วันเวลาปัจจุบัน 09 ส.ค. 2025, 08:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 186 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเถอะครับ ลองทำความเข้าใจไปตามนี้นะครับ

เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปยังแคว้นโกศล พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
เสด็จถึงนิคมของพวกกาลามะชื่อว่า เกสปุตตะ

ชาวเกสปุตตะนิคม ได้ยินมาแล้วว่าพระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล
ก็กิตติศัพท์อันงามของพระผู้มีพระภาคเจ้าขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า

" แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... ทรงเบิกบานแล้ว ทรงจำแนกธรรม
พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย
พระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะใน
ท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ
บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล "

พวกชาวกาลามะ จึงได้พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
เมื่อต่างนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

" มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศ
แต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น
พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระพุทธเจ้าข้า "

" มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศ
แต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น
พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระพุทธเจ้าข้า "

" พวกข้าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในสมณพราหมณ์เหล่านั้นอยู่ทีเดียวว่า ท่าน
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

" ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย
และท่านทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว "

(ตามสำนวนแปลของ สยามรัฐปิฎก)
มาเถิดท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้
อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง
อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

และตรัสต่อไปอีกว่า

" เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล
ธรรมเหล่านี้มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะแสดง อกุศลมูลทั้งสาม คือโลภะ โทสะ โมหะ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
จึงได้ถามเพื่อให้ผู้ถูกถามทำความเข้าใจตามด้วยตนเอง(ผู้เขียน)

จึงตรัสดังนี้ว่า

" ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ความโลภ เมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
พวกชนกาลามโคตรต่างกราบทูลว่า เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์พระเจ้าข้า ฯ "

ทรงขยายความให้พิสดารขึ้นไปอีกว่า (ผู้เขียน)

พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โลภ ถูกความโลภครอบงำ
มีจิตอันความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ฯ

กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

(ทั้งความโกรธ และความหลงก็ทรงถามอย่างนี้แบบเดียวกับความโลภ และชาวกาลามะก็ตอบว่าจริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า)

พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ฯ
กา. เป็นอกุศล พระเจ้าข้า ฯ

พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ ฯ
กา. มีโทษ พระเจ้าข้า ฯ

พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ ฯ
กา. ท่านผู้รู้ติเตียน พระเจ้าข้า ฯ

พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เพื่อทุกข์หรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร ฯ
กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อ
ทุกข์ ในข้อนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้ ฯ

พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชน
ทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้
ฟังมา ... อย่าได้ยึดถือโดยนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล
ธรรมเหล่านี้มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อไปก็ทรงกล่าวถึงกุศล ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับอกุศล เรื่อยไป
(ซึ่งผมขออนุญาตไม่ยกข้อความมาทั้งหมดพึงเข้าใจว่ารูปแบบการแสดงก็เป็นแบบเดียวกัน โดยกุศล คือ ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นสิ่งที่ไม่มีโทษ ท่านผู้รู้ไม่ติเตียน เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ )

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า
ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
.............. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

" เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว
เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ "


ต่อไปพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะประกาศพระอริยสาวกทั้งหลายผู้ปราศจาก ความโลภ ความพยาบาท และความหลงให้ชาวกาลามะทราบ จึงทรงตรัสดังนี้ว่า

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย
อริยสาวกนั้น ปราศจากความโลภ ปราศจากความพยาบาท ไม่หลงแล้วอย่างนี้
มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นคง

มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน
ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกข์เหล่า ในที่ทุกสถานฃ ด้วยใจอันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่

มีใจประกอบด้วยกรุณา ...
มีใจประกอบด้วยมุทิตา ...

มีใจประกอบด้วยอุเบกขาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่ง
อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน
ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่า
ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่
หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 06 เม.ย. 2012, 14:34, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ความอุ่นใจ(ความเบาใจ)สี่ประการ

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย
อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้
มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้
มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้

ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการในปัจจุบันว่า

๑. ถ้าโลกหน้ามี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี เป็นไปได้ที่เรื่อง
นั้นจะเป็นเหตุให้เราหลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ นี้คือ
ความเบาใจประการที่ ๑ ที่อริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว

๒. ถ้าโลกหน้าไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี เราก็รักษา
ตนไม่ให้มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่ให้มีทุกข์ ให้มีสุขในปัจจุบันใน
โลกนี้ได้ นี้คือความเบาใจประการที่ ๒ ที่อริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว

๓. ถ้าบุคคลเมื่อทำบาปก็ชื่อว่าทำบาป เราไม่เจาะจงบาปไว้เพื่อใคร ๆ เลย
เมื่อเราไม่ทำบาปเลย ความทุกข์จะถูกต้องเราได้อย่างไร นี้คือความ
เบาใจประการที่ ๓ ที่อริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว

๔. ถ้าบุคคลเมื่อทำบาปก็ชื่อว่าไม่ทำบาป เราก็พิจารณาเห็นตนบริสุทธิ์
ทั้ง ๒ ส่วนในโลกนี้ นี้คือความเบาใจประการที่ ๔ ที่อริยสาวกนั้นได้บรรลุแล้ว

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย
อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้
มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้
มีจิตไม่มีเศร้าหมองอย่างนี้
มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แลในปัจจุบัน ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


( ชาวกาลามะ )

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระอริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ท่านย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในปัจจุบัน ...


ข้าแต่ท่านพระโคดม พระภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่าง ๆ
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า ‘คนมีตาดี จักเห็นรูปได้’

ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้
เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านFLAME หนอท่าน :b8: ดิฉันนึกว่า ท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูด สุดท้ายท่านก็ไปงมโข่งในพระไตรปิฏกแทนที่จะตอบคำถามท่านคุณพี่ หญิงไทยให้ตรงประเด็น ดันไปคัดลอดพระไตรปิฏกมาให้ท่านพี่หญิงไทยแกอ่าน ทั้งที่แกก็บอกแต่แรกว่า ไม่สามารถตีความหมายในพระไตรปิฏกได้ ทำไมท่านไม่อธิบายออกไปจากความรู้สึกของท่าน แบบนี้มันเป็นศรัทธราของคนที่งมงาย ท่านคงไม่รู้ตัวว่าที่แท้จริงแล้วท่านกำลังหลง งมงาย ถ้าท่านบอกว่ามีศรัธทราจริง ท่านต้องอธิบายได้ ดิฉันจะอธิบายให้ท่านฟัง โดยไม่ต้องไปยึดหลัก กาลามาสูตร หรือพระไตรปิฏก เล่มไหนเลย สิ่งเหล่านั้นมันเป็น อนัตตา ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจเรานี่แหละเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตา เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ สัจธรรม คือความจริงที่เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ท่านเข้าใจความหมายนี้ไหมเจ้าค่ะ "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราในตถาคต" :b8: ดิฉันอยากชี้ทางสว่างให้ท่านจริงๆนะเจ้าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณหญิงไทยถามเรื่องกาลามสูตร ก็ต้องอ่านทำความเข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้านั้นสอนอย่างไร
เมื่อสงสัยตรงไหนจึงถาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ท่านFLAME หนอท่าน :b8: ดิฉันนึกว่า ท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูด สุดท้ายท่านก็ไปงมโข่งในพระไตรปิฏกแทนที่จะตอบคำถามท่านคุณพี่ หญิงไทยให้ตรงประเด็น ดันไปคัดลอดพระไตรปิฏกมาให้ท่านพี่หญิงไทยแกอ่าน ทั้งที่แกก็บอกแต่แรกว่า ไม่สามารถตีความหมายในพระไตรปิฏกได้ ทำไมท่านไม่อธิบายออกไปจากความรู้สึกของท่าน แบบนี้มันเป็นศรัทธราของคนที่งมงาย ท่านคงไม่รู้ตัวว่าที่แท้จริงแล้วท่านกำลังหลง งมงาย ถ้าท่านบอกว่ามีศรัธทราจริง ท่านต้องอธิบายได้ ดิฉันจะอธิบายให้ท่านฟัง โดยไม่ต้องไปยึดหลัก กาลามาสูตร หรือพระไตรปิฏก เล่มไหนเลย สิ่งเหล่านั้นมันเป็น อนัตตา ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจเรานี่แหละเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตา เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ สัจธรรม คือความจริงที่เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ท่านเข้าใจความหมายนี้ไหมเจ้าค่ะ "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราในตถาคต" :b8: ดิฉันอยากชี้ทางสว่างให้ท่านจริงๆนะเจ้าค่ะ


ผม เทียบเคียงจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้งมโข่ง(แปลว่างุ่มง่ามหรือไม่ทันเหตุการณ์)
อย่างที่ท่านกล่าวอ้างเลย

ก่อนจะพูดอะไรพึงสำรวจวาจาของตน พิจารณากาย วาจา ใจของตนให้มาก
เพราะผู้ที่มากด้วยอภิชฌาและโทมนัส ไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้พระตถาคตเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
nongkong เขียน:
ท่านFLAME หนอท่าน :b8: ดิฉันนึกว่า ท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูด สุดท้ายท่านก็ไปงมโข่งในพระไตรปิฏกแทนที่จะตอบคำถามท่านคุณพี่ หญิงไทยให้ตรงประเด็น ดันไปคัดลอดพระไตรปิฏกมาให้ท่านพี่หญิงไทยแกอ่าน ทั้งที่แกก็บอกแต่แรกว่า ไม่สามารถตีความหมายในพระไตรปิฏกได้ ทำไมท่านไม่อธิบายออกไปจากความรู้สึกของท่าน แบบนี้มันเป็นศรัทธราของคนที่งมงาย ท่านคงไม่รู้ตัวว่าที่แท้จริงแล้วท่านกำลังหลง งมงาย ถ้าท่านบอกว่ามีศรัธทราจริง ท่านต้องอธิบายได้ ดิฉันจะอธิบายให้ท่านฟัง โดยไม่ต้องไปยึดหลัก กาลามาสูตร หรือพระไตรปิฏก เล่มไหนเลย สิ่งเหล่านั้นมันเป็น อนัตตา ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจเรานี่แหละเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตา เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ สัจธรรม คือความจริงที่เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ท่านเข้าใจความหมายนี้ไหมเจ้าค่ะ "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราในตถาคต" :b8: ดิฉันอยากชี้ทางสว่างให้ท่านจริงๆนะเจ้าค่ะ


ผม เทียบเคียงจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้งมโข่ง(แปลว่างุ่มง่ามหรือไม่ทันเหตุการณ์)
อย่างที่ท่านกล่าวอ้างเลย

ก่อนจะพูดอะไรพึงสำรวจวาจาของตน พิจารณากาย วาจา ใจของตนให้มาก
เพราะผู้ที่มากด้วยอภิชฌาและโทมนัส ไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้พระตถาคตเลย

ดิฉันคิดอยู่แล้ว ว่าท่านจะต้องอคติกับคำพูดดิฉัน โอเคดิฉันอาจจะไม่ค่อยสำรวมวาจา แต่ใจดิฉันบอกเลย ว่าเจตนาดีต่อท่านอย่างจริงใจ แต่ท่านกลับไม่มีอุเบกขาเอาเสียเลย ดิฉันจะยกตัวอย่างให้ฟัง เคยอ่านพระไตรปิฏกที่ พระสารีบุตรยอมรับการตักเตือนของสามเณรไหม ถ้าทำไปด้วยกุศลจิต ถือว่าบริสุทธ์ แล้วท่านก็ไม่เข้าใจอารมณืปรมัต เค้าไม่ได้พูดจาภาษาดอกไม้ ชวนให้หลงไหล ดิฉันอยากให้ท่านอ่านนี่ดู แล้วพิจารณาดิฉันให้ถ่องแท้
พิจารณาอริยบุคคล 4 ระดับ คือ
1. พระโสดาบัน หมายถึงท่านที่ได้ละกิเลสได้ 3 อย่าง คือ
ก. สันกายทิฐิ หมายถึงความเห็นร่างกายของตนว่าเป็นตัวเป็นตน แต่ผู้ละกิเลสจะเห็นว่าเป็นเพียงรูปธรรม นามธรรม ที่ไม่ยับยั้ง เปลี่ยนแปลงและแตกสลายไปในที่สุด
ข.วิจิกิฉา คือความสงสัยว่าบาปบุญและผลบาปบุญมีหรือไม่มี คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดามีหรือไม่มีผู้ละกิเลสจะเชื่อว่าบาปบุญ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดา มารดามีจริง
ค. ลีลัพพตปรามาส ได้แก่ ความเชื่องมงาย จะทำอะไรจะปฏิบัติอะไรก็งมงายตามคนอื่น โดยไม่รู้ความมุ่งหมายของการกระทำนั้น ผู้ละกิเลสย่อมเข้าใจแจ่มแจ้งในการกระทำนั้น
2. พระสกิทาคามี ได้แก่ท่านที่ละกิเลสทั้ง 3 อย่าง แลบรรเทากิเลสอีก 3 อย่าง คือ ราคะความรู้สึกทางเพศ โทสะความขุ่นเคือง และโมหะความหลงให้เบาบางลงไม่รักง่ายโกรธง่ายไม่หลงง่าย ความรู้สึกดังกล่าวยังคงมีอยู่แต่ไม่รุนแรง
3. พระอนาคามี ได้แก่ท่านที่ละกิเลส 3 อย่าง และตัดหรือละกิเลสได้อีก 2 อย่าง คือ ราคะความรู้สึกทางเพศ และโทสะความ ขุ่นเคือง
อริยบุคคลชั้นที่ 1 ละ 2 ยังมีบุตรภรรยาได้ ถ้าเป็นหนุ่มสาว ก็ยังแต่งงานตามประเพณีได้ แต่ถ้าท่านผู้ใดได้สาเร็จขั้นอนาคามี จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับทางเพศเด็ดขาด อนาคามี จึงยังมีกิเลสเหลืออยู่อย่างหนึ่งซึ่งยังละไม่ได้ คือ โมหะ
4. พระอรหันต์ คือท่านที่ละกิเลสทุกชนิดได้เด็ดขาด เช่นพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ทั้งหลาย มาถึงตอนนี้เราได้รู้ถึงหลักการพิจารณาบุคคลต่างๆ แล้วว่าเป็นอริยบุคคลในขั้นใดบ้าง ดังนั้นอริยบุคคลทั้ง 4 อย่างนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระภิกษุแต่อย่างเดียว บุคคลธรรมดาก็สามารถเป็นอริยบุคคลได้ หากปฏิบัติได้ตามหลักดังกล่าวแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพูดที่สมควรพูดคือ คำนั้นเป็นคำจริง มีประโยชน์ ถูกแก่กาล

ผมก็ได้ชี้แจงไปแล้ว ว่าได้เทียบเคียงกับคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อมีผู้ถามเรื่องพระสูตรนี้ว่าอย่างไร ก็ตอบไปว่าเป็นอย่างนี้ ๆ
ผู้ฟังก็ต้องอ่านพิจารณาดู เมื่อสงสัยตรงไหน ส่วนใดจึงถาม

ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไรเลยครับ เพราะคำนั้นเป็นคำจริง มีประโยชน์ และถูกแก่กาล

ถ้าผมทำผิดอะไร คุณ Nongkong ก็สามารถบอกได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
คำพูดที่สมควรพูดคือ คำนั้นเป็นคำจริง มีประโยชน์ ถูกแก่กาล

ผมก็ได้ชี้แจงไปแล้ว ว่าได้เทียบเคียงกับคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อมีผู้ถามเรื่องพระสูตรนี้ว่าอย่างไร ก็ตอบไปว่าเป็นอย่างนี้ ๆ
ผู้ฟังก็ต้องอ่านพิจารณาดู เมื่อสงสัยตรงไหน ส่วนใดจึงถาม

ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไรเลยครับ เพราะคำนั้นเป็นคำจริง มีประโยชน์ และถูกแก่กาล

ถ้าผมทำผิดอะไร คุณ Nongkong ก็สามารถบอกได้ครับ

งั้นเชิญท่านFLAMEสนทนาต่อกับ คุนพี่หญิงไทยเถิดเจ้าค่ะ ดิฉันขอตัวดีกว่า :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
คุณหญิงไทยถามเรื่องกาลามสูตร ก็ต้องอ่านทำความเข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้านั้นสอนอย่างไร
เมื่อสงสัยตรงไหนจึงถาม


ค่ะท่าน FLAME ดิฉันเห็นด้วยที่ท่านกล่าวเช่นนี้นะคะ แต่ก่อนอื่นท่านFLAME กรุณาตอบคำถามเบื้องต้นก่อนได้มั้ยคะ จากที่ดิฉันอ้างอิงคำพูดของท่านที่ว่า

FLAME เขียน:
ผมเห็นว่า คำพูดของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ เป็นคำจริง เป็นสิ่งที่ควรเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยอะไรเลย


กราบเรียนท่าน FLAME แค่ยืนยันคำกล่าวของท่านเองด้านบนนี้ เพราะคำกล่าวนี้ของท่านทำให้ดิฉันนึกถึงเรื่องหลัก กาลามสูตร

1.หลักกาลามสูตร เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าคะ ถ้าตอบว่าไม่ใช่ เป็นคำสอนใครคะ
เอาแบบกระชับและชัดเจนนะคะ คำถามข้อ 1 นี้ ท่าน FLAME เพียงแค่ตอบว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เท่านั้นเองค่ะ (แต่ถ้าหากตอบว่าไม่ใช่ โปรดแนบเหตุผลมาด้วยว่าเหตุใดจึงไม่ใช่ และที่ใช่ควรเป็นอย่างไร)

2.โปรดอธิบายขยายความ ในเรื่องของ กาลามสูตร 10 ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งได้มั้ยคะ

คำถามข้อ 2 นี้ ท่าน ท่าน FLAME ไม่ต้องยกพระสูตรที่เป็นภาษาสำนวนในพระไตรปิฎกมาทั้งบทก็ได้นะคะ เพียงแต่ตอบมาว่า หลักกาลามสูตรทั้ง 10 ข้อนั้นกล่าวถึงเรื่องอะไรบ้าง และขยายความของความหมายในแต่ละข้อก็พอค่ะ ดิฉันอยากทราบแค่นี้ก่อนค่ะ เพราะถ้าลึกซึ้งมากกว่านี้ดิฉันจะงงไม่หายซักทีค่ะท่าน

คือตามที่ดิฉันอ่านๆมา มักจะมีแต่การแปลความที่แปลไว้สั้นๆ น่ะค่ะ จึงอยากรบกวนท่านFLAME
ผู้แจ้งในธรรมข้อกาลามสูตรช่วยกรุณาขยายหรือบรรยายความเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย

หวังว่าท่านFLAME คงไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับดิฉันสักเล็กน้อยนะคะ

ขอขอคุณท่านFLAME ล่วงหน้านะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นวาจาอันสูงสุด
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นล้วนเป็นคำจริง
คำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ควรน้อมใจเชื่ออย่างยิ่ง
ไม่พึงมีความเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของพระผู้มีภาคเจ้าพระองค์นั้นเลยว่าจะเป็นคำไม่จริง

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีวาจาสูงสุด

ก็กิตติศัพท์อันงามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้
ทรงตรัสรู้เองโดยชอบแม้เพราะเหตุนี้
ทรงบรรลุวิชชาและจรณะแม้เพราะเหตุนี้
เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุนี้
ทรงทราบโลกแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้
ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุนี้

พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง
แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพและมนุษย์ ให้รู้
ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์
อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี.

:b8: :b8: :b8:

ค่ะ ดิฉันไม่ได้มีปัญหาเคลือบแคลงอะไรกับคำกล่าวนี้นะคะ ดิฉันก็ค่อนข้างโน้มเอียงไปทางเห็นด้วยและยอมรับนะคะ

แต่ ดิฉันขออณุญาตตั้งข้อสังเกตค่ะว่า

ดิฉันค่อนข้างมั่นใจนะคะว่านี่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ เพราะถึงดิฉันจะไม่ค่อยรู้เรื่องพระไตรปิฎก แต่ดิฉันก็พอคาดเดาและวิเคราะห์ออกว่านี่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าแน่นอนค่ะ ซึ่ง
ก็ต้องย้อนกลับไปที่คำถามของดิฉัน ที่ถามท่าน FLAME ในเรื่อง กาลามสูตร 10 ค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 186 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร