็นต้น มี ๕๒ อย่าง จัดเป็น
อัญญสมานาเจตสิก ๑๓
อกุศลเจตสิก ๑๔
โสภณเจตสิก ๒๕
เจตสิกสุข สุขทางใจ, ความสบายใจ แช่มชื่นใจ
ดู สุข
โสภณเจตสิก เจตสิกฝ่ายดีงาม มี ๒๕ แบ่งเป็น
ก. โสภณสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตดีงามทุกดวง) ๑๙ คือ
ศรัทธา
สติ
หิริ
โอตตัปปะ
อโลภะ
อโทสะ
ตัตรมัชฌัตตตา (ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ = อุเบกขา)
กายปัสสัทธิ (ความคลายสงบแห่งกองเจตสิก)
จิตตปัสสัทธิ (แห่งจิต)
กายลหุตา (ความเบาแห่งกองเจตสิก)
จิตตลหุตา (แห่งจิต)
กายมุทุตา (ความนุ่มนวลแห่งกองเจตสิก)
จิตตมุทุตา (แห่งจิต)
กายกัมมัญญตา (ความควรแก่งานแห่งกองเจตสิก)
จิตตกัมมัญญตา (แห่งจิต)
กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก)
จิตตปาคุญญตา (แห่งจิต)
กายุชุกตา (ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก)
จิตตุชุกตา (แห่งจิต)
ข. วีรตีเจตสิก (เจตสิกที่เป็นตัวงดเว้น) ๓ คือ
สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ
ค. อัปปมัญญาเจตสิก (เจตสิกคืออัปปมัญญา) ๒ คือ
กรุณา
มุทิตา
(อีก ๒ ซ้ำกับ อโทสะ และตัตรมัชฌัตตตา)
ง. ปัญญินทรียเจตสิก ๑ คือ
ปัญญินทรีย์ หรือ อโมหะ
อกุศลเจตสิก เจตสิกอันเป็นอกุศล ได้แก่ ความชั่วที่เกิดขึ้นภายในใจ แต่งจิตให้เป็นบาป
มี ๑๔ อย่าง แยกเป็น
ก. สัพพากุศลสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับอกุศลจิตทุกดวง) ๔ คือ
โมหะ อหิริกะ(ไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ(ไม่กลัวบาป) อุทธัจจะ
ข. ปกิณณกอกุศลเจตสิก (อกุศลเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตเรี่ยรายไป) ๑๐ คือ
โลภะ ทิฏฐิ มานะ โทสะ อิสสา(ริษยา)
มัจฉริยะ กุกกุจจะ(เดือดร้อนใจ) ถีนะ(หดหู่) มิทธะ(ง่วงงุน) วิจิกิจฉา
อัญญสมานาเจตสิก เจตสิกที่มีเสมอกันแก่จิตพวกอื่น คือ ประกอบเข้าได้กับจิตต์ทุกฝ่ายทั้งกุศลและอกุศล มิใช่เข้าได้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว มี ๑๓ แยกเป็น
ก. สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตทุกดวง) ๗ คือ
ผัสสะ (ความกระทบอารมณ์)
เวทนา
สัญญา
เจตนา
เอกัคคตา
ชีวิตินทรีย์
มนสิการ (ความกระทำอารมณ์ไว้ในใจ, ใส่ใจ)
ข. ปกิณณกเจตสิก (เจตสิกที่เรี่ยราย คือเกิดกับจิตได้ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล แต่ไม่แน่นอนเสมอไปทุกดวง) ๖ คือ
วิตก (ความตรึกอารมณ์)
วิจาร (ความตรองอารมณ์)
อธิโมกข์ (ความปักใจในอารมณ์)
วิริยะ
ปีติ
ฉันทะ (ความพอใจในอารมณ์)
แหล่งข้อมูล:[url]
http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=เจตสิก
[/url]

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสต์ เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 22:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านความในพระไตรปิฏก อาจจะมีข้อสงสัย และอาจคิดไปว่า ความในพระไตรปิฏก แตกต่างจากหลักการแพทย หรือหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งในทางที่เป็นจริงแล้ว ความตามพระไตรปิฎกข้างต้นนั้น เป็นเพียงการแจกแจงให้ได้รู้ว่า ภายในร่างกายเรา หรือภายในใจและสมองของมนุษย์นั้น จักมี เจตสิก ซึ่งก็คือ "ความรู้ โดยทั่วไปรวมไปถึง ธรรมะทั้งหลาย" ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับ "รูป(สรีระร่างกาย) ,เวทนา(ความรู้สึกฯ),สัญญา(ความจำ),สังขาร (การปรุงแต่ง)"จักทำให้เกิดเป็น เจตสิก "ธรรมที่ประกอบอยู่ในจิต ๕๒ ประการ ๕๒ รูปแบบ" แต่มิได้หมายความว่า ในร่างกายของคนเรามี "จิต"เพียง ๕๒ ดวง นะขอรับ เพราะ"จิต"ในทางพุทธศาสนานั้น แท้จริง ก็คือ เซลล์ ต่างๆที่ประกอบกันเป็น อวัยวะ ของร่างกาย
ขอให้ท่านทั้งหลายได้คิด ได้พิจารณาให้ถ่องแท้ขอรับ

ท่านใดที่กำลังเพิ่งศึกษาหรือผู้ปฏิบัติใหม่ อย่าไปใส่ใจข้อความข้างบนนี้เลยเจ้าค่ะ มันบิดเบือนจากข้อความในพระไตรปิฎก คิดเสียว่า อย่าถือสาคนบ้า อย่าไปว่าคนเมา ปล่อยไปตามเวรตามกรรมเพราะคนแบบนี้พระธรรมไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในจิตใจหรอกถึงได้พูดจาเพ้อเจ้อได้ขนาดนี้ มีอย่างที่ไหนเอาพระธรรมมาปะปนกับเซลในร่างกายมนุษย์ น่าจะไปศรีธัญญา หน่อยนะเจ้าค่ะเผื่อจะดีขึ้น


โพสต์ เมื่อ: 31 มี.ค. 2012, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะเรียกว่า กายกับใจ หรือนามรูป หรือจะเรียกว่า จิต เจตสิก รูป หรือจำแนกแจกแจงออกไปอีก เป็นจิต 89 หรือ 121 แล้วยังจำแนกละเอียดออกไปตามภูมิอีก... เจตสิก 52 แล้วยังจำแนกแยกย่อยเป็นอกุศล-กุศลเจตสิกเป็นต้นอีก...รูป 28 ก็จำแนกแยกย่อยออกไปอีก เป็นสุขุมรูป โอฬาริกรูปเป็นต้น...อีก

ต่อให้ท่านจำแนกแยกย่อยชีวิตนี้ออกไปอย่างไร มันก็คือธรรม จะไปมองหาธรรมะที่ไหนกันหรอ

โลกภายนอก กว้างไกล ใครใครรู้
โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
จะมองโลก ภายนอก มองออกไป
จะมองโลก ภายใน ให้มองตน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 31 มี.ค. 2012, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าตามพระสูตรบ้าง ก็คือ

ชีวิตทั้งองคาพยพ ท่านจำแนกออกไปเป็นกอง หรือเป็นขันธ์ ได้ 5 ขันธ์ โดยความเป็นอายตนะได้ 12 โดยความเป็นธาตุ ได้ 18 โดยความเป็นอินทรีย์ ได้ 22

ชีวิต < = => ขันธ์ 5 => อายตนะ 12 => ธาตุ 18 => อินทรีย์ 22

ต่อให้ท่านจำแนกออกไปอย่างไร รวมๆมันก็คือธรรมะ เราหลงศัพท์ที่ท่านจำแนกออกไปแล้วกลับมาที่ชีวิตนี้ไม่ถูก คือ หลงจนกลับบ้านไม่ถูก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 31 มี.ค. 2012, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต่อให้ท่านจำแนกแยกย่อยชีวิตนี้ออกไปอย่างไร มันก็คือธรรม จะไปมองหาธรรมะที่ไหนกันหรอ

โลกภายนอก กว้างไกล ใครใครรู้
โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
จะมองโลก ภายนอก มองออกไป
จะมองโลก ภายใน ให้มองตน

เห็นด้วยกับท่านกรัชกาย ดิฉันคัดลอกข้อความของชายคนหนึ่งในเวปธรรมมะมาให้อ่าน เผื่อจะได้มองย้อนดูตัวเองรวมถึงตัวดิฉันด้วยนะเจ้าค่ะ :b9:

ผมมีเพื่อนสองคน คนหนึ่งอ่านมาก ท่องจำได้มาก แต่อีกคนท่องจำไม่ได้เลย แต่ปฏิบัติธรรม อย่างดียิ่ง

คนที่อ่านมากกะจะมาคุยข่มอีกคนหนึ่ง แต่พอคุยกันกลายเป็นว่า คนอ่านมากต้องฟังคนอ่านน้อย คนอ่านมากเอ่ยอะไรออกมา คนอ่านน้อย (แต่ปฏิบัติธรรมมาก) รู้ทัน ดักคอได้หมด ธรรมะหลาย ๆ ข้อที่เคยอ่านมา คนไม่เคยอ่านอธิบายได้หมด

คนอ่านมากหน้าแตกไปสิครับ

คนอ่านน้อยแต่ปฏิบัติมาก จะรู้ซึ้งถึงหลักธรรมนั้น ๆ

เพียงแต่ว่าถ้าจะถามว่าหลักธรรมนั้น มีชื่อทางเทคนิคว่าอะไร บาลีอ่านว่าอะไร ไทยอ่านว่าอะไร

คนอ่านน้อยมักจะอ้ำอึ้ง เพราะไม่รู้ แต่ถ้าให้อธิบายเนื้อหาสาระในพระสูตรนั้น คำสอนนั้น อธิบายได้เป็นควุ้งเป็นแควเลยแหละ ..

นี่แหละ ผู้ปฏิบัติจะมองเห็นหลักธรรมลงตรงตัวรวม ณ จุดเดียวกันเสมอ :b16: จริงด้วยเจ้าค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 31 มี.ค. 2012, 19:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อเสียของชาวพุทธ คือชอบคุยแบบวิชาการ ที่ตัวเองยังไปไม่ถึง และเถียงเพื่อเอาชนะกัน

มันเหมือนนักวิชาการกฎหมายเถียงกัน จับมาเถียง3วัน ก็ไม่จบ

แต่ถ้าให้นักปฎิบัติมาพูด เขาฟันโฉ๊ะเดียว ขาด ออกหมด

วรรค ในการคุยไม่มี คุยมันทุกเรื่อง เรื่องบางข้อควรหยุด ควรปล่อย ให้เขารู้ตัวไปเองไม่มี เอามันทุกตัวอักษร เดวจะเป็นบ้าเอา เชื่อไหม


โพสต์ เมื่อ: 31 มี.ค. 2012, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตประกอบด้วยขันธ์ 5 เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดอื่นอีกนอกเหนือจากขันธ์ 5 ไม่ว่าจะแฝงอยู่ในขันธ์ 5 หรืออยู่ต่างหากจากขันธ์ 5 ที่จะมาเป็นเจ้าของหรือควบคุมขันธ์ 5 ให้ชีวิตดำเนินไป เมื่อยกเอาขันธ์ 5 ขึ้นเป็นตัวตั้งแล้ว ก็เป็นอันครบถ้วนเพียงพอ

ชีวิต เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตามกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยสืบต่อกัน ไม่มีส่วนใดในกระแสคงที่อยู่ได้ มีแต่การเกิดขึ้นแล้วสลายตัวไปพร้อมกับที่เป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นแล้วสลายตัวต่อๆไปอีก
ส่วนต่างๆสัมพันธ์กัน เนื่องอาศัยกัน เป็นปัจจัยแก่กัน จึงทำให้กระแสหรือกระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลและคุมเป็นรูปร่างต่อเนื่องกัน

ในภาวะเช่นนี้ ชีวิต จึงเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ อยู่ในสภาพแห่งอนิจจตา ไม่เที่ยง ไม่คงที่
อนัตตตา ไม่มีส่วนใดที่มีตัวตนแท้จริง และไม่อาจยึดถือเอาเป็นตัวตนได้
ทุกขตา ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัวอยู่ทุกขณะ และพร้อมที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ได้เสมอ ในกรณีที่มีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความไม่รู้ คือ ด้วยอวิชชา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 04:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
อืม..น่าคิดเหมือนกันเจ้าค่ะ ดิฉันคงต้องฝึกสติให้เป็นสมาธิมากกว่านี้ก่อนอย่างที่ท่านโฮบอกจะได้เข้าใจว่าการจำหรือสัญญาขันธ์ ที่แท้มันเป็นแค่สติเราไประลึกเอาสัญญามาแต่ดิฉันยังไม่เข้าใจว่ามานแตกต่างกันตรงไหนระหว่าง สติไประลึกการเกรงกลัวต่อบาปไม่ทัน กับ สติไประลึกเอาสัญญา สรุปความหมายในทางธรรมก็เหมือนกันไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ เพียงแต่อธิบายไปคนละอย่างก็เหมือนกับเราออกเดินทางคนละจุดแต่เป้าหมายก็เหมือนกัน สุดท้ายก็มาถึงจุดเดียวกันเช่นเดิมไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ

การอธิบายความในเรื่องพระอภิธรรม เราต้องชี้ชัดลงไปให้เห็นถึงปรมัตถ์ธรรม
คุณน้องคิงคอง ไปฟังคนศึกษาแต่บัญญัติมจ้อให้ฟังมันก็หลงนะซิครับ

คุณต้องแยกให้ถูกระหว่างบัญญัติ สมมุติบัญญัติและปรมัตถ์
จะได้ไม่หลงเอา กายมาเป็นจิต ค่อยเป็นค่อยไปครับ


โพสต์ เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
อืม..น่าคิดเหมือนกันเจ้าค่ะ ดิฉันคงต้องฝึกสติให้เป็นสมาธิมากกว่านี้ก่อนอย่างที่ท่านโฮบอกจะได้เข้าใจว่าการจำหรือสัญญาขันธ์ ที่แท้มันเป็นแค่สติเราไประลึกเอาสัญญามา[color=#FF0000]แต่ดิฉันยังไม่เข้าใจว่ามานแตกต่างกันตรงไหนระหว่าง สติไประลึกการเกรงกลัวต่อบาปไม่ทัน กับ สติไประลึกเอาสัญญา สรุปความหมายในทางธรรมก็เหมือนกันไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ เพียงแต่อธิบายไปคนละอย่างก็เหมือนกับเราออกเดินทางคนละจุดแต่เป้าหมายก็เหมือนกัน สุดท้ายก็มาถึงจุดเดียวกันเช่นเดิมไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ

คุณ NongKong
จิตนั้น สั่งสมทั้งบารมี และอาสวะ คือหมายความว่าเก็บ สะสม ทำความเคยชิน ด้วยสัญญา ด้วยเวทนา ด้วยการปรุงคิดคิดปรุง ที่เป็นการปรุงแต่งส่วนที่เก็บสั่งสมนั้น

สติระลึกทันต่อส่วนไหน ณ. ขณะจิตนั้นก็จะเกิดประโยชน์ ขึ้นมา
หากสติระลึกเอาส่วนที่เป็น เครื่องปฏิปักษ์ ต่อกิเลส ก็จะกั้นกระแสแห่งกิเลสได้
แต่หากไประลึกเอาส่วนที่เป็นกิเลส ก็ไม่เป็นจิตที่เป็นกุศล ประกอบด้วยโมหะเต็มกำลัง

ซึ่งทางอภิธรรม ไม่จัดเอาจิตที่ระลึกส่วนกิเลส ว่าเป็นสติ
แต่ทางพระสูตร จัดว่าเป็นมิจฉาสติ

หวังว่าพอทำความเข้าใจได้นะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร