วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2012, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำอย่างไรไม่ให้คิด ขณะปฏิบัติสมาธิ
สมาธิมือใหม่ เขียน:
เพิ่งสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกค่ะ ติดตามอ่านเวบบอร์ดมาพอสมควร อยากได้คำแนะนำจากท่านผู้รู้ ช่วยแนะแนวทางให้หน่อยค่ะ ที่จริงฝึกสมาธิมานานมากแล้ว หลายปี ตั้งแต่สมัยเรียน แต่ไม่ได้ทำจริงจังถึงขนาดทุกวัน คือทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ได้ผลในเบื้องต้น คือ สมัยเรียนช่วยเรื่อง การจำ สอบได้คะแนนดีมาก(ได้เกียรตินิยมอันดับ2)ตอนนี้จบมาหลายปี เปลี่ยนงานมาหลายงาน จนตอนนี้มีครอบครัว ก็ยังพยายามฝึกทำสมาธิอยู่ ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเลย ออกจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ศึกษามาพอควร เปลี่ยนวิธีมาก็หลายวิธี ทั้ง หายใจเข้า-ออก บริกรรมพุท-โธ, สัมมาอะระหัง, ยุบหนอ-พองหนอ, นับหายใจเข้า-ออก 1-5 แล้วย้อน 5-1, นับ 1-9 แล้วย้อน 9-1 หรือ เพ่งรู้ตามเสียง,ตามรู้ลมหายใจ เข้าให้รู้เข้า ออกให้รู้ออก สั้นให้รู้สั้น ยาวให้รู้ยาว, ในระหว่างวันตามรู้ลมหายใจขณะทำงาน, ที่เปลี่ยนหลายวิธีก้อเพื่ออยากหาหนทางที่เหมาะกับจริตตัวเอง และคิดว่ายังไม่เจอ แต่ที่ทำก็ใช้ บริกรรมพุทโธ เป็นส่วนใหญ่ ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำมาก็ไม่มีความก้าวหน้าในสมาธิ ที่บอกว่าไม่ก้าวหน้าคือ ไม่สามารถทำให้นานขึ้นได้ ไม่เคยเกิดนิมิต หรืออะไรต่างๆที่สามารถบอกเราได้ว่าเราไปสู่ขั้นต่อๆไป ก่อนทำก็ไม่คาดหวังอะไรนะคะ ไม่ตั้งเวลา ไม่เคยระบุด้วยว่าต้องทำ 1 ชม.ไม่คาดหวังว่าต้องมีนิมิต มันติดตรงที่ว่า ตอนนั่งสมาธิหลับตาแล้ว "ชอบคิด" เคยอ่านเจอคิดว่าน่าจะเป็นของท่านพุทธทาสภิกขุ(สะกดถูกรึป่าว ขออภัยด้วยค่ะ)ท่านบอกว่า ต้องทำให้จิตว่าง ทุกวันนี้ เค้าสอนให้เราคิด แต่ไม่เคยสอนให้เราหยุดคิด จริงมากที่สุดค่ะสำหรับตัวดิฉันเอง ทำอย่างไรให้ว่าง ทำอย่างไรให้ไม่คิด (ให้นานนานหนะค่ะ) ดิฉันทำได้แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ หรือเราเป็นพวกสามธิสั้น (อ้อ..แล้วเรื่องที่คิดก็เป็นแบบจินตนาการค่ะ) ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยในการดำเนินชีวิต ที่จะมาเป็นอุปสรรค การงาน การเงิน ครอบครัว สุขภาพ ทุกอย่างเอื้อให้เราได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง แต่กลับเป็นตัวเราเองที่ทำไม่ได้
พร่ำบ่นมาซะยาว เป็นความอัดอั้นมานานหลายปีค่ะ ขอต่ออีกหน่อย บางที่ท่านบอกว่าต้องมีครูช่วยแนะนำ บางที่บอกไม่ต้องอ่านมาก รู้มากแล้วทำตามตำราไม่ได้ผล ก้อเลยฝึกด้วยตัวเองเรื่อยมา ไม่ฝืน ทำเฉพาะเวลาที่เราทำได้ ผลก้อเลยออกมาเป็นแบบนี้เหรอป่าว?
ช่วยให้ดิฉันเป็นบัวที่พ้นน้ำซักทีเถิดค่ะ
smiley smiley smiley


ความจริงแล้ว ข้าพเจ้า คิดว่าจะตั้งเป็นกระทู้หรือบทความใหม่ เพื่อให้ได้อ่านกันทุกท่าน แต่ได้แนวคิดใหม่ ก็เลยต้องขออนุญาตเจ้าของกระทู้ไว้ว่า ข้าพเจ้าขออนุญาต นำเอาคำถามของคุณไปโพสเป็น กระทู้เพื่อพุทธศาสนิกชน จะได้เห็นตัวอย่าง และสามารถทำความเข้าใจ ในเหตุการณ์ที่คุณเจ้าของกระทู้ได้เล่ามา

สิ่งที่คุณได้เล่ามาทั้งหมดนั้น แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของคนหรือมนุษย์ที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มาก หรืออาจจะกล่าวได้อีกรูปแบบหนึ่งว่า เป็นผู้มีอารมณ์รุนแรง ขออภัยนะขอรับ ที่กล่าวไปแล้วนั้นไม่ใช่เป็นการว่ากล่าวให้คุณนะขอรับ แต่อธิบายไปตามหลักความจริงขอรับ
ตามที่ได้กล่าวไป ถ้าจะว่ากันตามหลักพุทธศาสนาในเรื่องของฌาน(ชาน) ทุกท่านจะเห็นและเข้าใจได้ว่า เจ้าของกระทู้ วนเวียนอยู่ใน ปฐมฌาน(ประถมชาน) คือ ฌาน(ชาน)ที่๑ อันเกิดมี วิตก,วิจารณ์,ปิติ,สุข,เอกัคคตา ผสมผสานกันไป จะสั้นหรือยาว ก็แล้วแต่ กล่าวคือ คิดเรื่องหนึ่งจบ ก็คิดอีกเรื่องหนึ่ง ต่อๆกันไป อย่างนี้เป็นต้น
การที่เจ้าของกระทู้วนเวียนอยู่ใน ปฐมฌาน ไม่ไปไหน ก็เพราะ ไม่สามารถควบคุมหัวใจและสมองได้ ถ้าคลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงาน สมองก็จะคิดไปโดยที่เจ้าตัวจะไม่สามารถบังคับให้หยุดคิดได้ เนื่องจากในสมองมีเรื่องต่างๆมากมายที่ล้วนเป็นเครื่องก่อให้เกิด กิเลส
คำว่า กิเลส นั้น หลายๆคน ย่อมคิดว่า กิเลส ก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ตัณหาคือความอยาก โดยไม่ทันได้คิดว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ตัณหาคือความอยาก จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ เราคิด เราระลึกนึกถึง จากการที่ได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย เมื่อเจ้าของกระทู้มีเรื่องที่ก่อให้เกิดกิเลส จึงทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงานโดยอัตโนมัต ส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้สมองคิดถึงเรื่องราวต่างๆ แม้ขณะปฏิบัติสมาธิ ด้วยเหตุนี้เอง ในทางพุทธศาสนา จึงได้มีหลักของ ฌาน(ชาน) อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน จะมากหรือน้อย เป็นแล้วคิดแล้วสามารถควบคุมได้ หรือควบคุมไม่ได้ ก็ตามแต่
แต่ในทางพุทธศาสนา ได้จัดลำดับขั้นของ ฌาน(ชาน) เอาไว้เป็นขั้นๆ ซึ่งในทางทีเป็นจริง บุคคลทั้งหลายที่ปฏิบัติสมาธิ อาจสามารถข้ามขั้น ไปได้ หรืออาจขึ้นหรือลดได้ ตามแต่สภาพสภาวะจิตใจ และหรือ สภาพกิเลสในตัวของบุคคลนั้นๆ
ด้วยเหตุที่กล่าวไป การคิด หรือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข ที่เกิดขึ้นในขณะ ปฏิบัติสมาธิ หรือฝึกสมาธินั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่มีอารมณ์รุนแรง มีกิเลสตัณหามากกว่า บุคคลอื่นๆ จำต้องฝึกฝนโดยตัดความสนใจอื่นๆออกไปบ้าง เอาเป็นเพียงนั่่งหรือนอนให้สบาย เป็นใช้ได้
อนึ่ง เรื่องของการคิด ขณะฝึกปฏิบัติสมาธินั้น อาจทำให้ร่างกายหลั่งสารชนิดหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้) ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ แม้จะไม่คิดเรื่องใดก็ตาม อันนี้ต้องรู้เอาไว้ จะได้ไม่เกิดความวิตกกังวลว่า ทำไมถึงนอนไม่หลับ
ถ้าหากเจ้าของกระทู้ ไม่ต้องการที่จะคิดในขณะปฏิบัติสมาธิ จำต้องมีสติระลึกได้อยู่เสมอ เมื่อรู้สึกตัวว่าได้คิด ก็ให้ควบคุมจิตใจหรือหัวใจเอาไว้ การควบคุมหัวใจหรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขียนเป็นตัวหนังสือไม่ได้ขอรับ ไม่รู้จะเขียนอย่างไร เอาเป็นว่า เมื่อรู้ตัวว่าคิด ก็ต้องควบคุมไว้ไม่ให้คิด คือ ความคุม ความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหาคือความอยาก นั่นแหละขอรับ
ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายไปทั้งหมด คือการฝึกสมาธิ ตามหลักธรรมชาติ และเป็นไปตามหลักพุทธศาสนา ในเรื่องของฌาน ซึ่ง ในเรื่องของ ฌาน นี้ ยังแตกย่อยออกไปได้อีก เป็น สมาธิชั่วขณะ,สมาธิขั้นจวนเจียน,สมาธิแน่วแน่ ฯ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้ไม่ต้องสนใจก็ได้ขอรับ เอาเป็นเพียงไม่ให้คิด ถ้าคิดก็สามารถควบคุมและหยุดคิดได้ ก็ถือว่าสำเร็จขอรับ
จะทำได้หรือไม้่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับความ ตั้งใจ ความเข้าใจ ความขยันของตัวคุณเองนะขอรับ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ (ผู้สอน)
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
[สิ่งที่คุณได้เล่ามาทั้งหมดนั้น แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของคนหรือมนุษย์ที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มาก หรืออาจจะกล่าวได้อีกรูปแบบหนึ่งว่า เป็นผู้มีอารมณ์รุนแรง ขออภัยนะขอรับ ที่กล่าวไปแล้วนั้นไม่ใช่เป็นการว่ากล่าวให้คุณนะขอรับ แต่อธิบายไปตามหลักความจริงขอรับ

อะไรพูดไปเรื่อย เขาแค่เป็นคนชอบคิดเท่านั้น ไปว่าเขาอารมณ์รุนแรงได้ไง
อารมณ์เป็นอย่างไรลักษณะใด มันต้องดูกันที่กายสังขาร ถ้าคนชอบคิดเฉยๆ
ไม่ได้แสดงออกทางกาย เขาไม่เรียกอารมณ์รุนแรงหรอกน่ะ

แล้วก็อย่าเข้าใจไปว่า คนที่ชอบคิดจะเป็นแต่เรื่องอกุศล
อาจเป็นเรื่องกุศลก็ได้

ความโลภ โกรธและหลง เป็นอาการของจิตอันเป็นผลสืบเนื่องจากความคิด
แต่อาการของจิตไม่ใช่มีแต่อกุศลหรือความโลภ โกรธและหลงเพียงอย่างเดียว
ยังมีอาการของจิตที่เป็นกุศลด้วย เช่นอโลภะ อโทสะฯลฯ

จ่าครับที่จ่าบอกว่าอธิบายไปตามหลักความจริง มันหลักความจริงอะไร
ผมว่ารู้ไม่จริงล่ะมากกว่าครับ
sriariya เขียน:
ตามที่ได้กล่าวไป ถ้าจะว่ากันตามหลักพุทธศาสนาในเรื่องของฌาน(ชาน) ทุกท่านจะเห็นและเข้าใจได้ว่า เจ้าของกระทู้ วนเวียนอยู่ใน ปฐมฌาน(ประถมชาน) คือ ฌาน(ชาน)ที่๑ อันเกิดมี วิตก,วิจารณ์,ปิติ,สุข,เอกัคคตา ผสมผสานกันไป จะสั้นหรือยาว ก็แล้วแต่ กล่าวคือ คิดเรื่องหนึ่งจบ ก็คิดอีกเรื่องหนึ่ง ต่อๆกันไป อย่างนี้เป็นต้น
การที่เจ้าของกระทู้วนเวียนอยู่ใน ปฐมฌาน ไม่ไปไหน ก็เพราะ ไม่สามารถควบคุมหัวใจและสมองได้ ถ้าคลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงาน สมองก็จะคิดไปโดยที่เจ้าตัวจะไม่สามารถบังคับให้หยุดคิดได้ เนื่องจากในสมองมีเรื่องต่างๆมากมายที่ล้วนเป็นเครื่องก่อให้เกิด กิเลส
คำว่า กิเลส นั้น หลายๆคน ย่อมคิดว่า กิเลส ก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ตัณหาคือความอยาก โดยไม่ทันได้คิดว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ตัณหาคือความอยาก จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ เราคิด เราระลึกนึกถึง จากการที่ได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย เมื่อเจ้าของกระทู้มีเรื่องที่ก่อให้เกิดกิเลส จึงทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงานโดยอัตโนมัต ส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้สมองคิดถึงเรื่องราวต่างๆ แม้ขณะปฏิบัติสมาธิ ด้วยเหตุนี้เอง ในทางพุทธศาสนา จึงได้มีหลักของ ฌาน(ชาน) อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน จะมากหรือน้อย เป็นแล้วคิดแล้วสามารถควบคุมได้ หรือควบคุมไม่ได้ ก็ตามแต่

เข้าใจซะใหม่ กิเลสมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันเป็นสิ่งที่ตามติดเรามาตั้งแต่เกิด
ความคิดของเราเป็นกุศลหรืออกุศลได้ นั้นมีเหตุมาจากกิเลสทั้งนั้น
sriariya เขียน:
แต่ในทางพุทธศาสนา ได้จัดลำดับขั้นของ ฌาน(ชาน) เอาไว้เป็นขั้นๆ ซึ่งในทางทีเป็นจริง บุคคลทั้งหลายที่ปฏิบัติสมาธิ อาจสามารถข้ามขั้น ไปได้ หรืออาจขึ้นหรือลดได้ ตามแต่สภาพสภาวะจิตใจ และหรือ สภาพกิเลสในตัวของบุคคลนั้นๆ
ด้วยเหตุที่กล่าวไป การคิด หรือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข ที่เกิดขึ้นในขณะ ปฏิบัติสมาธิ หรือฝึกสมาธินั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่มีอารมณ์รุนแรง มีกิเลสตัณหามากกว่า บุคคลอื่นๆ จำต้องฝึกฝนโดยตัดความสนใจอื่นๆออกไปบ้าง เอาเป็นเพียงนั่่งหรือนอนให้สบาย เป็นใช้ได้

จ่าผมจะบอกอะไรให้นะ วิธีแนะนำในเรื่องสมาธิให้กับบุคคลที่จ่าเอามา
มันต้องแนะนำเขาว่า สมาธิที่เป็นสมถะกับสมาธิที่ตั้งมั่น มันไม่เหมือนกัน

ต้องแนะนำเขาในเรื่องจริต คนที่จ่ายกมา เขาเป็นคนเรียนเก่ง ย่อมต้องเป็นคนที่ชอบคิด
คนที่ชอบคิดไม่ใช่แนะนำหรือสอนให้เขามานั่งทำสมถะ มันไม่ถูกจริตเขา
การปฏิบัติที่ถูกจริตกับเขาที่สุดก็คือ การมีสติตามรู้อารมณ์ เมื่อใดเกิดความคิดก็รู้

อารมณ์อันเกิดจากความคิดเมื่อรู้ก็จะดับไปตามจริง ทำอย่างต่อเนื่องสมาธิก็จะเกิด
แต่มันเป็นสมาธิที่ตั้งมั่นไม่ใช่สมาธิที่เป็นสมถะ คนที่มีจริตแบบนี้ถ้าได้ปฏิบัติให้ถูกทางจะเกิด
ปัญญาได้เร็วกว่าผู้ที่ชอบหรือถูกจริตกับสมถะเสียอีก

คนที่จ่าเอามาเป็นตัวอย่าง ถูกแล้วที่เขาเอาคำสอนของท่านพุทธทาสมาเป็นครู
แต่น่าเสียดายตรงที่ยังไม่มีความเข้าใจในคำสอนของท่านพุทธทาส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 07:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
ทำอย่างไรไม่ให้คิด ขณะปฏิบัติสมาธิ?
:b10:
ความคิด จัดอยู่ในกลุ่มของ "อุทธัจจะนิวรณ์" เป็นเครื่องขวางกั้นความดีที่ร้ายและอึดกว่านิวรณ์ตัวอื่นต้องใช้อรหัตมรรคตัดจึงจะตายขาด
*****วิธีที่จะทำให้ไม่คิดมีอยู่ 2 วิธีใหญ๋ คือ
1.ใช้สติ สมาธิ ข่ม กลบบัง
2.ใช้ปัญญาวิปัสสนา ขุด ถอน
รายละเอียดถ้ามีคนสนใจก็ค่อยเล่าสู่กันฟังใหม่ครับ
:b8: :b8:
เจริญธรรม หายโทสะ ปฏิฆะ และมีโมหะเบาบางกันทุกๆคนครับ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิมือใหม่ เขียน:
ทำอย่างไรไม่ให้คิด ขณะปฏิบัติสมาธิ

สมาธิ คือ ทำจิตให้สงบ นิ่ง จากนิวรณ์ห้า

ผู้ทำสมาธิสงบง่าย เรียกว่า เจตโตวิมุตติ
ผู้ทำสมาธิสงบยาก ชอบคิด เรียกว่า ปัญญาวิมุตติ

สำหรับ ปัญญาวิมุติ จะให้ไม่คิดนั้นยาก แต่ก็ควรบังคับให้คิดอยู่ใน
กรอบของ "สติปัฏฐานสี่" คือ ที่ตั้งของสติสี่แห่ง ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม

พูดง่ายทำยาก แต่เมื่อเพียรพยายาม ไม่เลิกไม่ถอย
วันหนึ่ง จิตก็ต้องสงบเป็นสมาธิจนได้ ...

สู้นะ .. rolleyes rolleyes


:b12:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
sriariya เขียน:
[สิ่งที่คุณได้เล่ามาทั้งหมดนั้น แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของคนหรือมนุษย์ที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มาก หรืออาจจะกล่าวได้อีกรูปแบบหนึ่งว่า เป็นผู้มีอารมณ์รุนแรง ขออภัยนะขอรับ ที่กล่าวไปแล้วนั้นไม่ใช่เป็นการว่ากล่าวให้คุณนะขอรับ แต่อธิบายไปตามหลักความจริงขอรับ

อะไรพูดไปเรื่อย เขาแค่เป็นคนชอบคิดเท่านั้น ไปว่าเขาอารมณ์รุนแรงได้ไง
อารมณ์เป็นอย่างไรลักษณะใด มันต้องดูกันที่กายสังขาร ถ้าคนชอบคิดเฉยๆ
ไม่ได้แสดงออกทางกาย เขาไม่เรียกอารมณ์รุนแรงหรอกน่ะ

แล้วก็อย่าเข้าใจไปว่า คนที่ชอบคิดจะเป็นแต่เรื่องอกุศล
อาจเป็นเรื่องกุศลก็ได้

ความโลภ โกรธและหลง เป็นอาการของจิตอันเป็นผลสืบเนื่องจากความคิด
แต่อาการของจิตไม่ใช่มีแต่อกุศลหรือความโลภ โกรธและหลงเพียงอย่างเดียว
ยังมีอาการของจิตที่เป็นกุศลด้วย เช่นอโลภะ อโทสะฯลฯ

จ่าครับที่จ่าบอกว่าอธิบายไปตามหลักความจริง มันหลักความจริงอะไร
ผมว่ารู้ไม่จริงล่ะมากกว่าครับ
sriariya เขียน:
ตามที่ได้กล่าวไป ถ้าจะว่ากันตามหลักพุทธศาสนาในเรื่องของฌาน(ชาน) ทุกท่านจะเห็นและเข้าใจได้ว่า เจ้าของกระทู้ วนเวียนอยู่ใน ปฐมฌาน(ประถมชาน) คือ ฌาน(ชาน)ที่๑ อันเกิดมี วิตก,วิจารณ์,ปิติ,สุข,เอกัคคตา ผสมผสานกันไป จะสั้นหรือยาว ก็แล้วแต่ กล่าวคือ คิดเรื่องหนึ่งจบ ก็คิดอีกเรื่องหนึ่ง ต่อๆกันไป อย่างนี้เป็นต้น
การที่เจ้าของกระทู้วนเวียนอยู่ใน ปฐมฌาน ไม่ไปไหน ก็เพราะ ไม่สามารถควบคุมหัวใจและสมองได้ ถ้าคลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงาน สมองก็จะคิดไปโดยที่เจ้าตัวจะไม่สามารถบังคับให้หยุดคิดได้ เนื่องจากในสมองมีเรื่องต่างๆมากมายที่ล้วนเป็นเครื่องก่อให้เกิด กิเลส
คำว่า กิเลส นั้น หลายๆคน ย่อมคิดว่า กิเลส ก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ตัณหาคือความอยาก โดยไม่ทันได้คิดว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ตัณหาคือความอยาก จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ เราคิด เราระลึกนึกถึง จากการที่ได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย เมื่อเจ้าของกระทู้มีเรื่องที่ก่อให้เกิดกิเลส จึงทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงานโดยอัตโนมัต ส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้สมองคิดถึงเรื่องราวต่างๆ แม้ขณะปฏิบัติสมาธิ ด้วยเหตุนี้เอง ในทางพุทธศาสนา จึงได้มีหลักของ ฌาน(ชาน) อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน จะมากหรือน้อย เป็นแล้วคิดแล้วสามารถควบคุมได้ หรือควบคุมไม่ได้ ก็ตามแต่

เข้าใจซะใหม่ กิเลสมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันเป็นสิ่งที่ตามติดเรามาตั้งแต่เกิด
ความคิดของเราเป็นกุศลหรืออกุศลได้ นั้นมีเหตุมาจากกิเลสทั้งนั้น
sriariya เขียน:
แต่ในทางพุทธศาสนา ได้จัดลำดับขั้นของ ฌาน(ชาน) เอาไว้เป็นขั้นๆ ซึ่งในทางทีเป็นจริง บุคคลทั้งหลายที่ปฏิบัติสมาธิ อาจสามารถข้ามขั้น ไปได้ หรืออาจขึ้นหรือลดได้ ตามแต่สภาพสภาวะจิตใจ และหรือ สภาพกิเลสในตัวของบุคคลนั้นๆ
ด้วยเหตุที่กล่าวไป การคิด หรือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข ที่เกิดขึ้นในขณะ ปฏิบัติสมาธิ หรือฝึกสมาธินั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่มีอารมณ์รุนแรง มีกิเลสตัณหามากกว่า บุคคลอื่นๆ จำต้องฝึกฝนโดยตัดความสนใจอื่นๆออกไปบ้าง เอาเป็นเพียงนั่่งหรือนอนให้สบาย เป็นใช้ได้

จ่าผมจะบอกอะไรให้นะ วิธีแนะนำในเรื่องสมาธิให้กับบุคคลที่จ่าเอามา
มันต้องแนะนำเขาว่า สมาธิที่เป็นสมถะกับสมาธิที่ตั้งมั่น มันไม่เหมือนกัน

ต้องแนะนำเขาในเรื่องจริต คนที่จ่ายกมา เขาเป็นคนเรียนเก่ง ย่อมต้องเป็นคนที่ชอบคิด
คนที่ชอบคิดไม่ใช่แนะนำหรือสอนให้เขามานั่งทำสมถะ มันไม่ถูกจริตเขา
การปฏิบัติที่ถูกจริตกับเขาที่สุดก็คือ การมีสติตามรู้อารมณ์ เมื่อใดเกิดความคิดก็รู้

อารมณ์อันเกิดจากความคิดเมื่อรู้ก็จะดับไปตามจริง ทำอย่างต่อเนื่องสมาธิก็จะเกิด
แต่มันเป็นสมาธิที่ตั้งมั่นไม่ใช่สมาธิที่เป็นสมถะ คนที่มีจริตแบบนี้ถ้าได้ปฏิบัติให้ถูกทางจะเกิด
ปัญญาได้เร็วกว่าผู้ที่ชอบหรือถูกจริตกับสมถะเสียอีก

คนที่จ่าเอามาเป็นตัวอย่าง ถูกแล้วที่เขาเอาคำสอนของท่านพุทธทาสมาเป็นครู
แต่น่าเสียดายตรงที่ยังไม่มีความเข้าใจในคำสอนของท่านพุทธทาส


เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ ข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากจะเสวนาอะไรกับเจ้าดอกนะ เวลาอ่านภาษาไทย ให้อ่านบริบทของภาษาแล้วค่อยแสดงความคิดเห็น อย่างที่เจ้าแสดงความคิดเห็นมานั้น เขาเรียกว่า "โง่แล้วอวดฉลาด " "เขลาแล้วอวดรู้" เจ้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่าอะไรคือ หลักความจริง อะไรคือ บุคคลที่มีอารมณ์รุนแรง แต่เจ้าก็ยังดันทุรังก่อกวน ด้วยความเบาปัญญาของเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องอธิบายอะไรให้คนอย่างเจ้าได้รุ้ได้เข้าใจดอกนะ เพราะมันก็เหมือนสีซอให้....ฟัง
อีกประการหนึ่ง ระดับสมองสติปัญญาของเจ้า รวมไปถึง ผู้ที่เจ้าเห็นว่าคำสอนของเขาดีถูกนั้น มันก็แค่ขึ้ฝุ่นใต้ฝ่าเท้าของข้าพเจ้าเท่านั้น
ทำเป็นมาอ้างเอาคำว่า จริต ขึ้นมา ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าไม่รู้ดอกนะว่า จริตคืออะไร เจ้าไม่รู้ดอกนะว่า การปฏิบัติธรรมมันเกี่ยวข้องกับจริตหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องกับจริตได้อย่างไร หากินกับความคิดของเจ้าไปวันๆเถอะนะ อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ สัตว์โลกตัวหนึ่งเอ๋ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงอยากถามว่า
- บุคคลผู้หลับอยู่ ไม่คิด หรือว่าคิดอยู่ แต่จิตไม่ได้จับมาเป็นอารมณ์
- บุคคลผู้มีสมาธิ ไม่คิด หรือว่าคิด หากสนใจเพียงแต่เรื่องที่เป็นที่ตั้งแห่งสมาธินั้น
- บุคคลผู้ตายแล้ว ไม่คิด หรือว่าคิดไม่ได้ เพราะองค์ให้คิดนั้นได้หมดสภาพไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงอยากถามว่า
- บุคคลผู้หลับอยู่ ไม่คิด หรือว่าคิดอยู่ แต่จิตไม่ได้จับมาเป็นอารมณ์
- บุคคลผู้มีสมาธิ ไม่คิด หรือว่าคิด หากสนใจเพียงแต่เรื่องที่เป็นที่ตั้งแห่งสมาธินั้น
- บุคคลผู้ตายแล้ว ไม่คิด หรือว่าคิดไม่ได้ เพราะองค์ให้คิดนั้นได้หมดสภาพไป


ถามแบบลองภูมิว่าง้้นเถอะ แต่ข้าพเจ้าจะคิดว่าคุณไม่รู้แลถามด้วยความอยากรู้

๑.การนอนหลับของมนุษย์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ บางคน หลับไปทั้งสมองและจิตใจ ,บางคนสมองหลับแต่จิตใจไม่หลับ ,บางคนหลับจิตใจหลับ แต่สมองไม่หลับ
-คำว่า หลับไปทั้งสมองและจิตใจ หมายความว่า ไม่มีคลื่นทางความคิด และอารมณ์ใดใดเกิดขึ้น ขณะนอนหลับ (ไม่อธิบายต่อนะเพราะยังมีคำอธิบายอีกยาวเอาแค่นี้)
-คำว่า สมองหลับ แต่จิตใจไม่หลับ หมายความว่า ขณะบุคคลผู้นั้นนอนหลับอยู่นั้น สมองของเขาหลับ ไม่ยอมรับคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ส่งไปยังสมอง ดังที่รู้กันว่า ครึ่งหลับครึ่งตื่น อาจรู้ตัว แต่ไม่คิด เพราะสมองไม่ทำงานสมองหลับ
-คำว่า บางคนจิตใจหลับ แต่สมองไม่หลับ หมายความว่า ขณะบุคคลผู้นั้นนอนหลับอยู่ จิตใจของเขาไม่ส่งกระแสคลื่นไฟฟ้าไปสู่สมอง แต่สมองยังทำงานยังคิดยังฝันไปต่างๆนานาตามแต่ประสบการณ์หรือตามแต่ที่ได้สัมผัสทางอายตนะแล้วเก็บสะสมไว้ในสมอง

๒. บุคคลผุ้มีสมาธิ ไม่คิด หรือว่าคิด หาสนใจเพียงแต่เรื่องที่เป็นที่ตั้งแห่งสมาธิ ข้าพเจ้าจะตอบแบบรวบรัด ว่ามันขึ้นอยู่กับ สิ่งที่นำมาเป็นที่ตั้งแห่งสมาธิ บ้างก็ต้องคิด บ้างก็ไม่ต้องคิด แต่เอาใจจดจ่อแทนการคิด แต่สมองล้วนทำงานเหมือนกันทั้งสองประเภท
๓. บุคคลผู้ตายแล้่ว ไม่คิด หรือว่าคิดไม่ได้ เพระาองคืให้คิดนั้นได้หมดสภาพไป คำถามข้อนี้ ข้าพเจ้าไม่ตอบนะขอรับ เพราะมันเป็นคำถามของคน โง่ เขลาเบาปัญญาขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชัดเจนครับ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามต่อ
- ที่ว่าจิตใจหลับนั้นเป็นเช่นใด จิตใจหลับด้วยเหตุใด และความที่ว่าพระพระอรหันต์ไม่ฝันนั้นเป็นเช่นใด
- ในสมาธิที่ว่าไม่ต้องคิด คือเรื่องความความคิด หรือคิดเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องความคิด
- แล้วคนที่ไม่คิดต่างกับคนที่ตายแล้วเช่นใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
ชัดเจนครับ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามต่อ
- ที่ว่าจิตใจหลับนั้นเป็นเช่นใด จิตใจหลับด้วยเหตุใด และความที่ว่าพระพระอรหันต์ไม่ฝันนั้นเป็นเช่นใด
- ในสมาธิที่ว่าไม่ต้องคิด คือเรื่องความความคิด หรือคิดเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องความคิด
- แล้วคนที่ไม่คิดต่างกับคนที่ตายแล้วเช่นใด


ถามซอกแซก ทำอย่างกับว่าจะเอาไปทำวิทยานิพนธ์อย่างนั้นแหละ
-คำว่า จิตใจ หมายถึง หัวใจ และหมายถึง การทำงานของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับคลื่นและส่งคลื่นไฟฟ้าหัวใจหยุดทำงาน พักผ่อนว่าง้้นเถอะ
ใครบอกคุณว่า พระอรหันต์ไม่ฝัน เขาคนที่บอกคุณนั้นเป็น พระอรห้นต์หรือขอรับ พระอรหันต์ก็คนนั่นแหละ จะฝันก็ได้ไม่ฝันก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพสภาวะจิตใจหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมกี่มากน้อย(อันนี้ไม่อธิบาย)
- สมาธิ ไม่ต้องคิด ก็คือ ไม่ต้องคิด เช่น คุณคิดคำว่า พุทโธ หรือคิดคำว่า ยุบหนอ พองหนอ นั่นแหละคิด แต่ถ้าไม่คิด ก็เป็นเพียงเอาใจจดจ่อ ไม่คิดสิ่งใด แต่ทั้งสองอย่างต้องใช้สมองร่วมด้วย เพราะไม่ว่าจะใจ หรือ คิด ก็ต้องผ่านสมองเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ เอาใจจดจ่อ ไม่ใช่การคิด เพียงแต่ ผ่านสมองเท่านั้น
-คนที่ไม่คิดต่างกับคนที่ตายแล้วเช่นใด ขออภัย คุณไปถามคนที่ตายแล้วเอาเองเถอะขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับคำถามผมก็ได้คำตอบมาหมดแล้ว ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ทำอย่างไรไม่ให้คิด ขณะปฏิบัติสมาธิ
สมาธิมือใหม่ เขียน:
เพิ่งสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกค่ะ ติดตามอ่านเวบบอร์ดมาพอสมควร อยากได้คำแนะนำจากท่านผู้รู้ ช่วยแนะแนวทางให้หน่อยค่ะ ที่จริงฝึกสมาธิมานานมากแล้ว หลายปี ตั้งแต่สมัยเรียน แต่ไม่ได้ทำจริงจังถึงขนาดทุกวัน คือทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ได้ผลในเบื้องต้น คือ สมัยเรียนช่วยเรื่อง การจำ สอบได้คะแนนดีมาก(ได้เกียรตินิยมอันดับ2)ตอนนี้จบมาหลายปี เปลี่ยนงานมาหลายงาน จนตอนนี้มีครอบครัว ก็ยังพยายามฝึกทำสมาธิอยู่ ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเลย ออกจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ศึกษามาพอควร เปลี่ยนวิธีมาก็หลายวิธี ทั้ง หายใจเข้า-ออก บริกรรมพุท-โธ, สัมมาอะระหัง, ยุบหนอ-พองหนอ, นับหายใจเข้า-ออก 1-5 แล้วย้อน 5-1, นับ 1-9 แล้วย้อน 9-1 หรือ เพ่งรู้ตามเสียง,ตามรู้ลมหายใจ เข้าให้รู้เข้า ออกให้รู้ออก สั้นให้รู้สั้น ยาวให้รู้ยาว, ในระหว่างวันตามรู้ลมหายใจขณะทำงาน, ที่เปลี่ยนหลายวิธีก้อเพื่ออยากหาหนทางที่เหมาะกับจริตตัวเอง และคิดว่ายังไม่เจอ แต่ที่ทำก็ใช้ บริกรรมพุทโธ เป็นส่วนใหญ่ ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำมาก็ไม่มีความก้าวหน้าในสมาธิ ที่บอกว่าไม่ก้าวหน้าคือ ไม่สามารถทำให้นานขึ้นได้ ไม่เคยเกิดนิมิต หรืออะไรต่างๆที่สามารถบอกเราได้ว่าเราไปสู่ขั้นต่อๆไป ก่อนทำก็ไม่คาดหวังอะไรนะคะ ไม่ตั้งเวลา ไม่เคยระบุด้วยว่าต้องทำ 1 ชม.ไม่คาดหวังว่าต้องมีนิมิต มันติดตรงที่ว่า ตอนนั่งสมาธิหลับตาแล้ว "ชอบคิด" เคยอ่านเจอคิดว่าน่าจะเป็นของท่านพุทธทาสภิกขุ(สะกดถูกรึป่าว ขออภัยด้วยค่ะ)ท่านบอกว่า ต้องทำให้จิตว่าง ทุกวันนี้ เค้าสอนให้เราคิด แต่ไม่เคยสอนให้เราหยุดคิด จริงมากที่สุดค่ะสำหรับตัวดิฉันเอง ทำอย่างไรให้ว่าง ทำอย่างไรให้ไม่คิด (ให้นานนานหนะค่ะ) ดิฉันทำได้แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ หรือเราเป็นพวกสามธิสั้น (อ้อ..แล้วเรื่องที่คิดก็เป็นแบบจินตนาการค่ะ) ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยในการดำเนินชีวิต ที่จะมาเป็นอุปสรรค การงาน การเงิน ครอบครัว สุขภาพ ทุกอย่างเอื้อให้เราได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง แต่กลับเป็นตัวเราเองที่ทำไม่ได้
พร่ำบ่นมาซะยาว เป็นความอัดอั้นมานานหลายปีค่ะ ขอต่ออีกหน่อย บางที่ท่านบอกว่าต้องมีครูช่วยแนะนำ บางที่บอกไม่ต้องอ่านมาก รู้มากแล้วทำตามตำราไม่ได้ผล ก้อเลยฝึกด้วยตัวเองเรื่อยมา ไม่ฝืน ทำเฉพาะเวลาที่เราทำได้ ผลก้อเลยออกมาเป็นแบบนี้เหรอป่าว?
ช่วยให้ดิฉันเป็นบัวที่พ้นน้ำซักทีเถิดค่ะ
smiley smiley smiley

[b]


ความคิดเป็นเรื่องธรรมชาติ ด้วยความเคยชิน ด้วยความไม่รู้ของจิต

ความคิด คิดเกิดได้ทีละเรื่อง แต่ต่อเนื่องไม่หยุดจนมากมาย

เอาความรู้ตัว ไปนั่งแทนสังขารจิต ฝึกสติเห็นความคิด แบบหลวงพ่อเทียน

รู้ ไม่จมในความคิด เมื่อแอบคิดก็รู้ สติรู้เหมือนแมวฆ่าหนู รู้เมื่อคิด คิดก็รู้

ทำหน้าที่ไปตามสมควร เมื่อคิดดีก็ใช้เหมือนได้เครื่องมือดี

เมื่อคิดชั่วก็รู้แล้วทิ้งเหมือนเจอสิ่งไม่ดี

ความคิดเป็นสิ่งที่ต้องมีต้องใช้ ไม่ต้องฆ่าหรือทำลายให้วิปลาส

เหมือนวัวควายเมื่อไม่ใช้มันก็นอนพักผ่อนตามธรรมชาติ

เมื่อคิดรู้ รู้คิด ก็ใช้เพราะเกิดมามีกายใจ ต้องใช้ตามหน้าที่

เมื่อหมดภาระหน้าที่ ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องมี

ก็วาง ว่าง ว่าง ทั้งผู้นั่ง และวัวควาย

สนใจแนวปฏิบัตินี้ ศึกษาแนวทางจากกระทู้หลวงพ่อเทียน จิตตสุภโภ หลวงพ่อคำเขียน สุวรรณโณ

และครูบาอาจารย์ในสายปฏิบัติการเจริญสติแบบท่าน ทีนี้ไม่ต้องหนีความคิดอีกต่อไป :b39:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ ข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากจะเสวนาอะไรกับเจ้าดอกนะ เวลาอ่านภาษาไทย ให้อ่านบริบทของภาษาแล้วค่อยแสดงความคิดเห็น

เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า ศรีธัญญา ข้าพเจ้าไม่รู้เป็นอะไร ทำไมจึงอยากเสวนากับเจ้าจังเลย (ชอบตลกดี)
จะบอกให้น่ะ สาเหตุที่ทำให้ตลกก็คือ เจ้าชอบใช้ภาษาที่สูงเกินตัว เป็นแค่ทหารชั้นประทวน
แต่ชอบใช้ภาษาที่เสนาธิการเข้าใช้กัน มันเลยดูน่าชวนหัว

ที่เจ้าบอกว่าข้าฯไม่ดูบริบท ข้าว่าเป็นเจ้าเองนั้นแหล่ะที่ไม่ดูบริบท คำพูดของเจ้า
มันก็แค่อยากดูเท่ อยากให้คนอื่นดูว่าฉลาด เลยหยิบโน้นมาผสมนี้แบบขาดความเข้าใจ
เจ้าเห็นทหารคนอื่นได้เหรียญกล้าหาญ อยากเท่แบบเขา แต่ไม่กล้าไปรบก็เลยไป
เอาฝาจุกน้ำอัดลมมาติด เรื่องความเข้าใจก็ดูเหมือนเจ้าใส่เสื้อเชิ๊ตผูกเน็คไทแทนที่จะ
ใส่กางเกงดันใส่กระโปรงเสียนี่

เจ้าศรีธัญญาบริบทของเรื่อง มันอยู่ที่ผู้หญิงเขาเป็นคนคิดมาก
แล้วเจ้าเอามาพูดได้ไงว่าคนคิดมาก"อารมณ์รุนแรง" นี่หรือบริบทของเจ้า
ข้าว่าเป็น"บริบทศรีธัญญา"หรือไม่ก็เป็น"ปฏิญญาหลังคาแดง"มากกว่า :b32:


เจ้าศรีธัญญาเอ๋ย ข้าจะบอกเจ้าให้เจ้าลองดูซิ
ระหว่างทหารกับหมอใครคิดมากกว่ากันและใครที่มันอารมณ์รุนแรงกว่ากัน
ทหารพอเวลาได้รับคำสั่งมันเคยคิดหรือเปล่าว่า คำสั่งนั้นมันถูกต้องถูกศีลธรรมหรือเปล่า
เอากระสุนให้มันร้อยนัด มันก็ยิงหมดร้อยนัด

ผิดกับหมอจะช่วยชีวิตใครต้องคิดหาทาง แต่ละอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป

ศรีธัญญาอยากให้เจ้าพิจารณาดูซิ ระหว่างการฆ่าคนกับการช่วยชีวิต
อันไหนที่เรียกว่า"อารมณ์รุนแรง" และการฆ่ากับการช่วยอย่างไหนที่ต้องใช้ความคิด
มากกว่ากัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 13:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ยังมีบ่วง มีห่วงอยู่นี่นะ จึงต้องมีความคิดที่จะไปทำอะไร แล้วคิดจะไปทำอะไรล่ะ มีอะไรที่จะต้องทำ ไฉนจะไปห้ามความคิดในเมื่อมีสิ่งที่จะต้องทำ การตามระลึกด้วยสติ มีความรู้ตัวกับอิริอยาบถทุกขณะ นี่ต่างหาก จะได้ไม่ต้องคิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
อย่างที่เจ้าแสดงความคิดเห็นมานั้น เขาเรียกว่า "โง่แล้วอวดฉลาด " "เขลาแล้วอวดรู้" เจ้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่าอะไรคือ หลักความจริง อะไรคือ บุคคลที่มีอารมณ์รุนแรง แต่เจ้าก็ยังดันทุรังก่อกวน ด้วยความเบาปัญญาของเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องอธิบายอะไรให้คนอย่างเจ้าได้รุ้ได้เข้าใจดอกนะ เพราะมันก็เหมือนสีซอให้....ฟัง

ฮ่า ๆๆๆๆๆ.. เจ้าผู้ที่ใช้ชื่อดังอิสตรี แล้วอ้างว่าเป็น พระศรีอาริย์
เจ้านี้ชั่งไม่รู้อไรเลย เปรียบเสมือน "โง่แล้วอวดฉลาด" ยัยศรีข้าจะบอกให้
ไม่มีใครเข้าอวดอุตริไปอ่านชื่อแบบที่เจ้าเข้าใจหรอก เจ้าเข้าใจผิดมาก

ข้าจะบอกให้ว่า เขาอ่านชื่อเจ้าว่าอะไร มันอ่านว่า"ศรีอาริยา"
หรืออ่านเต็มว่า "จ.ส.ต.(น.ส. ศรีอาริยา )"

แล้วที่มากล่าวหาว่าข้าก่อกวน ไม่ใช่เลยเป็นเจ้าต่างหากที่ไปก่อกวน
ไปหยิบยกกระทู้ของคนอื่นมาจากที่อื่น ไม่มีการกล่าวขออนุญาตจขกท
เขาอาจจะไม่ต้องการให้เจ้าเอากระทู้เขามาโพสในห้องนี้ก็ได้

ที่ข้าพูดเป็นการพูดลอยๆหรือเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่เป็นการสอนอะไรกับเจ้าหรอกนะ
อย่าเข้าใจผิด เพราะถ้าให้ข้าทำอย่างนั้นข้าว่า ....
"ข้าไปสอนควายให้สีซอ แล้วมาสีให้เจ้าฟัง มันจะง่ายกว่าเยอะ :b32: "

sriariya เขียน:
อีกประการหนึ่ง ระดับสมองสติปัญญาของเจ้า รวมไปถึง ผู้ที่เจ้าเห็นว่าคำสอนของเขาดีถูกนั้น มันก็แค่ขึ้ฝุ่นใต้ฝ่าเท้าของข้าพเจ้าเท่านั้น

ฮ่าๆๆๆๆๆๆ แบบนี้ไงถึงเรียกว่าโง่แล้วอวดฉลาด เขลาแล้วยังอวดรู้
ไม่มีอะไรอวด อวดความโง่เขลาของตัวก็เอา

ปุดโด่เอ้ย! ยัยศรีฯหัดดูตัวเองบ้างนะ คนที่หล่อนว่านะ เขาบวชเป็นพระตั้งแต่หนุ่ม
และเขาก็ทำหน้าที่ของพระเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพนับถือกันทั่วประเทศ
แต่หล่อนซิ เป็นทหารก็ไม่ไปรบ ถามหน่อยชาตินี่มีสิทธิ์เป็นสัญญาบัตร ให้ญาติพี่น้องดีใจมั้ย

วันๆก็ได้แต่หลงละเมอเพ้อพกว่า เป็นพระศรีอาริย์
นี่ยังดีนะ ที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์แมน วันดีคืนดีไปหยิบกางเกงในแดงมาใส่
แถมเอาผ้าขาวม้ามาผูกคอ แล้วพุ่งลงมาจากหลังคาบ้าน รับรองได้เป็นยัยศรีอาน บานะไทแน่ๆ :b9:

sriariya เขียน:
ทำเป็นมาอ้างเอาคำว่า จริต ขึ้นมา ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าไม่รู้ดอกนะว่า จริตคืออะไร เจ้าไม่รู้ดอกนะว่า การปฏิบัติธรรมมันเกี่ยวข้องกับจริตหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องกับจริตได้อย่างไร หากินกับความคิดของเจ้าไปวันๆเถอะนะ อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ สัตว์โลกตัวหนึ่งเอ๋ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วเจ้ารู้รึ ถ้ารู้ลองบอกข้าหน่อยซิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ข้าว่าเจ้าไม่กล้าบอกหรอก เพราะกลัวหน้าแตก อีกอย่างถ้าหน้าแตก
เจ้าไม่กล้าไปโรงพยาบาล เพราะกลัวหมอเอาไฟฟ้าช็อทเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ศรีเอ๋ย ศรีผู้ไม่เต็มบาท :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2012, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า .....ท่านทั้งหลายที่ได้เข้ามาอ่่าน แล้วพบเห็นข้อแสดงความคิดเห็นอันเลวทรามของผู้ใช้ชื่อ "โฮฮับ" ก็อย่าแปลกใจหรือ อนาถใจ หรือสมเพชเวทนา ในความเขลา ในความโง่ หรือในความเลวทรามของสภาพจิตใจของเขาเลยขอรับ
เพราะ ผู้ใช้ชื่อว่า "โฮฮับ"เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึง ศาสนาที่เสื่อมทรามไม่ว่า เขาผู้นั้นจะนับถือหรือศรัทธาในศาสนาใดใดก็ตาม แสดงให้เห็นว่า ศาสนาที่เขาศรัทธาและนับถืออยู่นั้น เสื่อมทรามที่สุดแล้ว

ที่ว่าศาสนาเสื่อมทราม หมายถึง ศาสนาที่มันผู้ใช้ชื่อว่า "โฮฮับ" ศรัทธาหรือนับถืออยู่ ไม่สามารถเข้าถึงจิตใจและความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย พล่ามเพ้อเจ้อเหมือนคนเสียสติ น่าสงสาร...น่าสงสาร.. และไม่ใช่ตัวเขาผู้เดียวที่ศาสนาไม่สามารถเข้าถึงจิตใจและความคิดของเขา มันหมายรวมไปถึง ผู้ที่เขานับถือศรัทธาเป็นครูอาจารย์ แม้กระทั่ง หลักธรรมอันเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า สมณโคดม หรือหลักธรรมของ พระเยชูฯ หรือหลักธรรม ของ อัลเลาะห์ ก็ไม่สามารถเข้าถึงสมองและจิตใจของเขา
ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้ากล่าวไป จึงเป็นสาเหตุทำให้ผู้ใช่ชื่อว่า "โฮฮับ" พล่ามเพ้อเจ้อ เหมือนคนเป็นโรคจิต เหมือนสุนัข ที่เห่าหอนโดยไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควร ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... น่าสงสาร น่าสงสาร.....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร