วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 05 ม.ค. 2012, 10:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาฯ ด้วยคนครับ
ปล. ครั้งแรกที่ได้อ่านเรื่องถังขยะ ก็รู้สึกติดใจ คือมันคุ้นๆดูคุ้นเคยน่ะครับ แล้วเมื่อวานก็หยิบเอาคำเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์มาอ่านทบทวนก็เลยเข้าใจว่าที่รู้สึกคุ้นๆมันเพราะท่านเคยสอนเรามาแล้วนี่เอง ตอนนั้นละอายใจกับความหลงลืมของตัวเองมากๆครับ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
ขออนุโมทนาฯ ด้วยคนครับ
ปล. ครั้งแรกที่ได้อ่านเรื่องถังขยะ ก็รู้สึกติดใจ คือมันคุ้นๆดูคุ้นเคยน่ะครับ แล้วเมื่อวานก็หยิบเอาคำเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์มาอ่านทบทวนก็เลยเข้าใจว่าที่รู้สึกคุ้นๆมันเพราะท่านเคยสอนเรามาแล้วนี่เอง ตอนนั้นละอายใจกับความหลงลืมของตัวเองมากๆครับ

:b8:
อนุโมทนาสาธุเป็นที่ยิ่งกับคุณลูกพระป่า ตามข้อความสารภาพที่คาดสีแดงไว้ครับ

ภาษิตประจำนาทีนี้

"หิริ โอตัปปะ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป คือรากฐานความดีและคุณธรรมเบื้องต้นที่สำคัญยิ่งของมนุษย์"

tongue


โพสต์ เมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 04:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
อ่านกระทู้มาเยอะๆ มองมุมหนึ่งเหมือนการพอกพูนความรู้เข้าไปในสัญญา

แต่พอกลับไปมองอีกมุมหนึ่งเหมือนการเพิ่มขยะสะอาด หอม กับขยะสกปรก เหม็นเข้าไปในถังขยะใจ
จะเลือกเอาแต่ขยะหอม โยนทิ้งขยะเหม็น หรือไม่เก็บไว้ทั้งขยะหอมขยะเหม็น จะต้องทำอย่างไร นี่ซิเป็นสิ่งที่น่าจะค้นหาคำตอบ

ท่านใดได้คำตอบแล้วบ้างหนอ?


โพสต์ เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 08:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
วิธีสำรวจปริมาณขยะในใจว่าเหลืออยู่มากหรือน้อย หอมหรือเหม็น หนักหรือเบา รับเข้ามาอีกหรือชำระไปแล้วมากน้อยเท่าไหร่

พิสูจน์ได้ง่ายๆเพียงแค่นั่งลงขัดสมาธิ หลับตา สงบกายสงบใจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สังเกตว่าถ้าสงบได้ที่จะได้ยินเสียงหรือรู้อาการเต้นของหัวใจหรือชีพจรชัดขึ้นๆตามลำดับ เมื่อสงบได้ถึงตรงนี้แล้ว ให้ปล่อยกายใจให้เขาอยู่ตามธรรมชาติ เปิดทวารทั้ง 6 อ้าไว้พร้อมรับสัมผัสและอารมณ์

ไม่ช้าเราจะได้พบเห็นว่า มีธรรมมะคือ รูป เสียง กลิ่นรส สัมผัสทางกาย หรืออารมณ์ทางใจเกิดขึ้นมาดึงจิตเราไปดู สิ่งใดมีกำลังดึงจิตไปให้รู้มากที่สุด ให้รู้ก่อนเพื่อน สิ่งนั้นเรียกว่าปัจจุบันอารมณ์

สังเกตดูให้ดี สติให้ทันความเปลี่ยนแปลงของผัสสะและอารมณ์ เราจะได้เห็นว่าทุกผัสสะจะเกิดการตอบโต้ขึ้นมาจากจิตใจไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน ปฏิกิริยาของจิตใจที่มีต่อสัมผัสนั้นๆจะแสดงให้เห็นถึงจำนวน ชนิดหรือปริมาณของขยะ ถ้าเป็นโกรธ ขุ่นมัว แสดงว่ามีขยะโทสะมาก ถ้าเป็นความอยากได้อยากมีอย่างรุนแรง แสดงว่ามีขยะโลภะมาก ถ้าเกิดความเคลิบเคลิ้ม ลุ่มหลง เลื่อนลอย แสดงว่ามีขยะโมหะมาก ดังนี้เป็นต้น เรายังสามารถจะวิเคราะห์เจาะลึกลงไปได้มากกว่านี้อีก ไว้คอยอ่านตอนถัดไปนะครับ

:b18:


โพสต์ เมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 08:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
วันนี้ขออนุญาตเอาขยะความรู้มาแสดงให้อ่านกันสักนิดหนึ่งนะครับ หวงว่าคงจะเป็นประโยชน์ในการจะชำระขยะใจทิ้งกันให้หมดในโอกาสต่อไป

Keep your thoughts positive because your thoughts become your words.
Keep your words positive because your words become your behavior.
Keep your behavior positive because your behavior becomes your habits. Keep your habits positive because your habits become your values.
Keep your values positive because your values become your destiny.


จงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นคำพูด
จงระวังคำพูด เพราะคำพูดจะกลายเป็นการกระทำ
จงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย
จงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก
จงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกลายเป็นชะตากรรม

ใบไผ่เขียว เขียน:
สัญญากับปัญญา เกี่ยวพ้นอย่างไรบ้างครับ ? :b12:

ความรู้ครั้งแรกที่สุดของชีวิต คือปัญญา เป็นภาวนามยปัญา
หลังจากนั้น ความรู้นั้นจะกลายเป็น รู้ด้วยสัญญา ความจำหมาย หรือคิดนึก เป็นสุตตะและจินตมยปัญญา

ตัวอย่างเช่นเด็กที่เกิดมายังไม่รู้จักความร้อนของไฟ เมื่อเขาถูกไฟไม้มือครั้งแรกแล้ว ปัญญาจะเกิดกับเขา หลังจากนั้นแล้วความร้อนของไฟจะอยู่ในสัญญาของขาชั่วชีวิต

ชาวพุทธที่ยังไม่เคยสัมผัสสภาวธรรมในกายและจิตของตนเองจริงๆสักครั้งหนึ่ง เขาจะรู้ธรรมแบบนกแก้วนกขุนทอง แต่เมื่อเขาได้นั่งลง หลับตา สำรวมกายใจให้สงบลงมาแล้วเอาสติปัญญา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิต เขาจะได้พบกับกระบวนการทำงานของกายและจิตตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุด อย่างสมบูรณ์แลเข้าใจกะบวนการเกิดสิ่งต่างๆและการกระทำ(กรรม)ต่างๆทีเกิดขึ้นมานกายใจทั้งหมด เมื่อเข้าใจดีแล้ว เขาจะได้รู้จักการบริหารจัดการชีวิตและใช้ชีวิตที่เหลือตอไปอย่างชาญฉลาด ด้วยปรมัตถสัญญาหรือประสบการณ์จริงที่ได้จากการเข้าไปสังเกตการณ์ การทำงานของกายและจิต

สิ่งที่เขาได้รู้ ได้พบเห็นครั้งแรกในการภาวนา คือ "ปัญญา" หลังจากนั้นสิ่งทั้งหมดที่ได้รู้คือ "สัญญา"

มีข้อแม้ที่สำคัญมากที่สุดในการเข้าไปศึกษาการทำงานขกายและจิตนั้น คือ

1.จะต้องไม่มีความเป็นเรา ไปยุ่ง ไปเกิดปฏิกิริยา ดึงดูด ผลักต้าน หรือตอบโต้กับ อาการ ความรู้สึก นึกคิด ต่างๆที่เกิดขึ้นตามกำลังแห่งเหตุปัจจัยในกายและจิต เขาจะต้องทำหน้าที่ของผู้สังเกตการณ์ที่ดี ประดุจนักชีววิทยาที่ไปซุ่มถ่ายทำชีวิตของนกแปลกๆชนิดหนึ่ง (Keep your self & your mind as the best Obsever.)

2.ต้องสนใจใฝ่รู้เฉพาะที่ปัจจุบันอารมณ์เท่านั้น จึงจะได้ปัญญาที่แท้จริง ถ้าหลุดจากปัจจุบันอารมณ์ สิ่งที่รู้ทั้งหมดจะเป็นแค่เพียงความรู้จากสัญญา

บทส่งท้าย
สัญญาที่เก็บไว้ในสมองและจิตทั้งหมดเหมือนคำศัพท์ในดิกชันนารี ที่จะช่วยแปลบัญญัติภาษาทั้งหลายให้รู้เรื่องด้วยความคิด และแปลปรมัตถบัญญัติทั้งหลายให้รู้ที่ใจ เป็นบัญญัติภาษาของใครของมัน


โพสต์ เมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 22:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




chalermchai16_bigpic.jpg
chalermchai16_bigpic.jpg [ 40.03 KiB | เปิดดู 5643 ครั้ง ]
:b11:
เมื่อมีเวลาได้เปิดทบทวนดูกระทู้ต่างๆที่มีผู้โพสต์ไว้ ย้อนหลังไปถึงแค่หน้า 6 - 7 - 8 ก็ได้เห็นว่า
ความรู้ความเห็นทั้งหมดที่ถกเถียงกันมาหน้าดำหน้าแดง ข้อธรรมที่เปี่ยมล้นด้วยคุณค่าควรแก่การศึกษาจดจำ แต่เมื่อกระทู้ตกจากหน้าหนึ่งไป ทั้งหมดก็กลายเป็นอดีต ที่ไม่ช้าผู้คนก็ลืมเลือน


โอ้! ทั้งหมดนี้คือขยะในใจแท้ๆ!
:b7:
:b16:
:b8:
โพสต์ เมื่อ: 26 มี.ค. 2012, 04:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ถ้ารู้ชัดว่าเป็นขยะ ใครจะไปหยิบมาถือไว้กัน

คงเพราะไม่รู้ต่างหากว่าเป็นขยะ เป็นของไม่ควรเอา เห็นเป็นของดีสวยงาม เห็นเป็นของที่เราควบคุมได้ หรือเห็นว่าเป็นของที่มีอยู่มาแต่เดิม คุ้นชิน จะทิ้งไปก็เสียดาย เราถึงได้ไปเก็บกันมาไว้ไม่ยอมปล่อยไปอย่างนี้

หากเมื่อไรมีสติได้ย้อนกลับมาดูของที่ตัวเองถืออยู่ชัดๆ อาจจะพอรู้ตัวได้ว่าสิ่งที่ถืออยู่แท้จริงไม่ใช่ของดี ของสวยงามเลย แต่เป็นของร้อน ที่เผามือเราอยู่ทุกวี่ทุกวัน

เมื่อนั้นก็คงจะเห็นขยะเป็นขยะ เห็นภัยที่ขยะเอามาให้ แล้วก็คงทิ้งขยะไปได้เอง

การหวังจะให้เกิดผล มุ่งจะเอาแต่ผลโดยไม่สร้างเหตุให้ผลนั้นเกิด เป็นการกระทำที่เลื่อนลอย สูญเปล่า

หากการทิ้งขยะเป็นผลที่เราปรารถนา เราควรมุ่งสร้างเหตุให้เกิดผลนั้น

การพยายามจะทิ้งขยะ บอกตัวเองให้ทิ้งไป ไม่ใช่การทิ้งขยะนั้นอย่างถาวร เพราะเหตุของการเก็บขยะยังไม่ดับ ถึงทิ้งไปได้ครั้งนึง เดินๆต่อไปเจอขยะชิ้นใหม่คล้ายชิ้นเดิมก็จะเผลอเก็บกลับมาตามความเคยชินอยู่ดี

การศึกษาพิจารณาขยะต่างหากที่เป็นเหตุ เมื่อใดรู้ชัดว่าของที่ถือไว้มาตลอดจริงๆแล้วเป็นขยะที่นำทุกข์มาให้ เมื่อนั้นใจก็จะทิ้งขยะเองโดยอัตโนมัติ อะไรก็ห้ามไม่ได้ และใจที่รู้แล้ว ก็จะไม่เก็บขยะประเภทเดียวกันขึ้นมาซ้ำอีกเลย

ขึ้นชื่อว่าขยะ จะหอมหรือจะเหม็น ถ้านำโทษมาให้แล้ว ก็ควรทิ้งไปทั้งหมด

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสต์ เมื่อ: 26 มี.ค. 2012, 16:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 มี.ค. 2012, 08:59
โพสต์: 15


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากค่ะ เป็นประโยชน์ที่สุด ฟังเข้าใจง่าย จะปฏิบัติตามเพราะขยะใจในตัวฉันมีมากเหลือเกิน จนเป็นทุกข์อย่างสาหัส ดีใจที่ได้มาอ่านเจอ ฉันจะทำให้ได้ค่ะ.. :b35:


โพสต์ เมื่อ: 26 มี.ค. 2012, 19:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นว่ารายการ..กบนอกกะลา..กะลังถูกร้องเรียนเรื่อง...นำเสนอเรื่องเหยี่ยวทำให้เกิดการส่งเสริมการจับเหยี่ยวป่ามาฝึกสอน..อะไรทำนองนี้แหละ.. :b12: :b12:

เรื่องขยะ....เดียวได้กลายเป็น..ส่งเสริมให้เกิดขยะมากขึ้น..หรอก :b13:

ไม่รู้...เป็นเรื่องเดียวกันรึเปล่า...นะ ??.. :b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 12:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เห็นว่ารายการ..กบนอกกะลา..กะลังถูกร้องเรียนเรื่อง...นำเสนอเรื่องเหยี่ยวทำให้เกิดการส่งเสริมการจับเหยี่ยวป่ามาฝึกสอน..อะไรทำนองนี้แหละ.. :b12: :b12:

เรื่องขยะ....เดียวได้กลายเป็น..ส่งเสริมให้เกิดขยะมากขึ้น..หรอก :b13:

ไม่รู้...เป็นเรื่องเดียวกันรึเปล่า...นะ ??.. :b32: :b32: :b32:

:b12:
ถ้ามองแต่ลบค้นหาแต่จุดผิดจุดเสียย่อมจะเป็นการเพิ่มขยะเน่าเหม็นไว้ในใจแน่นอน
แต่ถ้ามองบวก ค้นหาประโยชน์และสิ่งดีๆจากอุปมาอุปมัยของกระทู้นี้ อาจเพิ่มขยะหอมขยะเบาสะอาดเข้าสู่ใจเป็นภาระ แต่ เป็นภาระเพื่อจะนำไปสู่การปลดเปลื้องภาระ คือการเดินไปบนเส้นทางชำระขยะใจให้หมดสิ้น หรือ"การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ"ตามโอวาทปาติโมกข์ข้อที่ 3
คงไม่เป็นเหมือนเรื่องเหยี่ยวที่กำลังถูกร้องเรียนหรอกนะครับ
onion


โพสต์ เมื่อ: 10 เม.ย. 2012, 14:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
:b8: :b8: :b8:

ถ้ารู้ชัดว่าเป็นขยะ ใครจะไปหยิบมาถือไว้กัน

คงเพราะไม่รู้ต่างหากว่าเป็นขยะ เป็นของไม่ควรเอา เห็นเป็นของดีสวยงาม เห็นเป็นของที่เราควบคุมได้ หรือเห็นว่าเป็นของที่มีอยู่มาแต่เดิม คุ้นชิน จะทิ้งไปก็เสียดาย เราถึงได้ไปเก็บกันมาไว้ไม่ยอมปล่อยไปอย่างนี้

หากเมื่อไรมีสติได้ย้อนกลับมาดูของที่ตัวเองถืออยู่ชัดๆ อาจจะพอรู้ตัวได้ว่าสิ่งที่ถืออยู่แท้จริงไม่ใช่ของดี ของสวยงามเลย แต่เป็นของร้อน ที่เผามือเราอยู่ทุกวี่ทุกวัน

เมื่อนั้นก็คงจะเห็นขยะเป็นขยะ เห็นภัยที่ขยะเอามาให้ แล้วก็คงทิ้งขยะไปได้เอง

การหวังจะให้เกิดผล มุ่งจะเอาแต่ผลโดยไม่สร้างเหตุให้ผลนั้นเกิด เป็นการกระทำที่เลื่อนลอย สูญเปล่า

หากการทิ้งขยะเป็นผลที่เราปรารถนา เราควรมุ่งสร้างเหตุให้เกิดผลนั้น

การพยายามจะทิ้งขยะ บอกตัวเองให้ทิ้งไป ไม่ใช่การทิ้งขยะนั้นอย่างถาวร เพราะเหตุของการเก็บขยะยังไม่ดับ ถึงทิ้งไปได้ครั้งนึง เดินๆต่อไปเจอขยะชิ้นใหม่คล้ายชิ้นเดิมก็จะเผลอเก็บกลับมาตามความเคยชินอยู่ดี

การศึกษาพิจารณาขยะต่างหากที่เป็นเหตุ เมื่อใดรู้ชัดว่าของที่ถือไว้มาตลอดจริงๆแล้วเป็นขยะที่นำทุกข์มาให้ เมื่อนั้นใจก็จะทิ้งขยะเองโดยอัตโนมัติ อะไรก็ห้ามไม่ได้ และใจที่รู้แล้ว ก็จะไม่เก็บขยะประเภทเดียวกันขึ้นมาซ้ำอีกเลย

ขึ้นชื่อว่าขยะ จะหอมหรือจะเหม็น ถ้านำโทษมาให้แล้ว ก็ควรทิ้งไปทั้งหมด

:b8:
สาธุอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งกับการช่วยย้ำเตือนของคุณคนธรรมดาๆครับ

"การศึกษาพิจารณาขยะต่างหากที่เป็นเหตุ เมื่อใดรู้ชัดว่าของที่ถือไว้มาตลอดจริงๆแล้วเป็นขยะที่นำทุกข์มาให้ เมื่อนั้นใจก็จะทิ้งขยะเองโดยอัตโนมัติ อะไรก็ห้ามไม่ได้ และใจที่รู้แล้ว ก็จะไม่เก็บขยะประเภทเดียวกันขึ้นมาซ้ำอีกเลย"


โพสต์ เมื่อ: 10 เม.ย. 2012, 20:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตนี้..มันต้องการเหตุผล...

แต่เหตุผลที่มันใช้อยู่ในปัจจุบัน...เป็นเหตุผลของความหลง.....ทุกอย่างเป็นไปเพื่อรูป...เพราะคิดว่าจะดีมีความสุข...

เราจึงมีหน้าที่ให้เหตุให้ผล...กับมัน

จี้ไปที่รูปคือร่างกายนี้....อันเป็นเป้าหมายใหญ่ของความหลง

รูปนี้ไม่ใช่เรา...ก็บอกมันให้ชัดว่าเหตุใดรูปนี้จึงไม่ใช่เรา..

รูปนี้ไม่ใช่เหตุของความสุข...ก็บอกมันให้ชัดว่า...มีแต่ทุกข์...ทุกข์ยังงัย...กิจการงานทุกอย่างที่ทำเพื่อบำรุงรูปนี้ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น...ก็บอกให้มันเข้าใจ

ธรรมะที่ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์ก็ดี.....ตำรับตำราก็ดี...ก็เพื่อนำมาให้เหตุให้ผลกับมันนี้แหละ

แรก ๆ มันก็คือท่องจำให้มันฟัง....

จนจิตมันอิ่มด้วยเหตุด้วยผล...ที่เราเทใส่

แล้วมันจะตัดสินใจ..ของมันเอง

ก้าวแรกที่มันตัดสินใจเดินทางใหม่....ก็เริ่มขึ้น...ตรงที่มันรู้ว่า...ทุกข์...นี้แหละ

จิตนี้มันฉลาดอยู่แล้ว....เมื่อรู้อะไรว่าทุกข์...มันก็จะรู้ว่าอะไรทำให้เกิดทุกข์...
เมื่อรู้ว่า..ทุกข์มีสภาพอย่างไร....ความไม่ทุกข์ย่อมมีอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง...มันก็รู้

เมื่อมันเข้าใจอย่างนี้....มันจึงก้าวเดิน

มันเดินด้วยความมีเหตุมีผล...ด้วยความเข้าใจ

ไม่ใช่มีใครผลักมันให้เดิน..


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 10:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
love-son เขียน:
ขอบคุณมากค่ะ เป็นประโยชน์ที่สุด ฟังเข้าใจง่าย จะปฏิบัติตามเพราะขยะใจในตัวฉันมีมากเหลือเกิน จนเป็นทุกข์อย่างสาหัส ดีใจที่ได้มาอ่านเจอ ฉันจะทำให้ได้ค่ะ.. :b35:

:b8:
อนุโมทนาสาธุกับคุณ love-son ที่รู้ว่าใจมีขยะต้องชำระ ขอให้รู้เทคนิคการกำจัดขยะ และชำระใจให้ขาวรอบได้ในเร็ววัน ทันในปัจจุบันชาตินี้เทอญ
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 10:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จิตนี้..มันต้องการเหตุผล...

แต่เหตุผลที่มันใช้อยู่ในปัจจุบัน...เป็นเหตุผลของความหลง.....ทุกอย่างเป็นไปเพื่อรูป...เพราะคิดว่าจะดีมีความสุข...

เราจึงมีหน้าที่ให้เหตุให้ผล...กับมัน

จี้ไปที่รูปคือร่างกายนี้....อันเป็นเป้าหมายใหญ่ของความหลง

รูปนี้ไม่ใช่เรา...ก็บอกมันให้ชัดว่าเหตุใดรูปนี้จึงไม่ใช่เรา..

รูปนี้ไม่ใช่เหตุของความสุข...ก็บอกมันให้ชัดว่า...มีแต่ทุกข์...ทุกข์ยังงัย...กิจการงานทุกอย่างที่ทำเพื่อบำรุงรูปนี้ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น...ก็บอกให้มันเข้าใจ

ธรรมะที่ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์ก็ดี.....ตำรับตำราก็ดี...ก็เพื่อนำมาให้เหตุให้ผลกับมันนี้แหละ

แรก ๆ มันก็คือท่องจำให้มันฟัง....

จนจิตมันอิ่มด้วยเหตุด้วยผล...ที่เราเทใส่

แล้วมันจะตัดสินใจ..ของมันเอง

ก้าวแรกที่มันตัดสินใจเดินทางใหม่....ก็เริ่มขึ้น...ตรงที่มันรู้ว่า...ทุกข์...นี้แหละ

จิตนี้มันฉลาดอยู่แล้ว....เมื่อรู้อะไรว่าทุกข์...มันก็จะรู้ว่าอะไรทำให้เกิดทุกข์...
เมื่อรู้ว่า..ทุกข์มีสภาพอย่างไร....ความไม่ทุกข์ย่อมมีอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง...มันก็รู้

เมื่อมันเข้าใจอย่างนี้....มันจึงก้าวเดิน

มันเดินด้วยความมีเหตุมีผล...ด้วยความเข้าใจ

ไม่ใช่มีใครผลักมันให้เดิน..

:b8:
สาธุอนุโมทนากับการจำแนกธรรมได้ตรงประเด็น และจิตใจอันสงบเยือกเย็นเป็นปกติดี มีแต่สุภาษิตาวาจา :b27: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 18 เม.ย. 2012, 12:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
การสัมผัสของทวารทั้ง 6 และรับอารมณ์ทุกวัน หากไม่สามารถละความยินดียินร้ายที่มีต่ออารมณ์นั้น จนเป็นอุเบกขาตามหลักสติปัฏฐาน 4 ย่อมจะมีขยะใจเพิ่มมากขึ้นเสมอ ขยะใจเพิ่มมาแต่ละวันแล้วไม่มีเวลามาชำระใจ คือการนั่งเจริญวิปัสสนาภาวนา ใจก็จะสกปรกมากขึ้นทุกวันๆ เหมือนเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วไม่ยอมถอดออกซัก พอนานไปสิ่งสกปรกเหงื่อไคลก็จะพอกหนาติดแน่นลึกเข้าทุกที พอมีเวลาจะมานั่งซักก็จะต้องซักด้วยความยากลำบากเปลืองแรงเปลืองเวลาและสารซักฟอก
ดังนั้นผู้ที่นานๆได้เจริญภาวนาสักที จิตใจจึงไม่สามารถสงบลงได้ง่ายและรวดเร็ว ต้องใช้เวลาสะสางขยะอันมาก่อตัวเป็นนิวรณ์ในจิตหลายนาที นี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าไม่เกียจคร้าน ไม่ใจร้อนเกินไป ไม่นานเกินรอ จิตใจจะสงบเข้าถึงความร่มเย็นได้ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่ยังไม่ทิ้งการภาวนา

:b27:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร