วันเวลาปัจจุบัน 21 ส.ค. 2025, 18:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
พุทธฏีกา เขียน:

หลวงพี่พุทธฎีกาเล่นอะไรง่ายดีครับ หลวงพี่ครับอยากถามครับ
สิ่งที่หลวงพี่โพสเข้าเรียกว่า เป็นการตอบคำถามหรือครับ
หลวงพี่คิดว่าจขกทจะเข้าใจ เนื้อหาในพระไตรปิฎกที่หลวงพี่โพสหรือครับ
พุดโธ่! มันต้องอธิบายความในพระไตรปิฎกให้จขกทฟังด้วยว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร :b13:

ผมขอถือโอกาสนี้และขออนุญาตจขกทใช้พื้นที่กระทู้ทำความเข้าใจ
กับท่านพุทธฎีกาหน่อยนะครับ

[color=#FF0000]หลวงพี่ครับ หลวงพี่รู้มั้ยว่าผมไม่ค่อยสบายใจกับการที่หลวงพี่
มาทำหน้าที่ผู้รักษาลาน ผมในฐานะฆราวาสขอลงความเห็นว่า มันไม่เหมาะ
มันเป็น โลกวัชชะครับ [/color]

หลวงพี่รู้มั้ยครับว่าห้องนี้เป็นห้องสนทนาธรรม การสนทนากันบางครั้งมันก็ต้อง
มีการพอใจ ไม่พอใจกระทบกระทั่งกันด้วยคำพูด หลวงพี่เป็นพระมันมีห้องตั้งหลายห้อง
ให้หลวงพี่ไปโพสข้อธรรม ทำไมหลวงพี่ต้องเข้ามาห้องนี้ด้วยครับ หลวงพี่ไม่รู้หรอกหรือ
ว่าทำให้โยม ทำให้สมาชิกคนอื่นไม่สบายใจ เพราะกลัวเผลอไปพูดจาที่ไม่เหมาะกับหลวงพี่เข้า

และมันยิ่งไปกันใหญ่กับการที่หลวงพี่พุทธฎีกามาทำหน้าที่
ผู้ดูแลหรือผู้รักษาลาน
หลวงพี่คงจะลืมว่า หลวงพี่เป็นพระ หลวงพี่มาเที่ยว
กระล็อกกระทู้สมาชิก มันจะผิดถูกอย่างไรผมก็ว่ามันไม่เหมาะ พูดว่าภาษาบ้านๆเลยว่า
มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ห้องสนทนาธรรมนี้เป็นเรื่องที่ชาวบ้านญาติโยม
เขาสนทนากัน ผิดกฎอย่างไรต้องให้ผู้ดูแลที่เป็นฆราวาสเขาเป็นคนจัดการไม่ใช่พระ


กำลังจะบอกว่าพระควรมกตัวอยู่แต่ในรูใช่ปะ ไม่ต้องไปสนใจพวกชาวบ้านใช่ปะ เพราะเดียวถ้ามันอยากรู้อะไรก็ไปอ่านพระไตรปิฏกก็ได้ใช่ปะ :b13:

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 01:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์แสดงธรรมแก่สาวก ทั้งหลาย ให้พิจารณาอย่างนั้น ไม่ใช่พิจารณาไตรลักษณ์แบบลอยๆ เช่นโฮฮับ เขียนเองครับ
อ่านลิงค์ที่แจกไป สองลิงค์แล้วหรือยังครับ
มีตรงไหนที่พระองค์บอกให้ เธอจงพิจารณาไตรลักษณ์ ด้วยอุบายเพียงเท่านี้ หรือเปล่า...
สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน คือความรู้ในไตรลักษณ์ มีแสดงไว้ในพระสูตรไหนบ้างครับ
มั่วก็ยอมรับว่ามั่วนะครับ โฮฮับ

ถามหน่อยรู้จัก "ธรรมนิยามมั้ย" คุณมันประเภทท่องบัญญัติพกพจนานุกรม
จะบอกให้ว่าในสมัยพุทธองค์ บัญญัติคำว่า "ไตรลักษณ์" มันไม่มี

มันมีแต่ธรรมนิยาม ที่บรรยายถึงลักษณะของธรรมชาติสามอย่าง
มันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้วจึงเอามาสอนสาวก
ก็ไอ้พระสูตรที่ผมยกมานั้นแหล่ะ เมื่อก่อนเขาเรียกธรรมนิยาม
มันยังไม่มีบัญญัติ แต่ต่อมาจึงบัญญัติคำว่า"ไตรลักษณ์"ให้ภายหลัง

ไอ้ประเภทท่องบัญญัติแบบคุณ พอไม่เห็นบัญญัติที่ตัวท่อง ก็โวยวายว่าไม่ใช่ไม่ถูก ตลกจริงๆ


ที่ผมพูดมาข้างบนยังไม่สำนึก จะเอาพระสูตรในส่วนของผมมาอธิบายให้ฟัง
ส่วนพระสูตรของคุณมันเป็นหน้าที่ของคุณจะต้องมาอธิบาย มันเป็นมรรยาท
แต่ถ้าคุณอธิบายไม่ได้ ก็แค่บอกมาคำเดียวผมจะได้อธิบายแทนให้ เข้าใจมั้ยครับ

เดี่ยวจะอธิบายพระสูตรที่ผมอ้างอิงให้ฟังในความเห็นต่อไป
เดี๋ยวจะยาวไป
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 01:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ดิฉันเอาผลการปฏิบัติมาให้ท่านเช่นนั้น พิจารณาและชี้แนะด้วยนะเจ้าค่ะ (ท่านโฮช่วยชี้แนะด้วยก็ได้เจ้าค่ะเผื่อดิฉันเข้าใจผิดไปตรงจุดใด)ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกอบรมสติให้เป็นสมาธิโดย การรู้ ลมหายใจ เข้า-ออก ของตัวเอง ด้วยการ กิน การเดิน การทำงานบ้านเช่น กวาดบ้าน ล้างจาน ดิฉนปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งก็รู้ อารมณ์ตัวเองเร็วขึ้น เช่น จิตดิฉันไปกระทบกับผัสสะคือความยินร้าย มีคนนินทาดิฉัน แต่ดิฉันเฉยไม่โกรธ(แต่จิตยังปรุงแต่งเป็นเวทนาและดับไป คือดิฉันไม่สนใจใครจะคิดไง ดิฉันรู้ตัวว่าทำอะไร)หรือบางครั้งดิฉันโกรธก็รู้ตัวเองว่าโกรธ แต่ดิฉันจะนิ่งก่อนคือใจเย็น บางครั้งผัสสะที่มากระทบให้ดิฉันรู้สึกโกรธ ถ้าไม่มีสมาธิพอในตอนนั้น ก็กลายเป็นสติที่ปรุงแต่งออกไปเป็นความคิดโต้แย้ง คือดิฉันจะชี้แจงแบบมีเหตุผล แต่พวกนั้นเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เหมือนไปเติมเชื้อไฟ ดิฉันก็รู้ว่าต้องนิ่งหลังจากรู้อารมณืตัวเองแล้ว ดิฉันคิดว่าได้ปัญญาามาระดับต้นๆแล้ว จากการอบรมสติจนเป็นสมาธิ เลยอยากนั่งกรรมฐาน เพื่อเป็นการอบรมจิตให้เจริญสติปัญญาให้มากขึ้นกว่านี้ อ่อมีอีกอย่างนึงที่ดิฉันเหมือนรู้ได้เอง คือ อภิญญา เจโตยปริญาณ แต่เป็นแบบเจโตยปริญาณขั้นต้นๆ (กำหนดรู้จิตใจผู้อื่น)แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าดิฉันคิดไปเองหรือเปล่า คือถ้าดิฉันได้เข้าไปคุยกับ บุคคลที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ดิฉันจะรู้ได้ด้วยจิตเองเลยว่าบุคคลนั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แม้ว่าเค้าจะอยู่ในมาดสำรวมก็ตาม ขอแค่ได้ไปคุยดิฉันก็เดาออก แต่ดิฉันเดาได้เฉพาะคนที่จิตหยาบกว่าดิฉัน ถ้าเป็นคนที่จิตละเอียด ดิฉันยังเดาไม่ออกเลยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันก็รู้ได้จากการสนทนาว่าบุคคลนั้นมีปัญญาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าหรื่อต่ำกว่าดิฉันจากการสนทนา เพราะอภิญญาคือ ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

และท่านเช่นนั้นก็บำเพ็บกรรมฐานมานานแล้ว จิตละเอียดกว่าดิฉันเลยอยากถามว่าดิฉันได้ได้อภิญญา เจโตยปริญาณขั้นต้นจริงหรือเปล่าเจ้าค่ะ


ไปถามคนที่รู้ธรรมะแล้วจะได้อะไรต้องต้องไปถามคนที่เข้าถึงธรรมโน้น

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 02:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:
nongkong เขียน:
ดิฉันเอาผลการปฏิบัติมาให้ท่านเช่นนั้น พิจารณาและชี้แนะด้วยนะเจ้าค่ะ (ท่านโฮช่วยชี้แนะด้วยก็ได้เจ้าค่ะเผื่อดิฉันเข้าใจผิดไปตรงจุดใด)ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกอบรมสติให้เป็นสมาธิโดย การรู้ ลมหายใจ เข้า-ออก ของตัวเอง ด้วยการ กิน การเดิน การทำงานบ้านเช่น กวาดบ้าน ล้างจาน ดิฉนปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งก็รู้ อารมณ์ตัวเองเร็วขึ้น เช่น จิตดิฉันไปกระทบกับผัสสะคือความยินร้าย มีคนนินทาดิฉัน แต่ดิฉันเฉยไม่โกรธ(แต่จิตยังปรุงแต่งเป็นเวทนาและดับไป คือดิฉันไม่สนใจใครจะคิดไง ดิฉันรู้ตัวว่าทำอะไร)หรือบางครั้งดิฉันโกรธก็รู้ตัวเองว่าโกรธ แต่ดิฉันจะนิ่งก่อนคือใจเย็น บางครั้งผัสสะที่มากระทบให้ดิฉันรู้สึกโกรธ ถ้าไม่มีสมาธิพอในตอนนั้น ก็กลายเป็นสติที่ปรุงแต่งออกไปเป็นความคิดโต้แย้ง คือดิฉันจะชี้แจงแบบมีเหตุผล แต่พวกนั้นเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เหมือนไปเติมเชื้อไฟ ดิฉันก็รู้ว่าต้องนิ่งหลังจากรู้อารมณืตัวเองแล้ว ดิฉันคิดว่าได้ปัญญาามาระดับต้นๆแล้ว จากการอบรมสติจนเป็นสมาธิ เลยอยากนั่งกรรมฐาน เพื่อเป็นการอบรมจิตให้เจริญสติปัญญาให้มากขึ้นกว่านี้ อ่อมีอีกอย่างนึงที่ดิฉันเหมือนรู้ได้เอง คือ อภิญญา เจโตยปริญาณ แต่เป็นแบบเจโตยปริญาณขั้นต้นๆ (กำหนดรู้จิตใจผู้อื่น)แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าดิฉันคิดไปเองหรือเปล่า คือถ้าดิฉันได้เข้าไปคุยกับ บุคคลที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ดิฉันจะรู้ได้ด้วยจิตเองเลยว่าบุคคลนั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แม้ว่าเค้าจะอยู่ในมาดสำรวมก็ตาม ขอแค่ได้ไปคุยดิฉันก็เดาออก แต่ดิฉันเดาได้เฉพาะคนที่จิตหยาบกว่าดิฉัน ถ้าเป็นคนที่จิตละเอียด ดิฉันยังเดาไม่ออกเลยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันก็รู้ได้จากการสนทนาว่าบุคคลนั้นมีปัญญาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าหรื่อต่ำกว่าดิฉันจากการสนทนา เพราะอภิญญาคือ ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

และท่านเช่นนั้นก็บำเพ็บกรรมฐานมานานแล้ว จิตละเอียดกว่าดิฉันเลยอยากถามว่าดิฉันได้ได้อภิญญา เจโตยปริญาณขั้นต้นจริงหรือเปล่าเจ้าค่ะ


ไปถามคนที่รู้ธรรมะแล้วจะได้อะไรต้องต้องไปถามคนที่เข้าถึงธรรมโน้น

งั้นไม่เป็นไร ดิฉันกำลังวิปัสนากรรมฐานฝึกการเจริญสติปัญญาเดี๋ยวก็คงเกิดปัญญา เข้าใจธรรมละเอียดยิ่งขึ้น ตอนนี้ดิฉันก็อยากเอาธรรมมาสาธยายแต่กลัวคนอื่นหาว่าดิฉัน บ้า หรือเพ้อเจ้อ ดิฉันเลยเปลี่ยนความคิด เพราะดิฉันเท่านั้นที่รู้ ถ้าดิฉันบอกว่า การอบรมจิตจนเป็นสมาธิ คือการเจริญปัญญา แล้วปัญญาตัวนี้แหละที่ได้จากการอบรมจิต ทำให้เข้าถึงธรรม+สัมมาทิฐิ ที่เป็นกุศลธรรม10ประการ ทำให้เข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้าแต่คนที่ปฏิบัติได้ ต้องเป็นคนที่กิเลศน้อยแล้วถึงจะเกิดปัญญาและเข้าใจธรรมนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่จะมีดวงตาเห็นธรรมคือ ปัญญา+สัมมาทิฐิ มนุษย์เปรียบเสมือน บัว 4เหล่า เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องสงสัย เราต้องพิจารณาตัวเองว่าเราอยู่ในบัวประเภทไหน เราก็จะเห็นธรรมเมื่อนั้นแหละเจ้าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 02:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
๓. อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0

ท่านมหาเปรียญเก้า"เช่นนั้น"ครับ คุณไม่รู้หรอกหรือว่า พุทธพจน์ที่ผมยกมา
สมัยพุทธองค์เรียกว่า "ธรรมนิยาม" มันยังไม่บัญญัติตายตัว แล้วไอ้ที่คุณเถียงหัวชนฝา
ว่าไม่เห็นมีไม่เห็นพูดถึงไตรลักษณ์ ผมก็ไม่รู้ว่าคุณศึกษาพระธรรมปะสาอะไรครับ
ลักษณะที่เป็นไตรลักษณ์ก็ไม่รู้จัก แบบนี้เขาว่า ดีแต่สวดมนต์ครับ สวดไปอย่างงั้น
ไม่รู้ความหมายของบทสวด หรือประเภทสวดให้ง่วงสวดให้หลับเท่านั้น

คุณเช่นนั้น คุณเห็นประโยคที่ว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตามั้ย คุณไม่รู้จริงๆหรือว่า ลักษณะสามประการนี้เขาเรียกว่า
"ไตรลักษณ์"

แล้วอีกประโยคที่ว่า"เธอทั้งหลาย พึ่งเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริง
ว่านั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่เป็นเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ถามจริงคุณไม่รู้หรอกหรือว่า ..ปัญญาอันชอบตามความจริงนั้นน่ะ เขาเรียกว่า
ปัญญาสัมมาทิฐิ
คุณเช่นนั้นครับ แนะนำครับ อย่ามัวท่องแต่บัญญัติอยู่เลยครับ
คุณกำลังเดินเป็นวงกลมอยู่นะครับ มันไม่ได้ไปไหนเลยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 02:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ผมจะแนะนำอะไรให้เล็กน้อยครับ ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้นน่ะ
มันเป็นการพูด การอ่านเอา มันจึงดูสะดวกง่ายดาย อ่านพระสูตรจบบทคุณก็นิพพานได้แล้ว
แต่ในความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นหรือ อริยมรรคแต่ละองค์มีธรรมประกอบนะครับ ที่สำคัญ
ต้องปฏิบัติด้วย และผู้ปฏิบัติคือจิตนะครับ ไม่ใช่สมอง อยากหัวร่อให้ฟันร่วง
สัมมาทิฐิพี่เช่นนั้นเล่นคิดเอาหน้าตาเฉย


การอ่านพระสูตร การทรงจำพระสูตร เป็นธรรมที่มีอุปการะแก่การบรรลุสัจจะครับ
เป็นธรรมที่มีอุปการะแก่ปัญญาด้วยครับ
เมื่อเป็นธรรมที่มีอุปการะแก่ปัญญา จึงเป็นธรรมที่มีอุปการะแก่สัมมาทิฏฐิด้วยครับ

การอ่านพระสูตร การท่องจำพระสูตร เป็นการกระทำที่อุปการะ เปรียญหรือพัดยศเท่านั้นเอง
ปัญญาสัมมาทิฐิจะต้องปฏิบัติในเรื่อง สติและสมาธิเท่านั้น จึงจะได้มา ไม่ใช่มานั่งท่องจำ

พระไตรปิฎกมีไว้ให้รู้ถึงวิธีการปฏิบัติ ไม่ใช่มีไว้ให้รู้แต่ผล
เมื่อปฏิบัติถูกผลก็จะแสดงให้เรารู้เอง


เช่นนั้น เขียน:
อริยมรรค แต่ละองค์ธรรม มีองค์ประกอบ มีการปรุงแต่งขึ้นในจิต ค่อยมีค่อยเป็น
แต่ผู้ชี้ทางผู้ให้ความรู้ว่าปรุงแต่งอย่างไรจึงถูกต้อง คือพระศาสดา
และเราผู้เดินตาม ก็มีหน้าที่ต้องทำให้สำเร็จตามนั้น ไม่อาจเที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจเช่น
ต้องเห็นไตรลักษณ์จึงเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
เพราะ จิตวิมุติหลุดพ้น จากอาสวะ ไม่จำเป็นต้องเห็นไตรลักษณ์ก็ได้ หรือเห็นก็ได้
พระพุทธองค์ จึงเน้น
ว่า
นั่นไม่ใช่เรา
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เป็นอรหัตมรรค เพื่อให้สาวกพิจารณาตาม

ใครไปเที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจครับ แบบนี้คนที่แปลภาษาบาลีมาเป็นไทยนี่ก็
เที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจนะซิครับ คุณเช่นนั้นครับ คุณไม่รู้ตัวหรอกว่า
กำลังแสดงอาการเบี่ยงตัวหลบจนกระทบกำแพงผิวถลอกไปหมดแล้วครับ

จริงๆแล้วคุณมันพวกนกแก้วนกขุนทองครับ
พระพุทธองค์ทรงเน้นบอกอาการไตรลักษณ์ให้รู้
บอกที่มาของสัมมาทิฐิให้ทราบ คุณก็ยังไม่รู้ตัว เพราะว่า
ไม่บัญญัติคำว่า ไตรลักษณ์หรือสัมมาทิฐิอยู่ในนั้น แบบนี้ตลกทั้งน้ำตาครับ
พูดได้คำเดียวผมเสียดายเวลาของคุณจริงๆ


อีกอย่างพูดจาก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย
ตอนแรกหาว่าเรานั่งเทียน พอเราหลักฐานมาให้ดู
ก็ถูสีข้างตัวเองว่า มีก็ได้ไม่มีก็ได้

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 02:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ว่า นิพพานเป็นอารมณ์ของ โลกกุตรมรรค
จึงยกพระสูตรให้ โฮฮับ มีความฉลาดขึ้น
หากไม่พิจารณาตามบทพระธรรมแล้ว
มาทางไหนก็กลับทางเดิมตามสบายนะครับ
ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว โฮฮับมีปัญญา ก็อธิบายตามพระสูตรนั้นสิครับ

ตลกจริงๆครับ เล่นอ่านตำราแล้วไม่กลับมาอยู่กับความเป็นจริง ไม่มาอยู่กับปัจจุบัน
ปรุงแต่งหลงไปกับตำรา

คุณเช่นนั้นครับ พระพุทธองค์ทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน เน้นที่กายใจตัวเอง
ผมถามคุณจริงๆว่า คุณเข้าใจคำว่า อารมณ์มั้ยครับ

อารมณ์คือสภาวะของรูปนามที่เกิดขึ้นปัจจุบัน มันมีเหตุปัจจัยครับ
ไม่ใช่ไม่มีเหตุปัจจัย แล้วเกิดเอง อย่างเช่น สัมมาทิฐิคือการเห็นตาม
ความเป็นจริง คุณเล่นบอกว่า อ่านพระสูตรเอาก็ได้ แบบนี้เขาไม่เรียก
เห็นตามความเป็นจริงครับ อารมณ์ที่ปัจจุบันนั้น เป็นอารมณ์ที่เกิดจากการปรุงแต่ง
เขาเรียกว่า กิเลสความอยากถูกปรุงแต่งเป็นโลภะครับ

ยิ่งอารมณ์นิพพานนี่ไปกันใหญ่แล้วครับ แค่สัมมาทิฐิใช้อ่านเอาคิดเอา
มันก็หนักหนาเกินเยี่ยวยาแล้ว นี่กำเริบเป็นอารมณ์นิพพานอีก
กรรมไม่ต้องแบแล้วครับแบบนี้ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 03:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ไม่ดันทุรังหรอกครับ เอาลิ้งมาให้ผมแล้วผมจะอธิบายให้สมาชิกฟังให้เองครับ
เขาให้ร้องเพลง ดันผิวปากเป็นทำนองเพลงอยู่ได้
คุณเช่นนั้น ถามหน่อยครับคุณมีลิ้นหรือเปล่า :b13:

โฮฮับ ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ว่า นิพพานเป็นอารมณ์ของ โลกกุตรมรรค
จึงยกพระสูตรให้ โฮฮับ มีความฉลาดขึ้น
หากไม่พิจารณาตามบทพระธรรมแล้ว
มาทางไหนก็กลับทางเดิมตามสบายนะครับ
ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว โฮฮับมีปัญญา ก็อธิบายตามพระสูตรนั้นสิครับ

คุณนี่ซื่อหรือเซ่อกันแน่ครับ :b13:

อารมณ์นิพพานหรือนิพพานเป็นอารมณ์ของโลกุตตระเนี่ย ผมเข้าใจดีครับ
แต่มันเป็นคุณที่ไม่เข้าใจถึงคำว่าอารมณ์
คุณยังไม่ได้เป็นอรหันต์แล้วคุณจะเอาอารมณ์นิพพานมาจากไหนหรือว่าอ่านเอา
เหมือนสัมมาทิฐิของคุณ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 04:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:
กำลังจะบอกว่าพระควรมกตัวอยู่แต่ในรูใช่ปะ ไม่ต้องไปสนใจพวกชาวบ้านใช่ปะ เพราะเดียวถ้ามันอยากรู้อะไรก็ไปอ่านพระไตรปิฏกก็ได้ใช่ปะ :b13:

ถุๆๆถูกต้องแล้วคร้าบบบบ อยากเตือนหลวงพี่เลือกหารูตามเขาที่สูงๆนะครับ
เมืองไทยน้ำท่วมบ่อย เมื่อปีที่ผ่านมา แถวบ้านผมแย้มันวิ่งกันกระเจิงเลยครับ

แมงสาปวิ่งออกจากรูท่อระบาย มาเกาะตามแขนตามขายะแหยงมากครับ

หลวงพี่มืดครับถามครับ รู้จักกาละเทศะมั้ยครับ
หลวงพี่จะเข้ามาป่วนบอร์ดเขาทำไมกันครับ เขากำลังถกธรรมกันอยู่
ประเดี๋ยวกระทู้โดนล็อกผมโทษหลวงพี่นะครับ
พระอาไรมากระแนะกระแหนชาวบ้าน เดี๋ยวไม่มีคน
ใส่บาตรหรอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ถามหน่อยรู้จัก "ธรรมนิยามมั้ย" คุณมันประเภทท่องบัญญัติพกพจนานุกรม
จะบอกให้ว่าในสมัยพุทธองค์ บัญญัติคำว่า "ไตรลักษณ์" มันไม่มี

มันมีแต่ธรรมนิยาม ที่บรรยายถึงลักษณะของธรรมชาติสามอย่าง
มันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้วจึงเอามาสอนสาวก
ก็ไอ้พระสูตรที่ผมยกมานั้นแหล่ะ เมื่อก่อนเขาเรียกธรรมนิยาม
มันยังไม่มีบัญญัติ แต่ต่อมาจึงบัญญัติคำว่า"ไตรลักษณ์"ให้ภายหลัง

ไอ้ประเภทท่องบัญญัติแบบคุณ พอไม่เห็นบัญญัติที่ตัวท่อง ก็โวยวายว่าไม่ใช่ไม่ถูก ตลกจริงๆ


ที่ผมพูดมาข้างบนยังไม่สำนึก จะเอาพระสูตรในส่วนของผมมาอธิบายให้ฟัง
ส่วนพระสูตรของคุณมันเป็นหน้าที่ของคุณจะต้องมาอธิบาย มันเป็นมรรยาท
แต่ถ้าคุณอธิบายไม่ได้ ก็แค่บอกมาคำเดียวผมจะได้อธิบายแทนให้ เข้าใจมั้ยครับ

เดี่ยวจะอธิบายพระสูตรที่ผมอ้างอิงให้ฟังในความเห็นต่อไป
เดี๋ยวจะยาวไป
:b13:


ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งทีโฮฮับ ยอมรับ ว่า ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์บัญญัติ เป็นสิ่งที่บัญญัติกันมาแต่ภายหลัง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 10:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
๓. อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0

ท่านมหาเปรียญเก้า"เช่นนั้น"ครับ คุณไม่รู้หรอกหรือว่า พุทธพจน์ที่ผมยกมา
สมัยพุทธองค์เรียกว่า "ธรรมนิยาม" มันยังไม่บัญญัติตายตัว แล้วไอ้ที่คุณเถียงหัวชนฝา
ว่าไม่เห็นมีไม่เห็นพูดถึงไตรลักษณ์ ผมก็ไม่รู้ว่าคุณศึกษาพระธรรมปะสาอะไรครับ
ลักษณะที่เป็นไตรลักษณ์ก็ไม่รู้จัก แบบนี้เขาว่า ดีแต่สวดมนต์ครับ สวดไปอย่างงั้น
ไม่รู้ความหมายของบทสวด หรือประเภทสวดให้ง่วงสวดให้หลับเท่านั้น

คุณเช่นนั้น คุณเห็นประโยคที่ว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตามั้ย คุณไม่รู้จริงๆหรือว่า ลักษณะสามประการนี้เขาเรียกว่า
"ไตรลักษณ์"

แล้วอีกประโยคที่ว่า"เธอทั้งหลาย พึ่งเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริง
ว่านั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่เป็นเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ถามจริงคุณไม่รู้หรอกหรือว่า ..ปัญญาอันชอบตามความจริงนั้นน่ะ เขาเรียกว่า
ปัญญาสัมมาทิฐิ
คุณเช่นนั้นครับ แนะนำครับ อย่ามัวท่องแต่บัญญัติอยู่เลยครับ
คุณกำลังเดินเป็นวงกลมอยู่นะครับ มันไม่ได้ไปไหนเลยครับ


ไม่รู้ครับ เพราะ "เขา" ไม่ใช่พระพุทธเจ้าครับ
ธรรมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจยตา ล้วนเป็นธรรมตายตัว...เพื่ออธิบายธรรมธาตุอย่างหนึ่ง พระพุทธองค์แสดงไว้ แต่ไม่มีธัมมนิยาม เพื่ออธิบายไตรลักษณ์ ^ ^
โฮฮับ เขียนตามความเข้าใจลอยๆ ขึ้นมาตามเขา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
การอ่านพระสูตร การทรงจำพระสูตร เป็นธรรมที่มีอุปการะแก่การบรรลุสัจจะครับ
เป็นธรรมที่มีอุปการะแก่ปัญญาด้วยครับ
เมื่อเป็นธรรมที่มีอุปการะแก่ปัญญา จึงเป็นธรรมที่มีอุปการะแก่สัมมาทิฏฐิด้วยครับ

การอ่านพระสูตร การท่องจำพระสูตร เป็นการกระทำที่อุปการะ เปรียญหรือพัดยศเท่านั้นเอง
ปัญญาสัมมาทิฐิจะต้องปฏิบัติในเรื่อง สติและสมาธิเท่านั้น จึงจะได้มา ไม่ใช่มานั่งท่องจำ

พระไตรปิฎกมีไว้ให้รู้ถึงวิธีการปฏิบัติ ไม่ใช่มีไว้ให้รู้แต่ผล
เมื่อปฏิบัติถูกผลก็จะแสดงให้เรารู้เอง

เป็นสิ่งโฮฮับ เขียนเองเออเอง เช่นกัน
เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสสอน เช่นนี้
Quote Tipitaka:
กา. ท่านพระโคดม ก็ธรรมที่มีอุปการะมากแก่ปัญญา เครื่องใคร่ครวญเนื้อความเป็นไฉน
ข้าพเจ้าขอทูลถามท่านพระโคดม ถึงธรรมที่มีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ?
พ. ดูกรภารทวาชะ การทรงจำธรรมไว้ มีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ
ถ้าไม่พึงทรงจำธรรมนั้น ก็พึงใคร่ครวญเนื้อความนี้ไม่ได้ แต่เพราะทรงจำธรรมไว้ จึงใคร่ครวญ
เนื้อความได้ ฉะนั้น การทรงจำธรรมไว้ จึงมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ.
กา. ท่านพระโคดม ก็ธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรมเป็นไฉน ข้าพเจ้าขอทูลถาม
ท่านพระโคดม ถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม?
พ. ดูกรภารทวาชะ การฟังธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม ถ้าไม่พึงฟังธรรม
ก็พึงทรงจำธรรมนี้ไม่ได้ แต่เพราะฟังธรรมจึงทรงจำธรรมไว้ได้ ฉะนั้น การฟังธรรมจึงมีอุปการะ
มากแก่การทรงจำธรรม.


และพระพุทธองค์ ก็ตรัสสอนเช่นนี้
Quote Tipitaka:
เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก
ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงาม
ในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ข้อที่ ๕ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ


อีกประการ เช่นนั้นปฏิบัติจิตตภาวนา เจริญมรรคภาวนา ไม่ใช่เพียงแต่ สติและสมาธิ ...

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อริยมรรค แต่ละองค์ธรรม มีองค์ประกอบ มีการปรุงแต่งขึ้นในจิต ค่อยมีค่อยเป็น
แต่ผู้ชี้ทางผู้ให้ความรู้ว่าปรุงแต่งอย่างไรจึงถูกต้อง คือพระศาสดา
และเราผู้เดินตาม ก็มีหน้าที่ต้องทำให้สำเร็จตามนั้น ไม่อาจเที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจเช่น
ต้องเห็นไตรลักษณ์จึงเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
เพราะ จิตวิมุติหลุดพ้น จากอาสวะ ไม่จำเป็นต้องเห็นไตรลักษณ์ก็ได้ หรือเห็นก็ได้
พระพุทธองค์ จึงเน้น
ว่า
นั่นไม่ใช่เรา
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เป็นอรหัตมรรค เพื่อให้สาวกพิจารณาตาม

ใครไปเที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจครับ แบบนี้คนที่แปลภาษาบาลีมาเป็นไทยนี่ก็
เที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจนะซิครับ คุณเช่นนั้นครับ คุณไม่รู้ตัวหรอกว่า
กำลังแสดงอาการเบี่ยงตัวหลบจนกระทบกำแพงผิวถลอกไปหมดแล้วครับ

จริงๆแล้วคุณมันพวกนกแก้วนกขุนทองครับ
พระพุทธองค์ทรงเน้นบอกอาการไตรลักษณ์ให้รู้
บอกที่มาของสัมมาทิฐิให้ทราบ คุณก็ยังไม่รู้ตัว เพราะว่า
ไม่บัญญัติคำว่า ไตรลักษณ์หรือสัมมาทิฐิอยู่ในนั้น แบบนี้ตลกทั้งน้ำตาครับ
พูดได้คำเดียวผมเสียดายเวลาของคุณจริงๆ


:

เช่นนั้น อ่านพระสูตร พิจารณาพระสูตรที่ โฮฮับยกมา
ก็เห็นแต่ปฏิจสมุปบาท
ไม่เห็นเน้นบอกอาการไตรลักษณ์ ดั่งที่โฮฮับยึดอยู่ถืออยู่
เห็นปฏิจสมุปบาท จึงเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่ใช่ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเห็นปฏิจสมุปบาท
เพราะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ล้วนแล้วแต่เพราะเป็นไปตามปฏิจจสมปุบาท
โฮฮับ สัมมาทิฏฐิ อย่างไรก็ไม่พ้นจากบัญญัติที่พระองค์วางไว้ หรอกครับ อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า มั่ว ต่อไปเลย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ไม่ดันทุรังหรอกครับ เอาลิ้งมาให้ผมแล้วผมจะอธิบายให้สมาชิกฟังให้เองครับ
เขาให้ร้องเพลง ดันผิวปากเป็นทำนองเพลงอยู่ได้
คุณเช่นนั้น ถามหน่อยครับคุณมีลิ้นหรือเปล่า :b13:

โฮฮับ ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ว่า นิพพานเป็นอารมณ์ของ โลกกุตรมรรค
จึงยกพระสูตรให้ โฮฮับ มีความฉลาดขึ้น
หากไม่พิจารณาตามบทพระธรรมแล้ว
มาทางไหนก็กลับทางเดิมตามสบายนะครับ
ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว โฮฮับมีปัญญา ก็อธิบายตามพระสูตรนั้นสิครับ

คุณนี่ซื่อหรือเซ่อกันแน่ครับ :b13:

อารมณ์นิพพานหรือนิพพานเป็นอารมณ์ของโลกุตตระเนี่ย ผมเข้าใจดีครับ
แต่มันเป็นคุณที่ไม่เข้าใจถึงคำว่าอารมณ์
คุณยังไม่ได้เป็นอรหันต์แล้วคุณจะเอาอารมณ์นิพพานมาจากไหนหรือว่าอ่านเอา
เหมือนสัมมาทิฐิของคุณ :b13:

โฮฮับ มั่วตามเช่นเคยครับ
หน้ากับหลังก็แสดงไม่ตรงกัน
โฮฮับ เข้าใจ อารมณ์นิพพาน ...
โฮฮับ เอาอารมณ์นิพพานจากไหนมาทำความเข้าใจครับ หรือเป็นตามประโยคหลัง
ว่า โฮฮับเป็นพระอรหันต์????

Quote Tipitaka:
[๑๘๓] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่
ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน แม้ฉันใด ภิกษุเมื่อเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เมื่อ
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ก็เป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน
โอนไปสู่นิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๑๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเมื่อเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เมื่อ
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? จึงเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้ม
ไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ
อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อัน
อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเจริญ
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล จึง
เป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ฯ

เป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน
V
อาศัยนามรูปเป็นอารมณ์น้อมไปสู่นิพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ย่อมเป็นไปไม่ได้....
อาศัย วิราคะ สัมมาทิฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิราคะ จึงน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน จึงเป็นฐานะที่จะมีได้

โฮฮับ...การกระทำให้มาก หมายความว่า ต้องเพียรทำหมั่นประกอบ
มีนิพพานเป็นอารมณ์ ละความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตนของเรา ค่อยเป็นค่อยไปจึง ไปสู่นิพพานได้ .....

พิจารณาดั่งนี้จึง เป็นการอบรมจิตตามพุทธดำรัสที่ตรัสสอนไว้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:

ไปถามคนที่รู้ธรรมะแล้วจะได้อะไรต้องต้องไปถามคนที่เข้าถึงธรรมโน้น


กราบนมัสการ "อยู่กับความมืด"
ท่านแสดงได้ถูกแล้วครับ
ในโลก cyber ไม่อาจพยากรณ์สภาวะธรรมกันได้ครับ
ต้องถามผู้ที่เข้าถึงธรรม ดั่งเช่นที่ท่านแสดง
สาธุ อนุโมทนาครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร