วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

เจริญธรรม

ปล. เช่นนั้นไม่ได้บอกว่า หลวงปู่หลวงตาสอนผิด นะครับ แต่ไม่ถูกทั้งหมด ขาดกะท่อนกะแท่น
ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา จึงกล่าวว่า "อย่าอ้างพระศาสดา ว่าพระศาสดาก็สอนเช่นเดียวกัน"


ธรรมะ...ไม่มีกระท่อนกระแท่นหรอกครับ...

แต่ถ้าจำจากตำราไม่ครบ...จึงเรียกว่าถูกไม่หมด...หรือ..ขาดกระท่อนกระแท่น..ได้

ส่วน...คำสอนนี้..เป็นของตถาคตหรือไม่นั้น..พระองค์ก็เคยวิสัชนาให้แล้วว่าให้ดูตรงที่จุดไหนมิใช่หรือ?

ผมจำไม่ได้...ผู้มากตำราอย่างเช่นนั้นน่าจะจำได้นะครับ..

อะไรนะ ..."ธรรมใดที่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด...เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว... นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของเราตถาคต"

ผิดถูกอย่างไรวานผู้รู้อธิบายด้วยละกันนะครับ...

พอดีกำลังคิดว่า.. :b32: ...แล้วถ้าใครอ่านพระไตรปิฎกแต่กลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายคลายกำหนัด..เลย...นี้...จะเรียกว่าอะไร..... :b32:

ธรรมะขึ้นอยู่กับคน....หรือ..ธรรมะขึ้นอยู่กับตัวอักษร? :b13:

จริงหรือไม่กระท่อนกระแท่นๆ
กบแน่ใจ นะ

ตลกดีดีครับ เที่ยวได้หยิบธรรมของหลวงปู่แล้วบอกธรรมนั้นกระท่อนกระแท่น
จขกทเอาคำสอนของหลวงปู่มาตั้งกระทู้ แล้วให้สมาชิกแสดงความเห็นต่อ
คำของหลวงปู่ ฉะนั้นเรื่องกระท่อนกระแท่นมันต้องดู ความเห็นของสมาชิกที่แสดงต่อ
คำสอนของหลวงปู่ที่ว่า"อย่าส่งจิตออกนอก" ถ้าใครอธิบายความหมายของคำว่า
"อย่าส่งจิตออกนอก" ได้ไม่ครบถ้วนขาดๆเกินๆ แบบนี้จึงเรียกกระท่อนกระแท่น

ไม่ใช่เอาคำสอนของหลวงปู่ไปเทียบกับพระพุทธเจ้าหรือพระไตรปิฎก
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่เป็นแม่แบบมีครบทุกกระบวนความ
หลวงปู่แยกธรรมของพระพุทธเจ้ามาสอน ในเรื่อง"อย่าส่งจิตออกนอก"

ถ้าเราจะเอาเรื่อง"อย่าส่งจิตออกนอก" ไปเทียบกับพระพุทธเจ้าก็ต้อง
เทียบเป็นส่วนๆ ลองดูซิว่ามีมั้ยธรรมที่มีความความหมายเดียวกันกับ
"อย่าส่งจิตออกนอก"

ไม่ใช่ว่าให้ไปเอาธรรมในพระไตรปิฎกทั้งหมวด
มาเทียบกับคำว่า"อย่าส่งจิตออกนอก" แล้วบอกว่าธรรมหลวงปู่กระท่อนกระแท่น
ธรรมแต่ละธรรมมันเป็นเรื่องๆ เราต้องแยกแยะจะเทียบต้องเทียบเป็นเรื่องๆ
เพราะธรรมของพระพุทธเจ้ามีตั้ง84000พระธรรมขันธ์


คำสอนของหลวงปู่ที่ว่า"อย่าส่งจิตออกนอก" เราก็ต้องดูว่าเฉาะคำว่าอย่าส่งจิตออกนอก
แล้วเอาไปเทียบกับพระไตรปิฎก พิจารณาดูว่ามีจริงมั้ย เราลองไปดูกัน..
เช่นนั้น เขียน:
[๖๓๙] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึง
พิจารณาโดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่
ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่
ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายในและไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความ
เกิดแห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระ-
*ภาษิตดังนี้ ครั้นแล้วพระองค์ผู้สุคตจึงเสด็จลุกจากอาสนะ เข้าไป

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=8267&Z=8510&pagebreak=0

คำสอนของหลวงปู่ท่านสอนแค่"อย่าส่งจิตออกนอก"
ถ้าเราเอามาเปรียบกับพระไตรปิฎก เราต้องเทียบแค่ที่ผมคอมเม้นตัวใหญ่ไว้
นั้นก็คือความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก

ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ หลวงปู่กล่าวแค่"อย่าส่งจิตออกนอก"
ดังนั้นต้องเอาส่งจิตออกนอกเป็นหลักเป็นประธาน

ถ้าหลวงปู่กล่าวว่า "ธรรมอย่าส่งจิตออกนอก" เป็นธรรมที่เรียกว่า"อุทเทสวิภังคสูตร"
แบบนี้จึงเรียกว่าหลวงปู่กล่าวธรรมกระท่อนกระแท่น แต่ไม่ใช่ครับ หลวงปู่แค่หยิบ
เอาธรรมบางส่วนใน"อุทเทสวิภังคสูตร"มาสอนแค่นั้น จะเรียกว่าหลวงปู่กล่าวธรรมกระท่อนกระแท่นไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 07:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:

จริงหรือไม่กระท่อนกระแท่นๆ
กบแน่ใจ นะ

ผมแน่ใจว่า...

ธรรมะ...ไม่มีกระท่อนกระแท่น...ครับ...

แต่ถ้าจะเทียบกับตำรา...จึงมีครบกับไม่ครบ....ถูกหมดหรือไม่หมด...หรือ..ขาดกระท่อนกระแท่น..ได้


เพราะว่า..เมื่อ ......"ธรรมใดที่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด...เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว... นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของเราตถาคต"

พระองค์ท่านให้ดูที่ผล...ของข้อธรรมนั้น ๆ ...แสดงว่า..หากมีใครทำตามข้อธรรมนั้น ๆ แล้วมีผลดั่งที่พระพุทธองค์ว่ามา....สิ่งนั้นก็เป็นธรรม..เป็นวินัย...เป็นคำสั่งสอนของตถาคต..

แต่คนพูดข้อธรรมใด ๆ ก็ต้องพูดจริงพูดอย่างเป็นธรรม....

ทีนี้..มันก็จะเข้าเขตของปัจจัตตัง....อ้าวว...แล้วคนอื่นจะรู้ได้งัย..ใช่มั้ย

ก็พิจารณาเอา....หากมีแถวมีแนวทาง....ก็ว่าใช่...หากเดินตรงข้ามกับแถวแนวทาง....ก็ว่าไม่ใช่

มันจึงมีแต่..ใช่..กับ...ไม่ใช่..(ในขั้นภูมิของผู้พิจารณาอยู่...หากผู้พิจารณามีภูมิธรรมขั้นปรมัตถ์เท่าไร...คำตอบก็เป็นปรมัตถธรรมเท่านั้น)

มันไม่มีหรอก....ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ขาดกระท่อนกระแท่น....จะมีก็เป็นแต่ภูมิผู้ไปพิจารณา..เอง

ข้อความที่ถูกพิจารณา..ไม่เกี่ยว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 07:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อาจจะยากสักหน่อย....

ที่เราจะคิดว่า..ก็พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวข้อความนั้น...แล้วมันจะเป็นพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคต..ได้อย่างไร?

แต่หากเราเข้าใจจริง ๆ ว่า...พระพุทธ..พระธรรม..พระสงฆ์...เป็นอันเดียวกัน(โดยธรรม)..แล้วละก้อ...จะเข้าใจได้ไม่ยากเลย

คงจะจำเรื่อง...ใบไม้ในกำมือ..ได้นะครับ....ใบประดู่ที่อยู่ในป่าก็เป็นใบไม้ในกำมือของพระองค์เช่นกัน..เพียงแต่ท่านยังไม่กำมันใว้ในมือ..เท่านั้น...นี้แหละ..พระธรรม

ผู้ที่เห็นธรรมอันนั้น..กล่าวธรรมอันนั้น...นี้แหละพระสงฆ์...(ไม่เกี่ยวกับสมมุติสงฆ์..นะ)

พระพุทธ..พระสงฆ์..เป็นอันเดียวกันโดยพระธรรม

พระพุทธ..พระธรรม..พระสงฆ์..จึงเป็นอันเดียวกันโดยนัยนี้
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
แล้วถ้าใครอ่านพระไตรปิฎกแต่กลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายคลายกำหนัด..เลย...นี้...จะเรียกว่าอะไร.....

ท่านกบพูดแบบนี้หมายความว่ายังงัย.. Onion_L หัดใช้สติก่อนค่อยพูดอะไรที่พาดพิงเกี่ยวกับพระไตรปิฏกรู้มั้ยพระไตรปิฏกเป็นของสูง อย่าเอาพระไตรปิฎกมากระทบกระเทียบผุ้อื่น ท่านเช่นนั้นท่านมุ่งตรงไปที่ประเด็นกระทู้ และท่านแสดงความเห็นก็มีหลักฐานอ้างอิงเป็นลิงค์แปะไว้ทุกครั้ง ไม่ได้พูดไปตามอำเภอใจ ท่านกบเป็นอะไรมากรึป่าว ทำไมหรอ ถ้าคนที่ฉลาดมากๆจะอ่านจะศึกษาพระไตรปิฎกให้เข้าใจ ซึมซับแตกฉานก่อนแล้วค่อยเบื่อหน่าย คลายกำหนัด มันผิดศีลข้อไหน อย่างพระอานนท์ที่ท่านเป็นพหูสูตร ก็เพราะท่านต้องอ่าน ท่องจำ วิเคราะห์ ท่านถึงบรรลุอรหันต์ช้า คนฉลาดมาก ก็ต้องอ่านมากศึกษามาก สงสัยมาก..ไม่ใช่ใครพูดอะไรก็อืมๆออ..ไม่ลืมหูลืมตา..ถ้าคุนน้องมีปัญหาสงสัยในพระไตรปิฎก ท่านกบมีปัญญาตอบคำถามที่คุนน้องสงสัยม่ะ แต่คุนน้องว่าคุนน้องถามท่านเช่นนั้น แกคงจะยินดีตอบและไปเอาพุทพจน์มาแปะให้อ่าน เพราะฉะนั้นคุนน้องไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ชอบเพ่งเล็งคนอื่นออกนอกประเด็นแบบนี้ :b6:


แก้ไขล่าสุดโดย nongkong เมื่อ 30 มิ.ย. 2012, 10:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อาจจะยากสักหน่อย....

ที่เราจะคิดว่า..ก็พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวข้อความนั้น...แล้วมันจะเป็นพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคต..ได้อย่างไร?

แต่หากเราเข้าใจจริง ๆ ว่า...พระพุทธ..พระธรรม..พระสงฆ์...เป็นอันเดียวกัน(โดยธรรม)..แล้วละก้อ...จะเข้าใจได้ไม่ยากเลย

คงจะจำเรื่อง...ใบไม้ในกำมือ..ได้นะครับ....ใบประดู่ที่อยู่ในป่าก็เป็นใบไม้ในกำมือของพระองค์เช่นกัน..เพียงแต่ท่านยังไม่กำมันใว้ในมือ..เท่านั้น...นี้แหละ..พระธรรม

ผู้ที่เห็นธรรมอันนั้น..กล่าวธรรมอันนั้น...นี้แหละพระสงฆ์...(ไม่เกี่ยวกับสมมุติสงฆ์..นะ)

พระพุทธ..พระสงฆ์..เป็นอันเดียวกันโดยพระธรรม

พระพุทธ..พระธรรม..พระสงฆ์..จึงเป็นอันเดียวกันโดยนัยนี้
:b8:

ธรรมมะมันมีหลายระดับท่านกบ อย่างท่านกบก็เข้าใจแบบ เนยยะ ส่วนท่านใดเข้าใจแบบ อุคคฏิตัญญูมันก็ตามจริตของแต่ละคนนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามนุษย์เปรียบเสมือนบัว 4 เหล่า จะสอนธรรมก็ต้องสอนตามระดับภุมิปัญญาของแต่ละคน ถึงจะเข้าใจ :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 10:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
asoka เขียน:
แล้วถ้าใครอ่านพระไตรปิฎกแต่กลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายคลายกำหนัด..เลย...นี้...จะเรียกว่าอะไร.....

ท่านกบพูดแบบนี้หมายความว่ายังงัย.. Onion_L หัดใช้สติก่อนค่อยพูดอะไรที่พาดพิงเกี่ยวกับพระไตรปิฏกรู้มั้ยพระไตรปิฏกเป็นของสูง อย่าเอาพระไตรปิฎกมากระทบกระเทียบผุ้อื่น ท่านเช่นนั้นท่านมุ่งตรงไปที่ประเด็นกระทู้ และท่านแสดงความเห็นก็มีหลักฐานอ้างอิงเป็นลิงค์แปะไว้ทุกครั้ง ไม่ได้พูดไปตามอำเภอใจ ท่านกบเป็นอะไรมากรึป่าว ทำไมหรอ ถ้าคนที่ฉลาดมากๆจะอ่านจะศึกษาพระไตรปิฎกให้เข้าใจ ซึมซับแตกฉานก่อนแล้วค่อยเบื่อหน่าย คลายกำหนัด มันผิดศีลข้อไหน อย่างพระอานนท์ที่ท่านเป็นพหูสูตร ก็เพราะท่านต้องอ่าน ท่องจำ วิเคราะห์ ท่านถึงบรรลุอรหันต์ช้า คนฉลาดมาก ก็ต้องอ่านมากศึกษามาก สงสัยมาก..ไม่ใช่ใครพูดอะไรก็อืมๆออ..ไม่ลืมหูลืมตา..ถ้าคุนน้องมีปัญญาสงสัยในพระไตรปิฎก ท่านกบมีปัญญาตอบคำถามที่คุนน้องสงสัยม่ะ แต่คุนน้องว่าคุนน้องถามท่านเช่นนั้น แกคงจะยินดีตอบและไปเอาพุทพจน์มาแปะให้อ่าน เพราะฉะนั้นคุนน้องไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ชอบเพ่งงคนอื่นออกนอกประเด็นแบบนี้ :b6:


มีใครไปว่า...เช่นนั้น..อ่านตำราแล้ว...ไม่เบื่อหน่ายคลายกำหนัด...ละ...
:b32: :b32:

มันเป็นเรื่องภายในใจของแต่ละคน...คนๆนั้น..เขาจะรู้ของเขาเอง

เราจะไปรู้อะไรกับเขา....แค่ให้ข้อสังเกตุเท่านั้น...

rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
nongkong เขียน:
asoka เขียน:
แล้วถ้าใครอ่านพระไตรปิฎกแต่กลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายคลายกำหนัด..เลย...นี้...จะเรียกว่าอะไร.....

ท่านกบพูดแบบนี้หมายความว่ายังงัย.. Onion_L หัดใช้สติก่อนค่อยพูดอะไรที่พาดพิงเกี่ยวกับพระไตรปิฏกรู้มั้ยพระไตรปิฏกเป็นของสูง อย่าเอาพระไตรปิฎกมากระทบกระเทียบผุ้อื่น ท่านเช่นนั้นท่านมุ่งตรงไปที่ประเด็นกระทู้ และท่านแสดงความเห็นก็มีหลักฐานอ้างอิงเป็นลิงค์แปะไว้ทุกครั้ง ไม่ได้พูดไปตามอำเภอใจ ท่านกบเป็นอะไรมากรึป่าว ทำไมหรอ ถ้าคนที่ฉลาดมากๆจะอ่านจะศึกษาพระไตรปิฎกให้เข้าใจ ซึมซับแตกฉานก่อนแล้วค่อยเบื่อหน่าย คลายกำหนัด มันผิดศีลข้อไหน อย่างพระอานนท์ที่ท่านเป็นพหูสูตร ก็เพราะท่านต้องอ่าน ท่องจำ วิเคราะห์ ท่านถึงบรรลุอรหันต์ช้า คนฉลาดมาก ก็ต้องอ่านมากศึกษามาก สงสัยมาก..ไม่ใช่ใครพูดอะไรก็อืมๆออ..ไม่ลืมหูลืมตา..ถ้าคุนน้องมีปัญญาสงสัยในพระไตรปิฎก ท่านกบมีปัญญาตอบคำถามที่คุนน้องสงสัยม่ะ แต่คุนน้องว่าคุนน้องถามท่านเช่นนั้น แกคงจะยินดีตอบและไปเอาพุทพจน์มาแปะให้อ่าน เพราะฉะนั้นคุนน้องไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ชอบเพ่งงคนอื่นออกนอกประเด็นแบบนี้ :b6:


มีใครไปว่า...เช่นนั้น..อ่านตำราแล้ว...ไม่เบื่อหน่ายคลายกำหนัด...ละ...
:b32: :b32:

มันเป็นเรื่องภายในใจของแต่ละคน...คนๆนั้น..เขาจะรู้ของเขาเอง

เราจะไปรู้อะไรกับเขา....แค่ให้ข้อสังเกตุเท่านั้น...

rolleyes

อย่ามาทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ขนาดจับได้คาหนังคาเขา :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 11:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไม...จะต้องปากแข็ง..ด้วย

ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรเลย...

มีใครจะมาจับติดคุกหรอ..ตัวเอง

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 11:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่เช่นนั้น :b8:
อ้างคำพูด:
คาถาที่ ท่านอัสสชิ แสดง เป็นสิ่งที่พระศาสดาสอนครับ คนละเรื่องกับที่ หลวงปู่หลวงตาว่าเอง
ลูกพระป่า ศึกษาจาก "อุทเทสวิภังคสูตร" เกี่ยวกับจิตไม่ฟุ้งไปในภายนอก ไม่ตั้งสยบอยู่ในภายใน
คงได้คำตอบที่ชัดเจน

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... agebreak=0

เจริญธรรม

ปล. เช่นนั้นไม่ได้บอกว่า หลวงปู่หลวงตาสอนผิด นะครับ แต่ไม่ถูกทั้งหมด ขาดกะท่อนกะแท่น
ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา จึงกล่าวว่า "อย่าอ้างพระศาสดา ว่าพระศาสดาก็สอนเช่นเดียวกัน"


ผมขออภัยพี่เช่นนั้นก่อนนะครับ แต่ผมอยากถามสักนิดว่า...พระพุทธเจ้าท่านสอนให้สาวกทั้งหลายของท่านไม่สำรวมใจ(วาจา กาย)หรือไม่ ให้ส่ายส่องจิตคิดปรุ่งแต่งไปตามสิ่งทั้งหลายที่มากระทบและเกิดขึ้นหรือไม่ ...หรือพระองค์มีปกติสอนให้สาวกทั้งหลายดำรงตนอยู่ด้วยความสำรวมใจ(วาจา กาย) ให้พิจารณาภายในคือ กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นโทษของการปรุงแต่งส่ายสอดจิตไปตามอารมณ์ภายนอกอันเป็นเหตุให้เกิดเวทนา ตัณหา อุปทาน...ลองพิจารณาดูให้ดีเถิดครับ

...กล่าวถึงวิธีการสอนตามแนวสายพระอาจารย์เสาร์พระอาจารย์มั่นนั้น ท่านจะไม่ค่อยอธิบายให้มากความ แต่มักจะยกเอาคติหรืออุบายธรรมสั้นๆมาให้ลูกศิษย์ของท่านไปแก้ไขพิจารณาเอาให้เกิดความรู้แจ้งเอาเองมากกว่า...แต่ถ้าเมื่อไรที่ท่านอรรถาธิบายแล้วก็จะแสดงอย่างละเอียดละออ ลึกซึ้ง อย่างยิ่งและเป็นที่ยอมรับในวงพระเถราจารย์ทั้งหลายในสมัยนั้น...

"อย่าส่งจิตออกนอก"จึงเป็นคติและอุบายธรรมสั้นๆที่ท่านได้สรุปรวบลงมาเพื่ออบรมสั่งสอนแก่ลูกศิษย์ทั้งหลาย ส่วนการจะเข้าถึงและรู้แจ้งในคติธรรมนี้ก็เป็นหน้าที่ของศิษย์ทั้งหลายที่จะขวนขวายต่อยอดด้วยตนเองต่อไปครับ...ขอให้พิจารณษธรรมโดยธรรมครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม...จะต้องปากแข็ง..ด้วย

ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรเลย...

มีใครจะมาจับติดคุกหรอ..ตัวเอง

:b32:

ผู้ร้ายปากแข็งของคุนน้องไม่ได้หมายถึงจับติดคุก..แต่หมายถึง เห็นกิเลศของตัวเองออกมาทางตัวหนังสือแล้ว จับได้คาหนังคาเขา แต่กลบเกลื่อนทำเนียน 5555 :b29: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม...จะต้องปากแข็ง..ด้วย

ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรเลย...

มีใครจะมาจับติดคุกหรอ..ตัวเอง

:b32:

ผู้ร้ายปากแข็งของคุนน้องไม่ได้หมายถึงจับติดคุก..แต่หมายถึง เห็นกิเลศของตัวเองออกมาทางตัวหนังสือแล้ว จับได้คาหนังคาเขา แต่กลบเกลื่อนทำเนียน 5555 :b29: :b38:


จ้า.....ไม่มีใครมาจับติดคุกจริง ๆ หรอกจ้า....เปรียบเปรยนะว่า...ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะไปปฏิเสธ..ว่าผมไม่ได้ทำ...ไม่ได้เป็น. :b32: :b32:

นี้นา....

ก็แค่บอกตรง ๆ ...ใยคิดว่า..ไม่ตรง..ไปได้ :b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 07:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b13: :b13: :b13:
กบนอกกะลา เขียน:
nongkong เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม...จะต้องปากแข็ง..ด้วย

ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรเลย...

มีใครจะมาจับติดคุกหรอ..ตัวเอง

:b32:

ผู้ร้ายปากแข็งของคุนน้องไม่ได้หมายถึงจับติดคุก..แต่หมายถึง เห็นกิเลศของตัวเองออกมาทางตัวหนังสือแล้ว จับได้คาหนังคาเขา แต่กลบเกลื่อนทำเนียน 5555 :b29: :b38:


จ้า.....ไม่มีใครมาจับติดคุกจริง ๆ หรอกจ้า....เปรียบเปรยนะว่า...ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะไปปฏิเสธ..ว่าผมไม่ได้ทำ...ไม่ได้เป็น. :b32: :b32:

นี้นา....

ก็แค่บอกตรง ๆ ...ใยคิดว่า..ไม่ตรง..ไปได้ :b17: :b17: :b17:

:b12: :b12: :b13: :b13:
:b17: :b17: :b17: :b32: :b32:
หนุกจัง ที่ได้เห็นผู้รู้ ถกเถียงกัน
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
hiwichai เขียน:
รู้สึกว่ากระทู้นี้มีสาระธรรมที่ดีมากครับ และขออนุโมทนาแด่คุณลูกพระป่าและทุก ๆ ท่านที่ได้แสดงความเห็นมุมมองที่หลากหลายทำให้ได้ภาพที่เป็นประโยชน์แก่กัลยามิตรในการปฏิบัติเพื่อการเข้าถึงธรรมต่อไป

ส่วนตัวกระผมขอเสริมข้อปฏิบัติที่สำคัญอันหนึ่งที่ไม่ทำให้ “ส่งจิตออกนอก” ที่พระพุทธเจ้าและพ่อแม่ครูบาอาจารย์มักแนะนำสรรเสริญ คือการฝึกเจริญมรณานุสติ อย่างสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยให้
- จิตที่ยังมีความโลภ โกรธ หลง
- จิตที่ยังผูกอยู่กับความอยากได้ลาภยศสุขสรรเสริญและความเสื่อมของโลกธรรมดังกล่าว
- จิตที่ยังคงรักตัว(ตัวมานะ) กลัวตาย (อวิชา) และเป็นทุกข์
ได้บรรเทาเบาบางและหมดไปในที่สุด


ตัวอย่างของ ของการเจริญมรณานุสติ หรือการเห็นถึง “การตายก่อนตาย” ให้แก่จิตทางหนึ่งได้แก่การมีโยนิโสมนัสสิการ เข้าใจถึงความเป็นอนิจจัง ทุกข์ขังของสังขาร และความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งหลายอย่างสม่ำเสมอประกอบในการภาวนา
เช่น ดูเห็นนามรูปที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันว่าแท้จริงใม่ใช่ตัวตนของเรา มันเป็นสิ่งไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะไม่อาจคงเดิมอยู่ได้และไม่อยู่ในความควบคุมของเราให้เป็นนั่นเป็นนี่ได้ มันต้องเสื่อมสลายหรือตายไปไม่ช้าก็เร็วตามเหตุปัจจัยในที่สุด ไม่อาจหนีพ้นไปได้

เมื่อใส่ใจและไม่ประมาทเวลาทำการเจริญมรณานุสติดังกล่าวบ่อย ๆ และมากพอ จิตก็จะถอนจากกิเลสความโลภ โกรธ หลง การรักตัว (มานะ) กลัวตาย (อวิชา) สละได้ซึ่งตัวตน มีนิรามิสสุข จิตสงบหลุดพ้นจากทุกข์ เข้าถึงนิพพาน ทั้งก่อนตายและเมื่อตายมาถึง

ธรรมใดๆ ก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ หรือลงมือปฏิบัติ....... สาธุ

ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่าน :b51: :b42: :b8:

เห็นเอาโยนิโสมาพูด คุณคิดว่า มาโยนิโสเรื่องความตายเนี้ย
คุณแน่ใจแล้วหรือว่า ที่พูดมามันถูกต้อง

ลองคิดธรรมดาไม่ต้องโยนิโสหรอก ก็จะรู้ว่า ไม่มีใครเขากลัวตายครับ
ส่วนใหญ่เขากำลังหลงไม่ได้นึกถึงความตาย ที่เขากลัวๆกันก็คือ ทุกข์เวทนาครับ
ทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย พูดง่ายๆ กลัวเจ็บ กลัวพิการ กลัวเป็นโรค

คุณลองไปถาม คนอกหัก คนเป็นโรคมะเร็ง หรือได้รับอุบัติเหตุจนพิการ
ความปรารถนาของเขาอันดับแรกคือ เขาอยากตายครับ


ขออภัยที่เข้ามาสนทนาตอบข้อคิดเห็นคุณโฮฮับล่าช้าเพราะติดภาระกิจส่วนตัว
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาที่คุณโฮฮับได้ให้ความสนใจการผูกโยงข้อธรรมเรื่องมรณานุสติกับเรื่อง “การส่งจิตออกนอก”ในกระดานความคิดเห็นของผมนะครับ ซึ่งที่ผมได้ผูกโยงเรื่องมรณานุสติเข้ามาเพราะคิดว่าอาจจะช่วยเร่งกระบวนการปฏิบัติดังกล่าวได้ดีขึ้น จะได้ไม่ประมาทในธรรมสำหรับโอกาสที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ และเท่าที่อ่านดูข้อเขียนในกระดานของคุณโฮฮับ (ซึ่งก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่า คุณโฮฮับ ต้องการจะถามหรือ ต้องการจะแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมตามข้อเขียนที่ลงไว้) แต่ก็จะพยายามลองสรุปดู ซึ่งอาจจะเป็นทั้งคำตอบคำถามและเป็นการเสริมขยายความคิดเห็นเพิ่มเติมของคุณโฮฮับ ถ้าหากความเห็นของผมมีความอ่อนด้อยด้วยปัญญาในข้อธรรมใด ขอคุณโฮฮับหรือท่านผู้รู้ได้โปรดช่วยชี้แนะด้วยนะครับ

ประเด็นคำถาม(ความคิดเห็น) ที่ 1:
เห็นเอาโยนิโสมาพูด คุณคิดว่า มาโยนิโสเรื่องความตายเนี้ย
คุณแน่ใจแล้วหรือว่า ที่พูดมามันถูกต้อง


คำตอบ (เสริมความคิดเห็นเพิ่มเติม)
ที่ได้ผูกโยงคำว่า โยนิโสมนสิการ ในธรรมเรื่องความตาย (มรณานุสติ) นี้ ก็เพื่อช่วยเตือนผู้เขียนเองและผู้อ่านได้มีสติไตร่ตรองโดยแยบคายว่าเป็นสิ่งที่คิดพูดหรือทำว่าเหมาะสมแก่สถานะการณ์หรือสมควรจะนำมาปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดทุกข์ได้จริงอย่างไรหรือไม่ไม่ใช่สักแต่ว่าเห็นตามๆ กันไปโดยไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือมีที่มาเหตุและผลอย่างใดบ้าง และอีกอย่างผมบอกไม่ได้ขณะนี้ว่าการนำมรณานุสติมาช่วยแก้กิเลสที่มีอยู่ของมนุษย์ดังกล่าวจะถูกต้องหรือไม่ เพราะว่าผู้เขียนยังไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นเพียงผู้ที่กำลังสนใจศึกษาปฏิบัติอยู่เหมือนกันกับสมาชิกหลาย ๆ ท่านตามแนวที่พระพุทธองค์ทรงแนะไว้ ซึ่งยังไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ จนกว่าจะบรรลุอรหันต์ จึงจะบอกยืนยันได้ว่าถูกต้องหรือไม่จากผลของการปฏิบัติตามหลักกาลามสูตร ดังนั้นสมมุติว่าผมสามารถพูดได้ว่าถูกต้องอย่างเต็มปาก ผมก็ไม่อยากให้คุณโฮฮับหรือใครมาเชื่อผมเพราะมันไม่เป็นประโยชน์ แต่จะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อคุณโฮฮับหรือใครก็ตามที่สามารถปฏิบัติเองและบรรลุเอง ไม่จำเป็นต้องไปถามใครหรือเสียเวลาชื่นชมหรือสงสัยว่าผู้อื่นจะพูดถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นการตั้งใจศึกษาปฏิบัติให้ถึงธรรมด้วยตนเองให้ได้สำเร็จ ในเวลามีชีวิตที่เหลือซึ่งไม่แน่ผมหรือเพื่อน ๆ แต่ละคนจะมีชีวิตอยู่อีกมากน้อยเพียงใด เราจึงไม่ควรประมาทเวลา หรือเสียเวลาละเลยทำในสิ่งที่มีแก่นสารสำคัญ สำหรับชีวิตนี้ของตนอย่างจริงจัง พยายามตั้งใจที่จะเข้าถึงธรรมด้วยการปฏิบัติตามแนวถนัดและเหมาะสมของตนเองโดยมีคำสอนทางพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นแนวทางการศึกษาปฎิบัติเพื่อให้ตนได้หลุดพ้นจากทุกข์ในวัฎฎะสงสารต่อไปให้เร็วที่สุด อย่าได้ต้องทุกข์ทรมานจากการที่ต้องเกิดแก่และตายกันเนิ่นนานจนไม่รู้จบสิ้นอีกเลย

ประเด็นคำถาม(ความคิดเห็น) ที่ 2:
ลองคิดธรรมดาไม่ต้องโยนิโสหรอก ก็จะรู้ว่า ไม่มีใครเขากลัวตายครับ
ส่วนใหญ่เขากำลังหลงไม่ได้นึกถึงความตาย ที่เขากลัวๆกันก็คือ ทุกข์เวทนาครับ
ทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย พูดง่ายๆ กลัวเจ็บ กลัวพิการ กลัวเป็นโรค


คำตอบ (เสริมความคิดเห็นเพิ่มเติม) - โดยแยกตอบดังนี้
- ลองคิดธรรมดาไม่ต้องโยนิโสหรอก
ผมยังเห็นว่าการศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งจำเป็นต้องใช้โยนิโสฯหรือปัญญาความคิดที่บริสุทธิ์แยบคายละเอียดรอบคอบของเราเองจึงจะสามารถเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ได้ การใช้ความคิดธรรมดา ๆ หลายครั้งอาจเป็นความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสเดิมที่มีอยู่ในมนุษย์แต่ละคน จึงอาจทำให้ยากที่จะเข้าถึงธรรมอันละเอียดลึกซึ้งดังกล่าว เช่นเรื่องกฎไตรลักษณ์ คนส่วนใหญ่เท่าที่สังเกตเคยได้ยินได้ฟังคำนี้หลายหน แต่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้เลยว่าหมายถึงอะไรแน่เพราะฟังเผินๆ มันเหมือนไปฝืนกิเลสของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการดับสูญหรือตาย จึงพยายามปิดหูเสียไม่อยากรู้อยากเข้าใจสัจจะธรรมนี้ของพระพุทธองค์
- ไม่มีใครเขากลัวตายครับ ส่วนใหญ่เขากำลังหลงไม่ได้นึกถึงความตาย
ในส่วนคำว่า ...ไม่มีใครเขากลัวตาย ส่วนใหญ่.... ผมเห็นว่าคำกล่าวนี้อาจมีความจริงอยู่บ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ปุถุชนซึ่งเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ในสังคมไทยและของโลก จะไม่กลัวตายเพราะว่ากันในเรื่องรูปขันธ์ ในแง่เซลล์ชีวิตมนุษย์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องสัญชาตญาณซึ่งปกติพฤติกรรมการเอาตัวรอดในชีวิตร่างกายของมนุษย์ปัจจุบันได้มีการเข้าใจกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ชีววิทยาว่าได้ถูกถ่ายทอดกันมาตามสายพันธุกรรมดีเอนเอซึ่งสามารถวิเคราะห์รหัสต่าง ๆ ที่ว่ากันว่าทำให้มนุษย์มีสัญชาตญาณปกป้องตนเองเมื่อเกิดมาแล้วรวมถึงการกินการนอนการหายใจการสืบดำรงเผ่าพันธุ์ซึ่งก็ได้จารึกอยู่ในรหัสพันธุกรรมดีเอนเอของมนุษย์ที่เกิดมาแต่ละคนแล้วด้วย จะเห็นตัวอย่างง่ายได้เช่นคนที่เคยพบเห็นอันตรายจากการถูกฟ้าผ่าตาย เมื่อเกิดฝนตกฟ้าแลบฟ้าผ่าที่กลางทุ่ง ตามสัญชาตญานในการเอาตัวรอดของเขา เขาจะพยายามหลบไปหาที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกฟ้าผ่าตาย เป็นต้น ส่วนในแง่มุมทางด้านนามขันธ์ตามหลักพระพุทธศาสนา สำหรับปุถุชนแล้วส่วนใหญ่มักยังติดอยู่ในโลกธรรม ด้านภาวะตัณหาหรือความอยากมี 4 อย่างได้แก่ความอยากใน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ การตายทำให้เขากลัวว่าจะสูญเสียสิ่งที่เป็นความอยาก (กิเลส)ของเขาที่เขาได้มีครอบครองอยู่ขณะนี้หรือจะมีในอนาคตซึ่งสามารถสนองความต้องการตามกิเลสดังกล่าวของเขาได้ ลองนึกภาพคนที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึง 30 วันด้วยโรคร้ายแรง แต่บังเอิญซื้อหวยไว้แล้วถูกหวยรางวัลที่ 1 ในวันรุ่งขึ้นได้รับรางวัล 30 ล้านบาท มีข้อน่าสนใจว่าในใจจริงของปุถุชนผู้นี้ว่าเขาอยากจะอยู่หรืออยากจะตาย

ส่วนที่กล่าวว่าส่วนใหญ่เขากำลังหลงไม่ได้นึกถึงความตาย อันนี้เห็นด้วยครับ เพราะปุถุชนมักลืมไปว่าทุกวันเวลาที่ผ่านไปเขากำลังเดินไปสู่ความตายอย่างช้า ๆ ตามกำหนดเวลาอายุขัยของร่างกายและผลของบุญกรรมที่ทำมา ซึ่งไม่แน่นอนว่าเมื่อไหร่ จึงมักประมาทไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับมือกับธรรมชาติที่ว่าทุกคนต้องตาย โดยพยายามให้เรื่องตายเป็นสิ่งอัปมงคลไม่ควรนำมาพูดถึงให้เสียบรรยากาศในการดำรงชีวิตที่กำลังแสวงหาความสุขความเจริญสนุกสนานกันทางโลก อยู่ จึงยังรักตัวกลัวตายเพราะความหลงนี้ไม่ยอมรับสัจจะธรรมในเรื่องความตายที่อย่างไรเสียก็ต้องตายกันทุกคนดังกล่าว การที่ได้มีเวลาฝึกหัดมรณานุสติของพระพุทธเจ้าจึงเท่ากับเป็นการต้านความประมาทความหลงนี้ได้อย่างดี และเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่น่าจะสามารถเอาชนะความกลัวตายเมื่อถึงคราวจะตายได้เพราะได้ทำใจให้คุ้นชินหรือเห็นสัจจะธรรมนี้ได้ก่อนหน้าไว้แล้ว จึงทำให้สามารถปล่อยวางจิตและเป็นวิธีหนึ่งที่ครูบาอาจารย์มักสอนว่าจะทำให้จิตว่างเข้าถึงธรรมได้ง่ายด้วย

- ที่เขากลัวๆกันก็คือ ทุกข์เวทนาครับ ทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย พูดง่ายๆ กลัวเจ็บ กลัวพิการ กลัวเป็นโรค
คุณลองไปถาม คนอกหัก คนเป็นโรคมะเร็ง หรือได้รับอุบัติเหตุจนพิการ
ความปรารถนาของเขาอันดับแรกคือ เขาอยากตายครับ

ผมเห็นด้วยเพียงบางส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยมีเหตุผลว่า การที่คนอกหัก เป็นโรคมะเร็ง หรือประสบอุบัติเหตุจน
พิการ เขาเหล่านี้อาจได้รับความทุกข์ทางกายและทางใจที่ได้ผูกไว้ด้วย แต่ถ้าเขาผู้นั้นสามารถฝึกจิต ปล่อยวางจิตหรือแยกจิตออกจากกายได้ด้วยการฝึกสมาธิอย่างดีมาแล้ว ก็อาจไม่ต้องเป็นทุกข็ใจ หรือบางครั้งสามารถใช้พลังจิตที่มีพลังเบี่ยงเบนไม่ให้เกิดความเจ็บปวดทางใจ และสามารถกระทั่งใช้กระแสจิตที่สงบเย็นแผ่ไปให้กับกายให้ได้รับความเจ็บปวดน้อยลงหรือไม่เจ็บปวดเลยเหมือนดั่งเป็นยาชาก็เป็นไปได้ตามการบอกเล่าจากปากของผู้ป่วยที่เคยอยู่ในขั้นโคม่าที่ต้องถูกดามเหล็กทั้งตัวจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่เคยออกอากาศสัมภาษณ์ทางทีวีครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน สำหรับผู้ที่ไม่เคยเตรียมตัวหรือไม่รู้จักวิธีฝึกจิตภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อถึงช่วงเกิดวิกฤตในชีวิตดังกล่าวจึงมักจะทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดทางกายและใจดังกล่าวไม่ไหวและเห็นว่าการตายน่าจะเป็นทางออก แม้ในใจลึก ๆ เขาจะไม่อยากตายก็ตาม ที่บ่นอยากตายนั้นก็เพราะต้องการหนีความเจ็บปวดทางกายและใจ ไม่ใช่ต้องการตายหากมีทางเลือกที่ดีกว่าเช่นสามารถหายาดีมารักษาทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดต่อกายหรือใจก็อาจจะขอรักษาตัวไปจนหายไม่อยากตายก็เป็นไปได้

หวังว่าคุณโฮฮับคงเข้าใจเพิ่มขึ้นนะครับ และอย่าลืมพากันฝึกปฏิบัติมรณะนุสติไว้มาก ๆ เพราะพระพุทธองค์แนะว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการบรรลุธรรมได้เป็นอย่างดีทางหนึ่ง ลองดูนะครับ

ธรรมใดถ้าไม่ทำ ก็ไร้ค่า....สาธุ

คุยกันหลังวัด:
ได้เห็นชื่อคุณโฮฮับในกระดานสนทนามาหลายหนแล้วคิดว่าหลายคนที่ยังไม่รู้รวมทั้งตัวผม คงจะรู้สึกเหมือนกันว่าชื่อคุณโฮฮับนี่เค้าหมายถึงอะไรน้อ เพราะชื่อแปลกดีไม่ค่อยเหมือนใคร จึงขออนุญาตถามชื่อที่ตั้งนี้ว่ามีที่มาอย่างไรช่วยเล่าสู่กันฟังก็ดีนะครับถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงเกินไป ส่วนผมนั้นมีฉายาชื่อเล่นว่า Soduku มีที่มาจากชื่อเกมตัวเลขของนักคณิตศาสตร์ยุโรปผู้หนึ่งที่ได้คิดค้นขึ้น เป็นเกมที่ผมประทับใจเพราะรู้สึกว่ามันแฝงข้อธรรมะที่เราสามารถสัมผัสได้ทางปฏิบัติในมิติของธรรมชาติที่แสดงออกในรูปแบบของตัวเลข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิริยะ จิตตะ หลักอิทัปปัจจยตาต่าง ๆ ซึ่งสามารถลองสัมผัสเกมนี้ได้ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ หรือ เข้าค้นในเวป googles ดูนะครับ

มีอย่างหนึ่ง ความจริงก็ไม่อยากจะแนะนำอะไรเพิ่มเติมแก่คุณโฮฮับ เพราะก่อนหน้าสมัยรุ่น ๆ ผมเองก็อาจมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับคุณโฮฮับ แต่คิดว่าน่าจะเป็นกระจกสะท้อนตนที่เป็นประโยชน์แก่คุณโฮฮับซึ่งผมถือว่าเป็นเพื่อนกัลยามิตรของผมคนหนึ่ง จึงขออนุญาตคุณโฮฮับ ช่วยลองพิจารณาข้อแนะของผมดูด้วยนะครับว่าจะดีไหมหากจะสนทนาธรรมโดยช่วยกันปรับเปลี่ยนแนวหรือลดโทนความเข้ม (หรือถ้าเป็นภาษาลูกทุ่งวัยรุ่นอาจใช้คำว่า กร่าง)ในเรื่องถ้อยคำภาษาที่พูดที่เขียนสักหน่อย เพราะผู้อื่นที่เข้ามาร่วมสนทนา หรือมาใหม่ในกระดานโดยเฉพาะผู้ที่มีใจบริสุทธิเพิ่งได้สัมผัสกับธรรมหรือเด็ก ๆ วัยใส ๆ ที่เข้ามาดูมาอ่านมักคาดว่าผู้ที่อยู่ในกระดานเวปธรรมมะส่วนใหญ่จะมีจิตใจดี มีศีลมีธรรม มีวาจาสุภาพเอื้อเฟื้อเกื้อกูล สนทนาข้อธรรมด้วยกันอย่างเมตตาเผื่อแผ่ ไม่ใช่เวปพวกเด็กห่ามเด็กแว้น (ซึ่งที่จริงเด็กแว้นหลายคนก็มีจิตใจที่ดีบริสุทธิ์รักพวกพ้องเพื่อนฝูงจริงใจ ไม่ใช่เป็นคนไม่ดี เพียงแต่อาจไม่รู้จักนึกถึงผลกระทบของการกระทำของเขาที่อาจมีต่อส่วนรวมได้ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างไรบ้าง คือคิดได้น้อยไปหน่อยไปเน้นเอาความอยากความต้องการของตนเองส่วนใหญ่ใครจะเป็นอะไรไม่ค่อยไปสนใจมาก ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวของเขาเองได้รับความเดือดร้อนรวมทั้งเป็นที่รังเกียจของสังคมส่วนใหญ่ที่ได้รับการรบกวนอยู่ในขณะนี้) นอกเรื่องไปแล้วขอวกกลับมาพูดเรื่องการแสดงความคิดความเห็นในเวป ก็อาจจะมีสมาชิกต่างเพศต่างวัยหลากหลายเข้ามาในเวปสนทนา ซึ่งแน่นอนย่อมมีลักษณะโทนการพูดและภาษาที่ใช้แตกต่างกันตามความหลากหลายนั้น ซึ่งเขาน่าจะสามารถแสดงความเห็นมุมมองตามเพศตามวัยและภูมิธรรมที่มีอยู่ของเขาได้อย่างอิสระ ถือว่าเป็นสีสันเป็นสิ่งที่สวยงามทำให้เราเห็นแง่มุมแง่คิดต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ทำให้เกิดความเข้าใจและมีปฎิสัมพันธ์และพัฒนาเกื้อกูลกันกับสมาชิกกลุ่มได้ในจำนวนมากขึ้นและในคุณภาพที่ดีขึ้น จึงไม่สมควรไปจำกัดสิทธิตามลักษณะธรรมชาติของแต่ละปัจเจกบุคคลในการแสดงความคิดเห็น และบางครั้งอาจจะมีการหยอกล้อเล่นบ้างบางคราวเพื่อผ่อนคลายปรับอารมณ์กันก็ทำได้แต่ก็ไม่ควรพร่ำเพรื่อ เพราะต้องสำรวมเคารพให้สิทธิแก่สมาชิกท่านอื่น ๆ ที่อาจมีอารมณ์ร่วมกับเราดังกล่าวได้ไม่นาน (เพราะเป็นกระดานสนทนาของเวปมูลนิธิสาธารณะ) อย่างไรก็ตามหากมีผู้เห็นว่าเลยเถิดหรือไม่เหมาะสมก็สามารถช่วยกันท้วงติง ด้วยความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนและซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน โดยคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยลดโทนแห่งทิฐิมานะ ความอิจฉา ความโกรธความหลงตนได้เป็นอย่างดี และบางครั้งหากมีผู้ที่มาแบบนอกแถวบ้าง ทางผู้ดูแลเวปก็สามารถทำหน้าที่จัดการได้ตามระเบียบของเวปที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว
ดังนั้น หากคุณโฮฮับสามารถปรับเปลี่ยนระดับสมดุลย์ความเข้มได้ก็จะดีสำหรับคุณโฮฮับมากเลยเพราะเท่าที่ดูรู้สึกว่ามีภูมิธรรมดีและคอยสอดส่องหรือปรามไม่ให้มีการแสดงความเห็นในกระดานเวปของสมาชิกที่สงสัยอาจจะไม่ถูกหลักในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นกุศลอย่างมากของคุณโฮฮับที่ได้ช่วยกันธำรงค์ไว้ซึ่งความเห็นที่ถูกต้องในทางหลักการของพระพุทธศาสนา และ ผมขอร่วมอนุโมทนาด้วย

สุดท้ายนี้ ขอฝากตัวอย่างแนวทางที่คิดว่าคุณโฮฮับสามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนความเข้มในทางปฏิบัติได้และคิดว่าคุณโฮฮับคงจะรู้หรือทำบ้างอยู่แล้ว แต่ผมอาจเห็นน้อยไปหน่อยเป็นต้นว่า หากไม่เข้าใจอะไรก็พูดตรง ๆ ด้วยวาจาสุภาพ หรือขอให้ช่วยอธิบายเพิ่มเติม หากจะต้องการเสริมข้อคิดเห็นก็เพียงพูดตรง ๆ ในทำนองขอร่วมเสริมความคิดเห็นอะไร ๆ ก็ว่าไป เพียงแต่พยายามระมัดระวังไม่ต้องใช้ถ้อยคำที่ดูเหมือนเป็นคำกล้ำกึ่งระหว่างความเห็นกับการเสียดสีกระแนะกระแน ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ตนอาจเคยชินหรือรู้สึกว่าสนุกดี แต่อาจไปกระทบความรู้สึกความเข้าใจของผู้อื่นที่ไม่เห็นดีกับเราก็ได้ หากเป็นเช่นนี้ได้ก็จะเป็นผลดีแก่วจีกรรมของคุณโฮฮับเองนะครับ จะได้ไม่ต้องติดกรรมที่ไม่ดีเพราะนาน ๆ ไปเวลาถอนจะถอนยาก และจะช่วยให้คุณโฮฮับสามารถร่วมส่งเสริมกิจกรรมการสนทนาและเผยแพร่ธรรมะปฏิบัติทางพุทธศาสนาที่เป็นประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้อย่างยั่งยืนต่อไป

ขออนุญาต เสริมความเห็นเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ หวังว่าคงจะมีประโยชน์แก่คุณโฮฮับได้พิจารณาต่อไปนะครับ
....ด้วยความเคารพรักและปรารถนาดีจากใจจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 22:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
:b17: :b17: :b17: :b32: :b32:
หนุกจัง ที่ได้เห็นผู้รู้ ถกเถียงกัน
:b12: :b12:

อย่าเอาแต่สนุกอย่างเดียว....โมทนาบุญด้วยซะสิ...
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ขออภัยที่เข้ามาสนทนาตอบข้อคิดเห็นคุณโฮฮับล่าช้าเพราะติดภาระกิจส่วนตัว
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาที่คุณโฮฮับได้ให้ความสนใจการผูกโยงข้อธรรมเรื่องมรณานุสติกับเรื่อง “การส่งจิตออกนอก”ในกระดานความคิดเห็นของผมนะครับ ซึ่งที่ผมได้ผูกโยงเรื่องมรณานุสติเข้ามาเพราะคิดว่าอาจจะช่วยเร่งกระบวนการปฏิบัติดังกล่าวได้ดีขึ้น จะได้ไม่ประมาทในธรรมสำหรับโอกาสที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ และเท่าที่อ่านดูข้อเขียนในกระดานของคุณโฮฮับ (ซึ่งก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่า คุณโฮฮับ ต้องการจะถามหรือ ต้องการจะแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมตามข้อเขียนที่ลงไว้) แต่ก็จะพยายามลองสรุปดู ซึ่งอาจจะเป็นทั้งคำตอบคำถามและเป็นการเสริมขยายความคิดเห็นเพิ่มเติมของคุณโฮฮับ ถ้าหากความเห็นของผมมีความอ่อนด้อยด้วยปัญญาในข้อธรรมใด ขอคุณโฮฮับหรือท่านผู้รู้ได้โปรดช่วยชี้แนะด้วยนะครับ

ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องตอบเร็วตอบช้าหรือจะไม่ตอบ ที่ผมแสดงความเห็นแย้งคุณก็เพราะ
ไม่เห็นด้วย ผมก็ว่ามันไม่น่าจะผิด อีกทั้งผมก็ได้แสดงตัวอย่างพร้อมอธิบายประกอบ
ซึ่งมันครบถ้วนกระบวนความของการสนทนาธรรม อันกรอบด้วยมรรยาทและเนื้อหากระทู้

ผมว่าความเห็นผมตอบครบแล้ว ถ้าคุณไม่เห็นด้วย ก็มีสิทธิที่จะตอบกลับมาได้ครับ
แต่ต้องคำนึงเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และให้อยู่ในกรอบของกระทู้ด้วยนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร